สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 14 กันยายน 2561

ผังเมืองปลดล็อกคลองเตย-ท่าเรือฟื้น”พอร์ตซิตี้”

ผังเมือง กทม.ปลดล็อกที่ดิน 2,353 ไร่ จากสีน้ำเงินเป็นพื้นที่สีแดงพาณิชยกรรม ยกชั้นเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ การท่าเรือเฮ ! เดินหน้ามาสเตอร์แพลนที่ดินคลองเตยกว่า 1 แสนล้าน ตัดแบ่ง 3 โซน เนรมิตการค้า พัฒนาธุรกิจหลัก และพัฒนาเมือง สร้างแลนด์มาร์กมหึมาริมน้ำเจ้าพระยา
แหล่งข่าวจากสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผังเมืองรวม กทม.ฉบับที่กำลังปรับปรุงใหม่ จะปรับสีการใช้ประโยชน์ที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) บริเวณย่านคลองเตย จากสีน้ำเงินกำหนดเป็นที่ดินประเภทราชการ สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ เป็นพื้นที่สีแดงพาณิชยกรรมตามที่การท่าเรือฯขอให้ปรับปรุง เพื่อจะนำที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวนกว่า 2,353 ไร่ พัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์
“จะทำให้การพัฒนาย่านคลองเตยต่อไปในอนาคตจะเป็นย่านพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ของ กทม. ที่รองรับการขยายตัวมาจากใจกลางเมือง”
รายงานข่าวจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้จัดทำแผนแม่บท (master plan) การพัฒนาที่ดินท่าเรือกรุงเทพ 2,353 ไร่ ทั้งในเขตรั้วศุลกากรและนอกเขตรั้วศุลกากร คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างจ้างที่ปรึกษาเพื่อมากำหนดแผนพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดิน (land use) ภายใต้กรอบแนวคิดที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทให้มีความเหมาะสมกับศักยภาพและสอดคล้องกับสภาพความต้องการของตลาดปัจจุบัน ก่อนที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน
โดยแบ่งพื้นที่การพัฒนาเป็น 3 โซนประกอบด้วย 1.โซนพื้นที่พัฒนาด้านการค้า พัฒนาธุรกิจหลักการให้บริการของท่าเรือ และพื้นที่พัฒนาเมือง มูลค่าการลงทุน 23,853 ล้านบาท โดยพื้นที่ด้านการค้าจะมีอาคารศูนย์ธุรกิจพาณิชยนาวี เนื้อที่ 17 ไร่ ด้านข้างอาคารที่ทำการปัจจุบัน ภายในอาคารประกอบด้วย สำนักงาน ศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ ศูนย์การประชุม พื้นที่ค้าปลีกและธนาคาร
มีศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้า เนื้อที่ 54 ไร่ ประกอบด้วย อาคารคลังสินค้าแนวสูงและแนวราบ สถานีพักรถบรรทุกสินค้า รวมถึงมีอาคารสำนักงาน เนื้อที่ 126 ไร่ (ไม่รวมตลาดคลองเตย) อยู่ในทำเลศักยภาพพัฒนากิจกรรมที่มีความหลากหลาย และสนับสนุนกิจการของท่าเรือและชุมชนโดยรอบ อาทิ ศูนย์กลางการค้าและพาณิชยกรรมนำเข้า-ส่งออก อาคารพาณิชย์ อพาร์ตเมนต์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ สำนักงาน ศูนย์ฝึกอบรมธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สถาบันการเงินและศูนย์การประชุม
นอกจากนี้ มีศูนย์การค้าธุรกิจทันสมัยครบวงจร พื้นที่ 15 ไร่ เช่น ศูนย์แสดงสินค้าเกี่ยวกับกิจการท่าเรือ และจะนำที่ดินบริเวณโรงฟอกหนัง กระทรวงกลาโหม เนื้อที่ 123 ไร่ พัฒนาสมาร์ทคอมมิวนิตี้ ก่อสร้างที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่รองรับชุมชนและหน่วยงานราชการต่าง ๆ
2.โซนพัฒนาธุรกิจ หลักการให้บริการท่าเรือกรุงเทพ จะปรับพื้นที่จากปัจจุบัน 943 ไร่ เหลือ 534 ไร่ พัฒนาสถานีบรรจุสินค้าเพื่อส่งออกและบูรณาการพื้นที่หลังท่าเป็นคลังสินค้าขาเข้าเขตปลอดภาษี พื้นที่ปฏิบัติการสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าต่าง ๆ เช่น คลังสินค้าห้องเย็น ฮาลาล ลานบริหารจัดการรถบรรทุก และจุดบริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
ยังมีท่าเทียบเรือตู้สินค้าบริเวณเขื่อนตะวันตกติดคลองพระโขนง จะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือแห่งใหม่ ลานกองเก็บตู้สินค้าและอาคารสำนักงาน ปรับปรุงท่าเทียบเรือตู้สินค้าฝั่งตะวันออกให้ทันสมัยรองรับเรือลำเลียงชายฝั่ง และมีโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือและทางด่วนสายบางนา-อาจณรงค์ เป็นการระบายรถบรรทุกขาออกที่มุ่งหน้าไปยังบางนา-ตราด และขาเข้ามายังท่าเรือกรุงเทพ
และ 3.โซนพื้นที่พัฒนาเมืองท่าเรือกรุงเทพ (Bangkok Modern City) ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะเน้นการพัฒนาเมืองธุรกิจขนาดใหญ่ที่เป็นแลนด์มาร์กของประเทศ ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวใหม่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวทางน้ำ และเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์สาธารณะ รวมถึงพัฒนาเป็นอาคารมิกซ์ยูสครบวงจร ที่ประกอบด้วยช็อปปิ้งมอลล์ พื้นที่จอดรถและโรงแรม
ขอบคุณที่มา  www.bkkcitismart.com

กฎหมาย “ห้องเช่า” ใหม่ ให้ประโยชน์ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า?

กฎหมาย “ห้องเช่า” ใหม่ ให้ประโยชน์ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า?

ตามที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 การให้เช่าที่อยู่อาศัยจะกลายเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญานับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เพื่อป้องกันผู้เช่าที่อยู่อาศัยจากเงื่อนไขสัญญาเช่าที่ไม่เป็นธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลให้กับผู้ให้เช่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการอพาร์ตเม้นต์ รวมไปจนถึงผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียม/บ้านเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากจะทำให้การจัดการผู้เช่าที่ด้อยคุณภาพทำได้ยากขึ้น แต่จากการวิเคราะห์ของ “เจแอลแอล” มองว่า กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลดีในระยะยาว

ทำความเข้าใจกฎหมายฉบับใหม่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า กฎระเบียบใหม่ดังกล่าว มีผลบังคับใช้กับผู้ที่ให้เช่าที่อยู่อาศัยจำนวนตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไปให้แก่บุคคลธรรมดา ไม่ว่าหน่วยที่อยู่อาศัยดังกล่าวจะอยู่ในอาคารเดียวกัน หรือหลายอาคารรวมกัน ซึ่งที่อยู่อาศัยในที่นี้หมายถึง ห้องพัก บ้าน คอนโดมิเนียม อพาร์ตเม้นต์ หรือสถานที่พักอาศัยประเภทอื่น ๆ แต่ไม่รวมถึงหอพักและโรงแรมซึ่งมีกฎหมายควบคุมต่างหาก

3 ประเด็นถกเถียงกฎหมายใหม่ ใครได้ประโยชน์
ในบรรดากฎระเบียบต่าง ๆ มี 3 ประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ดังนี้
– ผู้ให้เช่าไม่สามารถเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าได้เกินกว่า 1 เดือน และเงินประกันมูลค่าเกินกว่าค่าเช่า 1 เดือน

ค่าเช่าล่วงหน้าและเงินประกัน เป็นหลักประกันเบื้องต้นที่ผู้ให้เช่าสามารถถือไว้เผื่อกรณีที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ผู้ให้เช่าจัดสรรไว้ให้ หรือไม่ชำระค่าสาธารณูปโภค ซึ่งโดยทั่วไปในขณะนี้ ผู้ให้เช่าจะเรียกค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน และเงินประกันเท่ากับค่าเช่า 2 เดือน

ค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน จะสามารถสร้างหลักประกันได้ว่า ผู้เช่าจะไม่สามารถลักลอบย้ายออกไปโดยยังไม่ชำระค่าเช่าเดือนสุดท้ายเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี มีบางกรณีที่ผู้เช่าค้างค่าเช่ามากกว่า 1 เดือนหรือที่แย่กว่านั้นคือ มีบางกรณีที่นอกจากผู้เช่าจะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าเดือนสุดท้ายแล้ว ยังไม่ย้ายออกทันทีหลังสัญญาเช่าสิ้นสุดด้วย ดังนั้น การกำหนดให้ผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าได้ไม่เกิน 1 เดือน จึงเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ให้เช่า

– ผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนสิ้นสุดสัญญาได้ โดยต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้ให้เช่ารับทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน

การกำหนดสิทธิของผู้เช่าอย่างชัดเจนในประเด็นนี้ จะช่วยสร้างความกระจ่างให้กับผู้ให้เช่า เนื่องจากมีผู้ให้เช่าบางรายที่เข้าใจผิดว่า ผู้เช่าไม่สามารถบอกเลิกสัญญาก่อนสิ้นสุดอายุสัญญาเช่าได้ ดังนั้นจึงริบเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินประกัน กรณีที่ผู้เช่าย้ายออกก่อนสัญญาหมดอายุ

– ผู้ให้เช่าไม่สามารถกำหนดอัตราค่าบริการกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา เกินกว่าอัตราที่ผู้ให้บริการกระแสไฟฟ้าน้ำประปาเรียกเก็บจากผู้ให้เช่าได้

ข้อกำหนดนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่สร้างความพอใจให้กับผู้เช่ามากที่สุด โดยเฉพาะกรณีของอพาร์ตเม้นต์ให้เช่าที่มีผู้ประกอบการหลายรายกำหนดอัตราสาธารณูปโภคขึ้นเอง ซึ่งอัตราที่เรียกเก็บแตกต่างกันไป
สำหรับคอนโดมิเนียมโดยส่วนใหญ่ การกำหนดค่าสาธารณูปโภคจะเป็นไปตามความเห็นชอบร่วมกันระหว่างเจ้าของร่วมและคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด ยกเว้นบางโครงการที่การไฟฟ้าฯ หรือการประปาฯ เป็นผู้ติดตั้งมิเตอร์ไฟหรือมิเตอร์น้ำให้กับเจ้าของร่วมและเรียกเก็บค่าบริการโดยตรงจากเจ้าของร่วม กฎระเบียบใหม่นี้จะช่วยทำให้การเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคมีความโปร่งใสต่อผู้เช่ามากขึ้น

กฎหมายใหม่เพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้เช่าที่อยู่อาศัยมากขึ้น

                   กฎหมายใหม่เพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้เช่าที่อยู่อาศัยมากขึ้น

กฎหมายใหม่กระทบตลาดเช่าจริงหรือ?
กฎหมายใหม่นี้จะเพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้เช่าที่อยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจอันจะมีส่วนทำให้ผู้เช่าสามารถตัดสินใจเช่าได้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกันทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่าจะได้ประโยชน์จากความโปร่งใสในกระบวนการกำหนดเงื่อนไขการเช่าที่มีแนวทางชัดเจนขึ้น

ในระยะแรกกฎหมายใหม่นี้อาจทำให้ผู้ที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่ามีความกังวลอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบระยะยาว เนื่องจากผู้ซื้อจะสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้ ในทางกลับกันคาดว่า เมื่อมีความเข้าใจ นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น เนื่องจากมีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่า

อย่างไรก็ตาม จากการที่ผู้ให้เช่าอาจไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงของตนเองได้มากเท่ากับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่าผู้ให้เช่าจะมีความระมัดระวังมากขึ้นในการคัดกรองผู้เช่าตลอดรวมจนถึงนายหน้าที่แนะนำผู้เช่ามาให้ ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าต้องการกำหนดเงื่อนไขการเช่าอื่นใดที่กฎหมายใหม่อาจไม่ได้ให้แนวทางไว้ ควรขอคำปรึกษาจากบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย

ขอบคุณที่มา  www.ddproperty.com


คนไทย5ล้านเสี่ยงตกงาน

คนไทย5ล้านเสี่ยงตกงาน

เอไอเสี่ยงแย่งงานแรงงานไทยเกือบ 5 ล้านคนในปี 2028 ภาคการเกษตรเสี่ยงเจอวิกฤตหนักสุด สถาบันวิจัย ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ และซิสโก บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐ เปิดเผยรายงาน “เทคโนโลยีและอนาคตงานในอาเซียน” ณ ที่ประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ในเมืองฮานอย ของเวียดนาม พบว่า แรงงานไทย 11.9% หรือ 4.9 ล้านคน เสี่ยงตกงานหรือต้องย้ายงานภายในปี 2028 จากการที่ภาคธุรกิจนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาใช้ในทำงานแทนแรงงานมนุษย์มากยิ่งขึ้น

ในภาพรวมแล้ว เอไอคาดว่าจะส่งผลให้ตำแหน่งงานในไทยหายไป 1.3 ล้านอัตรา ซึ่งภาคการเกษตรเสี่ยงได้รับผล กระทบมากที่สุด โดยแรงงานกว่า 1.7 ล้านคนอาจต้องเปลี่ยนไปทำงานในภาคส่วนอื่นๆ ตามด้วยภาคการผลิตและภาคธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง เนื่องจากงานส่วนใหญ่ในภาคส่วนดังกล่าวเป็นงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ซึ่งเอไอสามารถเข้ามาทำงานแทนได้

อย่างไรก็ดี สำหรับภาคการผลิตและธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งนั้น คาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มมากที่สุดอยู่ที่ 1.2 ล้านอัตรา และ 9.1 แสนอัตรา ตามลำดับ  โดยรายงานระบุว่า การนำเทคโนโลยีเข้าไปผสมผสานกับการทำธุรกิจและนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล ช่วยให้เกิดการจ้างแรงงานที่มีทักษะมากขึ้น

ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 5.5 แสนอัตรา คิดเป็น 17.4% ของแรงงานทั้งหมด โดยภาคธุรกิจ ดังกล่าวได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ขยายตัวแข็งแกร่ง

สำหรับแนวโน้มการจ้างงานในภาพรวมของ 6 ประเทศอาเซียน รายงานระบุว่า แรงงานอาเซียน 28 ล้านคน คิดเป็น 10.2% ของตลาดแรงงานทั้งหมด อาจต้องเปลี่ยนงานใหม่ภายในปี 2028 โดยเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว สิงคโปร์ได้รับผลกระทบมากที่สุด 20.6% ตามด้วยเวียดนามและไทยที่ 13.8% และ 11.9% ขณะที่เมื่อเทียบเป็นจำนวนคนแล้ว แรงงานอินโดนีเซียเสี่ยงตกงานมากที่สุดที่ 9.5 ล้านคน ตามด้วยเวียดนามและไทยจำนวน 7.5 ล้านคน และ 4.9 ล้านคน

นอกจากนี้ รายงานระบุว่า แรงงานราว 6.6 ล้านคนในอาเซียนมีแนวโน้มกลายเป็นแรงงานส่วนเกิน เพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเข้ามาทำงานแทนที่กลุ่มคน ดังกล่าว ขณะที่แรงงานกลุ่มนี้มีแนวโน้มหางานยากขึ้น เนื่องจากขาดแคลนทักษะจำเป็นในอนาคต โดย 41% ไม่มีทักษะด้านเทคโนโลยี 30% ขาดแคลนทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ เช่น การเจรจาและการบริการ ขณะที่กว่า 25% ไม่มีความรู้พื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน หรือการเรียนรู้

ทั้งนี้ นายจัสติน วู้ด สมาชิกบริหารของที่ประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม กล่าวว่า อาเซียนต้องเร่งพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งหากไม่ดำเนินการภายใน 10 ปีอาจไม่สามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้

ขณะเดียวกัน ตัวแทนภาครัฐ ของประเทศอาเซียนและกลุ่มนักธุรกิจ เปิดเผยในที่ประชุมว่ายังมีมุมมองบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอาเซียน ท่ามกลางความเสี่ยงจากสงครามการค้า รวมถึงทิศทางการใช้นโยบายการเงินตึงตัวทั่วโลก เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลอาเซียนใช้นโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง รวมถึงลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้านนางจูดี้ หู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคอาเซียน และเอเชียใต้ ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า อาเซียนมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งสามารถรับมือความผันผวนระยะสั้นได้ พร้อมเสริมว่า อาเซียนยังคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการที่บริษัทต่างๆ มีแนวโน้มปรับเปลี่ยนซัพพลายเชนและกำลังการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้การขยายตัวยังอยู่ในทิศทางบวกในระยะกลางและระยะยาว

ขอบคุณที่มา  www.posttoday.com


ทำไมคุณต้องมี ความฉลาดทางอารมณ์สูง(EQ) ถึงจะประสบความสำเร็จ?

ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นคำตอบว่า ทำไมคนที่มีไอคิวปานกลางถึงสามารถทำงานได้ดีกว่าคนที่มีไอคิวสูงแทบจะ 70% ของทั้งหมด นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนมากมายที่เคยคิดว่าไอคิวคือสิ่งเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ โดยงานวิจัยช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ความฉลาดทางอารมณ์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บางคนมีความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ

ความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราทุกคน มันมีผลต่อการกระทำ วิธีใช้ชีวิตในสังคมที่ซับซ้อน และรวมไปถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ความฉลาดทางอารมณ์ประกอบขึ้นจากทักษะทั้ง 4 อย่าง โดยแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ความสามารถส่วนตัว และ ความสามารถทางสังคม

ความสามารถส่วนบุคคล (Personal Competence) ประกอบด้วย ทักษะการตระหนักรู้ในตนเองและการจัดการตนเอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเองมากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันหมายถึงความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของตัวเอง และการควบคุมนิสัย การกระทำของตัวเอง

  • การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) คือ ความสามารถในการสังเกตอารมณ์ของตนเอง และตระหนักรู้เมื่อเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นในจิตใจ
  • การจัดการตนเอง (Self-Management) คือ ความสามารถในการใช้ความตระหนักในอารมณ์ของตนเองเพื่อปรับตัว และควบคุมการกระทำให้เป็นไปในทางบวก

ความสามารถทางสังคม (Social Competence) ประกอบด้วย ทักษะการตระหนักรู้ทางสังคมและการจัดการความสัมพันธ์ มันคือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ การกระทำ และลักษณะของผู้อื่น เพื่อให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การตระหนักรู้ทางสังคม (Social Awareness) คือ ความสามารถในการสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น และเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้
  • การจัดการความสัมพันธ์ (Relationship Management) คือ ความสามารถในการใช้ความตระหนักรู้ในอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่น เพื่อให้การปฏิสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่น

ความฉลาดทางอารมณ์ ไอคิว และบุคลิกภาพนั้นมีความแตกต่างกัน

ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของการกระทำของมนุษย์ โดยมันแยกออกจากสติปัญญาโดยสิ้นเชิง ยังไม่มีการค้นพบว่าไอคิวมีความเชื่อมโยงต่อกันกับความฉลาดทางอารมณ์ เราจึงคาดเดาไม่ได้เลยว่าคนที่มีไอคิวสูงนั้นเขาจะมีความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงตามหรือไม่

โดย สติปัญญาหรือไอคิว นั้น คือความสามารถในการเรียนรู้ ที่ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าใด มันก็ยังจะคงเดิม ไม่สามารถฝึกฝนเพื่อทำการเพิ่มพูนได้ แต่ความฉลาดทางอารมณ์นั้นเป็นทักษะที่ยืดหยุ่นได้ มันสามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกฝน

ส่วน บุคลิกภาพ คือองค์ประกอบส่วนสุดท้าย มันคือ “สไตล์” ที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ บุคลิกภาพเกิดจากความชอบหลาย ๆ อย่างที่ฝังลึกในใจ เช่น การเป็นคนเปิดเผยหรือคนเก็บตัว เป็นต้น

อย่างไรก็ตามบุคลิกภาพไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาคาดเดาระดับความฉลาดทางอารมณ์ได้เช่นกัน และเป็นสิ่งที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับไอคิว

ความฉลาดทางอารมณ์เป็นตัวที่บ่งบอกความสามารถ

คุณทราบไหมว่าความฉลาดทางอารมณ์มีผลต่อความสำเร็จในอาชีพการงานมากแค่ไหน? ตอบได้สั้นๆ ว่า มากสุดๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณทุ่มเทพลังงานไปในทิศทางเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดผลสำเร็จมากกว่า เว็บไซต์ TalentSmart ได้ทำการทดสอบความฉลาดทางอารมณ์และทักษะอื่น ๆ 33 อย่าง แล้วผลสรุปพบว่า ความฉลาดทางอารมณ์เป็นตัวบ่งบอกความสามารถในการทำงานที่เที่ยงตรงที่สุด โดยมีผลต่อความสำเร็จถึง 58% ในการทำงานทุกประเภท

ความฉลาดทางอารมณ์ของคุณเป็นพื้นฐานของทักษะสำคัญมากมาย มันมีผลต่อแทบทุกการกระทำ รวมไปถึงทุกคำพูดในแต่ละวันของคุณเลยทีเดียว

จากกลุ่มทดลอง พบว่ากว่า 90% ของคนที่ทำงานได้ดีเยี่ยมล้วนมีความฉลาดทางอารมณ์สูงเช่นกัน ขณะที่มีเพียง 20% ของคนที่ทำงานได้ไม่ค่อยจะดีนัก ที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง ดังนั้นมันจึงมีโอกาสน้อยมาก หากคุณจะทำงานให้ดีได้ โดยปราศจากความฉลาดทางอารมณ์

โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงจะหาเงินได้มากกว่าคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ ทั้งสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันสูงจนสามารถกล่าวได้ว่า ยิ่งการที่มีความฉลาดทางอารมณ์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ จะเท่ากับว่าเขาเหล่านั้นจะได้รับรายได้รายปีเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนในทุก ๆ อาชีพ ทุกระดับทั่วโลกยึดถือเลยก็ว่าได้ และก็ยังไม่พบเจองานแบบไหนที่ความฉลาดทางอารมณ์ไม่ส่งผลต่อศักยภาพในการทำงานและระดับรายได้เลย

คุณสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองได้

การสื่อสารระหว่างสมองส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลและส่วนของอารมณ์เป็นแหล่งกำเนิดของความฉลาดทางอารมณ์ นักประสาทวิทยาใช้คำว่า Plasticity ในการอธิบายความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง ในขณะที่คุณค้นพบและฝึกฝนทักษะความฉลาดทางอารมณ์ใหม่ ๆ เซลล์ประสาทเล็กจิ๋วหลายพันล้านเซลล์ที่เชื่อมระหว่างศูนย์กลางเหตุผลและอารมณ์ของสมองจะยื่น “แขน” เล็กๆ ออกไปหาเซลล์ตัวอื่นต่อไปเรื่อย ๆ (ราวกับกิ่งก้านของต้นไม้) โดยหนึ่งเซลล์สามารถเชื่อมตัวกับเซลล์ใกล้ตัวได้ถึง 15,000 จุด การขยายตัวที่มีลักษณะเป็นลูกโซ่นี้จึงเป็นตัวการันตีได้ว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยที่คนเราจะฝึกฝนนิสัยหรือพฤติกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต

เมื่อคุณฝึกฝนสมองของตัวเองด้วยการฝึกทักษะความฉลาดทางอารมณ์ใหม่ ๆ ซ้ำ ๆ สมองของคุณก็จะเริ่มสั่งการให้กลายเป็นนิสัย และในเวลาไม่นาน คุณก็จะเริ่มตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างด้วยความฉลาดทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว  ในขณะเดียวกัน การเชื่อมต่อของเซลล์เพื่อรองรับนิสัยแบบเดิมนั้นก็จะหายไป เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะควบคุมนิสัยเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

ขอบคุณที่มา  talentsmart


 

ระหว่าง Introvert กับ Extrovert ใครเรียนภาษาได้ดีกว่ากัน?

ในช่วงหลัง ๆ มานี้อาจจะได้ยินกันบ่อยเรื่องราวของ Introvert (คนที่มีลักษณะที่เก็บตัว และหมกมุ่นกับความคิด) กับเรื่องราวของ Extrovert (คนที่มีลักษณะร่าเริง ชอบพบปะผู้คน และมีทักษะในการสื่อสารดี) ซึ่งคนทั้งสองประเภทนี้ก็จะได้รับการเปรียบเทียบกันในด้านการเรียนรู้มาโดยตลอด โดยหลัง ๆ มานี้มีผลการวิจัยว่าคนที่มีลักษณะแบบ Introvert นั้นจะมีการเรียนรู้แบบไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์ (แบบนักปรัชญา) ได้ดีกว่า แต่ถ้าหากเป็นการเรียนภาษาล่ะ? คนประเภทไหนจะเรียนได้ดีกว่ากัน?

ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์กับ Pertanika Journal of Social Sciences and Humanities (JSSH) เสนอว่า ผู้เรียนภาษาอังกฤษที่เป็นชาวจีน จะเรียนการอ่านและการพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าหากพวกเขามีลักษณะเป็น Extrovert แต่ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ทักษะการฟังได้เชื่องช้าที่สุด ต่างกับเหล่า Introvert ที่เรียนรู้ทักษะการฟังได้ยอดเยี่ยมกว่า แต่ก็มีทักษะการอ่านและการพูดด้อยกว่าด้วย

สำหรับวัฒนธรรมการเรียนการสอนของประเทศจีนนั้น การตั้งใจฟังครูผู้สอนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ต่างกับวัฒนธรรมตะวันตกที่ต้องการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าประเทศจีนได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊อซึ่งให้ค่าเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสำเร็จในการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม รวมถึงการยอมรับนับถือในอำนาจของผู้เหนือกว่า นักเรียนบางคนบอกว่าวิถีเหล่านี้บางทีก็ทำให้การเรียนภาษาที่สอง (อย่างภาษาอังกฤษ) ยากขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังเป็นข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าความเป็น Introvert และ Extrovert นั้นมีผลกับการเรียนภาษา 100% เพราะมันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แม้ว่านักจิตวิทยาจะบอกว่า ความเงียบขรึมและครุ่นคิดของเหล่า Introvert และความสามารถในการ “จำ” ได้ยาวนานกว่านั้น จะทำให้พวกเขาเรียนภาษาได้ดีกว่า แต่ว่าเหล่านักภาษาศาสตร์ก็โต้ว่าทัศนะการชอบออกสังคม และการทนต่อความเสี่ยงได้ดีของเหล่า Extrovert ต่างหากที่จะทำให้พวกเขาเรียนภาษาที่สองได้ดี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Shahcla Zarfar กล่าวว่า แม้ว่ารายงานการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชาวจีนนั้นจะไม่ได้ชี้ขาดว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่เรียนได้ดีกว่า แต่ก็บ่งบอกปัจจัยในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนึ่งที่นักเรียนในเอเชียไม่มี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ท่านนี้ได้สรุปผลงานกลุ่มนักเรียนจีนที่เรียนภาษาอังกฤษที่ใช้เป็นตัวอย่างในงานวิจัย นั้นมี Introvert ถึง 74% มี Extrovert ถึง 35% และคนที่ไม่มีแนวโน้มจะเป็นทั้งสองประเภทถึง 15% และก็มีผลแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับนักเรียนทั้งสามกลุ่มนี้ คือเมื่อวัดผลคะแนนในการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว เหล่า Extrovert กลับมีคะแนนในทักษะการพูด การอ่าน และทักษะภาษาโดยรวมสูงกว่า ในขณะที่ทักษะการเขียนนั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่สำหรับทั้งสองกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยกลับพบว่าเหล่านักเรียนที่เป็น Introvert นั้น กลับเป็นผู้มีทักษะการฟังที่ดีกว่าเหล่า Extrovert ด้วย ซึ่งก็ขัดแย้งกับเหล่างานวิชาการที่สนับสนุน Extrovert กันเป็นส่วนใหญ่ นักวิจัยก็เลยคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเพราะเหล่า Introvert มีความสามารถในการจดจ่อกับการฟังได้ดีกว่านั่นเอง

นักวิจัยจึงเสนอว่าผู้สอนควรจะปรับเปลี่ยนวิธีสอนให้เข้ากับบุคลิกภาพของผู้เรียนแต่ละคนที่เข้ามาเรียนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศให้มากที่สุด ส่วนงานวิจัยชิ้นที่นำมานำเสนอนี้ ผู้วิจัยก็พยายามจะขยายกลุ่มเป้าหมายของงานวิจัยให้กว้างขึ้นกว่าเดิมอีก เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไม Introvert ถึงเรียนรู้ได้ดีกว่าคนอื่นในบางเงื่อนไข

เป็นอันว่าระหว่าง Introvert และ Extrovert นั้น ต่างก็โดดเด่นในการเรียนภาษาอังกฤษในแต่ละด้าน ที่บุคลิกภาพของพวกเขาเอื้ออำนวยนั่นเอง แต่ก็อย่าลืมว่างานวิจัยชิ้นนี้ทดลองกับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาอังกฤษอยู่ในประเทศอินเดียเท่านั้น เมื่อมีการศึกษาที่กว้างไปกว่านี้ ก็อาจจะมีความชัดเจนหรือการเปลี่ยนแปลงได้อีกก็เป็นได้ ถ้าใครรู้ตัวว่าตัวเองมีลักษณะเป็น Introvert หรือว่าเป็น Extrovert ก็ลองสังเกตตัวเองดูดี ๆ นะคะว่าผลการวิจัยมันเข้ากับลักษณะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณหรือเปล่า

ขอบคุณที่มา  phys.org


ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14 กันยายน 2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,650.00 18,550.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,150.00 18,222.32 1,202.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 18,889.36 1,246.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,400.09 1,081.80
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,577.86 961.60
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,201.56 541.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,382.36 421.00

 

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 14 กันยายน 2561

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 30.95 30.95 30.95 30.95 30.95 30.95 30.95 30.95 30.95 30.95
แก๊สโซฮอล์ 91 30.68 30.68 30.68 30.68 30.68 30.68 30.68 30.68 30.68 30.68
แก๊สโซฮอล์ E20 27.94 27.94 27.94 27.94 27.94 27.94 27.94 27.94 27.94
แก๊สโซฮอล์ E85 21.79 21.79 21.79 21.79
เบนซิน 95 38.06 38.51 38.56 38.36 38.16 38.36
ดีเซล 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.89 33.76 33.76 33.76 33.76
แก๊ส NGV 14.58 14.58
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า