อสังหาฯปี69เสี่ยงสุญญากาศ’กานดา’เสนอรัฐบาลซื้อบ้านแก้หนี้

- ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2569 เสี่ยงเผชิญภาวะสุญญากาศจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการขาดทิศทางนโยบายที่ชัดเจน
- กานดา เสนอแนวคิดเชิงนโยบาย “ซื้อบ้านแก้หนี้” ต่อภาครัฐ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน
- ข้อเสนอดังกล่าวคือการให้สถาบันการเงินสามารถรวมหนี้เดิมของผู้กู้ เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อรถยนต์ เข้ากับสินเชื่อบ้านใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ
หัสกร บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ยอมรับว่าตลาดที่อยู่อาศัยตลอด 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 ยังไม่อาจหลุดพ้นจากแรงกดดันสำคัญโดยเฉพาะ “หลักเกณฑ์สินเชื่อเข้มงวด” จากธนาคารพาณิชย์ที่ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อพุ่งต่อเนื่อง กลายเป็นเงื่อนไขใหญ่ที่ฉุดแรงซื้อและทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ ตลาดเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยผู้ประกอบการต่างเร่งเปิดเกมรุก “ปิดยอดขายปลายปี” ผ่านโปรโมชั่นและการแข่งขันด้านราคาเพื่อระบายสต็อกและสร้างรายได้รอบสุดท้ายของปี
สำหรับกานดา พร็อพเพอร์ตี้ ได้เปิดตัวแคมเปญ “I-Leaf Unlock Your New Home จ่าย 0 บาท อยู่ฟรี 2 ปี” ตั้งเป้ายอดขายกว่า 600 ล้านบาท ทั้งจากงานมหกรรมบ้านและคอนโดและยอดขายต่อเนื่องในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม เพื่อรับแรงซื้อโค้งสุดท้ายของปี
ปี 2569 เสี่ยงสู่ภาวะ “สุญญากาศ”
หัสกร ประเมินว่า ปี 2569 ตลาดอสังหาฯ ไทยยังอยู่บนเส้นทางแห่ง “ความท้าทาย” ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ “สุญญากาศ” ขาดทิศทางนโยบายและปัจจัยภายนอกอย่างนโยบายภาษีสหรัฐที่อาจกดดันเศรษฐกิจโลก แม้มีแรงหนุนจากสัญญาณ “ดอกเบี้ยขาลง” และมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ขยายต่อถึงกลางปี 2569 แต่ยังไม่เพียงพอจะสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

ในภาวะเช่นนี้ บริษัทเลือกเดินเกมอย่างรอบคอบ เน้นตลาดที่ยังมีฐานกำลังซื้อแข็งแรง พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ “ParQ Villa เชิงทะเล ภูเก็ต” พูลวิลล่าจำนวน 22 หลัง เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เตรียมซอฟต์โอเพนนิ่งเดือนธันวาคมนี้ ก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบในไตรมาสแรกปี 2569 และเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “I-Leaf Priv” บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมใน 3 ทำเลภูเก็ต, ลำลูกกา, พระราม 2ในไตรมาส 2 ปี2569

เสนอรัฐออกยาแรง ‘ซื้อบ้านแก้หนี้’
นอกจากนี้ยังเสนอแนวคิดเชิงนโยบาย “ซื้อบ้านแก้หนี้” ต่อภาครัฐ เพื่อช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนและกระตุ้นการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภคที่มีศักยภาพ โดยชี้ว่าผู้กู้จำนวนมากแม้มีรายได้เพียงพอ แต่ติดหนี้เดิมจากบัตรเครดิตหรือสินเชื่อรถยนต์
หากภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถออกมาตรการผ่อนปรนให้สถาบันการเงิน “รวมหนี้เดิมเข้ากับสินเชื่อบ้าน” ได้ จะช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสกู้ซื้อบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกันยังลดภาระดอกเบี้ยรายเดือน และช่วยแปลง “หนี้ไม่มีทรัพย์ค้ำประกัน” ให้กลายเป็น “หนี้มีหลักทรัพย์รองรับ” ซึ่งจะลดความเสี่ยงของระบบการเงินในระยะยาว
“การซื้อบ้านอาจไม่ใช่แค่การสร้างทรัพย์สินใหม่ แต่คือการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยั่งยืนต่อเศรษฐกิจไทย”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“ชาญอิสสระ” ปักหมุด 3 โปรเจ็กต์ บ้านอัลตราลักชัวรี 1.2หมื่นล้านกรุงเทพกรีฑา-ภูเก็ต

ชาญอิสสระ เดินหน้าเปิด 3 โครงการหรู มูลค่า 12,000 ล้านบาท เซกเมนต์อัลตราลักชัวรี 2 ทำเลกรุงเทพกรีฑา-ภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มคนไทย ต่างชาติ และนักลงทุน ผนึก BDMS Wellness Clinic พันธมิตรด้านสุขภาพระดับเวิลด์คลาส เสริมวิสัยทัศน์ Issara Living Vision ชูด้าน Quality, Wellness และ Sustainability ผ่าน 6 มิติหลัก ตอบรับเทรนด์การใช้ชีวิตแบบยั่งยืน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ดีเวลลอปเปอร์ต่างปรับตัวตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มกำลังซื้อสูงนายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับอัลตราลักชัวรีว่ายังคงมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 2 ทำเลศักยภาพหลักอย่างกรุงเทพกรีฑา และ ภูเก็ต ซึ่งสะท้อนความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงในทำเลที่ตอบโจทย์
ทั้งการใช้ชีวิตและการลงทุน ขณะที่ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกของนักลงทุนและผู้ซื้อระดับบน โดยเฉพาะคนไทย กลุ่มต่างชาติจากรัสเซีย จีน ยุโรป มิดเดิลอีสต์ และสิงคโปร์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูลดังกล่าวระบุว่าความต้องการครอบครองบ้านพูลวิลล่าในภูเก็ตเพิ่มขึ้นกว่า 30% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในทำเลทองอย่าง บางเทา-ลากูน่า-เชิงทะเล ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการระดับหรูมากมาย
จากภาพรวมของอสังหาฯ ทั้ง 2 โซน ที่มีแนวโน้มที่ดีและกำลังซื้อต่อเนื่อง ชาญอิสสระ จึงเตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่ จับกลุ่มลูกค้า ไฮเอนด์ ประกอบด้วย 2 โครงการใหม่ ในทำเลกรุงเทพกรีฑา มูลค่า 4,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ อิสสระเรสซิเดนซ์ พระราม 9 -กรุงเทพกรีฑา เรสซิเดนซ์ส่วนตัวระดับอัลตราลักชัวรีบนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑา บนที่ดิน 19 ไร่ จำนวน 23 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 85 ล้านบาท โครงการบ้านอิสสระ พระราม 9-กรุงเทพ กรีฑาบ้านเดี่ยวระดับ Luxury บนที่ดิน 21 ไร่ จำนวน 68 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของโซนภูเก็ต พร้อมเดินหน้า เปิดโครงการใหม่ในย่าน บางเทา-เชิงทะเล โครงการศรีพันวา ลากูน The New Legacy Begins โครงการ Mixed-use บนที่ดิน 62 ไร่ มูลค่า 7,300 ล้านบาท เฟสแรกจะก่อสร้าง Sri panwa Lagoon Residence ประกอบด้วย Sri Panwa Lagoon Waterfront Pool Villa ลักชัวรีพูลวิลล่า สุด Exclusive จำนวน 20 หลัง ราคาเริ่มต้นที่ 43.8-182 ล้านบาท และ Sri Panwa Lagoon Multi-fex House 14 หลัง ในรูปแบบเป็นอาคาร 3 ชั้น ราคาเริ่มต้น 39.8-72.8 ล้านบาท
นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการสายงานการตลาด บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด มหาชน เปิดเผยว่า จาก การที่ชาญอิสสระได้ร่วมมือกับ BDMS Wellness Clinic X Sri panwa Phuket เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งถือเป็นโมเดลความร่วมมือ ของธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจด้านสุขภาพ และประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลหลายรางวัล เราจึงต่อยอดด้วยการนำองค์ความรู้ด้าน Wellness โดยมี BDMS Wellness Clinic มาเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบบ้านให้ถูกสุขลักษณะ และดูแลสุขภาพกายใจ ตามวิสัยทัศน์ Issara Living Vision เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ
ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว ชาญอิสสระจึงเดินหน้าจัดงาน “FIRST LAUNCH VVIP DAY -THE LEGACY OF ISSARA LIVING” เพื่อเปิดให้จองเป็นครั้งแรกสำหรับ 3 โครงการ โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 พ.ย. 68 ณ ISSARA LOUNGE ชั้น 10 อาคารชาญอิสสระ ทาวเวอร์ 2 ภายในงานจะเปิดให้ผู้เข้าร่วมได้ชมแบบจำลองและภาพเสมือนจริง พร้อมรับฟังรายละเอียดของทั้ง 3 โครงการ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31ต.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน ควรระวังความผันผวนของเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปอีกระยะ ขณะราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,040-4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง แม้เผชิญแรงกดดันบ้างจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้31ต.ค.2568ที่ระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) ยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
ทว่า การอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่นก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็คงมองว่า BOJ ยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะช่วยหนุนเงินเยนญี่ปุ่น (เราคงมุมมองเดิมว่า Buy JPY on Dip ยังเป็นไอเดียที่น่าสนใจ และมองว่า เงินเยนญี่ปุ่นมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 145 เยนต่อดอลลาร์ รวมถึงโซน 22 บาทต่อ 100 เยน ได้ภายในปีหน้า)
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ รวมถึงปรับสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) เมื่อเงินบาทได้อ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน ซึ่งล่าสุดโซนแนวต้านได้ขยับมาสู่โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ เราพบว่า เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำมากขึ้น โดยยังคงพบว่า จังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท (ในทางกลับกัน การย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ ก็จะพอกดดันเงินบาทได้บ้าง)
ซึ่งในช่วงนี้ เรามองว่า ราคาทองคำก็มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways แม้จะพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ก็ถูกกดดันจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทำให้ ราคาทองคำยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมที่จะทำให้มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งเรามองว่า ตลาดต้องรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เพิ่มเติม
รวมถึง รับรู้ปัจจัยสำคัญ อย่าง การพิจารณาคดีเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีการใช้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะมี first hearing ในช่วงวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ และคาดว่า ศาลสูงสุดจะมีคำพิพากษาต่อคดีดังกล่าวได้เร็วสุดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้ แม้เราจะมองว่า เงินบาทก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน โดยเงินบาทยังพอมีโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวต้านอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์
แต่เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงขึ้นชัดเจน จากช่วงก่อนหน้า และมองว่า เงินบาทก็ยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงไปอีกสักระยะ
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลัก
(อย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ BOJ จนส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่น) ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 154 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเหนือโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม จากแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลงทุนในธีม AI ของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันและเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง ตามแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Meta -11.3% และ Microsoft -2.9% หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อแนวโน้มการเดินหน้าลงทุนในธีม AI ของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มผลกำไรในอนาคตได้
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดก็มีส่วนกดดันบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ในฝั่งสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.99% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.57%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.23% ตอบรับความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ส่วนในฝั่ง ECB ก็ยังมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับ 2.00% ต่อ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาผสมผสาน ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็พอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +2.0%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด ทว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็พอช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้บ้าง และทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังแกว่งตัวแถว 4.10%
เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดรับรู้ปัจจัยเชิงบวกที่อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเฟดลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ ราว 74% และให้โอกาสราว 56% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีหน้า) โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ส่งผลให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.1-99.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,040-4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง แม้จะเผชิญแรงกดดันบ้างจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน ในเดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะหลังรับรู้ข่าวข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด ที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนตุลาคม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยังคงเกินระดับ 2.0% ทำให้ ECB ยังมีโอกาสคงดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ต่อได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
มิยู ซูซูกิ ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ผงาดคว้าทองยูยิตสูเอเชียนยูธเกมส์ รุ่น 48 กก.

มิยู ซูซูกิ นักยูยิตสูลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เจ้าของ 3 แชมป์เยาวชนโลก ปี 2024 โชว์ฟอร์มสมราคา คว้าเหรียญทองรุ่น 48 กก.หญิง ในศึก เอเชียนยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 ที่บาห์เรน หลังเฉือนชนะนักกีฬามองโกเลียด้วยคะแนนแอดแวนเทจ
การแข่งขันยูยิตสู ในมหกรรมกีฬา เอเชียนยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 จัดขึ้นที่ เอ็กซิบิชั่นเวิลด์บาห์เรน ฮอลล์ 1 เมืองซาเคียร์ ประเทศบาห์เรน โดยมีนักกีฬารุ่นเยาวชนจากหลายชาติร่วมชิงชัยอย่างคึกคัก
รุ่น 48 กิโลกรัมหญิง มิยู ซูซูกิ นักยูยิตสูลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เจ้าของตำแหน่ง 3 แชมป์เยาวชนโลก ปี 2024 ที่ประเทศกรีซ ลงสนามโชว์ฟอร์มสมความคาดหวัง
รอบแรก (รอบ 16 คนสุดท้าย) มิยู เอาชนะ อันคห์นาราน โซนินบาบาร์ จากมองโกเลียไปขาดลอย 50-0 คะแนน
รอบก่อนรองชนะเลิศ เฉือนชนะ อาดิน่า โบลาโตว่า จากคาซัคสถาน ด้วยคะแนนแอดแวนเทจ หลังเสมอกัน 0-0
ในรอบรองชนะเลิศ มิยูยังทำผลงานยอดเยี่ยม ถล่ม ง็อก น็อง เบา จากเวียดนาม 50-0 คะแนน ทะลุเข้าชิงชนะเลิศกับ จีวาเมดมานี่ อ็อดซูเรน จากมองโกเลีย
เกมรอบชิงดำเป็นไปอย่างสูสี ทั้งสองฝ่ายเน้นเกมรัดกุม ไม่มีคะแนนเกิดขึ้นตลอดการแข่งขัน แต่สุดท้าย ผู้ตัดสินตัดสินให้ มิยู ซูซูกิ ชนะด้วยคะแนนแอดแวนเทจ จากความพยายามเข้าทำที่เหนือกว่า คว้า เหรียญทองยูยิตสู เอเชียนยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 ไปครองได้อย่างงดงาม
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“ภาวะดื้ออินซูลิน” เสี่ยงโรคเบาหวาน เช็กเลยมี 6 อาการเหล่านี้หรือไม่

ภาวะดื้ออินซูลินคืออะไร? เช็กอาการและวิธีลดน้ำตาลในเลือดให้กลับมาสมดุล
ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) เป็นภาวะที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินตามปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชย หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจพัฒนาไปสู่โรคเบาหวาน ได้โดยไม่รู้ตัว
หลายคนอาจมีภาวะนี้โดยไม่รู้ตัว เพราะอาการมักไม่ชัดเจน แต่สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือนบางอย่างในชีวิตประจำวัน
อาการที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะดื้ออินซูลิน
หากมีอาการเหล่านี้หลายข้อร่วมกัน ควรเริ่มปรับพฤติกรรมและตรวจสุขภาพกับแพทย์เพื่อความแน่ใจ
- รู้สึก เพลีย เหนื่อย ง่วงบ่อย แม้นอนเพียงพอ
- หิวบ่อย โดยเฉพาะช่วงบ่ายหรือก่อนนอน
- น้ำหนักเพิ่มง่าย โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
- มีไขมันพอกตับ หรือค่าคอเลสเตอรอลสูง
- ผิวหนังคล้ำบริเวณคอ รักแร้ หรือข้อพับ (ภาวะ Acanthosis nigricans)
- มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เมื่อไม่ได้กินอาหาร
สาเหตุหลักของภาวะดื้ออินซูลิน
ภาวะนี้มักเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สะสมมานาน เช่น
- กินอาหารที่มี น้ำตาลและแป้งขัดสีสูง เช่น ขนมปังขาว เครื่องดื่มหวาน น้ำอัดลม
- ขาดการออกกำลังกาย ร่างกายใช้พลังงานน้อย
- นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล
- ความเครียดเรื้อรัง ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น
- น้ำหนักเกินหรือมีไขมันในช่องท้องมากเกินไป
5 วิธีปรับพฤติกรรม ลดภาวะดื้ออินซูลินให้ร่างกายกลับมาสมดุล
1. กินอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI)
เลือกอาหารที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ผักใบเขียว ผลไม้ไม่หวานจัด เช่น แอปเปิล เบอร์รี่ อะโวคาโด และหลีกเลี่ยงขนมหวาน น้ำอัดลม หรือชาไข่มุก
2. เพิ่มโปรตีนและไขมันดีในมื้ออาหาร
อาหารเช้าที่ดีควรมีแหล่งโปรตีน เช่น ไข่ต้ม ปลา ถั่ว และไขมันดีจากอัลมอนด์ เมล็ดแฟลกซ์ หรืออะโวคาโด เพราะช่วยให้อิ่มนานและควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เพียงเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือโยคะ วันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน จะช่วยให้กล้ามเนื้อใช้น้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น เพิ่มความไวของอินซูลินตามธรรมชาติ
4. นอนให้เพียงพอและลดความเครียด
การนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน หรือความเครียดสะสม มีผลให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เดินเล่น ทำสมาธิ หรือฟังเพลง
5. ตรวจสุขภาพและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด
ผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) และค่า HbA1c เป็นประจำปีละ 1–2 ครั้ง เพื่อเฝ้าระวังและปรับพฤติกรรมให้ทันเวลา
สรุปภาวะดื้ออินซูลิน เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ กินอาหารไม่สมดุล และพักผ่อนน้อย การปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายกลับมาควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เคลียร์ชัด! see, watch, look ใช้ยังไงไม่ให้สับสน

สำหรับคนที่เริ่ม เรียนภาษาอังกฤษ นอกจากเรื่อง Grammar ที่ทำให้งงได้แล้ว หนึ่งในเรื่องที่ทำให้งงมากกว่าคือคำศัพท์ โดยเฉพาะคำที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน หากคำที่เหมือนกันมีเพียงสองคำ (เช่น do กับ make) การแยกความแตกต่างก็ถือว่าทำได้ไม่ยาก แต่ถ้ามี 3 คำล่ะ! จะทำยังไงดี วันนี้เราจะพาทุกคนโดยเฉพาะใครที่เพิ่ง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไปหาคำตอบกับความแตกต่างของ see, watch และ look คำกริยาที่อยู่ในกลุ่มคำศัพท์พื้นฐาน แต่มีความแตกต่างกันจนทำให้หลายคนใช้ผิด
สามคำนี้ใช้ต่างกันอย่างไร
เพื่อให้เข้าใจง่ายสำหรับคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วกำลังสับสนเรื่องนี้ เราขอแนะนำให้พิจารณาสามคำนี้จากระดับความตั้งใจในการมอง ซึ่งถ้าดูจากเรื่องนี้ เราจะสรุปได้ว่า
1. see หมายถึง “มองเห็น” ใช้กับสิ่งที่เราเห็นโดยอัตโนมัติ
อาจจะโดยไม่ตั้งใจ หรือมีความตั้งใจในระดับที่น้อยมาก เป็นการมองเห็นที่เกิดจากธรรมชาติของสายตา ไม่ได้เกิดจากการเพ่งดู เช่น
– I see a bird outside the window.
(ฉันเห็นนกตัวหนึ่งอยู่นอกหน้าต่าง)
– Did you see that man over there?
(เธอเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นมั้ย)
2. look หมายถึงมองไปยังบางสิ่ง ในระดับที่มีความตั้งใจ
ส่วนใหญ่ใช้กับการมองโดยเจาะจงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการมุ่งความสนใจหรือเบนสายตาไปที่สิ่งนั้น คำที่มักจะพบคู่กันคือ look at … หรือ look for … เช่น
– Look at the sky. It’s so beautiful today!
(ท้องฟ้าวันนี้สวยมาก เธอลองมองดูสิ!)
– She looked at me and smiled.
(เธอมองมาที่ผม แล้วก็ยิ้ม)
– Don’t look at your phone while walking.
(อย่าดูแต่โทรศัพท์ขณะกำลังเดินอยู่)
3. watch หมายถึงจ้องดูบางสิ่งแบบต่อเนื่อง
มักใช้กับการเฝ้าดูบางสิ่งที่เคลื่อนไหว จึงเป็นการมองที่ต้องใช้ความตั้งใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับสองคำก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น
– I love to watch movies on weekends.
(วันหยุดฉันชอบดูหนัง)
– We watched the football match last night.
(เมื่อคืนพวกเราดูฟุตบอล)
ตัวอย่างการนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
ทุกคนน่าจะเข้าใจแล้วว่า see, watch และ look ต่างกันยังไง แต่การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผลดี นอกจากรู้ความหมายของคำแล้ว จะต้องนำไปใช้จริงได้ด้วย เราพบสามคำนี้ได้ในหลายสถานการณ์ ซึ่งต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น:
- ใช้ see ในการบอกทาง
A: How do I get to the Museum?
(พิพิธภัณฑ์ไปทางไหนครับ)
B: Go straight ahead and take the second right. You’ll see the sign for it.
(ตรงไปเรื่อย ๆ เลี้ยวขวาตรงแยกที่สอง ก็จะเห็นป้ายครับ)
- ใช้ look ในบทสนทนาเกี่ยวกับการ shopping
A: I’m looking for a dishwasher.
(ผมกำลังมองหาเครื่องล้างจานอยู่ครับ)
B: Are you looking for freestanding or built-in one?
(คุณกำลังมองหารุ่นที่ไม่ต้องติดตั้ง หรือติดตั้งแบบบิ้วท์อินครับ)
- ใช้ watch ในบทสนทนา
A: What are you doing right now?
(ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่)
B: I’m watching a movie on Netflix. Let me call you back later.
(ผมกำลังดูหนังใน Netflix อยู่ ไว้ผมโทรกลับนะครับ)
- ตัวอย่างการใช้ทั้งสามคำในสถานการณ์เกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย
– See:
I saw your post on Instagram.
(ผมเห็นโพสต์ของคุณบนอินสตาแกรมแล้ว)
– Look:
Look at what my friend shared.
(ดูสิว่าเพื่อนผมแชร์อะไรมา)
– Watch:
I watched a funny video just now.
(ผมเพิ่งดูวิดีโอตลก ๆ อันหนึ่งจบไป)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เศรษฐกิจอวกาศไม่ใช่ ‘ทิ้งเงินบนฟ้า’ แต่คือโอกาสใหม่ของคนไทย

- เวทีเสวนา “อวกาศไทยไปไกลได้แค่ไหนกับงบประมาณหลักพันล้านบาท” สะท้อนความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศ กลไกที่จะสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทย
- การลงทุนดาวเทียม THEOS 2 มีค่า Economic Internal Rate of Return (EIRR) ประมาณ 19% คุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างมาก
- เศรษฐกิจอวกาศสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้างแล้วกว่า 500,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 530,000 ตำแหน่ง (ข้อมูลปี 2562)
ในมุมของสังคมที่บอกว่าคนไทยกินข้าวอยู่ในบ้านก็ยังไม่พอเหรอ ทําไมจะต้องไปทําอะไรที่อวกาศ จึงขอทำความเข้าใจในเรื่องของ “เศรษฐกิจอวกาศ” ไม่ใช่เราเอาเงินไปทิ้งในอวกาศ
แต่มันคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงสร้างรายได้ใหม่และสร้างโอกาสใหม่ที่จะทําให้เราทุกคนได้รับประโยชน์ โดยอาศัยเทคโนโลยีอวกาศมาช่วยให้เราเจริญเติบโตและเดินไปข้างหน้า”
มุมมองในเรื่องเศรษฐกิจอวกาศจาก ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ระหว่างการเสวนาเรื่อง “อวกาศไทยไปไกลได้แค่ไหนกับงบประมาณหลักพันล้านบาท”
ในงาน Thailand Space Expo 2025 จัดโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
แผนยุทธศาสตร์ ววน.
ประเทศไทยเริ่มเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของวงการอวกาศโลก ผ่านความร่วมมือพัฒนาโครงการสร้างสถานีวิจัยบนดวงจันทร์ที่เรียกว่า International Lunar Research Station หรือ ILRS กับประเทศจีนและชาติพันธมิตรอื่นๆ ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2567 เพื่อศึกษาพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับการสำรวจอวกาศ
ศ.ดร.สมปอง กล่าวอีกว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจอวกาศ หรือ Space Economy อย่างจริงจัง
โดยมุ่งหวังให้เศรษฐกิจสาขานี้กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำคัญที่จะยกระดับการพัฒนาประเทศ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2564-2570) ที่กำลังเข้าสู่ช่วงท้าย
ความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมคือโครงการทดลองผลึกเหลวในอวกาศ Thailand Liquid Crystals in Space (TLC) ในสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) โดยนักวิจัยไทยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นความมือกับ NASA
การทดลอง “ผลึกเหลวในอวกาศ”นี้ อาจนำไปสู่นวัตกรรมหน้าจอ LCD รุ่นใหม่ที่ทนแรงดันในระดับอวกาศและเปลี่ยนรูปแบบสีได้หลากหลายกว่าเดิม แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก
สำหรับงบประมาณภาครัฐ 3.7 ล้านล้านบาทถือว่าจำกัดมาก ทางออกสำคัญคือการสร้างพันธมิตรต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่ปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศเป็นประจำทุกวัน มีโอกาสสร้างรายได้หลักพันล้านบาท
ซึ่ง GTSTDA สกสว. และหน่วยงานภาครัฐพร้อมสนับสนุนการทำงานร่วมกับต่างประเทศและภาคเอกชน ขณะนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศในไทยไม่น้อยกว่า 50-100 หน่วยงาน หากทุกภาคส่วนบูรณาการทำงานร่วมกันจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้
โอกาสทางเศรษฐกิจที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องอวกาศ หลายคนอาจนึกถึงภาพของมนุษย์อวกาศหรือการเดินทางไปดวงจันทร์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัว
แต่ความจริงแล้ว คนไทยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศในชีวิตประจำวันมาอย่างต่อเนื่องหลายปีแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น ดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมถ่ายภาพ หรือระบบกำหนดตำแหน่งที่ใช้ในแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Google Maps และ Grab ล้วนมีที่มาจากข้อมูลอวกาศทั้งสิ้น
ในอดีต ประเทศไทยใช้ดาวเทียมเพียง 2 ดวงสำหรับการสื่อสารและถ่ายภาพ เมื่อคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากข้อมูลดาวเทียมในแต่ละปีมีมากกว่า 2,000 ล้านบาทจากการนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
ทั้งการติดตามสถานการณ์น้ำท่วม การวางแผนการเพาะปลูก การวางแผนพัฒนาเมืองและการติดตามคุณภาพอากาศ เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5
การลงทุนในโครงการดาวเทียม THEOS 2 มีค่า Economic Internal Rate of Return (EIRR) ประมาณ 19% ซึ่งถือว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างมาก
จากข้อมูลในปี 2562 พบว่า อุตสาหกรรมที่เกิดจากอวกาศโดยตรงของประเทศไทยมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาถึงเศรษฐกิจในวงกว้าง (Wider Economy) ที่เกี่ยวข้อง มูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 ล้านบาท หรือมีตัวคูณถึง 15 เท่า นอกจากนี้ยังสร้างการจ้างงานมากกว่า 530,000 ตำแหน่ง
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้อุตสาหกรรมอวกาศในประเทศไทยอาจยังไม่ใหญ่มากในปัจจุบัน แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีขนาดใหญ่มาก
การพัฒนาทักษะและความรู้ของคนไทยในอุตสาหกรรมใหม่นี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในยุคที่หลายอุตสาหกรรมเริ่มใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมากขึ้น
ประเทศไทยมีแผนจะเพิ่มจำนวนดาวเทียมอีก 16 ดวงในอีก 7 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้าง “สเปซพอร์ต” (Spaceport) ซึ่งจะเป็นฐานสำหรับการส่งจรวดไปสู่อวกาศ คล้ายกับสนามบิน
หากโครงการนี้สำเร็จ จะส่งผลให้เกิดเมืองใหม่และเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมา แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปีกว่าจะพร้อมให้บริการ แต่การวางแผนตั้งแต่วันนี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จุดพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต
ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า จากการศึกษาของสถาบันบัณฑิตพัตนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ดำเนินการร่วมกับจิสด้า เมื่อปี 2562 พบว่า
มูลค่าเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศไทยอยู่ที่มากกว่า 500,000 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมอวกาศโดยตรงมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
จิสด้ากำลังผลักดันทั้งอุตสาหกรรมต้นน้ำ (upstream) เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง และอุตสาหกรรมปลายน้ำ (downstream) ที่ครอบคลุมการนำเทคโนโลยีอวกาศไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น Google Maps, GPS และระบบโทรคมนาคม
ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิทัล ที่มีรากฐานจากอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งกำลังกลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางภาพรวม GDP ที่ขยายตัวเพียง 2-3% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโต 4-5% รัฐบาลพร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังมองหาอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อทดแทนอุตสาหกรรมเดิมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ
อุตสาหกรรมอวกาศเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล และมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
อีกทั้งการสร้างการรับรู้ (awareness) ให้สังคมเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมและการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มศักยภาพในอนาคต.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผลไม้กินก่อนหรือหลังอาหาร? เจาะลึก 5 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเวลากินผลไม้

ผลไม้กินก่อนหรือหลังอาหาร เจาะลึก 5 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเวลากินผลไม้ กินตอนไหนดีที่สุด?
ความเชื่อที่บอกว่ามี “เวลาที่ดีที่สุด” หรือ “เวลาที่แย่ที่สุด” ในการกินผลไม้ ไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ การกินผลไม้เป็นวิธีที่ดีและอร่อยในการเติมสารอาหารให้ร่างกาย ไม่ว่าคุณจะกินเวลาใดของวันก็ตาม
ปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับโภชนาการบนอินเทอร์เน็ตมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “เวลาที่เหมาะสมในการกินผลไม้” ซึ่งมักมาพร้อมคำแนะนำที่ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รองรับ บทความนี้จะเจาะลึก 5 ความเชื่อผิดยอดนิยม พร้อมข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ประกอบ เพื่อให้คุณกินผลไม้ได้อย่างสบายใจ
5 ความเชื่อผิด ๆ ที่ต้องทำความเข้าใจ
ความเชื่อที่ 1: ต้องกินผลไม้ตอนท้องว่างเท่านั้น
มีคนเชื่อว่าการกินผลไม้พร้อมมื้ออาหารจะทำให้ย่อยช้า เกิดการหมักในกระเพาะอาหาร และทำให้ท้องอืด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไฟเบอร์ในผลไม้เพียงแค่ทำหน้าที่ ชะลอการย่อยอาหาร ตามธรรมชาติเท่านั้น
การศึกษาในปี 2014 พบว่าผู้ที่กินเพกติน (ไฟเบอร์ชนิดหนึ่งในผลไม้) มีอัตราการย่อยอาหารช้ากว่ากลุ่มปกติเล็กน้อย ซึ่งการชะลอการย่อยนี้ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในระบบย่อยอาหาร หรือทำให้เกิดแก๊สมากกว่าปกติ การอ้างว่าต้องกินตอนท้องว่างเพื่อลดแก๊สจึงไม่มีหลักฐานยืนยัน
ความเชื่อที่ 2: กินผลไม้ก่อนหรือหลังอาหารทำให้สารอาหารลดลง
ความเชื่อนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันเช่นกัน เนื่องจากระบบย่อยอาหารและลำไส้ของคนเราถูกออกแบบมาให้ดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกินผลไม้ก่อนหรือหลังมื้ออาหารหลัก
ลำไส้เล็กของมนุษย์มีความยาวราว 6 เมตร และมีพื้นที่ผิวในการดูดซึมสารอาหารที่กว้างขวางมากกว่า 30 ตารางเมตร ทำให้สามารถรับสารอาหารที่จำเป็นจากผลไม้ได้อย่างเต็มที่เสมอ
ความเชื่อที่ 3: ผู้ป่วยเบาหวานควรกินผลไม้แยกมื้ออาหาร
แนวคิดที่ให้ผู้ป่วยเบาหวานกินผลไม้แยกจากอาหารหลัก 1–2 ชั่วโมงนั้น ไม่มีหลักฐานรองรับ ในทางกลับกัน การกินผลไม้แยกมื้ออาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นเร็วกว่าเดิม
ผู้ป่วยเบาหวานควรกินผลไม้ร่วมกับอาหารหรือของว่างที่มี โปรตีน ไขมัน หรือไฟเบอร์สูง เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลช้าลง ลดการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร ผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น เบอร์รี แอปเปิ้ล และฝรั่ง จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า

ความเชื่อที่ 4: ควรกินผลไม้ตอนเช้าเท่านั้น
ไม่มีหลักฐานใดสนับสนุนว่าช่วงเช้าคือเวลาที่ดีที่สุดในการกินผลไม้ แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าการกินผลไม้ตอนเช้าช่วย “ปลุกระบบย่อย” แต่จริง ๆ แล้วระบบย่อยอาหารของเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา
ผลไม้ให้พลังงานและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีในทุกช่วงของวัน ดังนั้นจึงสามารถกินได้ตามความสะดวกและความต้องการพลังงาน
ความเชื่อที่ 5: ห้ามกินผลไม้หลัง บ่าย 2 โมง
ความเชื่อนี้มักมาจากโปรแกรมลดน้ำหนักบางสูตรที่อ้างว่าร่างกายจะเผาผลาญน้ำตาลไม่ทันในตอนบ่าย ทำให้เกิดการสะสมและน้ำหนักเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ชี้ว่าการกินผลไม้ช่วงบ่ายจะทำให้ระดับน้ำตาลสูงกว่าการกินในเวลาอื่นของวัน
อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลได้เท่ากัน ไม่ว่าจะกินเวลาไหนก็ตาม ปัจจัยสำคัญคือ ปริมาณรวม และ ชนิดของผลไม้ ที่รับประทาน
สรุป: ควรกินผลไม้ตอนไหนดีที่สุด?
คำตอบที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการคือ “กินได้ทุกเวลา” ผลไม้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและให้สารอาหารหลากหลาย หากคุณเป็นเบาหวานหรือมีภาวะน้ำตาลสูง ควรพิจารณากินผลไม้พร้อมมื้ออาหารที่มีโปรตีนและไขมันเพื่อชะลอการดูดซึมน้ำตาล แต่สำหรับคนทั่วไป สามารถกินเป็นของว่าง ก่อน หรือหลังอาหารได้ตามความสะดวก
ข้อแนะนำในการเลือกผลไม้
- เลือกชนิดผลไม้ ควรเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล เบอร์รี หรือกีวี
- หลีกเลี่ยงผลไม้รสจัด ควรจำกัดปริมาณผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน หรือมะม่วงสุก โดยเฉพาะก่อนนอน
- รูปแบบการบริโภค ควรกินผลไม้สดแทนผลไม้แปรรูป หรือน้ำผลไม้กล่อง เพื่อควบคุมปริมาณน้ำตาลส่วนเกิน
สรุปคือ ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดเรื่องเวลากินผลไม้ การกินผลไม้ไม่ว่าจะเวลาใด ล้วนมีประโยชน์ หากรับประทานในปริมาณที่พอดี เลือกผลไม้ที่เหมาะกับสุขภาพของตนเอง และรักษาสมดุลของอาหารในแต่ละวันให้ครบถ้วน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/10/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ | 
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 61,150.00 | 61,250.00 | 
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,953.00 | 59,927.48 | 62,050.00 | 
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,557.70 | 53,934.73 | n/a | 
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,162.40 | 47,941.98 | n/a | 
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,778.85 | 26,967.37 | n/a | 
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,383.55 | 20,974.62 | n/a | 
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,096.37 | 62,100.97 | n/a | 
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/10/2568
| ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ |  ไออาร์พีซี | พีที |  ซัสโก้ |  เพียว |  พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.14 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 | 
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 | 
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 | 
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 | 
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 | 


 
				 
				 
				 
				




