สาระน่ารู้ประจำวันที่ 01 พฤศจิกายน 2567

อสังหาฯ-แบงก์รวมพลัง เปิดฉาก มหกรรมบ้านและคอนโด อัดแคมเปญกระตุ้นท้ายปี

3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย จัดมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวเปิดงาน

โดยนายพิชัย ชุณหวชิร กล่าวว่า งานนี้เป็นความร่วมมือของสามสมาคมอสังหาฯ ที่ผนึกกำลังกัน เพื่อผลักดันให้ประชาชนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ แม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในปีนี้ จะต้องเผชิญอุปสรรคจากอัตราดอกเบี้ยสูง แต่ภาคเอกชนและสถาบันการเงินต่างก็ร่วมกัน

แสดงถึงความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นและความพยายามอย่างต่อเนื่องของเหล่าสมาชิกผู้ประกอบการที่จะสร้างการเติบโตให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาหลักที่คนไทยกำลังเผชิญคือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่สูง อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมที่ได้เห็นคือการผนึกกำลังจากภาคอสังหาฯ ทั้งเอกชน สถาบันการเงินหลายแห่ง ที่ออกมาปรับลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษ

ขณะที่ภาครัฐก็ตระหนักว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ถือว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจบ้านเมืองอย่างมาก โดยในอุตสาหกรรมนี้ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้สูงถึง 5% และในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ก็ยังสามารถสร้างจีดีพีได้สูงสุด ทำให้มูลค่ารวมในอุตสาหกรรมนี้สูงราว 1.1 ล้านล้านบาท

ถึงแม้สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันจะไม่ค่อยดีนัก แต่กระทรวงการคลังได้ออกหลายมาตรการเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home และสินเชื่อ Happy Life

และล่าสุดมีโครงการกระตุ้นการซื้อ-ซ่อม-สร้างวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท ซึ่งหากมาตรการนี้ผ่านมติ ครม. ก็จะเป็นอีกหนึ่งกลไกของทางภาครัฐที่ช่วยรองรับความต้องการมีบ้านของประชาชนที่มีรายได้น้อยได้ และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไปจนถึงต้นปีหน้า

นายถิรชนม์ ธเนศเดชสุนทร ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 เปิดเผยว่า งานมหกรรมนี้ถือเป็นงานแสดงที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยล่าสุดของกนง. ซึ่งช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคในจังหวะที่เหมาะสม

และเชื่อว่ามหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 จะส่งผลดีให้แก่ผู้ประกอบการที่มาร่วมงาน ที่นำโครงการที่อยู่อาศัยจากทั่วประเทศกว่า 1,000 โครงการ รวมทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ที่รองรับทุกดีมานด์ในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 คาดว่าจะสามารถทำยอดขายรวมกว่า 20,000 ล้านบาทในงานนี้

โดยภายในงานมีผู้ประกอบการทั้งด้านที่อยู่อาศัยและสถาบันการเงินกว่า 150 ราย รวมถึงธนาคารชั้นนำ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงเทพ ที่มาร่วมมอบข้อเสนอพิเศษ อัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉพาะในงานนี้ โดยยังมีซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างร่วมให้คำปรึกษาเรื่องต่อเติมและตกแต่งบ้านอย่างครบครัน

งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ภายใต้แนวคิด “Thailand Number One Real Estate Expo” ยํ้าความเป็นผู้นำการจัดงานอสังหาฯ ของประเทศ รวมโครงการน่าซื้อ น่าลงทุนจากทั่วประเทศ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งสิทธิพิเศษต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 800,000 บาท โดยผู้ที่จองซื้อในงานยังมีสิทธิ์รับของสมนาคุณตลอด 4 วันของการจัดงาน โดยงานมหกรรมนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม จนถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 นี้

ขณะเดียวกันดีเวลลอปเปอร์หลายราย ก็ได้นำโครงการจัดแคมเปญกันอย่างคึกคัก อย่าง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลัง “ไทยพาณิชย์” ระเบิดโปรโค้งสุดท้ายแห่งปี ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ถึงสิ้นปีนี้ ค่ายเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ร่วมกับแบงก์ ส่งเสริมกิจกรรมการขายส่งท้ายปีมหกรรมบ้าน ราคาพิเศษ ตั้งแต่ 1.79-18 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท จองในงานลุ้นรับรางวัลพิเศษมูลค่ารวม 5แสนบาท ค่ายเมเจอร์ขน 8 โครงการ จัดดีลเด็ดมอบส่วนลดและโปรโมชันเพียบ

เช่นเดียวกับค่าย ออริจิ้น เวอร์ติเคิล ร่วมกับ บริทาเนีย สานฝันคนอยากมีบ้านและคอนโด ขนทัพบ้านหรู บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดพร้อมอยู่รวม 58 โครงการ ร่วมออกบูธพร้อมจัดเต็มดีลพิเศษผ่านแคมเปญ “จุ่มเด็ด Secret Deals” จองภายในงาน เริ่มเพียง 1.39 ล้านบาท  มอบสิทธิพิเศษผ่อนเบาๆ เริ่มต้นเพียงล้านละ 900 บาท นาน 2 ปี หรือเลือกรับดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 2 ปี เป็นต้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาฯ ทรุดลามซัพพลายเชน เอกชนเสนอทางรอด จี้ธปท.ปลดล็อกแอลทีวี

3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เสนอทางรอดฟื้นตลาด จี้ ธปท.ปลดล็อกแอลทีวี วอนแบงก์ปล่อยสินเชื่อ หนุนเข้าถึงง่าย หวั่นไร้ทางออกไม่เกิน 6 เดือนสะเทือนหนัก ลามซัพพลายเชนวัสดุก่อสร้าง ผู้รับเหมา ทั่วประเทศ

หวังสัญญาณบวกหลัง “คลัง” จ่อเข็นมาตรการกระตุ้นใหม่ จัดสินเชื่อ ซื้อ แต่ง ซ่อมบ้าน วงเงิน 5.5 หมื่นล้าน ถกสมาคมธนาคารไทย 1 พ.ย. หารือแก้หนี้เสีย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา อยู่ในสภาวะหดตัวลงอย่างรุนแรง จากแรงกดดันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการคุมเข้มปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ทะยานสูง อย่างไรก็ดี ในไตรมาสสุดท้าย ตลาดมีโอกาสกระเตื้องขึ้น ภายหลังที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 0.25%

ทั้งนี้ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย นำโดย นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ร่วมฉายภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46” โดยช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ถือว่าเข้าสู่จุดต่ำสุดของตลาด เปรียบเสมือนการเข้าสู่ภาวะท้องช้าง และคงไม่หดตัวไปมากกว่านี้ แต่ภายหลังที่ ธปท. ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 0.25% ส่งแรงกระเพื่อมไปยังธนาคารพาณิชย์ ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาในระดับ 0.125% และมีช่องว่างในการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้อีก

ทั้งนี้เมื่อธนาคารพาณิชย์ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา แต่สถานการณ์การให้สินเชื่อทั้งระบบไม่สอดคล้องกัน โดยพบว่า ธนาคารพาณิชย์ยังคุมเข้มการให้สินเชื่อบ้านสูงมาก ดังนั้นมาตรการแรกที่ต้องการให้เร่งทำคือ ให้ธนาคารพาณิชย์ ปรับลดเงื่อนไขทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้อย่างสะดวกที่สุด และไม่ถูกปฏิเสธสินเชื่อ เนื่องจากภาพรวมในแต่ละปีมียอดโอนบ้าน หรือวงเงินสินเชื่อบ้านในระบบประมาณ 8 แสนล้านบาทจนถึง 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น จากธนาคารรัฐ สัดส่วน 20-30% ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 70-80%

สำหรับผลกระทบจากการคุมเข้มการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ จึงเห็นสัญญาณที่ชัดเจนตลาดเปลี่ยนแปลงไป และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีบทบาทสำคัญในการให้สินเชื่อบ้าน โดยวงเงินให้สินเชื่อที่ผ่านมารวมถึงระดับแสนล้านบาท และต่างได้รับผลตอบรับที่ดีจากคนในประเทศ แสดงถึงความสนใจวงเงินสินเชื่อบ้านสูงมาก

มาตรการต่อมาที่อยากให้ดำเนินการคือ อยากให้ผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV : Loan to Value) ที่บังคับให้มีเงินดาวน์ 20-30% ในการขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังที่ 2-3 อย่างน้อย 1 ปีเพื่อทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยสามารถขับเคลื่อนไปได้ และมีเม็ดเงินเข้ามาสู่ในระบบ ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่อยากเห็นคือ การมีแนวทางปรับลดดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง และผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคเพื่อกระตุ้นตลาดโดยรวมยาวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568

หวั่นลามรับเหมาก่อสร้าง-วัสดุรายเล็ก

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ภาพรวมในตลาดอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อบ้านในระบบสูงถึง 60-70% ยังไม่ได้ปรับลดลง เมื่อสถานการณ์ยังถูกคุมเข้มอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่มีผลกระทบและไม่เกิดการลงทุนโครงการใหม่ โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีสต็อกประมาณ 6 เดือน หรือ บางรายเดือน 9 เดือน 

ทั้งนี้ ทำให้ภายใน 6 เดือนข้างหน้า มีผลกระทบเนื่องกับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ให้ชะลอตัวลงไปด้วย จากการที่ไม่มีโครงการลงทุนใหม่ๆ ในที่สุดก็มีผลต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวม และต่อเนื่องไปยังธนาคารพาณิชย์ ทำให้มีผลประกอบการลดลงได้เช่นกัน

หุ้นกู้ไม่ฟื้นกระทบเปิดโครงการใหม่

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เสริมว่า อีกประเด็นที่ต้องติดตามกับตลาดหุ้นกู้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีวงเงินนับแสนล้านบาท มีความน่ากังวลมาก เพราะภาพรวมผลประกอบการหุ้นกู้ในตลาดติดลบมาตั้งแต่ไตรมาสสองและไตรมาสสาม โดยส่วนใหญ่นักลงทุนและกองทุนจะไม่ซื้อต่ำกว่า อินเวสต์เมนต์ เกรด ในระดับ BBB+ ซึ่งเมื่อตลาดไม่มีความมั่นใจทำให้นักลงทุนไม่อยากซื้อ จึงมีการออกหุ้นกู้ใหม่สู่ระบบลดลง รวมถึงยังมีสถานการณ์การคุมเข้มเรื่องให้สินเชื่อลงทุน จึงมีผลกระทบต่อการเปิดโครงการใหม่

“หุ้นกู้น่ากังวลมาก เพราะภาพรวมผลประกอบการในตลาด ติดลบมาตั้งแต่ไตรมาสสองและไตรมาสสาม นักลงทุนและกองทุนจะไม่ซื้อต่ำกว่า อินเวสต์เมนต์ เกรด ในระดับ BBB+ ตลาดไม่มีความมั่นใจ และคนก็ไม่อยากซื้อ”

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม ยังมีปัจจัยบวกจากการปรับลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติและมาตรการรัฐต่างๆ ทำให้ในไตรมาสที่สี่ของปีนี้จะมีโครงการใหม่เข้าสู่ระบบประมาณ 86,000 ล้านบาท อาจได้รับผลบวกได้เช่นกัน

“เมื่อประเมินผลประกอบการของสถาบันการเงินมีกำไร 9 เดือนโตสูงมาก และการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง 0.12% แบงก์ยังมีกำไรสูงอยู่ ไม่กระทบ แต่อยากให้ดูว่าถ้ากลุ่มธุรกิจอื่นกระทบหนัก ท้ายที่สุดแล้ว แบงก์จะสามารถสร้างผลประกอบการมีกำไรสูงเหมือนเดิมได้หรือไม่”

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เสริมว่า หากเปรียบเทียบมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ไทยและประเทศจีนพบว่า จีนจัดมาตรการชุดใหญ่ออกมากระตุ้น มีการลดดอกเบี้ย เป็นมาตรการที่มีผลต่อตลาดอย่างมาก ทำให้คนในประเทศจีนสนใจซื้อบ้านในประเทศ และลดความสนใจซื้อบ้านในต่างประเทศ อีกปัจจัยต้องติดตามกับการประชุมดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงเดือน พ.ย.นี้ อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงมาอีกครั้ง ซึ่งต้องประเมินว่า แบงก์ชาติจะมีการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายอย่างไรต่อไป แต่ในมุมภาคเอกชนอยากให้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงมาอีก

ลุ้นยอดโค้งสุดท้าย 2 หมื่นล้าน

นายถิรชนม์ ธเนศเดชสุนทร ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 กล่าวว่า มหกรรมบ้านและคอนโดครั้งนี้ มีผู้ประกอบการออกบูธกว่า 150 บริษัท 1,000 โครงการ คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินสะพัดในงาน 4,500 ล้านบาท และจากมาตรการภาครัฐและผู้ประกอบการเร่งทำการตลาดอย่างหนักในช่วงปลายปีนี้ จะช่วยกระตุ้นตลาดไตรมาสสุดท้ายนี้สะพัดกว่า 20,000 ล้านบาท

คลังชงมาตรการเข้าครม. สัปดาห์หน้า

นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังมีแผนออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์รอบใหม่ ทั้งการจัดทำโครงการสินเชื่อซื้อ-แต่ง-ซ่อม-สร้าง บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 55,000 ล้านบาท เพื่อทำให้คนรายได้น้อยได้ซ่อมแซมบ้าน โดยมีแผนเสนอ ครม. พิจารณาในสัปดาห์หน้า

สำหรับมาตรการอื่นๆ ที่สนใจทำทั้งโครงการสินเชื่อบ้าน สำหรับกลุ่มแรงงานจำนวนหลายสิบล้านคน กำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน วงเงิน 10,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้หากได้รับความสนใจสูง อาจขยายวงเงินที่ระดับ 40,000-50,000 ล้านบาท อีกทั้งมีแผนจัดมาตรการชุดใหญ่อีกรอบพลิกตลาด ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา

เตรียมหารือสมาคมธนาคารไทยแก้หนี้เสีย

สำหรับในวันที่ 1 พ.ย. กระทรวงการคลัง มีแผนหารือร่วมกับ สมาคมธนาคารไทย กับมาตรการอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ โดยจะมีการหารือทั้งแก้หนี้บ้านและหนี้เสียจากสินเชื่อรถกระบะ โดยมีแนวทาง ลดภาระดอกเบี้ย เช่น พักดอกเบี้ย หรือยกดอกเบี้ยมีเงื่อนไข รวมถึงมาตรการอื่นๆ เช่น การยืดอายุผ่อนบ้าน สำหรับบุคคลธรรมดา จนถึงอายุ 80 ปี และข้าราชการจนถึงอายุ 85 ปี

ทางด้านมาตรการอื่นๆ แอลทีวีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับแบงก์ชาติ จะวางแนวทางผ่อนคลายอย่างไรต่อไป โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลัง ได้วางแนวทางกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์มาตลอด ทั้งจัดทำสินเชื่อบ้าน แฮปปี้ โฮม วงเงิน 20,000 ล้านบาท ได้ปล่อยสินเชื่อเต็มแล้ว และ สินเชื่อ แฮปปี้ ไลฟ์ วงเงิน 18,000 ล้านบาท ที่ได้รับความสนใจสูงเช่นกัน

“ภาคอสังหาริมทรัพย์มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ในสัดส่วน 5% ของจีดีพี หรือมีมูลค่า 1.1 ล้านล้านบาท โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้วางมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์มาตลอด ทำให้ตลาดมีการฟื้นตัว”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1 พ.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจพอมีโซนแนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 33.65 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับถัดไปแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ – มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-34.00 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1 พ.ย. 2567 ที่ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.75 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย สำหรับข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และช่วง 21.00 น. สำหรับรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม 

โดยเราประเมินว่า ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ดังกล่าว เงินบาทยังคงมีโซนแนวต้านแถว 33.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่แถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนดังกล่าวได้ไม่ยาก

หากบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ได้กดดันบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นเอเชียเช่นกัน จนทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังมีรายงานข่าวว่าทางการอิหร่านกำลังเตรียมโจมตีตอบโต้อิสราเอล ก็อาจทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบได้เช่นกัน ทว่า เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังราคาทองคำได้ทยอยรีบาวด์ขึ้นจากช่วงคืนก่อนหน้า อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออกต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงเงินบาทอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ อนึ่ง หากเงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งอาจต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ ให้ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจพอมีโซนแนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 33.65 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับถัดไปแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ 

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวอาจมีคุณภาพต่ำกว่าปกติ จากผลกระทบของพายุเฮอริเคนและการประท้วงหยุดงานของ Boeing ในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้มีโอกาสที่ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจออกมาต่ำกว่าคาดได้พอสมควร (นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมิน ยอดการจ้างงาน +1 แสนตำแหน่ง)
 หรืออาจเห็นยอดการจ้างงานดังกล่าว “ติดลบ” ได้ ซึ่งในช่วงแรกตลาดอาจจะตอบรับข้อมูลดังกล่าวในเชิงลบหรือกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงได้พอสมควร ตามการเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยต่อเนื่องหรือเร่งลดดอกเบี้ย

ทว่า เราอยากแนะนำให้ประเมินสภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านยอดการจ้างงานในส่วนของรายงาน Household Survey (Nonfarm Payrolls จะอยู่ในส่วนของ Establishment Survey) ซึ่งจะสะท้อนภาพการจ้างงานได้ดีกว่าในช่วงเผชิญปัจจัยกดดันชั่วคราว อย่าง สภาพอากาศที่แปรปรวน โดยข้อมูลใน Household Survey ที่น่าสนใจ คือ อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ซึ่งเรามองว่า อาจไม่ได้แตกต่างจากข้อมูลในเดือนก่อนหน้ามากนัก เช่นอยู่แถวโซน 4.1%-4.2% ทำให้โดยรวม ผู้เล่นในตลาดก็จะกลับมาเชื่อว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก ตาม Nonfarm Payrolls ทำให้มีโอกาสที่เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจรีบาวด์สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วในระยะสั้น เพราะธีม Trump Trades ก็ยังคงอยู่

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-34.00 บาท/ดอลลาร์ (ระวังมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-34.00 บาท/ดอลลาร์)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 33.74-33.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงแรกเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลัง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ออกมาดีกว่าคาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE เดือนกันยายน ก็อออกมาสูงกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ต่างปรับตัวลดลงจากความผิดหวังต่อรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลงหนักราว -50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ตามแรงขายของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ก่อนที่จะรับรู้ทั้งรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งผลโพลล่าสุดต่างสะท้อน คะแนนความนิยมของผู้ท้าชิงจากทั้งสองพรรคที่สูสีกันมาก

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Microsoft -6.1%, Meta -4.1% ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นธีม AI ที่อาจเผชิญแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายการลงทุนด้าน AI ที่สูง ส่วนบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ Nvidia -4.7% ก็ยังคงเผชิญแรงขายท่ามกลางความกังวลปัญหาบัญชีของหุ้น Super Micro Computer -12% ทำให้โดยรวม ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงหนัก -2.76% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.86%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.20% กดดันโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาน่าผิดหวัง และแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานที่รายงานผลประกอบการที่สดใส อาทิ Shell +3.5% อีกทั้งราคาน้ำมันดิบก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้นช่วยหนุนบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นทะลุโซน 4.30% ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของผู้เล่นในตลาด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างออกมาดีกว่าคาด อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดก็ยังคงทยอยปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากโซน 4.30% ไปได้ไกล หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว นอกจากนี้ ในช่วงคืนที่ผ่านมา บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ตามแรงเทขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ ก็มีส่วนกดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เช่นกัน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด การปรับสถานะถือครองให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades และความต้องการถือเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ก่อนที่เงินดอลลาร์จะเผชิญแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ส่วนเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็มีจังหวะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และมุมมองของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่ยังเชื่อว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ในเดือนธันวาคม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 103.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.8-104.2 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงหนักสู่โซน 2,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง กลับสู่โซน 2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานเดือนตุลาคม ทั้ง ยอดการจ้างงานยอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) รวมถึงรายงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนตุลาคม ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้

นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน  ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แรงไม่หยุด! “ทีมลมกรดไทย” คว้าทองวิ่งผลัดต่างระยะ ศึกกีฬาโรงเรียนโลก 2024

การแข่งขัน กีฬาโรงเรียนโลก 2024 (ISF Gymnasiade Bahrain 2024) ที่สนาม ไอเอสเอ สปอร์ต ซิตี้, กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ประเภทวิ่งผลัดต่างระยะ 4×100/200/300/400 ม. ชาย “ทัพลมกรดนักเรียนไทย” สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมคว้าเหรียญทอง ด้วยเวลา 1:52.26 นาที

พร้อมทั้งทุบสถิติของรายการได้อีกครั้ง ทำลายสถิติเดิมของ ทีมสวีเดน ที่เคยทำเอาไว้ด้วยเวลา 1:52.29 นาที ในปี 2006 ลงได้สำเร็จ

สำหรับ ทีมนักเรียน วิ่งผลัด 4×100 เมตร ชาย ประกอบด้วย
1. นายชุติทัศน์ พฤกษ์สรนันทน์ (โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา)
2. นายวีรยุทธ แดนขนบ (โรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย พัทลุง)
3. นายคุณภัทร ไกรจันทร์ (โรงเรียนพุทไธสง บุรีรัมย์)
4. ศราวุฒิ นวลศรี จาก (โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ป่วยมะเร็งตับเพราะ “ตะเกียบ” ผู้เชี่ยวชาญชี้สาเหตุ เป็นเพราะวิธีล้างผิดๆ ที่หลายคนทำ

ป่วยมะเร็งตับเพราะ “ตะเกียบ” ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาชี้สาเหตุ เป็นเพราะวิธีล้างผิดๆ ที่หลายคนทำ 

หลายคนคุ้นเคยกับการล้างตะเกียบแบบถูล้างที่เดียวทั้งกำมือ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาออกมาเปิดเผยว่านั่นเป็นวิธีที่ผิดมหันต์ วิธีนี้ไม่สามารถทำความสะอาดได้เลย

Tan Dunci ผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลในภาควิชาพิษวิทยาคลินิก ของโรงพยาบาล Linkou Chang Gung Memorial Hospital ได้เล่าในรายการเกี่ยวกับการแพทย์และสุขภาพ ถึงวิธีการล้างตะเกียบอย่างถูกต้อง

เธอกล่าวว่าตะเกียบมักจะมีรอยบากในแนวนอน และควรล้างตามรอยบาก จากนั้นให้ถูตะเกียบทั้งหมดเป็นแนวตรงหลายๆ ครั้ง ที่สำคัญ “อย่าลืมล้างทีละอัน” แลควรใช้ฟองน้ำที่มีความนุ่มล้างตะเกียบ เพราะตะเกียบที่มีลวดลายอาจจะหลุดลอก หรือตะเกียบโลหะอาจเป็นรอย ทำให้คุณได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย  แนะนำให้เปลี่ยนตะเกียบสแตนเลสหากมีรอยขีดข่วนหรือเป็นสนิม

ในจีนแผ่นดินใหญ่ มีหลายกรณีที่สมาชิกในครอบครัวเป็น “มะเร็งตับ” เนื่องจากตะเกียบไม้ไผ่ที่พวกเขาใช้กันทั่วไปนั้นติดเชื้อและสกปรกได้ง่าย และไม่เคยเปลี่ยนจนกลายเป็นเชื้อรา สารพิษจากเชื้อราอย่าง “อะฟลาทอกซิน” เป็นอันตรายต่อตับอย่างมากและได้รับการระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็ง การศึกษาพบว่าอะฟลาทอกซินเป็นพิษมากกว่าสารหนูถึง 68 เท่า

นอกจากนี้ Tan Dunciti ยังกล่าวอีกว่าครอบครัวของเธอใช้ตะเกียบสแตนเลส เนื่องจากตะเกียบเมลามีนหรือพลาสติกนั้นเสียรูปง่าย ถ้ากินหม้อไฟ อย่าแช่ตะเกียบเมลามีนในหม้อน้ำซุป เพราะเมลามีนทนความร้อนไม่ได้ อาจปล่อยสารที่เป็นอันตรายต่อตับและไตออกมาได้

ในเรื่องนี้ Yan Zonghai ผู้อำนวยการศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาล Linkou Chang Gung Memorial Hospital ยังชี้ให้เห็นว่าตะเกียบเมลามีน แม้ว่าบนพื้นผิวจะสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้มากกว่า 100 องศาเซลเซียส แต่ในการใช้งานจริงก็อาจเริ่มสลายตัวได้ที่ 40 หรือ 50 องศาเซลเซียส  นอกจากนี้เขายังเน้นย้ำว่าภาชนะเมลามีนบนโต๊ะอาหารไม่ควรใส่ซุปเดือดๆ หรือใส่ในเครื่องอบจาน เพราะจะเสื่อมสภาพได้ง่าย ทางที่ดีควรเปลี่ยนอันใหม่ทุก ๆ 1-2 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รวม คำทักทายภาษาอังกฤษ ที่พบบ่อย จำไว้ ใช้ได้จริง

การพบเจอกันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพบเจอกันระหว่างเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย โดยปกติแล้วย่อมต้องมีการทักทาย หรือเกิดบทสนทนาระหว่างกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องพบปะหรือทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทักทายกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้จะขอนำเสนอ คำทักทายภาษาอังกฤษ ที่พบได้บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับคำทักทาย ประโยคทักทายที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน และตัวอย่างบทสนทนา ที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างสุภาพ ถูกกาลเทศะและโอกาส สร้างความมั่นใจในการสนทนามากยิ่งขึ้น

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับคำทักทาย ที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่ Good morning หมายถึง อรุณสวัสดิ์ เป็นคำทักทายตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงก่อนเที่ยง ส่วน Good afternoon หมายถึง สวัสดีตอนบ่าย เป็นคำทักทายตั้งแต่เที่ยงถึงหกโมงเย็น และ Good evening หมายถึง สวัสดีตอนเย็น ใช้ได้ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงช่วงค่ำ ส่วน Goodnight มักใช้เป็นคำกล่าวลา “Hello” แปลว่า “สวัสดี” ส่วน “Hey” หรือ “เฮ้” ก็เป็นคำทักทายอีกประเภทหนึ่ง และ “Hi there” แปลว่า “ว่ายังไง”

ประโยค คำทักทายภาษาอังกฤษ ที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน

– How are you? / How are you doing? / How’s it going? / What’s up? / What’s new? (แปลว่า คุณสบายดีไหม/คุณเป็นอย่างไรบ้าง/ว่าไง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง/ มีอะไรใหม่ ๆ บ้าง ส่วนการตอบคำถามจะเป็นการบอกสภาพของตัวเองในช่วงนั้น ๆ เช่น I am doing well./ I am fine. / I’m great. / I’m good. แปลว่า ฉันสบายดี ส่วน I’ve been doing very well. แปลว่า ฉันสบายดีมาก ส่วน I’m sick. แปลว่า ฉันไม่สบาย Not well. แปลว่า ไม่ค่อยสบาย หรือ I’m tired. แปลว่าฉันเหนื่อย

– How have you been? มีความสุภาพมากกว่า How are you? แต่มีความหมายเดียวกัน ใช้ทักทายคนที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน

– How do you do? แปลว่า สบายดีไหม มีความเป็นทางการมาก มักใช้กับคนที่พบเจอกันครั้งแรก

– How’s your day? แปลว่า วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

– How’s life? แปลว่า ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

– Well, hello there! แปลว่า โอ้ สวัสดี

– Nice to see you! / Nice to meet you / Pleased to meet you / Pleased to meet you / Glad to see you / Great to see you แปลว่า ดีใจที่ได้เจอคุณ ยินดีที่ได้พบคุณ ใช้ตอบกลับการทักทายสำหรับการพบกันครั้งแรกแบบสุภาพ หรือจะเป็น It’s a pleasure to meet you! หมายถึง เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบคุณ

– Long time no see! แปลว่า ไม่ได้เจอกันนานเลย

– Fancy meeting you here! แปลว่า ไม่นึกว่าจะได้เจอที่นี่

– Look who it is! แปลว่า ดูสิว่าเป็นใคร

– Well, look who it is! แปลว่า เห็นแล้วนี่ ใครกันล่ะ

– What brings you here? แปลว่า มาทำอะไรที่นี่เหรอ

– What’s the story? แปลว่า เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง

– How’s everything? แปลว่า ทุกอย่างเป็นอย่างไรบ้าง

– What have you been up to? แปลว่า คุณทำอะไรมาบ้าง

– How’s your family? แปลว่า ครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง

– How’s work? แปลว่า งานเป็นอย่างไรบ้าง

– How are things with you? แปลว่า เรื่องราวของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

– What’s happening? แปลว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

– What’s good? แปลว่า มีอะไรดี ๆ บ้าง

– How’s your weekend? แปลว่า วันหยุดสุดสัปดาห์เป็นอย่างไรบ้าง? / How’s your week going? แปลว่า สัปดาห์นี้ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

– What’s the good word? แปลว่า มีข่าวดีอะไรบ้าง

– Fancy seeing you here! แปลว่า ไม่นึกว่าจะได้เจอที่นี่!

– What a nice surprise! / What a pleasant surprise! แปลว่า เป็นเรื่องน่ายินดีจริง ๆ

– How’s business แปลว่า ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง

– What’s cooking แปลว่า มีอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง

– It’s been a while แปลว่า ผ่านมาสักพักแล้ว

– Can I get your contact number? แปลว่า ฉันขอเบอร์ติดต่อของคุณได้ไหม

– Do you come here often? แปลว่า คุณมาที่นี่บ่อยไหม

– I’ve heard a lot about you. แปลว่า ฉันได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณ

– Let me introduce you to my friend. แปลว่า ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับเพื่อนของฉัน

– What have you been up to recently? แปลว่า คุณทำอะไรอยู่ในช่วงนี้

– Let’s keep in touch. แปลว่า เดี๋ยวคุยกัน ติดต่อกันนะ

– You look great! แปลว่า คุณดูดีมาก

– Wow, look who’s here! How have you been? แปลว่า ดูสินี่ใคร ไปไงมายังไง เป็นอย่างไรบ้าง

– Well, look who decided to show up! How’ve you been keeping แปลว่า ดูซิว่าใครมา เป็นยังไงบ้าง

– What a pleasant surprise! How have things been since we last saw each other? แปลว่า ไม่น่าเชื่อเลย เป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่เจอกันคราวที่แล้ว

– Hello! How’s life treating you? แปลว่า สวัสดี ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง

– Hey there! I can’t believe it’s been so long! แปลว่า สวัสดี ไม่น่าเชื่อเลยว่านานขนาดนี้แล้ว

– It’s wonderful to catch up with you after all these years. How’s everything going in your life? แปลว่า มันดีมากที่ได้เจอคุณอีกครั้งหลังจากไม่เจอกันหลายปี ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

– It’s been ages! แปลว่า ไม่เจอกันนานเลย

– I was just thinking about you the other day. It’s great to see you again! แปลว่า เมื่อวานกำลังนึกถึง วันนี้ก็เจอพอดีเลย ดีใจที่ได้เจอ

– Fancy meeting you here after all this time! แปลว่า ดีใจที่ได้เจอคุณที่นี่หลังจากผ่านมานาน

– Good to see you! แปลว่า ดีใจที่ได้เห็นคุณ!

– How have you been keeping? แปลว่า เป็นอย่างไรบ้าง?

– How’s school? แปลว่า โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?

– How are you doing today? แปลว่า วันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?

– How’s tricks? แปลว่า เป็นอย่างไรบ้าง?

– How goes it? แปลว่า ไปได้สวยไหม?

– Howdy! แปลว่า สวัสดี!

– I’m okay. แปลว่า ฉันโอเคนะ

– I’m under the weather. แปลว่า ฉันไม่ค่อยสบาย

– I’m not okay. แปลว่า ฉันไม่ค่อยโอเค

– Did you drive or take public transport? แปลว่า คุณขับรถมาหรือใช้ขนส่งสาธารณะ

– Did you get here by MRT? แปลว่า คุณมาที่นี่โดย MRT ใช่ไหม

– I feel sick. แปลว่า ฉันรู้สึกไม่สบาย

– How did you come here? แปลว่า คุณมาที่นี่ยังไง

– How did you get here? แปลว่า คุณมาถึงที่นี่ยังไง

– You drove or what? แปลว่า คุณขับรถ หรือว่ามายังไง

– I feel good today. แปลว่า วันนี้ฉันรู้สึกดี

– I’m all right. แปลว่า ฉันโอเคอยู่

– I’m feeling unwell. แปลว่า ฉันรู้สึกไม่สบาย

– I’m doing well. แปลว่า ฉันสบายดี

– Goodbye, and remember to call me. แปลว่า บาย อย่าลืมโทรหานะ

– Goodbye! Drive safely. แปลว่า บาย ขับรถดี ๆ นะ

– See you later! Have a good trip. แปลว่า แล้วเจอกัน ขอให้เดินทางปลอดภัย

– See you later! Have fun at the party. แปลว่า แล้วเจอกันนะ สนุกกับงานปาร์ตี้นะ

– See you later! Don’t forget our meeting tomorrow. แปลว่า แล้วเจอกัน อย่าลืมการประชุมพรุ่งนี้นะ

– See you later! Take care. แปลว่า แล้วเจอกัน ดูแลตัวเองนะ

– Goodbye! I’ll miss you. แปลว่า ลาก่อน! ฉันจะคิดถึงคุณ

– Goodbye, my friend. See you next time. แปลว่า บาย แล้วเจอกันครั้งหน้านะ

– Goodbye! Have a great day. แปลว่า บาย ขอให้มีวันที่ดี

ตัวอย่างบทสนทนา

  1. Tom: Good morning. แปลว่า อรุณสวัสดิ์ครับ
    Katie: Good morning. แปลว่า อรุณสวัสดิ์ค่ะ
    Tom: How are you? แปลว่า คุณสบายดีไหม
    Katie: I’m fine, thank you. And you? แปลว่า ฉันสบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ
    Tom: I’m not feeling well. I have a headache. แปลว่า ไม่ค่อยสบาย ผมปวดศีรษะ
  2. Sophie: Hi, how are you doing? แปลว่า สวัสดี เธอเป็นอย่างไรบ้าง
    Lora: I’m fine. How about yourself? แปลว่า ฉันสบายดี แล้วเธอล่ะเป็นอย่างไร
    Sophie: I’m pretty good. แปลว่า ค่อนข้างสบายดี
  3. Daren: Good morning / afternoon / evening. แปลว่า สวัสดีตอนเช้า / สวัสดีตอนบ่าย / สวัสดีตอนเย็น

Charley: Nice to meet you. My name is Charley. แปลว่า ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อ Charley

Charley: What’s your name? แปลว่า คุณชื่ออะไร?

Daren: My name is Daren. แปลว่า ฉันชื่อ Daren

Charley: Are you here on vacation or business? แปลว่า คุณมาเที่ยวที่นี่หรือมาทำงาน?

Daren: I’m here for business. แปลว่า มาทำงาน

Charley: It’s a pleasure to meet you. แปลว่า ยินดีที่ได้พบคุณ

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ระบบป้องกันอัคคีภัย รากฐานความปลอดภัยของดาต้าเซ็นเตอร์

ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นเสาหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนใน “ระบบป้องกันอัคคีภัย” ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยลดความเสียหายที่มหาศาล และเป็นหลักประกันความมั่นคง และความน่าเชื่อถือของดาต้าเซ็นเตอร์ในการให้บริการได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ โดยเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้บริการคลาวด์ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชันต่างๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น เป็นที่รวมศูนย์ของอุปกรณ์ที่มีความสำคัญและมูลค่าสูง เช่น เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่าย ซึ่งหากเกิด เหตุเพลิงไหม้ ขึ้นจะมีผลกระทบอย่างมากทั้งต่อผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ จากทั้งฮาร์ดแวร์ และข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้

จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีความเสียหายและผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ทุกคนควรทำความเข้าใจถึงความสำคัญของความปลอดภัยจากอัคคีภัยในดาต้าเซ็นเตอร์ และมาตรการด้านความปลอดภัยที่ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ควรพิจารณา

เพลิงไหม้ที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

อุปกรณ์ในดาต้าเซ็นเตอร์ต้องใช้ไฟฟ้าในปริมาณมาก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย สิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ เพลิงไหม้ที่เกิดจาก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-ion)ที่ใช้ในระบบไฟฟ้าสำรอง (UPS) หรือระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อสำรองไฟในกรณีที่กระแสไฟฟ้าหลักขัดข้อง

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จัดเป็นวัตถุไวไฟมาก ซึ่งเมื่อมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าปกติไม่ว่าจะเกิดจากความเสียหายทางกายภาพ การใช้งาน การประจุหรือคายประจุไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าปกติ หรือข้อบกพร่องจากการผลิตหรือคุณภาพวัสดุ จนเกิดกระแสลัดวงจรภายใน ทำให้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้รับความเสียหายจนเกิดเพลิงไหม้และมีการปล่อยพลังงานความร้อนในปริมาณมหาศาล เรียกว่า Thermal Runaway ซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส เกิดการลุกลามไปยังเซลล์ข้างเคียง (Propagation) นำไปสู่การระเบิด และความร้อนรุนแรงที่ควบคุมได้ยาก ทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว การดับเพลิงทำได้ยาก สามารถทำได้เพียงควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัด และดับไปเองเมื่อเชื้อเพลิงหมด

ไฟไหม้จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจัดเป็นเชื้อเพลิงประเภท Electro Chemical ซึ่งตอบสนองไม่ดีต่อการดับเพลิงด้วยน้ำแบบมาตรฐาน และอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงเนื่องจากลิเธียมเมื่อถูกน้ำจะทำให้เกิดก๊าซที่ติดไฟและระเบิดได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการดับเพลิงและเทคนิคพิเศษเพื่อป้องกันการลุกลามไปยังเซลล์ข้างเคียง แม้แต่วิธีนี้ก็ยังอาจมีปัญหาในการจัดการกับความร้อนที่รุนแรง และปฏิกิริยาลูกโซ่ภายในเซลล์แบตเตอรี่

ค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอัคคีภัยในดาต้าเซ็นเตอร์

เมื่อเกิดเพลิงใหม้ใน ดาต้าเซ็นเตอร์ ค่าความเสียหายอาจสูงมหาศาลจากทั้งทางตรงและทางอ้อม ค่าใช้จ่ายทางตรงทันทีจากความเสียหายของอุปกรณ์ต่างๆ อาจสูงถึงหลายล้านดอลลาร์ แต่ความเสียหายทางอ้อมมักจะสร้างผลกระทบที่รุนแรงกว่า จาก Downtime ของบริการคลาวด์ที่ส่งผลให้ธุรกิจของลูกค้าต้องหยุดชะงัก นำไปสู่การสูญเสียรายได้และชื่อเสียงของลูกค้า และของผู้ประกอบการฯ เอง อีกทั้งอาจมีค่าเสียโอกาสจากการสูญเสียลูกค้าทั้งปัจจุบันและอนาคต รวมถึงภาระทางการเงินที่อาจเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายจากความรับผิดชอบทางกฎหมายและเบี้ยประกันที่จะพุ่งสูงขึ้น

แม้ว่าตัวเลขที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปในแต่ละเหตุการณ์ แต่จากการประมาณการของอุตสาหกรรมชี้ว่าการหยุดทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 9,000 ดอลลาร์ต่อนาที สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงทางธุรกิจที่ไม่อาจมองข้ามได้

การป้องกัน : หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ความปลอดภัยจากอัคคีภัย

เทคโนโลยีความปลอดภัยด้านอัคคีภัยขั้นสูงถูกออกแบบมา เพื่อปกป้องดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยการตรวจจับสัญญาณก่อนการเกิดเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ ตั้งแต่เริ่มต้นของความผิดปกติในแบตเตอรี่ และการชี้จุดที่เกิดปัญหาอย่างแม่นยำ และทำการป้องกันไม่ให้เกิด Thermal Runaway ในเซลล์ที่ผิดปกติของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และไม่ให้ลุกลามไปยังเซลล์ข้างเคียง หรือไปยังเชื้อเพลิงภายนอกอื่นๆ โซลูชันความปลอดภัยด้านอัคคีภัยขั้นสูงในปัจจุบันถูกบูรณาการเข้ากับระบบจัดการอาคาร โดยมีคุณสมบัติเด่นๆ ดังนี้

  • การตรวจจับสัญญาณการเกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่เริ่มต้น : อุปกรณ์ตรวจจับควันแบบสุ่มอากาศ* (Aspirating Smoke Detectors หรือ ASD) ชนิด Dual Wavelength ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด ที่สามารถตรวจจับสัญญาณความผิดปกติของแบตเตอรี่ก่อนการเกิดเพลิงไหม้ได้ตั้งแต่กระบวนการเกิด off gas ภายในของแบตเตอรี่ (off-gassing process) ซึ่งยังไม่มีควันที่สามารถมองเห็นหรือตรวจจับด้วยเครื่องมือชนิดอื่นได้ ซึ่งจากการทดสอบอุปกรณ์สามารถตรวจจับสัญญาณก่อนการเกิดเพลิงไหม้ หรือ Thermal Runaway ได้นานกว่า 30 นาที ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการเข้าระงับเหตุ และป้องกันไม่ให้เกิด Thermal Runaway ได้

*อุปกรณ์ตรวจจับควันจากเพลิงไหม้ชนิดนี้อาศัยการดูดอากาศในพื้นที่ที่ต้องการตรวจสอบผ่านท่อดูดอากาศเข้าไปยังเซนเซอร์ตรวจจับควันด้วยการกระเจิงของแสงความละเอียดสูงตลอดเวลา

  • ระบบป้องกันอัคคีภัยที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบความผิดปกติในแบตเตอรี่ ก่อนการเกิดเพลิงไหม้ : โดยใช้หลักการเชิงป้องกันก่อนการเกิดเพลิงไหม้ ด้วยการใช้ก๊าซเฉื่อย Pure Nitrogen (IG-100) ซึ่งให้ระยะเวลาในการป้องกันไฟลุกลาม (Holding Time) นานที่สุด และมีระดับความสูงในการป้องกัน (Protection High) ทุกระดับความสูงของห้องป้องกัน โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อการทำงานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบฯ จะทำงานโดยอัตโนมัติทันที หลังจากได้รับสัญญาณความผิดปกติจากอุปกรณ์ตรวจจับควันแบบสุ่มอากาศแบบ Dual Wavelength  สูงถึงค่าที่กำหนดไว้ ซึ่งวิธีนี้จะจำกัดความเสียหายเพียงแค่แบตเตอรี่เซลล์ที่ผิดปกติและเซลล์ข้างเคียงเท่านั้น นอกจากนี้ Pure Nitrogen ยังไม่เป็นพิษและไม่มีสารตกค้างหลังการใช้งาน ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของดาต้าเซ็นเตอร์หลังการระงับเหตุเสร็จสิ้น
  • การตรวจสอบแบบบูรณาการ : การบูรณาการระบบป้องกันอัคคีภัยเข้ากับระบบการจัดการอาคารช่วยให้สามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการฯ สามารถดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อลด Downtime และคงความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ

ระบบเหล่านี้เมื่อทำงานร่วมกันไม่เพียงแต่จะสามารถตรวจจับสัญญาณการเกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ยังสามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของไฟที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ

การเสริมศักยภาพดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรับมือกับอนาคต

ด้วย ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจดิจิทัล ความปลอดภัยจาก อัคคีภัย จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งยวด ค่าความเสียหายทั้งทางตรงทั้งด้านการเงิน ชื่อเสียง และความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการฯ จากเหตุเพลิงไหม้ในดาต้าเซ็นเตอร์นั้นสูงเกินกว่าจะละเลย การลงทุนในระบบ ป้องกันอัคคีภัย วันนี้ จะช่วยปกป้องทรัพย์สินล้ำค่า เป็นหลักประกันความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของดาต้าเซ็นเตอร์ในการให้บริการได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “การขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนของดาต้าเซ็นเตอร์ในยุค AI” ได้ ที่นี่ และ “นวัตกรรม Electrification สู่ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยั่งยืน” ที่นี่ รวมถึง Download whitepaper : Fire Protection in Data Centers และ Download whitepaper : Data Center – Leading with Sustainability

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


5 อันดับแหล่งคาเฟอีนธรรมชาติ อะไรสูงสุดต่ำสุดมาดูกัน

หลายคนจะคิดว่าคาเฟอีนก็คือกาแฟ แต่ความจริงแล้วกาแฟไม่ใช่แหล่งคาเฟอีนตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หากคุณไม่ชอบกาแฟมากนักแต่ยังต้องการความกระปรี้กระเปร่า มีทางเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย คุณสามารถพบคาเฟอีนได้ตามธรรมชาติในพืช ใบ เมล็ด ผลไม้ชนิดอื่นๆ อีกมากมาย และแม้แต่ในช็อกโกแลตด้วย

5 อันดับแหล่งคาเฟอีนธรรมชาติ

คาเฟอีนคืออะไร

ที่น่าสนใจคือ คาเฟอีนมีรสขมตามธรรมชาติเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช คาเฟอีนเป็นสารที่พบตามธรรมชาติในกลุ่มเมทิลซานทีน ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้น ทำให้สมองและระบบประสาททำงานมากขึ้น คาเฟอีนละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน ทำให้สามารถผ่านเข้าสู่สมองและไปยังตัวรับอื่นๆ ในร่างกายได้ง่าย

1.กาแฟ มีคาเฟอีนประมาณ 100-150 มิลลิกรัม

โดยเฉลี่ยกาแฟ 1 ถ้วย (8 ออนซ์) จะมีคาเฟอีนประมาณ 90-100 มิลลิกรัม ในขณะที่กาแฟ 1 ถ้วยใหญ่ (12 ออนซ์) อาจมีคาเฟอีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม กาแฟผลิตโดยการคั่วเมล็ดกาแฟบดเป็นผงแล้วชงด้วยน้ำร้อนหรือน้ำเย็น เมล็ดกาแฟมีคาเฟอีนอยู่ตามธรรมชาติ โดยทั่วไปเมล็ดกาแฟ 1 เมล็ดจะมีคาเฟอีน 6 มิลลิกรัม ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวิธีการคั่วและการชง โดยเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจะมีคาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม ประโยชน์ต่อสุขภาพจำนวนมากของกาแฟดูเหมือนจะมาจากการที่มีคาเฟอีน แม้ว่าเมล็ดกาแฟจะมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากเช่นกัน

2.เอสเพรสโซ่ มีคาเฟอีนประมาณ 65 มิลลิกรัม

เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (ประมาณ 1 ออนซ์) มีคาเฟอีนประมาณ 65 มิลลิกรัม ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณดื่มเอสเพรสโซ่หลายๆ ช็อต ปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับอาจมากกว่ากาแฟ 1 ถ้วยธรรมดาได้เลย เอสเพรสโซเข้มข้นกว่ากาแฟแบบดั้งเดิมและให้รสชาติที่เข้มกว่า ทำจากเมล็ดกาแฟที่บดละเอียดกว่าและใช้อัตราส่วนกากกาแฟต่อน้ำน้อยกว่า เอสเพรสโซมีรสชาติเข้มข้นกว่าและสามารถดื่มแบบเพียวๆ หรือผสมกับนมหรือน้ำเพื่อทำเครื่องดื่มประเภทเอสเพรสโซ เช่น ลาเต้ แมคคิอาโต้ คอร์ทาโด หรือคาปูชิโน แม้ว่าเอสเพรสโซ 1 ออนซ์จะมีคาเฟอีน 65 มิลลิกรัม แต่โดยทั่วไปจะใส่เอสเพรสโซหลายช็อต ทำให้ได้เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงกว่ามาก โดยเฉลี่ย คาปูชิโนหรือลาเต้ขนาด 16 ออนซ์จะมีคาเฟอีนประมาณ 175 มิลลิกรัม

3.ชาเขียวมัทฉะ มีคาเฟอีนประมาณ 40-135 มิลลิกรัม

ปริมาณคาเฟอีนในมัทฉะอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคุณภาพและชนิดของมัทฉะ โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณมัทฉะที่ใช้ในการชงหนึ่งแก้วอยู่ที่ประมาณ 2-4 กรัม ซึ่งจะให้คาเฟอีนประมาณ 40-135 มิลลิกรัมต่อแก้ว มัทฉะเป็นชาเขียวชนิดผง ที่ปลูกโดยการบังแสงในช่วงก่อนเก็บเกี่ยว และนำมาบดให้เป็นผงละเอียด เนื่องจากวิธีการปลูกและแปรรูป ทำให้ชาเขียวมัทฉะมีคลอโรฟิลล์และสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวใบมาก ซึ่งหมายความว่ามัทฉะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าแค่มีคาเฟอีน แม้ว่ามัทฉะจะมีคาเฟอีนตามธรรมชาติ แต่ก็มีกรดอะมิโน L-ธีอะนีนในปริมาณสูงด้วย L-ธีอะนีนเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยให้ผ่อนคลายและสงบ และทำงานเพื่อต่อต้านผลกระทบของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกตื่นตัวแต่ก็ยังคงมีสมาธิและผ่อนคลาย มัทฉะอาจเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกกระวนกระวายหรือวิตกกังวลเมื่อดื่มกาแฟ แต่ก็ยังต้องการพลังงานเล็กน้อย

4.ชาดำ มีคาเฟอีนประมาณ 47-90 มิลลิกรัม

ชาดำ 1 ถ้วย (8 ออนซ์) มีคาเฟอีนประมาณ 47 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาดำ 1 ถ้วยใหญ่ (12 ออนซ์) อาจมีคาเฟอีนประมาณ 90 มิลลิกรัม ปริมาณคาเฟอีนอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะเวลาการชงและคุณภาพของชา ชาดำ เช่น อิเอิร์ลเกรย์ ดาร์จีลิง และอังกฤษเบรคฟาสต์ ทำมาจากต้นชาชนิดเดียวกับมัทฉะ แต่ใบชาดำเก็บเกี่ยวในช่วงที่แก่กว่าและผ่านกระบวนการออกซิไดซ์นานกว่าใบชาเขียว กระบวนการออกซิไดซ์ทำให้ชาดำมีสีเข้มและรสชาติเข้มข้น ชาดำยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีการศึกษาพบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ ชาดำยังมีโพลีฟีนอลในปริมาณสูง ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้

5.ช็อกโกแลตดำ มีคาเฟอีนประมาณ 20-60 มิลลิกรัม

ช็อกโกแลตดำ 1 ออนซ์ อาจมีคาเฟอีนประมาณ 20-60 มิลลิกรัม ช็อกโกแลตนมมีคาเฟอีนเพียงประมาณ 6-20 กรัมต่อออนซ์ และช็อกโกแลตขาวมีคาเฟอีนน้อยกว่า 2 มิลลิกรัม ปรากฏว่าเมล็ดโกโก้เป็นแหล่งคาเฟอีนตามธรรมชาติด้วย! ด้วยเหตุนี้ โกโก้ร้อนขนาด 16 ออนซ์ จึงมีคาเฟอีนประมาณ 25 มิลลิกรัม การแปลและอธิบาย ช็อกโกแลตและอาหารที่มีรสช็อกโกแลตทุกชนิดจะมีคาเฟอีนอยู่บ้าง โดยปริมาณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณโกโก้ที่ผสมอยู่ โกโก้ยังมีการศึกษาพบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เชื่อกันว่าช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และมีฟลาโวนอยด์ นอกจากนี้ ช็อกโกแลตยังมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แมกนีเซียม เหล็ก และโพแทสเซียม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/11/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,950.0044,050.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,847.0043,160.5244,550.00
ทองรูปพรรณ 90%2,562.3038,844.47n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,277.6034,528.42n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,281.0019,419.96n/a
ทองรูปพรรณ 40%996.0015,099.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,950.0044,722.00n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/11/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.2535.2535.8535.2535.2535.2535.2535.2535.2535.25
แก๊สโซฮอล์ 9134.8834.8835.4834.8834.8834.8834.8834.8834.8834.88
แก๊สโซฮอล์ E2033.1433.1433.7433.1433.1433.1433.1433.1433.14
แก๊สโซฮอล์ E8532.8932.8932.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.8449.8449.8449.8443.84
เบนซิน 9543.5449.8144.0443.6943.54
ดีเซล32.9432.9433.4432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า