ดัชนีอสังหาฯQ2/68ลดลง12%โอนกรรมสิทธิ์-สร้างเสร็จลดฮวบ

- ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนว่าตลาดยังไม่ฟื้นตัว
- ปัจจัยหลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่ลดลง 16.2% และหน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ลดลงเกือบครึ่ง
- การชะลอตัวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอุปสงค์และอุปทานในตลาดที่อ่อนแอลง แม้จะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ
แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐจะมีผลชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 แต่ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง เมื่อดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ลดลงต่อเนื่อง -12% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 74.6 จุด ตามรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) การลดลงของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ถึง -16.2% และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ลดลงเกือบครึ่ง!
สะท้อนถึงทั้งอุปสงค์และอุปทานที่ชะลอตัวอย่างชัดเจน แม้มีการเร่งตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากผลของมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือเพียง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวจากธนาคารแห่งประเทศไทย
“ตลาดอยู่ระหว่างการทรงตัว ไม่ใช่การฟื้นตัวเต็มรูปแบบ”
อย่างไรก็ตาม ดัชนีได้ฟื้นตัวจากไตรมาส 1 เล็กน้อยที่ +4.9% แสดงถึงการตอบสนองบางส่วนต่อแรงกระตุ้นภาครัฐ แต่ยังไม่เพียงพอให้เกิดการพลิกฟื้นในเชิงโครงสร้าง
3 ซีนาริโอภายใต้ความไม่แน่นอน
REIC ประเมินแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยตลอดปี 2568 ผ่าน 3 ฉากทัศน์(scenario) กรณีฐาน (Base Case) ดัชนีจะอยู่ที่ 79.0 จุด หดตัวเล็กน้อย -3.3% จากปี 2567 โดยมีปัจจัยบวกจากมาตรการรัฐและทิศทางดอกเบี้ยขาลง
กรณีดีที่สุด (Best Case) หากเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มรูปแบบ ท่องเที่ยวขยายตัว และผู้บริโภคกลับมามีกำลังซื้อ ดัชนีอาจพุ่งแตะ 86.9 จุด หรือโตได้ถึง +6.4%
กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) หากเศรษฐกิจโลกซบเซา แรงซื้อหาย ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง และแบงก์เข้มงวดสินเชื่อ ดัชนีอาจดิ่งลงเหลือ 71.2 จุด หรือลดลง -12.9%
“ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ไม่ใช่เรื่องของการฟื้นตัว แต่คือการประคองตัวท่ามกลางแรงเสียดทานจากหลายด้าน”
แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือเป็นแรงพยุงสำคัญ แต่สัญญาณจากดัชนีสะท้อนว่า ตลาดอสังหาฯ ไทยยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู โดยเฉพาะในบริบทที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและสภาพคล่องของผู้ประกอบการยังไม่แน่นอน และการฟื้นตัวแบบยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวมมีความแข็งแรงเพียงพอ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ลดภาษีที่ดิน50%กระตุ้นเศรษฐกิจแลนด์ลอร์ดรับอานิสงส์-อสังหาฯตีปีก

- ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังซบเซา
- มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการที่มีสต็อกที่อยู่อาศัยคงค้างจำนวนมาก รวมถึงลดภาระให้ประชาชนทั่วไป
- เจ้าของที่ดินรายใหญ่ (แลนด์ลอร์ด) จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ด้วย โดยจะเสียภาษีสำหรับที่ดินที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ลดลงครึ่งหนึ่ง
การบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 โดยมีผลเรียกเก็บภาษีจริงในปี2563 เพื่อเพิ่มรายได้ท้องถิ่นและกระจายอำนาจทางการคลัง แต่กลับเป็นจังหวะเดียวที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจเป็นวงกว้างส่งผล ให้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนั้นประกาศลดอัตราการเรียกเก็บภาษีลง
เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชนรวมถึงบรรเทาผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกทุบกำลังซื้อลงอย่างเฉียบพลันโดยเฉพาะการถูกปิดกั้นการเดินทางจากต่างชาติซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักท่ามกลางกำลังซื้อในประเทศเปราะบาง และนำมาซึ่งบาดแผลลึกฉุดเศรษฐกิจประเทศและตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันแม้ที่ผ่านมาภาคเอกชนจะเสนอทุกรัฐบาลผ่อนปรนการบังคับใช้ภาษีหรือขอลดภาระภาษีดังกล่าวมาโดยตลอดเพื่อลดผลกระทบภาระค่าใช้จ่ายแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะติดปัญหาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)อาจขาดรายได้
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงวิกฤต มองว่าน่าจะมีนัยสำคัญในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูลที่คาดว่าจะพิจารณาลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงชั่วคราว เพื่อเป็นหนึ่งในมาตรการพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เดินต่อได้ รวมถึงช่วยผ่อนคลายค่าครองชีพประชาชนลงเหมือนช่วงสถานการณ์โควิด
ชงลดภาษีที่ดิน50%
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสามสมาคมอสังหาริมทรัพย์ มีข้อเสนอถึงรัฐบาล นายอุทิน ชาญวีรกูล เพื่อ ปรับลดหย่อนมาตรการการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือปรับลดอัตราภาษีลดลงไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉพาะปี2569 หรือจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว
โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยค้างสต๊อกสะสมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กว่า2แสนหน่วย มูลค่า1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการที่มีสต๊อกในมือจำนวนมากจะลดภาระลง มากถึง50% ขณะเดียวกันยังลดผลกระทบที่ดินรอพัฒนารวมถึงประชาชนที่มีที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อย หรือที่ดินมรดกสามารถเก็บไว้โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นภาระเสียภาษีในแต่ละปีที่เพิ่มมากขึ้น
ในทางกลับกัน การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% จะเป็นผลดีให้กับเจ้าของที่ดินรายใหญ่ หรือเศรษฐีที่มีที่ดินในมือ ที่ยังไม่ทำประโยชน์ นำที่ดินที่รกร้างทำเลกลางใจเมือง ในเขตกรุงเทพมหานคร มาทำแปลงเกษตรซึ่งช่วยลดภาระภาษี ประเภทรกร้าง จากล้านละ 3,000บาท หรือ 0.3% เหลือ เท่ากับประเภทที่อยู่อาศัย ที่ล้านละ 200 บาทหรือ 0.01% อย่างไรก็ตามหากมีมาตรการลดภาษีลง ดังกล่าวเท่ากับว่าแลนด์ลอร์ดดังกล่าวจะเสียภาษีลดลง อีก50%
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่กฎหมายภาษีที่ดินมีผลบังคับใช้ เอกชนจำนวนไม่น้อยต้องการแก้ไขกฎหมายเพื่อ อุดช่องโหว่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าของที่ดินรายได้ ที่ยังมีวิธีลดภาระภาษีตนเอง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าไม่ควร ให้แลนด์ลอดร์ด ที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าวได้โอกาส
แลนด์ลอร์ดได้อานิสงส์
ในทางกลับกัน การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% จะเป็นผลดีให้กับเจ้าของที่ดินรายใหญ่ หรือเศรษฐีที่มีที่ดินในมือ ที่ยังไม่ทำประโยชน์ นำที่ดินที่รกร้างทำเลกลางใจเมือง ในเขตกรุงเทพมหานคร มาทำแปลงเกษตรซึ่งช่วยลดภาระภาษี ประเภทรกร้าง จากล้านละ 3,000บาท หรือ 0.3% เหลือ เท่ากับประเภทที่อยู่อาศัย ที่ล้านละ 200 บาทหรือ 0.01% อย่างไรก็ตามหากมีมาตรการลดภาษีลง ดังกล่าวเท่ากับว่าแลนด์ลอร์ดดังกล่าวจะเสียภาษีลดลง อีก50%
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่กฎหมายภาษีที่ดินมีผลบังคับใช้ เอกชนจำนวนไม่น้อยต้องการแก้ไขกฎหมายเพื่อ อุดช่องโหว่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าของที่ดินรายได้ ที่ยังมีวิธีลดภาระภาษีตนเอง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าไม่ควร ให้แลนด์ลอดร์ด ที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าวได้โอกาส
อสังหาฯชงปลดล็อกภาษีที่ดิน
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ภาคเอกชนได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างหนักต่อสถานการณ์ที่ยังไม่ฟื้นตัว และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งพิจารณามาตรการลดภาระต่างๆ
โดยเฉพาะ ปัญหาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมรวมถึงคนที่มีที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยของประชาชนไม่สามารถนำที่ดินไปพัฒนาได้เนื่องจากเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ในทางกลับกันหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำประโยชน์ต้องรับภาระภาษีที่จะเกิดขึ้น
“ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เคยมีมาตรการลดภาษีที่ดินลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อัตราภาษีก็กลับสู่ระดับปกติสำหรับที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์ แต่ปัญหานี้สร้างผลกระทบต่อที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยที่ซื้อไว้เพื่อปลูกบ้านในอนาคตต้องเร่งสร้างเร่งพัฒนา”
ดังนั้นเอกชนจึงได้มีการเสนอให้มีการลดภาษีสำหรับทุกอุตสาหกรรม โดยข้อเสนอคือขอให้ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพียง 1 ปี หรือในปี2569 หากเศรษฐกิจดีขึ้นก็จะกลับไปใช้อัตราปกติ
อย่างไรก็ตาม นายอิสระมองว่า ความเหลื่อมล้ำของอัตราภาษีที่ดินฯยังมีอยู่มาก ประเด็นสำคัญที่ถูกยกขึ้นมาคือความแตกต่างของอัตราภาษี โดยปัจจุบันอัตราภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยอยู่ที่ ล้านละ 3,000 บาท หากขายไม่หมด ภายใน3ปีนับตั้งแต่ได้รับใบอนุญาตทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดซึ่งจะกลายเป็นสต๊อกที่ถูกตีความว่า ต้องอยู่ในข่ายเสียภาษีหมวดอื่นๆที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยและพาณิชย์ ที่0.3% ตามราคาประเมินที่ดินของทางราชการ ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรม ทั้งที่เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้บริโภค โดยมองว่าควรเสียภาษีเท่ากับที่อยู่อาศัยทั่วไป ที่ล้านละ 200 บาท ทำให้มีความแตกต่างกันถึง 15 เท่า
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ช่องทาง การทำเกษตรกรรมในเมือง เพื่อลดภาระภาษี โดยมีการเสนอให้มีการแก้ไขเพื่อป้องกันการหลบเลี่ยง แม้ว่าการทำเกษตรในเมืองจะมีประโยชน์ในแง่ของการกระจายการใช้ประโยชน์และควรอนุโลมให้ประชาชนนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือให้หน่วยราชการยืมไปใช้ประโยชน์เพื่อการสาธารณะได้
“มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากกฎหมายห้ามปลูกต้นไม้ บนที่ดินของตนเองก็อาจจะนำไปสู่การปลูกบ้านเล็กๆ เพื่อให้เข้าข่ายเสียภาษีในอัตราที่ถูกลง หรือล้านละ 200 บาท อยู่ดี โดยมองว่าภาษีต้องมีการแก้ไขเชิงโครงสร้างซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้กฎหมาย ที่ภาคเอกชนเสนอขอแก้ไขภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปแล้วในหลายหัวข้อ”
เช่นเดียวกับ นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงหนึ่งในข้อเสนอเร่งด่วนที่สมาคมเตรียมนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี คือการ ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมาตรการนี้ครอบคลุมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ทั้งที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม แม้ว่าบ้านที่อยู่อาศัยหลักจะได้รับการยกเว้นขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการปรับลดดังกล่าวอาจกระทบรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเสนอแนวทางชดเชยผ่านการจัดเก็บ ภาษีลาภลอย (Windfall Tax) สำหรับกรณีการขายที่ดินที่ได้รับกำไรจากการลงทุโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น รถไฟฟ้าหรือรถไฟความเร็วสูง โดยเสนอให้กำหนดอัตราภาษีตั้งแต่ 30% ขึ้นไป ซึ่งสูงกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด เพื่อให้รายได้ส่วนนี้กลับมาชดเชยท้องถิ่นที่สูญเสียไปจากการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ด้านนางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกกิติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย มองว่า ที่ผ่านมาได้ผลักดันมาโดยตลอด ว่า รัฐควรลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง เนื่องจากกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะที่ดินรอการพัฒนาแต่หากเป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่นำที่ดินกลางเมืองปลูกกล้วยเลี่ยงภาษี ที่เอาเปรียบผู้ประกอบการไม่ควรได้รับการยกเว้น หรือใช้สิทธิ์ลดภาษีลง50%
ที่มากไปกว่านั้น ธุกิจอสังหาริมทรัพย์พัฒนาเพื่อผู้บริโภคต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง แต่กลับมีภาษีมากระทบจำนวนมากซึ่งผลที่ตามมาผู้ประกอบการผลักภาระให้กับผู้บริโภครับภาระ
สะท้อนจากมีการเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อน รวมกว่า10 % ตั้งแต่เริ่มพัฒนาซื้อวัสดุก่อสร้างภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยห้ามขอคืนเมื่อพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย และโอนขายต้องเสียภาษี ธุรกิจเฉพาะ3.3% ภาษีเงินได้หักณที่จ่ายอีก1% และเสียค่าธรรมเนียมการโอนอีก 2% รวม6.3% เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะมีภาษีที่ต้องแบกรับ 13.3%
อย่างไรก็ตามเมื่อขายไม่ได้ กลายเป็นสต๊อกต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้า อีก 0.3% หากมีสต๊อกในมือต่อปี 10,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการต้องมีภาระ 30 ล้านบาทต่อปี ขึ้นอยู่กับสต๊อกจะลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจ
ลุ้นรัฐบาลอนุทินไฟเขียว
ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และฐานะโฆษกรัฐบาลยืนยันว่า กลุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจก่อสร้าง มีข้อเสนอนโยบายเร่งด่วนเสนอต่อรัฐบาลพิจารณา เพื่อให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นและช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างหารือกับภาคธุรกิจหลายภาคส่วนก่อนที่จะเข้ามาบริหารประเทศเพื่อรวบรวมความเห็นและมุมมองต่างๆจากภาคธุรกิจเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับข้อเสนอของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้มีการนำเสนอต่าง ๆ เช่น การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2569 เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือรอจนกว่าภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวนั้น ถือเป็นข้อเสนอที่รัฐบาลจะพิจารณา ควบคู่กับมาตรการระยะสั้นอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วย
โดยนายสิริพงศ์ ย้ำว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดูมาตรการที่สามารถทำได้ทันที และมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยเร็ว โดยธุรกิจอสังหาฯ มีความเชื่อมโยงไปยังธุรกิจจำนวนมาก และข้อเสนอต่าง ๆ นั้นเราได้รับจากภาคธุรกิจ และได้รับเสียงสะท้อนจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงที่ผ่านมา โดยภาคธุรกิจนี้ถือว่ามีการชะลอตัวมานาน จึงต้องมีมาตรการเข้าไปดูแลเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ต.ค. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าทั้งจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โอกาสนักลงทุนต่างชาติจะทยายขายหุ้นไทยเพิ่มเติม มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ต.ค. /ถุคที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น)
นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ทยอยปรับลดสถานะดังกล่าว หรือเริ่มมีการ Stop Loss หลังเงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้
และแม้ว่า ราคาทองคำจะทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แต่จะเห็นได้ว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว กลับไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเหมือนในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำได้เปลี่ยนแปลงไป กระทบต่อ Correlation Trade
และส่วนหนึ่ง การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะสั้น อย่างรวดเร็ว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดกลับเข้าซื้อทองคำมากขึ้น เกิดเป็นโฟลว์ธุรกรรม FOMO Buy ทองคำ ที่จะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ เรามองว่า ไม่ว่า ภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ จะเกิดขึ้น หรือ ไม่นั้น ราคาทองคำก็เสี่ยงปรับฐานได้ในระยะสั้น ทำให้ เรามองว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำจะยังมีอยู่
ในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาตินั้น เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นไทย ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนบ้าง หลังผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน ขณะเดียวกัน ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP
รวมถึง รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต เพราะหากข้อมูลดังกล่าวออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้น ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.38-32.49 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวม เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 7.227 ล้านตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดคาด
ทว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนกันยายน กลับปรับตัวลดลงสู่ระดับ 94.2 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาด แต่เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) หลังเงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ราคาทองคำที่ทยอยรีบาวด์สูงขึ้น หลังปรับตัวลงหนักในช่วงราว 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ก็มีส่วนกดดันเงินบาทผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ซื้อทองคำของผู้เล่นในตลาด จากความเสี่ยงสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown ที่เพิ่มสูงขึ้น (ผู้เล่นในตลาดพนัน Polymarket ให้โอกาส 99% ที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะ Government Shutdown)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากความกังวลสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown โดยบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ อาทิ Nvidia +2.6%
นอกจากนี้ การประกาศนโยบาย Most Favored Nation ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลดราคายาในสหรัฐฯ สำหรับผู้มีรายได้น้อย ได้หนุนให้บรรดาหุ้นบริษัทยาขนาดใหญ่ ต่างปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้เล่นในตลาดคาดหวังว่า หากมีดีลปรับลดราคายาดังกล่าวเกิดขึ้น อาจทำให้บริษัทไม่เผชิญภาษีนำเข้ายาในระดับสูงได้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.41%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.48% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor รวมถึงกลุ่มยา
ทว่า ตลาดหุ้นยุโรป ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -1.8% ท่ามกลาง การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ จากความกังวลแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตจากกลุ่ม OPEC+
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร ในกรอบ 4.10%-4.16% ตามรายงานข่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะ Government Shutdown ในระยะสั้น
ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่าง ข้อมูลการจ้างงาน อาจมีการเลื่อนประกาศออกไปในช่วงนี้ อนึ่ง เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง
เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน อีกทั้ง สหรัฐฯ ก็เสี่ยงเผชิญภาวะ Government Shutdown ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อแนวโน้มสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) รีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่อง หลังจากย่อตัวลงหนักในช่วงก่อนหน้าจากแรงขายทำกำไร สู่โซน 3,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนกันยายน หลังจากที่รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน โดยทางการสหรัฐฯ อาจถูกเลื่อนประกาศออกไป หากสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ ดัชนีย่อยในส่วนของการจ้างงานเป็นพิเศษ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน
ทางฝั่งเอเชียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% ตามเดิม แต่ RBI อาจสามารถทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในอนาคต เพื่อช่วยหนุนภาพรวมเศรษฐกิจ
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ประเด็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะ Government Shutdown (ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือนใกล้ๆ 32.50 ก่อนจะกลับมาปรับตัวที่ระดับ 32.42-32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ
แม้เงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่า หลังหลุดแนวสำคัญทางเทคนิคหลายแนว แต่กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทอาจจำกัดตามอานิสงส์ของราคาทองคำในตลาดโลก หลังเงินดอลลาร์ฯ ยังคงมีปัจจัยลบจากความกังวลต่อภาวะ government shutdown ของสหรัฐฯ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกงย. ของยูโรโซน ความคืบหน้าในการหาทางเลี่ยงภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือนก.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ปิดฉากซีรีส์สมบูรณ์แบบ! “สุโขทัย ฮาล์ฟ มาราธอน 2025” สนามวิ่งสุดท้ายของปี

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์สร่วมส่งท้ายแคมเปญเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา กับกิจกรรมแข่งขันวิ่งรายการใหญ่แห่งปี “บางกอกแอร์เวย์ส บูทีค ซีรีส์ 2025: BANGKOK AIRWAYS BOUTIQUE SERIES 2025” กับสนามสุดท้ายในรายการ “บางกอกแอร์เวย์ส สุโขทัย ฮาล์ฟ มาราธอน 2025: Bangkok Airways Sukhothai Half Marathon 2025” เมื่อเร็วๆนี้ ท่ามกลางบรรยากาศนักวิ่งที่เดินทางมาร่วมการแข่งขันกันอย่างคึกคัก ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จ.สุโขทัย
การแข่งขันในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักวิ่งเป็นจำนวนมาก ที่มาร่วมสัมผัสเส้นทางวิ่งสุดพิเศษผ่านแลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุโขทัย อาทิ วัดศรีชุม สถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อเพชรอันเลื่องชื่อ วัดพระพายหลวง โบราณสถานเก่าแก่เปี่ยมด้วยความสง่างาม เนินประสาทพระร่วง จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภาพรวมของเมืองเก่า
“บางกอกแอร์เวย์ส สุโขทัย ฮาล์ฟ มาราธอน 2025” เส้นทางวิ่งสนามสุดท้ายของปีนี้ แบ่งเป็น 3 ระยะทางฮาล์ฟ มาราธอน 21 กิโลเมตร, มินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร, ฟันรัน 5 กิโลเมตร
อีกหนึ่งไฮไลต์ในครั้งนี้ คือ การวิ่งมาราธอนครั้งแรกของนักแสดงหนุ่ม “เทศน์ เฮนรี ไมรอน” ที่จะมานำทีมพานักวิ่งทุกคนร่วมย้อนรอยเมืองแห่งมรดกโลก สัมผัสความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเก่าแก่ พร้อมเสียงเชียร์จากชาวสุโขทัยที่คอยส่งกำลังใจตลอดเส้นทาง ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสนุกสนาน
นอกจากนี้ ยังมีความสนุกสำหรับน้อง ๆ กับ Kids Series 2025 ระยะ 800 เมตร กับฐานวิ่งผจญภัยสุดสนุกสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี
การจัดการแข่งขันวิ่งครั้งนี้อยู่ภายใต้แนวคิดความยั่งยืน และสร้างประสบการณ์ความประทับใจตลอดเส้นทางวิ่ง นางดรุณี เทพวัลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสส่วนสื่อสารการตลาดและกิจกรรมการตลาด บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การแข่งขัน บางกอกแอร์เวย์ส สุโขทัย ฮาล์ฟ มาราธอน 2025 ถือเป็นการส่งท้ายสนามสุดท้ายในปีนี้ของรายการแข่งขันวิ่ง บางกอกแอร์เวย์ส บูทีค ซีรีส์ 2025 อย่างสมบูรณ์แบบ
เรารู้สึกยินดีที่ได้เห็นนักวิ่งจากทั่วประเทศและนักวิ่งชาวต่างชาติที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้กว่า 1,600 คน ได้สัมผัสเสน่ห์ของจังหวัดสุโขทัยอย่างเต็มที่และคึกคัก พร้อมร่วมกันสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสนุกสนาน และความประทับใจ เป็นการตอกย้ำบริบทของการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ที่สำคัญกิจกรรมในครั้งนี้ยังมีส่วนช่วยเชื่อมโยงนักวิ่งให้ได้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชน และมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดสุโขทัยที่ยั่งยืนอีกด้วย”
การแข่งขัน “บางกอกแอร์เวย์ส สุโขทัย ฮาล์ฟ มาราธอน 2025” จบลงอย่างงดงาม สร้างความทรงจำและความประทับใจให้กับนักวิ่งทุกคน ใครที่พลาดกิจกรรมดี ๆ ในปีนี้ สามารถเตรียมความพร้อมของร่างกาย เพื่อร่วมลงแข่งขันอีกครั้งในกิจกรรมนี้ในปีหน้า กับประสบการณ์ความสนุกสนานและรอยยิ้มเช่นนี้ โดยติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารกิจกรรมวิ่งต่าง ๆ ได้ทางเว็บไซต์ http://bangkokairways.run/ และเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/BangkokAirways.Run
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผย ‘สเตรตัส’ โควิดสายพันธุ์หลักทั่วโลก

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยสถานการณ์โควิด 19 สายพันธุ์ “XFG” หรือสเตรตัส (Stratus) กำลังกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลก ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น
นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยตรวจพบสายพันธุ์ XFG ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2568 และจนถึงวันที่ 24 กันยายน 2568 มีรายงานสะสมแล้ว 33 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 13 จำนวน 23 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และปวดศีรษะ และยังไม่มีรายใดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ขณะเดียวกัน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เมษายน – 24 กันยายน 2568 ได้ทำการถอดรหัสแล้ว 608 ตัวอย่าง พบว่าเป็น
- สายพันธุ์ NB.1.8.1* ร้อยละ 73.7
- สายพันธุ์ XEC* ร้อยละ 8.7
- สายพันธุ์ JN.1* ร้อยละ 6.4
- สายพันธุ์ XFG* ร้อยละ 5.4
- สายพันธุ์อื่น ๆ รวมร้อยละ 5.7
นับตั้งแต่เริ่มการระบาดในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม 2563 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อมูลจีโนมของเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ฐานข้อมูลสากล GISAID แล้วกว่า 48,865 ราย เพื่อสนับสนุนระบบเฝ้าระวังโรคระดับโลก
“แม้สายพันธุ์ XFG ยังไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง แต่ประชาชนควรป้องกันตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และหากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ไอ หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม”นพ.ยงยศกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“ริมการ์ดยาง” คืออะไร? เกราะเล็กๆ ที่คนรักรถไม่ควรมองข้าม

สำหรับคนรักรถ ล้อและขอบล้อถือเป็นส่วนที่โดดเด่นและบอบบาง ในเวลาเดียวกัน การชนขอบฟุตปาธหรือสิ่งกีดขวางบนถนนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ล้อเป็นรอยหรือบุบได้
แต่ในปัจจุบัน ได้มีหนึ่งในนวัตกรรมที่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันล้อแม็กซ์ของเรา ซึ่งเรียกว่า “Rim Guard” หรือ “ริมการ์ดยาง” ซึ่งวันนี้ เราจะมาพาทุกคนไปทำความรู้จักกันว่า ริมการ์ดยาง คืออะไร และมีหน้าที่ทำอะไรกันแน่
ริมการ์ดยาง คืออะไร?
ริมการ์ดยาง คือ แถบยางที่ติดตั้งรอบขอบล้อรถยนต์ ทำหน้าที่เป็น เกราะป้องกันรอยขีดข่วนและแรงกระแทก จากการชนขอบถนนหรือฟุตปาธ
ริมการ์ดยาง มีหน้าที่อะไรบ้าง?
ปกป้องขอบล้อแม็กซ์จากรอยขีดข่วนและแรงกระแทก
ขณะขับรถเฉียดฟุตปาธ หรือชนขอบทางเล็กน้อย ล้อแม็กอาจบุบหรือมีรอย ซึ่งริมการ์ดยางจะทำหน้าที่เหมือน เกราะกันกระแทก ป้องกันความเสียหาย
ป้องกันยางจากการเสียหายขอบข้างยาง
ยางบางชนิดอาจฉีกหรือรั่วจากแรงกระแทกที่ขอบ ซึ่งริมการ์ดยางจะช่วยลดแรงกระแทกโดยตรงไปที่ยาง
ริมการ์ดยาง มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
- ช่วยป้องกันขอบยางและขอบล้อแม็กซ์
- ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมล้อแม็กซ์และยาง
- รักษาความสวยงามของรถ
สรุปแล้ว ริมยางเป็นอุปกรณ์เล็ก ๆ แต่ช่วย ปกป้องล้อและยางจากความเสียหาย ทำให้รถคงความสวยงาม ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อม และเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ เหมาะกับทุกคนที่รักรถและอยากรักษาล้อให้สวยเหมือนใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ศัพท์ภาษาอังกฤษในการทํางาน เกี่ยวกับเวลา (Work hours in English)

คำศัพท์ “เวลา” ภาษาอังกฤษในการทํางาน
เรียนภาษาอังกฤษ ในการทำงาน “คำศัพท์เวลา” ที่ควรรู้
คำศัพท์ “เวลา” ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
1) Part-time job
งานนอกเวลาหรืองานไม่ประจำ ที่มีการจ้างงานรายชั่วโมงต่อสัปดาห์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับงานประจำ งานที่เป็นงานประจำนั้นเราจะใช้คำว่า Full time job
2) Full-time job
งานประจำ ที่มีการกำหนดการทำงานอย่างเป็นมาตรฐาน 5 – 6 วันต่อสัปดาห์ และมีชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมง ในหนึ่งวัน หรือตามที่แต่ละบริษัทกำหนด
3) To be punctual
จะมาทำงานก็ควรที่ตรงต่อเวลา ดังนั้นคำว่า To be punctual คือการตรงต่อเวลา
4) Over time
คือคำที่คนวัยทำงานอย่างเราๆ ได้ยินกันบ่อยๆ ที่เรียนว่า OT คือเวลาที่ทำงานนอกเหนือจากชั่วโมงทำงานปกติ เรียกว่าการทำงานล่วงเวลา
5) Work from home
โลกปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน ในบางบริษัทยอมให้พนักงานทำงานจากบ้าน อย่างที่เราได้ยินกันบ่อยในช่วงนี้ คือ Work from home นั่นคือการทำงานจากที่บ้าน
6) Timesheet
ในโลกของการทำงานโดยเฉพาะการทำงานเป็น Shift work หรือการทำงานเป็นกะ นั้นก็มักจะมีการลงเวลาการทำงานซึ่งการลงเวลาการทำงานคือ Timesheet
7) To take a break
การพักเบรคเป็นช่วงๆ จากการทำงานหรือการพัก
8) To clock in / clock out
คล้ายกับการเริ่มบันทึกเวลาการเริ่มและสิ้นสุดการทำงานซึ่งอาจเป็นการตอกบัตรหรือการลงเวลางาน
9) Hourly rate
คือค่าแรงหรือค่าบริการรายชั่วโมง
10) Fixed hours
จำนวนชั่วโมงทำงานของพนักงานที่ถูกกำหนด
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
ทำไมเด็กกินงาขาว แต่ผู้ใหญ่กินงาดำ….ทำไมต้องต่างกัน?

ทำไมคนญี่ปุ่นให้เด็กกิน “งาขาว” แต่ให้ผู้สูงอายุกิน “งาดำ”?
เรื่องรสชาติไม่ใช่เรื่องเดียว! คนญี่ปุ่นเลือกงาตามวัยเพื่อสุขภาพ เด็กแข็งแรง ผู้สูงอายุชะลอแก่ งานวิจัยยืนยันชัด!
1. งาขาวสำหรับเด็ก: เสริมกระดูกและฟัน
งาขาวมีรสชาติอ่อน เหมาะกับเด็กที่เพิ่งเริ่มทานอาหารเสริม นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูง ช่วยสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่ดีต่อการเจริญเติบโต
2. งาดำสำหรับผู้สูงอายุ: สารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้น
งาดำอุดมด้วยแคลเซียม, เหล็ก, แมกนีเซียม และกรดไขมันโอเมกา-6 นอกจากนี้ยังมีสารเซซามินและเซซาโมลินที่ช่วยบำรุงหัวใจ ผิว และเส้นผม งานวิจัยชี้ว่าสารเหล่านี้สามารถลดความเสื่อมของเซลล์และช่วยชะลอความแก่ได้
3. ปรับตามวัยเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด
ความเชื่อในการเลือกงาตามวัยของคนญี่ปุ่นสอดคล้องกับงานวิจัยทางโภชนาการ: เด็กต้องการกระดูกและพัฒนาการที่ดี ส่วนผู้สูงอายุเน้นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อชะลอวัย การเลือกชนิดของงาแบบนี้จึงสอดคล้องทั้งกับความเชื่อและผลวิจัยทางโภชนาการ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 59,300.00 | 59,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,833.00 | 58,108.28 | 60,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,449.70 | 52,297.45 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,066.40 | 46,486.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,724.85 | 26,148.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,341.55 | 20,337.90 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,972.02 | 60,215.82 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.65 | 32.65 | 33.15 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.28 | 32.28 | 32.78 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.44 | 30.44 | 30.94 | 30.44 | – | 30.44 | 30.44 | 30.44 | 30.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.39 | 28.39 | – | – | – | – | – | – | 28.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.84 |
เบนซิน 95 | 40.94 | – | – | 49.81 | – | 41.44 | 41.09 | – | 40.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |