8 ปรากฏการณ์‘แรงส่ง’หรือ‘ทางตัน’อสังหาฯปี2568
ประมวล8ปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงแห่งวงการ “อสังหาริมทรัพย์” ปีที่ผ่านมา ส่งต่อความท้าทายในปี 2568 ที่น่าจะยังเป็นปีแห่งการประคับประคองและฟื้นฟู ! ผู้ประกอบการจะเตรียมกลยุทธ์รับมืออย่างไรจากประเด็นร้อนเหล่านี้
1.ตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ ซบเซา
หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญในปี 2567 คือการ “ลดลง” ของจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ในเมืองเศรษฐกิจของประเทศไทยมหานครกรุงเทพ จากภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ลดลงกว่า 43.72% เทียบปีก่อนหน้า โดยมีคอนโดมิเนียมเปิดตัวเพียง 8,674 ยูนิต มูลค่า 49,368 ล้านบาท ขณะที่ปี 2566 เปิดตัวถึง 15,413 ยูนิต มูลค่า 48,623 ล้านบาท ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ คืออัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงถึง 70% ทำให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ลดลงอย่างมาก
2.ไตรมาส 3 ปี 2567 ยอดขายอสังหาฯ ติดลบยกแผง
เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 ของปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยตกอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างรุนแรง! ยอดขายทุกประเภทติดลบทั้งในแง่จำนวนและมูลค่า เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้าและปีที่แล้ว คอนโดมิเนียมลดลงถึง 60% ทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว ลดลงกว่า 26% ทำให้ภาพรวมไตรมาส 3 ติดลบมากกว่า 30% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และติดลบ 45% เทียบปีที่แล้ว
3.อสังหาฯ ภูเก็ตโตสวนตลาดซึม
ในขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ หดตัว “ตลาดภูเก็ต” โตพุ่งแบบก้าวกระโดดทีเดียว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและวิลล่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก ข้อมูลคอลลิเออร์สฯ ชี้ให้เห็นว่าในปี 2567 ภูเก็ตมีคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่กว่า 12,000 ยูนิต มูลค่าลงทุนรวมกว่า 63,000 ล้านบาท วิลล่า เปิดตัวเพิ่ม 100% คิดเป็นมูลค่า 36,300 ล้านบาท จากเดิมเปิดตัวเพียง 30-40 โครงการต่อปี นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่จำนวนโครงการเปิดตัวใหม่ของวิลล่าแซงคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะทำเลบางเทา-เชิงทะเล ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวไทยและต่างชาติเป็นอย่างมาก
4.แจ้งเกิดแลนด์มาร์กใหม่ “วัน แบงค็อก-ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค”
การเปิดตัว 2 อภิมหาโปรเจกต์ใจกลางกรุงเทพฯ “วัน แบงค็อก” และ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” สร้างกระแสฮือฮาในวงการ โดย “วัน แบงค็อก” ลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท พัฒนาที่ดิน 108 ไร่ บนที่ดินสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงอาคารสำนักงาน โรงแรมหรู 5 แห่ง และพื้นที่ค้าปลีก ส่วน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่าลงทุนกว่า 46,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโรงแรม อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียมหรู และศูนย์การค้าเซ็นทรัล ทำให้ย่านพระราม 4 กลายเป็นย่านเศรษฐกิจใหม่ที่ร้อนแรงสุดในเวลานี้ โดยราคาที่ดินย่านนี้พุ่งสูงถึง 3 ล้านบาทต่อตารางวา
5.ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ คัมแบ็ก! ซีอีโอพฤกษา
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปี 2567 ได้มีการแต่งตั้ง ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รั้งเก้าอี้รักษาการซีอีโอ “พฤกษา” แทน อุเทน โลหชิตพิทักษ์ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค. หลังดึง “อุเทน” กรรมการ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เข้ามานั่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มร่วมกับ “ทองมา” ก่อนที่จะได้รับการโปรโมตเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานกรรมการบริหาร เมื่อต้นปี 2565 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของ พฤกษา ในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทำให้ “เจ้าของ” และผู้บุกเบิกต้องลงมาดูแลเอง
6.บ้านหรูบูมชิงดีมานด์ลูกค้ากำลังซื้อสูง
ตลาดบ้านหรูในประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกและทางรอดสำหรับดีเวลลอปเปอร์ ท่ามกลางกำลังซื้อระดับกลาง-ล่างเปราะบางอย่างหนัก คอลลิเออร์สฯ ระบุว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดบ้านระดับ Ultimate Class เติบโตอย่างเด่นชัด โดยมีอุปทานเปิดขายใหม่กว่า 394 ยูนิต มูลค่าการซื้อขายใหม่สูงกว่า 450,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโดยดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ อาทิ เอสซี แอสเสท, แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ แสนสิริ ลุยลงทุนตลาดบ้านหรูราคาสูงระดับ 100 ล้านบาท บางโครงการทะยานถึง 1,300 ล้านบาทต่อยูนิต
การขยายตัวของตลาดบ้านหรูมุ่งเจาะกำลังซื้อผู้บริโภคระดับบนที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่ง “ไม่ใช่” แค่กลุ่มคนไทยที่ร่ำรวย แต่ยังมีนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียงที่มีความมั่งคั่ง กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ทำเลฮอต ได้แก่ สุขุมวิท อารีย์ บางนา พระราม 9 และพัฒนาการ
7.Branded Residences แม่เหล็กดึงต่างชาติ
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจคือการเติบโตของ “Branded Residences” ในประเทศไทย โดยการนำแบรนด์ระดับโลก หรือ Branded Residences มาผสมผสานตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ อาทิ โครงการ “ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก” ของอนันดาฯ ที่มีราคาขายสูงถึง 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร หรือเริ่มต้น 525 ล้านบาท ไปจนถึง 1,400 ล้านบาทต่อยูนิต สะท้อนการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดระดับไฮเอนด์ พร้อมแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก ที่ไม่เพียงเน้นการพัฒนาโครงการหรูหราเท่านั้น แต่มุ่งสร้างความแตกต่างด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์เนมที่แข็งแกร่งดึงดูดลูกค้าไฮเอนด์ทั้งชาวไทยและต่างชาติ
8.กระแส Generation Rent มาแรง
ตลาดของ “คนรุ่นใหม่” กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เลือก “เช่า” มากกว่า “ซื้อ” จากภาวะค่าครองชีพสูง เงินออมน้อย! ทำให้การซื้อหรือครอบครองที่อยู่อาศัยกลายเป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่ ด้วยราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้ นอกจากนี้ภาระหนี้สิน จากการศึกษา การใช้บัตรเครดิต ทำให้ไม่อยากผูกมัดกับ “ภาระการผ่อนระยะยาว” เป็นที่มาของกระแส “Generation Rent” ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เลือกเช่าบ้านแทนการซื้อเพื่อหลีกเลี่ยงภาระทางการเงินและเพิ่มความยืดหยุ่นในชีวิต
ปัจจัยลบและโอกาสใหม่เหล่านี้ยังจะเป็นตัวแปรหลักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 รอพิสูจน์ฝีมือบรรดาดีเวลลอปเปอร์จะก้าวข้ามสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้แค่ไหน ต้องติดตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘ภูเก็ต’เดสติเนชั่นฮอต! บิ๊กรีเทล-อสังหาฯ แห่ผุดคอนโด วิลล่าหรู มิกซ์ยูส
‘ภูเก็ต’แชมป์เดสติเนชั่นฮอตปรอทแตก! บิ๊กรีเทล-อสังหาฯ แห่ผุดคอนโด วิลล่าหรู มิกซ์ยูสหมื่นล้านกลายเป็น “ทำเลทอง” ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จับจอง “โอกาส” ในการพัฒนาโครงการรองรับดีมานด์ไทยและต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
หลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ “เกาะภูเก็ต” เมืองท่องเที่ยวระดับโลกของไทย เป็นเสมือนจุดหมายปลายทางแรกที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมุ่งหน้ามาเยือนจำนวนมาก ในปี 2566 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง “คอนโดมิเนียม” เปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 8,743 ยูนิต มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาของตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ต
ส่งต่อความแรงมาถึงปี 2567 “คอนโดมิเนียม” และ “บ้านพักตากอากาศ” หรือ วิลล่าหรู มีอุปทานเปิดขายใหม่สูงสุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 120,000 ล้านบาท! เฉพาะไตรมาส 4 ปี 2567 มีโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ รอการเปิด 3,200 หน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
ย้อนไปไตรมาส 3 ปี 2567 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในภูเก็ตมากถึง 9,298 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าลงทุนรวม 45,840 ล้านบาท ถือเป็นอุปทานเปิดขายใหม่สูงสุดของภูเก็ตในรอบ 15ปี โดยย่านบางเทา เชิงทำเล กะตะ และพื้นที่ใจกลางเมืองภูเก็ตเป็น “ทำเลทอง” ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จับจอง “โอกาส” ในการพัฒนาโครงการรองรับดีมานด์ไทยและต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา มีคอนโดมิเนียมรอการเปิดขายใหม่ในพื้นที่อีกกว่า 2,500 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท คาด สิ้นปี 2567 การเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในภูเก็ตอาจสูงกว่า 12,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าลงทุนรวมกว่า 63,000 ล้านบาท!!
ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่าจากแนวโน้มดังกล่าวคาดการณ์ว่าปี2568 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องแต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัว“ลดลง”อยู่ที่6,000-8,000ยูนิต เนื่องจากช่วง2ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า20,000ยูนิต !!!ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงและทำเลที่ยังคงได้รับความนิยมยังคงเป็นทำเลบางเทา เชิงทะเล ราไวย์ กะตะ กะรนและในพื้นที่เมืองภูเก็ต จากเดิมที่มีการเปิดตัวแค่ปีละ 2,000 -3,000 ยูนิตต่อปีเท่านั้น
“บรรดาบิ๊กดีเวลลอปเปอร์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมองว่าภูเก็ตเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากที่สุดทั้งจากกำลังซื้อชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซียเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ทำให้มีการเข้าลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในภูเก็ตต่อเนื่องในปี 2568”
สำหรับภาพรวมของบ้านพักตากอากาศในเมืองไทยที่ผ่านมาค่อนข้างได้รับความสนใจจากกลุ่มเศรษฐีทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” บ้านพักตากอากาศ หรือวิลล่าหรู ราคาสูง เป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนชาวไทยและต่างชาติไม่แพ้คอนโดมิเนียม
ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีโครงการบ้านพักตากอากาศเปิดขายในพื้นที่เกาะภูเก็ตมากถึง 1,510 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าทุน 68,530 ล้านบาท!
นอกจากนี้ ยังพบว่าอุปทานเปิดขายใหม่ของตลาดบ้านพักตากอากาศในปี 2567 ตั้งอยู่ใน “ย่านเชิงทะเล” เป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นสัดส่วน 55.90% ซึ่งทำเลดังกล่าวได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย ซึ่งคอลลิเออร์สฯ คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่ถึง 1,850 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 75,000 ล้านบาท
ปัจจุบันทำเลหลักของการลงทุนวิลล่าส่วนใหญ่ อยู่บริเวณชายหาดและพื้นที่ใกล้แนวชายหาด ซึ่งโครงการบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่มีทำเลที่เปิดขายและได้รับความสนใจส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอถลางมากที่สุด ตามแนวชายฝั่งตะวันตกของเกาะ ย่านหาดบางเทา หาดสุรินทร์ หาดลายัน เชิงทะเล รองลงมา คือ อำเภอเมืองภูเก็ต บริเวณอ่าวฉลอง หาดราไวย์ และ อำเภอกะทู้ หาดกมลา ป่าตอง
ภัทรชัย กล่าวว่า ตลาดบ้านพักตากอากาศในเกาะภูเก็ต จะยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง และคาดว่ายังคงมีผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ ทั้งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก เข้าลงทุนเปิดโครงการใหม่ทั้งในรูปแบบโครงการคอนโดมิเนียม บ้านพักตากอากาศ หรือ “มิกซ์ยูส” เป็นจำนวนมากในปี 2568 ส่งผลให้ทำเลที่ดีเวลลอปเปอร์นิยมพัฒนาบ้านพักตากอากาศระดับราคา 25-50 ล้านบาท จะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างจากชายหาดมากขึ้นเพราะต้นทุนราคาที่ดินไม่สูง มีบรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย
“ปัจจุบันที่ดินริมทะเลเริ่มหายากและมีราคาที่สูงมาก บวกกับราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ที่ดินติดหาดราคาเฉลี่ย 300 ล้านบาทต่อไร่”
ขณะที่ อรรถสิทธิ์ อิทรชูติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ระบุว่า อสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตมีศักยภาพสูงในทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม หรือวิลล่า มีอัตราดูดซับสูง 50% ส่งผลให้ราคาที่ดินภูเก็ตช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เติบโต 200% โดยเฉพาะไพร์มโลเกชั่น อาทิ บางเทา เชิงทะเล และป่าตอง ราคาเริ่มต้น 30-300 ล้านบาทต่อไร่ ตามดีมานด์ของกลุ่มทุน “นอกพื้นที่ภูเก็ต”เข้ามาพัฒนาโครงการมากขึ้น
“ปีนี้ โบทานิก้ามีแผนลงทุน 12,000 ล้านบาท พัฒนาวิลล่าหรู 4 ทำเลใหม่ ฉลอง ราไวย์ ภูเก็ตทาวน์ และอ่าวปอ และ 2 โครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ย่านบางเทา-เชิงทะเล”
อย่างไรก็ตาม ที่น่าจับตาการพัฒนาบิ๊กโปรเจกต์ในภูเก็ต ยังมีีโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ เจ้าของสยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามพารากอน และไอคอนสยาม ซึ่งมีแผนเปิดสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต แห่งที่ 2 ใกล้กับโรบินสันไลฟ์สไตล์ ถนนศรีสุนทร รองรับการชอปปิงและการท่องเที่ยวของกลุ่มลูกค้าไทยและชาวต่างชาติ กำหนดเปิดบริการภายในปี 2569
ก่อนหน้านี้ ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เคยให้สัมภาษณ์ว่า มีที่ดินแปลงใหญ่ขนาด 500-600 ไร่ที่ภูเก็ต มีแผนพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนนานาชาติ เฮลธ์แคร์ รีเทลเอาท์เล็ต และที่อยู่อาศัย เป็นหนึ่งใน “โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้” ของภูเก็ต
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2ม.ค. “อ่อนค่าหนัก” ที่ระดับ 34.31 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways ในระหว่างวันการเคลื่อนไหวอาจขึ้นอยู่กับราคาทองคำ หากราคายังปรับตัวสูงขึ้นอาจช่วยลดทอนแรงกดดันจากทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในระยะสั้นและ ควรจับตาค่าเงินหยวน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2ม.ค. 2568 ที่ระดับ 34.31 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 34.07 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2567)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย
โดยบรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์อยู่ อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น ทว่าเงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถกลับมาแกว่งตัวแถวโซน 2,620-2,630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ทำให้โดยรวมเงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าตลาดการเงินจะปิดทำการเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม ทว่าหากประเมินจากสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้น อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่กลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอย่างเต็มที่ โดยล่าสุด สัญญาฟิวเจอร์สดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงราว -0.31% เช่นเดียวกันกับสัญญาฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นเทคฯ และ สัญญาฟิวเจอร์สหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่ต่างปรับตัวลงราว -0.3%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงวันหยุดตลาดการเงินไทย ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดช่วงท้ายปี หนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.5 จุด ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 1 ปี ได้ (แกว่งตัวในกรอบ 107.8-108.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น แต่ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด รวมถึงจังหวะการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็พอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,630-2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ก็สามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มากนัก โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ หลังในรายงานล่าสุด รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง
(Continuing Jobless Claims) กลับปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับการปรับตัวลดลงของยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนประเมินว่า ภาพดังกล่าวอาจสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีน (Caixin Manufacturing PMI) ในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง มากกว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตโดยทางการจีน ที่ได้รายงานในวันที่ 31 ธันวาคม
โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตมีแนวโน้มทรงตัวแถวระดับ 51.5 จุด สะท้อนว่า ภาคการผลิตของจีนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง หนุนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนธันวาคม
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมองว่า เงินบาทก็อาจแกว่งตัว Sideways โดยมีโซน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านแรกในช่วงนี้ ขณะที่โซนแนวรับอาจอยู่ในช่วง 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์
จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเริ่มเห็นการเลือกทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนของเงินบาทในระยะข้างหน้า
โดยเราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทก็อาจยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามกลยุทธ์ Trend-Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านทั้ง 34.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็อาจขึ้นอยู่กับ แนวโน้มราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ ก็อาจช่วยลดทอนแรงกดดันเงินบาทจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงระยะสั้น
นอกจากนี้ ควรจับตาการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) หลังตลาดรับรู้รายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตด้วยเช่นกัน เพราะหากผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมากขึ้น
ในกรณีที่รายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตออกมาตามคาด หรือ ดีกว่าคาด ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวนจีนได้ หรือช่วยหนุนให้เงินหยวนจีนกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ควรติดตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติเช่นกัน หลังหลายตลาดการเงินจะเริ่มกลับมาทำการตามปกติ ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อ ขาย สินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจคึกคักมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ โดยสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัว +/-0.20% ได้ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.40 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่าไปทดสอบแนว 34.30 ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.17-34.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.31 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดของวันทำการก่อนหน้าที่ 34.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อยตามแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชันท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เฟดอาจชะลอแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในปีนี้ และแนวโน้มผลกระทบจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ที่เตรียมจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนนี้
อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากแรงขายเงินหยวนชะลอลงหลังทางการจีนประกาศอัตราอ้างอิงเงินหยวนในระดับที่แข็งค่ากว่าวันทำการก่อนหน้า (Today’s fix of 7.1879, vs. previous day’s fix of 7.1884 and Reuters estimate of 7.2916)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.15-34.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของจีน ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิว กุลวุฒิ ชนมือดีฝรั่งเศสแมตช์เปิดฤดูกาลแบดมินตันมาเลซียโอเพ่น
เปิดสายแข่งขันแบดมินตัน มาเลเซีย โอเพ่น 2025 นักกีฬาไทยเตรียมลงชิงชัยหลายอีเวนต์ ชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ ประเดิมรอบแรกชนมือดี อเล็ก ลานิเยร์ มือ 18 ของโลกจากฝรั่งเศส
ความเคลื่อนไหวของการแข่งขันแบดมินตันในระดับเวิลด์ทัวร์ ฤดูกาล 2025 ซึ่งจะกลับมาทำเปิดฉากทำการแข่งขันกันอีกครั้งในช่วงต้นเดือนม.ค.2025 ล่าสุดสหพันธ์แบดมินตันโลก ได้เปิดสายการแข่งขันรายการ มาเลเซียน โอเพ่น 2025 รายการเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 1,450,000 เหรียญ หรือประมาณ 49.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีขึ้นที่เอเซียต้า อารีน่า กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 7-12 ม.ค.2025 โดยทัวร์นาเมนต์นี้มีนักกีฬาแบดมินตันไทยเข้าร่วมชิงชัยด้วยหลายประเภท โดยผลการประกบคู่รอบแรก (32 คน/คู่) มีดังนี้
ในประเภทชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก 2024 มือ 5 ของโลก และมือ 5 ของรายการ เจองานไม่ง่าย เมื่อต้องพบกับ อเล็ก ลานิเยร์ ดาวตบฟอร์มแรงมือ 18 ของโลก จากฝรั่งเศส ส่วนประเภทหญิงเดี่ยว “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือ 11 ของโลก และมือ 5 ของรายการ จะพบกับ หลิน เซียงตี้ มือ 38 ของโลก จากไต้หวัน ด้าน “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือ 14 ของโลก และมือ 8 ของรายการ จะพบกับ อานูพาม่า อูพัชดาย่า มือ 46 ของโลก จากอินเดีย ส่วน “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือ 17 ของโลก จะพบกับ โล ซิน ยวน แฮปปี้ มือ 51 ของโลก จากฮ่องกง และ “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มือ 45 ของโลก จะพบกับ คาโอรุ ซูกิยามา มือ 40 ของโลก จากญี่ปุ่น
ด้านหญิงคู่ สองพี่น้อง “อันนา” นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มือ 18 ของโลก จะพบกับ ฟ่าน คา หยาน กับ เหยา หม่า หยิง คู่มือ 63 ของโลกจากฮ่องกง ส่วน “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิล” สุกฤตา สุวะไชย คู่มือ 42 ของโลก พบ ทรีซ่า จอลลี่ กับ กายาตรี โกพิชานด์ พูลเลล่า คู่มือ 11 ของโลก และมือ 6 ของรายการ จากอินเดีย ด้านประเภทชายคู่ “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มือ 30 ของโลก พบ เฉิน โบ๋หยาง กับ หลิว ยี่ คู่มือ 18 ของโลก จากจีน
ขณะที่คู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” สุภิสรา เพียวสรามพราน คู่มือ 57 ของโลก พบ ยี ฮอง เหวย กับ นิโคล กอนเซเลซ ชาน คู่มือ 64 ของโลก จากไต้หวัน และ “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์นิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือ 26 ของโลก พบศึกหนักเจอ เจียง เจิ้งบัง กับ เว่ย หย่าซิน คู่มือ 2 ของโลก และคู่มือ 2 ของรายการจากจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
สาวส่องกล้องพบ “หลอดอาหาร” สภาพสะบักสะบอม สาเหตุคาดไม่ถึง นิสัยการดื่มน้ำผิดๆ
สาวส่องกล้องพบ “หลอดอาหาร” สภาพสะบักสะบอม หมอชี้สาเหตุที่คนไข้ก็คาดไม่ถึง เพราะนิสัยการดื่มน้ำผิดๆ
หญิงวัย 30 ปีจากภาคเหนือของจีนเข้ารับการปรึกษาทางการแพทย์ เนื่องจากมีอาการกลืนลำบาก แพทย์ได้ทำการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร (gastroscopy) และพบ “แผลขนาดใหญ่” บริเวณกลางและล่างของหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปใน “โรคหลอดอาหารอักเสบจากยา”
จาง จิ้ง แพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารและตับ-ท่อน้ำดี ชี้ว่า สาเหตุหลักของแผลไหม้ที่หลอดอาหารเกิดจากยาที่ติดอยู่กับเยื่อบุหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบและบางครั้งถึงขั้นเกิดแผลในหลอดอาหาร ซึ่งมักเกิดจากการดื่มน้ำน้อยเกินไปขณะรับประทานยา หรือการนอนราบทันทีหลังรับประทานยา ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ
บทความพิเศษของหมอจาง จิ้ง ได้อธิบายว่า หญิงรายนี้มีอาการกลืนลำบาก แพทย์หูคอจมูกได้จัดการส่องกล้องตรวจกล่องเสียงแต่ไม่พบความผิดปกติ เมื่อสอบถามประวัติการรักษาอย่างละเอียด พบว่าเธอเพิ่งรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการทางผิวหนัง ทำให้แพทย์สงสัยว่าแผลหลอดอาหารอาจเกิดจากยา และจึงจัดการส่องกล้องทางเดินอาหารข้ามแผนกทันที
“และก็เป็นไปตามคาด! กล้องส่องพบแผลหลอดอาหารขนาดใหญ่บริเวณกลางและล่างของหลอดอาหาร” จาง จิ้ง กล่าวขณะดูผลตรวจจากกล้องส่อง เขาอธิบายว่านี่เป็นอาการ “โรคหลอดอาหารอักเสบจากยา” แบบชัดเจน หลังจากการตรวจ แพทย์ได้จ่ายยารักษาและแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสียหายซ้ำต่อแผลในหลอดอาหาร
สาเหตุและคำแนะนำในการป้องกัน
จาง จิ้งอธิบายว่า โรคหลอดอาหารอักเสบจากยามักเกิดจากยาที่ติดอยู่กับเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบและแผลในหลอดอาหาร สาเหตุหลักมักเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอขณะรับประทานยา หรือการนอนราบทันทีหลังทานยา
ยาที่มักก่อให้เกิดโรคนี้ เช่น
- ยาปฏิชีวนะ (เช่น ด็อกซีไซคลีน)
- ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ (NSAIDs)
อาการมักจะหายไปภายในไม่กี่วันหลังหยุดยาที่เป็นสาเหตุ และใช้ยาลดกรดหรือยานมเคลือบกระเพาะช่วยบรรเทา
จาง จิ้งกล่าวในการสัมภาษณ์กับ ETtoday ว่า อัตราการเกิดโรคหลอดอาหารอักเสบจากยาประมาณ 3.9 คนต่อประชากร 100,000 คน “ไม่ใช่โรคที่พบบ่อยมาก แต่ก็มีผู้ป่วยให้เห็นบ้าง” โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ผู้สูงอายุ และเด็ก
วิธีป้องกัน
จาง จิ้งแนะนำว่า การใช้ยาในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดยปฏิบัติตามหลักการสำคัญ เช่น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ (ประมาณ 200-250 มิลลิลิตร) ขณะรับประทานยา
- อย่านอนราบทันทีหลังรับประทานยา ควรรอประมาณ 30 นาที
การปฏิบัติเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดอาหารอักเสบจากยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
35 ปี Ransomware ภัยไซเบอร์พันล้านดอลลาร์
ย้อนรอยเส้นทาง 35 ปี Ransomware จากจุดเริ่มต้นในยุคดิจิทัลแรกเริ่ม สู่การเป็นอาวุธไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ พร้อมสำรวจการพัฒนาและกลยุทธ์ใหม่ของภัยคุกคามที่โลกต้องเผชิญในยุคปัจจุบัน
Ransomware แรนซัมแวร์ มีประวัติย้อนกลับไปถึงช่วงทศวรรษ 1980 เป็นรูปแบบมัลแวร์ที่ผู้ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ใช้เพื่อล็อกไฟล์บนคอมพิวเตอร์ของบุคคลและเรียกร้องการชำระเงินเพื่อปลดล็อก
เทคโนโลยีซึ่งมีอายุครบ 35 ปีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2024 พัฒนาไปอย่างมาก โดยปัจจุบันอาชญากรสามารถสร้างแรนซัมแวร์ได้เร็วขึ้นมาก และนำไปใช้กับเป้าหมายต่างๆ ได้หลายเป้าหมาย
อาชญากรไซเบอร์กอบโกยรายได้จากการเรียกค่าไถ่ด้วยสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามข้อมูลจาก Chainalysis บริษัทวิเคราะห์บล็อคเชน
ผู้เชี่ยวชาญคาดหวังว่าแรนซัมแวร์จะยังคงพัฒนาต่อไป โดยเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ปัญญาประดิษฐ์ และภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันจะกำหนดอนาคต
Ransomware เกิดขึ้นได้อย่างไร
เหตุการณ์แรกที่ถูกมองว่าเป็นการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เกิดขึ้นในปี 1989 แฮกเกอร์ส่งฟลอปปีดิสก์ หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ โดยอ้างว่ามีซอฟต์แวร์ที่สามารถช่วยตรวจสอบว่าบุคคลใดมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์หรือไม่ เมื่อติดตั้งแล้วซอฟต์แวร์จะซ่อนไดเรกทอรีและเข้ารหัสชื่อไฟล์บนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หลังจากรีบูต 90 ครั้ง
จากนั้นจะแสดงบันทึกค่าไถ่เพื่อขอส่งเช็คเงินสดไปยังที่อยู่หนึ่งในปานามาเพื่อขอรับใบอนุญาตในการกู้คืนไฟล์และไดเร็กทอรี โปรแกรมนี้เป็นที่รู้จักในชุมชนความปลอดภัยทางไซเบอร์ในชื่อ “AIDs Trojan”
ผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นนักชีววิทยาที่เรียนที่ฮาร์วาร์ดชื่อ โจเซฟ ป็อปป์ ถูกจับได้ หลังแสดงพฤติกรรมผิดปกติ เขาถูกตัดสินว่าไม่เหมาะสมที่จะขึ้นศาลและส่งตัวกลับสหรัฐ
แรนซัมแวร์พัฒนามาอย่างไร
นับตั้งแต่ AIDs Trojan ปรากฏขึ้น แรนซัมแวร์ก็มีการพัฒนาไปมาก ในปี 2004 ผู้ก่อภัยคุกคามได้กำหนดเป้าหมายพลเมืองรัสเซียด้วยโปรแกรมแรนซัมแวร์ที่ผิดกฎหมายซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “GPCode”
โปรแกรมถูกส่งถึงผู้คนผ่านทางอีเมล ซึ่งปัจจุบันเป็นวิธีการโจมตีที่เรียกกันทั่วไปว่าฟิชชิ่ง ผู้ใช้ที่ถูกล่อลวงด้วยคำสัญญาว่าจะได้รับข้อเสนองานที่น่าสนใจจะดาวน์โหลดไฟล์แนบที่มีมัลแวร์ซึ่งปลอมตัวมาเป็นแบบฟอร์มใบสมัครงาน
เมื่อเปิดไฟล์แนบแล้วจะดาวน์โหลดและติดตั้งมัลแวร์บนคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ โดยทำการสแกนระบบไฟล์และเข้ารหัสไฟล์และเรียกร้องการชำระเงินผ่านการโอนเงิน
ในช่วงต้นทศวรรษ 2010 แฮกเกอร์เรียกค่าไถ่ได้หันมาใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นวิธีการชำระเงิน
ปี 2013 เพียงไม่กี่ปีหลังจากการสร้าง Bitcoin แรนซัมแวร์ CryptoLocker ก็ปรากฏขึ้น
แฮกเกอร์ที่ต้องการโจมตีบุคคลที่มีโปรแกรมนี้เรียกร้องให้ชำระเงินด้วย bitcoin หรือคูปองเงินสดแบบเติมเงิน แต่ถือเป็นตัวอย่างแรกๆ ที่แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินดิจิทัลได้กลายมาเป็นสกุลเงินที่ผู้โจมตีด้วยแรนซัมแวร์เลือกใช้
ตัวอย่างที่เด่นชัดมากขึ้นของการโจมตี ด้วยแรนซัมแวร์ที่เลือกสกุลเงินดิจิทัลเป็นวิธีชำระค่าไถ่ ได้แก่ WannaCry และ Petya
อะไรจะเกิดขึ้นกับแรนซัมแวร์ต่อไป
แรนซัมแวร์พัฒนาก้าวหน้าไปอีก ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าแฮกเกอร์จะค้นหาวิธีการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์จากธุรกิจและบุคคลต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รายงานจาก Cybersecurity Ventures คาดการณ์ว่าภายในปี 2031 แรนซัมแวร์จะทำให้เหยื่อสูญเสียเงินรวม 265 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
ผู้เชี่ยวชาญบางคนกังวลว่า AI ได้ลดอุปสรรคในการเข้าถึงสำหรับอาชญากรที่ต้องการสร้างและใช้แรนซัมแวร์ เครื่องมือ Generative AI เช่น ChatGPT ของ OpenAI ช่วยให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปสามารถแทรกคำถามและคำขอในรูปแบบข้อความ และได้รับคำตอบที่ซับซ้อนและเหมือนมนุษย์ในการตอบสนอง และโปรแกรมเมอร์หลายคนยังใช้เครื่องมือนี้เพื่อช่วยเขียนโค้ดอีกด้วย
การกำหนดเป้าหมายระบบคลาวด์
ภัยคุกคามร้ายแรงที่ต้องระวังในอนาคตคือแฮกเกอร์ที่โจมตีระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจัดเก็บข้อมูลและโฮสต์เว็บไซต์และแอปจากศูนย์ข้อมูลที่อยู่ห่างไกลได้ ซึ่งอาจเห็นการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสทรัพย์สินบนคลาวด์หรือกักขังการเข้าถึงโดยการเปลี่ยนแปลงข้อมูลประจำตัวหรือใช้การโจมตีที่อิงตามตัวตนเพื่อปฏิเสธการเข้าถึงของผู้ใช้
ขณะเดียวกันยังคาดว่าภูมิรัฐศาสตร์จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของแรนซัมแวร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
แนะนําตัวภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์งาน
แนะนําตัวภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์งาน
(How to Introduce Yourself at a Job Interview.)
การแนะนําตัวภาษาอังกฤษ
น้องๆ นักศึกษาที่จบใหม่ หรือ คนที่กำลังมองหาโอกาสในการทำงาน จะต้องพบกับการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งนับว่าเป็นด่านแรกของการรับเข้าทำงาน เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมในการฝึกพูดภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความมั่นใจ และให้ผู้สัมภาษณ์งานเกิดความประทับใจ ตั้งแต่ที่พบเจอ
เอ็ด ดู เฟิร์สท์ ได้รวบรวม ตัวอย่าง แนะนําตัวภาษาอังกฤษสัมภาษณ์งาน โดย เริ่มจากการทักทายผู้สัมภาษณ์งาน การบอกชื่อ, ประวัติการศึกษา ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร รวมถึงบอกเหตุผลที่คุณสมัครงาน ตามตัวอย่างการแนะนำตัวดังต่อไปนี้
ประโยคแนะนําตัวภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์งาน
ทักทายผู้สัมภาษณ์
- Hello / Good Morning. I am glad to be here for this interview.
(เฮลโล่ / กูด มอร์’นิง . ไอ แอม แกลด ทู บี เฮีย ฟอร์ ทีส อิน’เทอวิว)
แนะนำตัว
- My name is _____________________________.
เล่าถึงประวัติการศึกษา
- I graduated with a bachelor’s degree in …..(สาขาวิชาที่จบ เช่น Communication Arts)…..
- from …..(ชื่อสถาบัน)…..University.
- In my course of study I took courses in …..(ชื่อวิชาที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบในตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เช่น Public Relations and Advertising)…,
- with grad A in Advertising course.
หากคุณยังไม่เคยทำงานมาก่อน ให้เน้นที่ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย และการฝึกงาน
ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย
- While in the university I have joined …..(ชื่อชมรม/ชื่อกิจกรรม the Journalist Club)….. in 2020-2021 and I have been voted for a chairman in 2022. I learned a lot from this club. I got new friends from other faculties. Learn to work with others, learned to be a leader and learn how to succeed together.
ประสบการณ์การฝึกงาน
During my last summer vacation, I interned at …..(ชื่อบริษัท)….., a leading media agency in Thailand where I had a chance to practise writing advertising copies and learned how to work as professional in the field.
หากคุณมีประสบการณ์ทำงานแล้ว ให้เล่าย่อ ๆ เกี่ยวกับลักษณะงาน โดยเน้นที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร
ประวัติการทำงาน
- หากคุณยังทำงานอยู่
I currently work as a …..(ชื่อตำแหน่ง)….. at …..(ชื่อบริษัท)….. . - หากคุณออกจากงานแล้ว
I previously worked as a …..(ชื่อตำแหน่ง)….. at …..(ชื่อบริษัท)….. .
My responsibilities include …..(หน้าที่ความรับผิดชอบของคุณ)……
เหตุผลที่สนใจสมัครงานนี้
- I am interested to apply for this position because I am confident that my experience in …..(ลักษณะงานที่ทำ)….. will prove to be a suitable match for your needs.
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,450.00 | 42,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,750.00 | 41,690.00 | 43,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,475.00 | 37,521.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,200.00 | 33,352.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,238.00 | 18,768.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 963.00 | 14,599.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,850.00 | 43,206.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.25 | 36.25 | 36.75 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.88 | 35.88 | 36.38 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.14 | 34.14 | 34.64 | 34.14 | 34.14 | – | 34.14 | 34.14 | 34.14 | 34.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.89 | 33.89 | – | – | – | – | – | – | – | 33.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.84 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.84 |
เบนซิน 95 | 44.54 | – | – | – | 49.81 | – | 45.04 | 44.69 | – | 44.54 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 31.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |