สาระน่ารู้ประจำวันที่ 02 ตุลาคม 2568

ตลาดคอนโดต่างชาติชะลอ โอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีแรกวูบ 12.6%

  • ยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชะลอตัวลง โดยมีมูลค่ารวมลดลง 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • สาเหตุหลักของการชะลอตัวมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการตัดสินใจลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น
  • แม้ภาพรวมจะลดลง แต่กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนยังคงเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุด ในขณะที่ผู้ซื้อจากสหราชอาณาจักรมีมูลค่าการซื้อต่อยูนิตสูงที่สุด

แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มกลับมาขยับตัว แต่ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) สะท้อนภาพที่ต่างออกไปสำหรับตลาดต่างชาติ โดยใน ไตรมาส 2 ปี 2568 การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติลดลงในทุกมิติ ทั้งจำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ใช้งาน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ตัวเลขล่าสุดเผยว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 3,248 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 12,318 ล้านบาท และพื้นที่รวม 134,270 ตารางเมตร ลดลงจากปีก่อนถึง -2.2%, -16.9%, และ -11.4% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของตลาดต่างชาติเมื่อเทียบกับตลาดรวมกลับเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 13.9% ของจำนวนหน่วย และ 23.1% ของมูลค่ารวม แสดงให้เห็นว่ากลุ่มต่างชาติยังมีบทบาทสำคัญในตลาดคอนโดมิเนียมไทย แม้ภาพรวมจะชะลอตัวลง

“แม้ยอดรวมจะลดลง แต่ตลาดต่างชาติยังคงมีน้ำหนักในเชิงมูลค่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อจีนและอังกฤษที่สะท้อนกำลังซื้อและความต้องการที่หลากหลาย”

ต่างชาติยังไม่หาย แต่ชะลอตัว

ในภาพรวม ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (ม.ค. – มิ.ย.) มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 7,167 หน่วย มูลค่า 28,711 ล้านบาท ลดลง -1.3% และ -12.6% ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยและโลกที่ชะลอตัว ต่อเนื่อง ส่งผลต่อกำลังซื้อและพฤติกรรมการลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น

ในเชิงภูมิศาสตร์และมูลค่า กลุ่ม ชาวจีน ยังคงเป็นผู้ซื้อหลัก โดยครองสัดส่วน กว่า 1 ใน 3 ของตลาด ทั้งในด้านจำนวนและมูลค่า แม้จะลดลงจากปีก่อน ส่วนผู้ซื้อจาก สหราชอาณาจักร โดดเด่นในเรื่องมูลค่าการโอนต่อหน่วยสูงสุด เฉลี่ย 5.15 ล้านบาท และขนาดห้องใหญ่เฉลี่ย 57.5 ตารางเมตร สะท้อนแนวโน้มการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงผสมกับการลงทุน

“ตลาดคอนโดไทยยังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการพอร์ตลงทุนระยะยาว หรือมองไทยเป็นบ้านหลังที่สอง”

 Insight ขนาดห้อง – ราคาต่อหน่วย

ข้อมูลยังระบุว่า ห้องชุดที่ต่างชาติเลือกซื้อในครึ่งปีแรกของปีนี้ มีขนาดเฉลี่ย 41.7 ตารางเมตร มูลค่าต่อหน่วยเฉลี่ย 4 ล้านบาท หรือ ตารางเมตรละ 96,136 บาท

กลุ่มประเทศที่ติดอันดับผู้ซื้อสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหราชอาณาจักร รัสเซีย  สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาเซียนบางประเทศ ซึ่งต่างมีพฤติกรรมการซื้อที่หลากหลาย สะท้อนความต้องการทั้งในเชิงไลฟ์สไตล์ และการลงทุน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ทำเลบางนาฮอต ‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัวทาวน์โฮมใหม่ที่เข้าใจคุณภาพชีวิตจริง

  • เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมใหม่ในทำเลบางนา ภายใต้ชื่อ PLENO สุขุมวิท – บางนา 4
  • นำเสนอทาวน์โฮมโมเดลใหม่ ‘MIRTH LOFT’ ที่พัฒนาจากการศึกษาความต้องการของลูกค้ากว่า 1,000 ครอบครัว เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตจริง
  • ชูจุดเด่นทาวน์โฮม 2.5 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. ดีไซน์ Open Plan และห้องนอนใหญ่พร้อมชั้นลอยส่วนตัว
  • โครงการมาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน เช่น คลับเฮาส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง สระว่ายน้ำ และ Co-working Lounge

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในห้วงที่โอกาสทองเป็นของผู้ซื้อดีเวลลอปเปอร์ต่างงัดแคมเปญกลยุทธ์จูงใจในทางกลับกัน ภายใต้คำมั่นสัญญา ชีวิตดีๆสำหรับบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด(มหาชน) ก้าวข้ามการแข่งขัน เปิดตัวโครงการใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงจุดเข้าใจคุณภาพชีวิตจริง ที่เลือกเองได้   

นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านแฝดและทาวน์โฮม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจบ้านแฝดและทาวน์โฮมเอพีเดินหน้าต่อเนื่องก่อนเข้าไตรมาสสุดท้ายของปี

ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดบ้านแฝดและทาวน์โฮมในเมือง ที่คิดค้น พัฒนา และส่งมอบโครงการคุณภาพ เพื่อให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของบ้านแฝดและทาวน์โฮมหลังใหม่ ที่ครบทุกคำตอบของ ‘ที่สุดของ Living Quality ในแบบคุณ’ ผ่านหัวใจสำคัญของทีมทำงานคือ “ความเข้าใจชีวิต” ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม

โดยเฉพาะเบื้องหลังการพัฒนาทาวน์โฮมโมเดลใหม่ล่าสุด ‘MIRTH LOFT’ ที่เราส่งทีมงานลงพื้นที่ทำความเข้าใจ และรับฟังเสียงของลูกค้าทาวน์โฮมกว่า 1,000 ครอบครัว ในทำเลสุขุมวิท – บางนา เพื่อถอดรหัสออกมาว่าจริงๆ แล้ว คุณภาพชีวิตที่ดีในแบบของเขาคืออะไร และเจาะลึกไปถึง Unspoken Needs ความต้องการหรือความรู้สึกที่แม้แต่ลูกค้าเองก็อาจไม่เคยสื่อออกมา

ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เอพีมั่นใจว่า MIRTH LOFT จะไม่ใช่เพียงทาวน์โฮมโมเดลใหม่ที่มีฟังก์ชันครบกว่าคู่แข่ง แต่เป็นผลลัพธ์ของพื้นที่ที่จะเติมเต็มคุณภาพชีวิต (Living Quality) ทั้งในมิติของฟังก์ชัน คุณภาพ ในสังคมที่อบอุ่น และที่สำคัญคือการเติมเต็มความรู้สึกของลูกค้าเมื่อเข้าอยู่และใช้ชีวิตในระยะยาว

3 จุดเด่นของ MIRTH LOFT ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ล่าสุด 2.5 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร ขนาดที่ดินเริ่ม 20 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ กับ ‘ที่สุดของ Living Quality ในแบบคุณ’

  • ความผูกพันและความภูมิใจ – ทาวน์โฮม 2.5 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร แต่มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 140 ตร.ม. โดยเฉพาะพื้นที่ชั้นแรกดีไซน์โถงใหญ่ไร้กำแพงกั้น ตั้งแต่ส่วนรับแขก ส่วนรับประทานอาหาร ไปจนถึงส่วนครัว ถูกออกแบบให้เป็น Open Plan เชื่อมทุกพื้นที่แบบไร้รอยต่อ ที่จะเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนา เสียงหัวเราะ เป็นพื้นที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความสุขและเรื่องราวร่วมกันของครอบครัว  
  • ความมั่นคงในชีวิต เพื่อชีวิตที่พร้อมเติบโต ความมั่นคงในชีวิต ไม่ได้มาจากขนาดของพื้นที่ แต่มาจากความยืดหยุ่นของพื้นที่ ที่พร้อมปรับเปลี่ยนไปตามการเติบโตของทุกคนในครอบครัว   ด้วยดีไซน์ 3 ห้องนอนในชั้นสอง ทำให้ MIRTH LOFT สามารถรองรับทุกการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างลงตัว และด้วยการก่อสร้างแบบ Conventional ทำให้พื้นที่สามารถปรับขยับขยายได้ ทำให้มั่นใจว่าบ้านหลังนี้จะตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ
  • ความรู้สึกเป็นอิสระและเป็นตัวเอง ห้องนอนใหญ่พร้อมพื้นที่ชั้นลอย คือฟังก์ชันที่มอบ  ความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ สามารถปลดปล่อยตัวตนได้อย่างเต็มที่ ปรับเปลี่ยนเป็นมุมทำงาน มุมอ่านหนังสือ หรือมุมสำหรับงานอดิเรกส่วนตัวได้อย่างอิสระ

ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ MIRTH LOFT เปิดตัวครั้งแรกที่โครงการ PLENO สุขุมวิท – บางนา 4 พร้อมเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าด้วยพื้นที่ส่วนกลางครบครัน เพราะเอพีเชื่อว่าคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบไม่ได้จบแค่ในบ้าน แต่ยังครอบคลุมไปถึงทุกพื้นที่ส่วนกลางที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์และ

ความอุ่นใจของครอบครัวเมือง ไม่ว่าจะเป็น PLENO Club ที่มีฟิตเนส 24 ชั่วโมง สวนสีเขียวขนาดใหญ่ คลับเฮาส์หรู สระว่ายน้ำ และ Co-working Lounge ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบความสุขที่ไร้ขีดจำกัดและเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมคุณภาพเพียง 130 ครอบครัว ที่จะเปลี่ยน “เพื่อนบ้าน” ให้เป็น “เพื่อนใหม่” ได้อย่างอบอุ่น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้2ต.ค. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างจำกัด ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยปรับตัวลดลงของทั้งราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ตลาดรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาจเลื่อนประกาศจากผลกระทบ Government Shutdown

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้2ต.ค.2568 ที่ระดับ  32.43 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.38 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ทยอยปรับลดสถานะดังกล่าว หรือเริ่มมีการ Stop Loss หลังเงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้

อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลง หรือ แข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน เนื่องจากในช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงภาวะ Data Blindness หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน ได้ถูกเลื่อนประกาศ จากภาวะ Government Shutdown ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่เร่งรีบปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน

ทว่า ในส่วนของราคาทองคำนั้น เรามองว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงได้บ้าง และหากผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยปิดสถานะ Long Gold (มองราคาทองคำปรับตัวขึ้น) ก็อาจยิ่งกดดันให้ราคาทองคำ ซึ่งปรับตัวขึ้นเร็ว แรงในช่วงนี้ เข้าสู่ช่วงการพักฐาน และอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้

เช่นเดียวกันกับ การปรับฐานของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ จากความกังวลกลุ่ม OPEC+ อาจเพิ่มกำลังการผลิต และความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่าง กลุ่มพลังงาน เลือกที่จะทยอยเข้าซื้อน้ำมันดิบ (Buy on Dip) โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้เช่นกัน

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.28-32.46 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลัง รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนกันยายน ลดลงถึง 3.2 หมื่นราย แย่กว่าที่ตลาดคาดว่า จะเพิ่มขึ้น 5.2 หมื่นราย

ทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจน (แม้ว่า รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม Nonfarm Payrolls อาจมีการประกาศล่าช้า จากภาวะ Government Shutdown) อาจทำให้เฟดสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้งในปีนี้ (โอกาสเพิ่มสูงขึ้นเป็น 90%) และเฟดยังมีโอกาสราว 66% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง และกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับระดับก่อนรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP หลังดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนกันยายน ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 49.1 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด

 นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยปรับตัวลดลงของทั้งราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด และยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ และยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Tesla +3.3% ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นกลุ่มยาก็ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Eli Lilly +8.2% จากความหวังว่า หากมีดีลลดราคายาลง ตามความต้องการของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ทางการสหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยาได้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.34%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า +1.15% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นยา เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ AstraZeneca +11.2% และ Roche +8.6% นอกจากนี้ ความคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ จากภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงยังหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อาทิ ASML +1.6%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังยอดการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ โดย ADP ออกมา “ลดลงพอสมควร” สวนทางกับคาดการณ์ของตลาด ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ใกล้ระดับ 4.09% แม้ว่ารายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตจะออกมาแย่กว่าคาด แต่ก็ยังไม่สามารถกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness เนื่องจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง Nonfarm Payrolls ได้ถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนบ้าง ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ และจะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน

ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเร็ว จากรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.4-97.9 จุด)

 ในส่วนของราคาทองคำ ผู้เล่นในตลาดได้เลือกทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา หลังภาวะ Government Shutdown ได้เกิดขึ้นจริง (Sell on Fact ตามที่เราประเมินไว้) อีกทั้งบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมก็อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ในเดือนกันยายน รวมถึง รายงานข้อมูลตลาดแรงงานจากฝั่งภาคเอกชน อย่าง Challenger Job Cuts หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Initial Jobless Claims) อาจมีการเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด

ทางฝั่งเอเชียนั้น ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะตลาดแรงงานของญี่ปุ่น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสราว 76% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย อีก 1 ครั้ง 25bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้  

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เนื่องจากหากภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.37-32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาททรงตัวใกล้ระดับปิดตลาดวันก่อนหน้า เพราะแม้เงินบาทจะยังขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน แต่ในฝั่งของ Sentiment เงินดอลลาร์ฯ ก็ยังคงมีปัจจัยลบกดดันเช่นกัน โดยเฉพาะความกังวลในเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามมาหาก ภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ กินระยะเวลานาน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  ราคาทองคำในตลาดโลก และความคืบหน้าในการหาทางแก้ภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


10 อันดับกิจกรรมกีฬาที่เผาผลาญแคลอรี่ได้มากที่สุด: อันดับ 1 เล่นง่ายๆ แต่โคตรเหนื่อย

หลายคนที่ออกกำลังกายมักตั้งเป้าหมายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ควบคู่ไปกับการลดน้ำหนักหรือกระชับสัดส่วน

แต่กีฬาทุกชนิดไม่ได้เผาผลาญพลังงานเท่ากัน หากเลือกกีฬาที่ใช้พลังงานสูง ก็จะช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้มากในเวลาสั้นกว่า

วันนี้เราจะพาไปดู 10 กิจกรรมทางกีฬาที่เผาผลาญแคลอรี่ได้ดีที่สุด จัดอันดับจากสูงสุดลงมา เพื่อให้คุณเลือกได้อย่างตรงเป้าหมาย

10 อันดับกิจกรรมทางกีฬาอะไร ที่เผาผลาญแคลอรี่ได้มากที่สุด

1. กระโดดเชือก (600–1,000 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

เป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก แต่ใช้พลังงานสูงมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญแคลอรี่อย่างรวดเร็วและมีเวลาจำกัด

2. วิ่ง (600–1,000 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่เข้าถึงง่ายและเผาผลาญได้สูง โดยเฉพาะเมื่อวิ่งด้วยความเร็วหรือวิ่งระยะไกล

3. ปีนเขา/ปีนผาจำลอง (500–900 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

กีฬาแนวเอ็กซ์ตรีมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแทบทุกส่วน ทั้งแขน ขา หลัง และลำตัว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและเผาผลาญได้มาก

4. ปั่นจักรยาน (400–900 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

การปั่นจักรยานกลางแจ้งหรือในฟิตเนส สามารถเผาผลาญได้มาก หากเพิ่มความเร็วหรือแรงต้านก็จะยิ่งเบิร์นได้มากขึ้น

5. มวย (600–800 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

ทั้งการชกมวยเพื่อฟิตเนสหรือมวยไทย เป็นกีฬาที่ต้องใช้พลังระเบิดและการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เผาผลาญได้สูง

6. ว่ายน้ำ (500–700 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

เหมาะสำหรับคนที่อยากออกกำลังกายแบบไม่กระทบข้อต่อ ว่ายน้ำช่วยเผาผลาญได้มากและทำงานกับกล้ามเนื้อทุกส่วน

7. ฟุตบอล (500–700 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

การวิ่งในสนาม การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และการปะทะทางกายภาพ ทำให้ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เบิร์นพลังงานสูง

8. บาสเกตบอล (500–700 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

ต้องใช้ทั้งความเร็ว ความคล่องตัว และการเคลื่อนไหวตลอดเวลา จึงทำให้บาสเกตบอลเผาผลาญพลังงานได้มากเช่นกัน

9. เทนนิส (400–600 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

การตีโต้และวิ่งรับลูกอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายใช้พลังงานสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังแบบใช้ความเร็ว

10. พายเรือ (400–600 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง)

กีฬาทางน้ำที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อช่วงแขน หลัง และลำตัว พร้อมเผาผลาญพลังงานได้ไม่น้อยกว่ากีฬาประเภทอื่น

บทสรุป

หากมองจากการเผาผลาญแคลอรี่ กระโดดเชือกและการวิ่ง ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว

ส่วนกีฬาประเภททีมอย่างฟุตบอลหรือบาสเกตบอล ก็ช่วยเผาผลาญได้มากและสนุกไปพร้อมกัน การเลือกเล่นกีฬาที่ชอบและเหมาะกับร่างกายจะช่วยให้ทำต่อเนื่องและเห็นผลยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ฟอกไตฟรีทั้งหมดจำเป็นและคุ้มค่า หรือแค่การตลาดการเมือง??

กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมทันทีที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ประกาศนำนโยบาย“ฟอกไตฟรีทั้งหมด” กลับมาอยู่ในสิทธิประโยชน์บัตรทอง พร้อมสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบันทำให้สำเร็จภายใน 2 เดือน

ซึ่งนำนโยบายยุคของนายอนุทิน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 กลับมาใช้อีกครั้ง จากเดิมทีผู้ป่วยโรคไตที่ฟอกไตด้วยเครื่อง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครั้งละ 1,500 บาท บางรายต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ร่วมกันดูแลผู้ป่วยให้ครอบคลุมการรักษาทั้งหมด ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและครอบครัว

หลังจากดำเนินนโยบายดังกล่าวสปสช.พบว่าผู้ป่วยฟอกเลือดมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 5,500 คนในระยะเวลา 2 ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคร่วม ขณะที่ผู้ป่วยที่เลือกการล้างไตทางช่องท้อง (PD) มีอัตราการเสียชีวิตคงเดิม ผู้ป่วยติดเตียง หรือมีภาวะยากลำบากในการเดินทาง

การล้างไตทางช่องท้อง (PD) ซึ่งทำได้เองที่บ้านเหมาะสมกับคุณภาพชีวิตมากกว่าการเดินทางไปฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละหลายครั้ง งบประมาณสำหรับดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้พุ่งสูงขึ้นจากเดิมที่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท มาเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งเงินที่จ่ายชดเชยค่าบริการฟอกเลือดจะเพิ่มขึ้นจาก 9 % ของงบประมาณในระบบบัตรทองมาเป็น 20 % และอาจสูงถึง 30 % ในอีก 5 ปีข้างหน้า  ค่ารักษาภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตก็เพิ่มขึ้นจาก 2,900 ล้านบาท เป็น 3,900 ล้านบาทต่อปี 

    บอร์ดสปสช.จึงปรับนโยบายเน้น“PD First”(ล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก)เมื่อวันที่ 4 พ.ย 2567 เนื่องจากเห็นว่ามีข้อมูลการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบ กลุ่มผู้ป่วยที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม มีจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตลดลง จากการเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยเอง เช่น กรณีเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีภาวะยากลำบากเดินทาง และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้ายและยังคงสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับสภาวะร่างกายของผู้ป่วย ขณะเดียวกันยังผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีปัญหาค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงค่ายาและเวชภัณฑ์บางชนิดที่อยู่นอกบัญชียาหลัก ความแออัดของสถานบริการ คิวเต็ม แม้จะได้รับสิทธิรักษาฟรีแต่ก็ยังเข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุข

เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงสิทธิที่พึงมีได้อย่างสมบูรณ์ ทางออกที่ยั่งยืนจึงไม่ได้อยู่ที่การ “ให้ฟรี” เพียงอย่างเดียวแต่ต้องอยู่ที่การ “ให้สิทธิที่เหมาะสม” โดยมี “แพทย์” ร่วมตัดสินใจ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างบูรณาการ การ“รีแพ็กเกจ” สิทธิประโยชน์ โดยใช้ทีมสหวิชาชีพประเมินความเหมาะสมของผู้ป่วยก่อนเริ่มการล้างไต และการเน้นการ ป้องกันโรคไตและชะลอความเสื่อมของไตในระยะแรก คือแนวทางที่ถูกต้องเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาให้กับคนไข้ ภารกิจ “ฟอกไตฟรีทั้งหมด” จึงเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลว่า จะสร้างความคุ้มค่าที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ การเมืองต้องให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อมูลเชิงลึกจากผู้ปฏิบัติงานและวิชาชีพ เพื่อให้นโยบายที่ประกาศออกไปนั้น ไม่ใช่แค่ “การตลาดการเมือง” แต่เป็นการสร้าง “สิทธิพื้นฐาน” ที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหา “คิวเต็ม” และ “ภาระแฝง” ได้ นโยบายนี้ก็อาจกลายเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่สำหรับผู้ป่วยที่รอคอยความช่วยเหลือเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


Google Drive เปิดระบบ AI สกัดแรนซัมแวร์ ปกป้องไฟล์ Office-Windows

  • Google Drive เปิดตัวระบบ AI ใหม่เพื่อตรวจจับและสกัดกั้นการโจมตีจากแรนซัมแวร์บน Google Drive for Desktop
  • เมื่อตรวจพบความพยายามเข้ารหัสไฟล์จำนวนมาก ระบบจะหยุดการซิงค์ไฟล์ขึ้นคลาวด์โดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันความเสียหาย
  • ฟีเจอร์นี้มุ่งเน้นการปกป้องไฟล์ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เอกสารของ Google โดยเฉพาะ เช่น ไฟล์ Microsoft Office และ PDF บนระบบปฏิบัติการ Windows
  • ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนและสามารถกู้คืนไฟล์ที่ได้รับผลกระทบกลับสู่สถานะเดิมก่อนถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย

แรนซัมแวร์ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายต่อองค์กรต่าง ๆ มากที่สุดในปัจจุบัน การโจมตีเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินครั้งใหญ่ การหยุดทำงานของระบบ และการถูกละเมิดข้อมูล ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม รวมถึงภาคสุขภาพ การค้าปลีก การศึกษา การผลิต และภาครัฐ

จากสถิติ เหตุโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการโจมตีทั้งหมดที่ Mandiant (ส่วนหนึ่งของ Google Cloud) ได้เข้าสืบสวนในปี 2024 โดยมีค่าใช้จ่ายสำหรับเหตุการณ์การโจมตีแรนซัมแวร์หรือการขู่กรรโชกทางไซเบอร์โดยเฉลี่ยมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากการตรวจสอบของ Mandiant ในปี 2024 พบว่า 89% ขององค์กรในญี่ปุ่นและเอเชียแปซิฟิก (JAPAC) ที่ได้รับผลกระทบจากแรนซัมแวร์มักทราบเรื่องเหตุโจมตีจากบุคคลภายนอกเท่านั้น (เช่น ผู้โจมตีเอง หรือ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย) สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดด้านความสามารถในการตรวจจับและแทรกแซงภายใน เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะทราบว่าตนเองถูกโจมตีเมื่อมีการส่งข้อความเรียกค่าไถ่ หรือเมื่อบุคคลที่สาม “ส่งสัญญาณเตือน”

เอกสารแบบเนทีฟของ Google Workspace (เช่น Google Docs, Google Sheets) จะไม่ได้รับผลกระทบจากแรนซัมแวร์ นอกจากนี้ ChromeOS ของ Google ยังไม่เคยถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เลย อย่างไรก็ตาม แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อไฟล์ประเภทอื่น ๆ (เช่น เอกสาร PDF, เอกสาร Microsoft Office) และระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อป (เช่น Microsoft Windows) เพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงนี้ Google Cloud จึงได้ประกาศในวันนี้ว่ากำลังปรับปรุง Google Drive for Desktop ด้วยความสามารถในการตรวจจับและแทรกแซงแรนซัมแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อหยุดการซิงค์ไฟล์โดยอัตโนมัติและช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนไฟล์ได้ง่าย ๆ เพียงไม่กี่คลิก

ผู้ใช้ปลายทางจะเห็นการแจ้งเตือนนี้ใน Google Drive for Desktop เมื่อมีการตรวจพบแรนซัมแวร์ในอุปกรณ์ของตน โดยระบบจะหยุดการซิงค์ไฟล์ไปยังระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ

แนวทางแบบเดิมในการต่อสู้กับแรนซัมแวร์นั้นไม่เพียงพอ

จนถึงปัจจุบัน แรนซัมแวร์มักถูกมองเป็นปัญหาด้านการรักษาความปลอดภัยของโปรแกรมป้องกันไวรัส กล่าวคือ การค้นหาโค้ดที่อาจเป็นอันตรายก่อนที่จะเปิดใช้งานและป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระบบ IT การป้องกันนี้ถือเป็นแนวทางที่สำคัญและจำเป็น แต่จากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าแนวทางนี้ยังไม่เพียงพอ เพราะเมื่อแรนซัมแวร์รุ่นใหม่สามารถหลบเลี่ยงการป้องกันไวรัสแบบเดิม ผู้ใช้และองค์กรก็อาจถูกโจมตีโดยไม่มีมาตรการบรรเทาความเสี่ยงใด ๆ เพิ่มเติม

ยิ่งไปกว่านั้น แรนซัมแวร์ไม่ได้เป็นปัญหาด้านไอทีเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหลักของธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สายการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การดำเนินงานค้าปลีก บริการของโรงพยาบาล หรือบริการด้านการเข้าเมือง ดังนั้น การหาวิธีที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ในการต่อสู้กับแรนซัมแวร์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

นายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “สิ่งที่เราเปิดตัวและพร้อมให้บริการในวันนี้คือการป้องกันอีกชั้นหนึ่งที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ในขณะที่โซลูชันป้องกันไวรัสยังคงทำงานเพื่อหยุดไม่ให้แรนซัมแวร์เข้ามา เราได้สร้างระบบการป้องกันเพื่อหยุดไม่ให้แรนซัมแวร์ทำงานได้เมื่อเข้ามาในระบบแล้ว โดยการตรวจจับและแทรกแซงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใน Google Drive for Desktop จะระบุจุดบ่งชี้สำคัญของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ซึ่งก็คือการพยายามเข้ารหัสไฟล์จำนวนมาก และจะแทรกแซงอย่างรวดเร็วเพื่อสร้าง “เกราะป้องกัน” รอบไฟล์ของผู้ใช้ก่อนที่การโจมตีจะแพร่กระจายด้วยการหยุดการซิงค์ไฟล์กับระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้แรนซัมแวร์ทำลายไฟล์สำคัญและทำให้ใช้งานไม่ได้”

“นอกจากนี้ ระบบป้องกันมัลแวร์ในตัวที่มีอยู่ของ Google Drive ยังช่วยสกัดไม่ให้แรนซัมแวร์แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ และเข้าควบคุมเครือข่ายทั้งหมดได้ เมื่อทำงานร่วมกัน การป้องกันเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ธุรกิจ โรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานรัฐบาล และอื่น ๆ ต้องหยุดชะงักจากการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เคยสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงมาก่อนหน้านี้” นายอรรณพ กล่าว

Google Drive for Desktop ซึ่งใช้งานได้ใน Windows และ macOS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซิงค์ไฟล์และเอกสารขึ้นสู่ระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นด่านป้องกันสำคัญต่อการโจมตีของมัลแวร์และแรนซัมแวร์ ด้วยเหตุนี้ Google Cloud จึงได้สร้างโมเดล AI เฉพาะของตนซึ่งได้รับการฝึกฝนจากตัวอย่างแรนซัมแวร์จริงนับล้านรายการ เพื่อค้นหาสัญญาณที่บ่งชี้ว่าไฟล์นั้นถูกแก้ไขโดยผู้ไม่ประสงค์ดี เครื่องมือตรวจจับนี้สามารถปรับตัวให้เข้ากับแรนซัมแวร์รูปแบบใหม่ ๆ ผ่านการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงไฟล์อย่างต่อเนื่องและรวมข้อมูลใหม่เกี่ยวกับภัยคุกคามจาก VirusTotal เมื่อ Google Drive ตรวจพบกิจกรรมที่ผิดปกติซึ่งบ่งชี้ถึงการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ระบบจะหยุดการซิงค์ไฟล์ที่ได้รับผลกระทบโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายของข้อมูลในวงกว้างภายใน Google Drive ของผู้ใช้

จากนั้นผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนทั้งบนเดสก์ท็อปและทางอีเมลพร้อมคำแนะนำในการกู้คืนไฟล์ อินเทอร์เฟซเว็บที่ใช้งานง่ายของ Google Drive ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนไฟล์จำนวนมากกลับสู่สถานะก่อนหน้าที่สมบูรณ์ได้อย่างง่ายดายเพียงไม่กี่คลิก ซึ่งต่างจากโซลูชันแบบเดิมที่ต้องมีการสร้างอิมเมจใหม่ที่ซับซ้อนหรือใช้เครื่องมือของบุคคลที่สามที่มีค่าใช้จ่ายสูง ความสามารถในการกู้คืนอย่างรวดเร็วนี้ช่วยลดการหยุดชะงักของผู้ใช้และการสูญเสียข้อมูล

สำหรับทีมไอที ผู้ดูแลระบบยังคงสามารถรักษาการควบคุมและการมองเห็นที่จำเป็นได้ โดยจะได้รับการแจ้งเตือนในคอนโซลผู้ดูแลระบบเมื่อมีการตรวจพบกิจกรรมของแรนซัมแวร์ ทั้งนี้ผู้ดูแลระบบสามารถใช้ศูนย์ความปลอดภัยเพื่อตรวจดูบันทึกการตรวจสอบซึ่งมีข้อมูลโดยละเอียด ความสามารถใหม่นี้จะเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นสำหรับลูกค้า Google Workspace ทุกราย แต่ผู้ดูแลระบบจะมีสิทธิ์ควบคุมเพื่อปิดใช้ความสามารถในการตรวจจับ การแทรกแซง และการกู้คืนสำหรับผู้ใช้ปลายทางได้หากจำเป็น

ก้าวต่อไป

ระบบการตรวจจับและแทรกแซงแรนซัมแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้เริ่มทยอยเปิดให้บริการแล้ววันนี้ในเวอร์ชันเบต้าแบบเปิด โดยเป็นหนึ่งของมาตรการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กรที่มีอยู่มากมายใน Google Drive ซึ่งมอบการปกป้องข้อมูลสำคัญและช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องสำหรับองค์กรทุกขนาด การปรับปรุงดังกล่าวถูกรวมอยู่ในแพ็กเกจเชิงพานิชย์ส่วนใหญ่ของ Google Workspace โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ขณะเดียวกันผู้ใช้งานทั่วไปก็ยังได้รับประโยชน์จากความสามารถในการกู้คืนไฟล์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


24 คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับโรคที่คุณควรรู้ไว้ใช้ในการลาป่วย

24 คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับโรคที่คุณควรรู้ไว้ใช้ในการลาป่วย

โรค (Disease) นั้นเป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนคงไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิต กล่าวกันว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ และโรคนั้นก็มักจะมากับอาการของโรค (Symptom) ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโรคที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นคือโรคอะไร

คำศัพท์เกี่ยวกับโรคและอาการของโรคต่างๆเป็นภาษาอังกฤษที่บริติช เคานซิลจัดเตรียมไว้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อให้คุณมีคลังคำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับโรคและอาการของโรคต่างๆไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณต้องอธิบายหรือบอกถึงโรคที่คุณเป็นอยู่ในการลาป่วยของคุณ

คำศัพท์เกี่ยวกับโรคและอาการของโรคต่างๆเป็นภาษาอังกฤษ

คำศัพท์ความหมาย
Coldไข้หวัด
Coughไอ
Sore throatเจ็บคอ
Headacheปวดหัว
Stomachacheปวดท้อง
Toothacheปวดฟัน
Earacheปวดหู
Crampตะคริว
Numbอาการชา
Infectionการติดเชื้อ
Broken leg/armขา / แขนหัก
rashผื่น
Diarrheaท้องเสีย
Runny noseน้ำมูกไหล
Migraineไมเกรน
Allergic reactionอาการภูมิแพ้
Vomit / Throw upอาเจียร
Nauseaคลื่นไส้
Food poisoningอาหารเป็นพิษ
Strokeหลอดเลือดสมอง
Cancerโรคมะเร็ง
Diabetesโรคเบาหวาน
Asthmaโรคหอบหืด
Hypertensionโรคความดันโลหิตสูง

ขอบคุณข้อมูลจาก britishcouncil.or.th


3 ข้อของ “กล้วยน้ำว้า” เสียดายที่บางคนกินยังไม่เคยรู้

แม้จะเป็นผลไม้ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่ กล้วยน้ำว้า กลับเป็นหนึ่งในผลไม้ที่นักโภชนาการแนะนำให้รับประทานเป็นประจำ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลาย และให้พลังงานที่พอเหมาะ

กล้วยน้ำว้า 1 ผลให้พลังงานโดยเฉลี่ยประมาณ 90-100 กิโลแคลอรี่ และเต็มไปด้วยน้ำตาลที่มาจากธรรมชาติ ได้แก่ ซูโครส, กลูโคส และ ฟรุกโทส ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับเป็นอาหารรองท้อง หรือทานก่อนออกกำลังกาย

แต่ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าไม่ได้จบแค่เรื่องพลังงานเท่านั้น ยังมีดีลับซ่อนอยู่มากกว่าที่คิด

3 เหตุผลดี ๆ ว่าทำไมคุณควรกินกล้วยน้ำว้าทุกวัน

1. ช่วยระบบขับถ่ายให้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ

กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า ไฟเบอร์ละลายน้ำ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น สำหรับใครที่มีปัญหาท้องผูกเรื้อรัง กล้วยน้ำว้าสุกจัด 1 ผลในตอนเช้า ถือเป็นทางเลือกธรรมชาติที่ได้ผลดี ไม่ต้องพึ่งยาระบาย

2. ลดความเสี่ยงภาวะโลหิตจาง เสริมสร้างเม็ดเลือด

กล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วย ธาตุเหล็ก (Iron) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยเพิ่มการนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง หรือผู้หญิงที่เสียเลือดในช่วงมีประจำเดือน หากรับประทานกล้วยเป็นประจำ อาจช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด และเวียนศีรษะได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ กล้วยยังมี วิตามิน B6 ที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้นอีกด้วย

3. บำรุงสมอง ช่วยให้ตื่นตัว สมาธิดี

กล้วยเป็นผลไม้ที่มี โพแทสเซียม (Potassium) สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้มีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาท และช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การกินกล้วยในตอนเช้า โดยเฉพาะก่อนเริ่มงานหรือเรียนหนังสือ จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น สมองตื่นตัว ลดอาการมึนงงหรือง่วงซึมได้ดี

นอกจากนี้ โพแทสเซียมยังมีส่วนช่วยในการ ควบคุมระดับความดันโลหิต ให้สมดุล ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

กล้วยน้ำว้า : ผลไม้ดีๆ ที่ควรมีติดบ้าน

ไม่เพียงแต่ราคาย่อมเยาและหาซื้อได้ง่ายเท่านั้น กล้วยน้ำว้ายังเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงอายุ เพราะย่อยง่าย ให้พลังงานเร็ว และเป็นแหล่งสารอาหารธรรมชาติที่ดีเยี่ยม จะกินสดๆ ปั่นสมูทตี้ หรือบดผสมกับข้าวโอ๊ตก็อร่อยและดีต่อสุขภาพทั้งนั้น

สรุปสั้นๆ

  • กล้วยน้ำว้า 1 ผล ให้พลังงาน 100 แคลอรี่
  • มีน้ำตาลธรรมชาติ + วิตามิน + แร่ธาตุหลากหลาย
  • ดีต่อระบบขับถ่าย, ช่วยบำรุงเลือด, กระตุ้นการทำงานของสมอง
  • กินง่าย ปลอดภัย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a59,250.0059,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,830.0058,062.8060,150.00
ทองรูปพรรณ 90%3,447.0052,256.52n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,064.0046,450.24n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,723.5026,128.26n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,340.5020,321.98n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,968.9160,168.68n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.6532.6533.1532.6532.6532.6532.6532.6532.65
แก๊สโซฮอล์ 9132.2832.2832.7832.2832.2832.2832.2832.2832.28
แก๊สโซฮอล์ E2030.4430.4430.9430.4430.4430.4430.4430.44
แก๊สโซฮอล์ E8528.3928.3928.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.8449.8449.8440.84
เบนซิน 9540.9449.8141.4441.0940.94
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า