สาระน่ารู้ประจำวันที่ 03 มกราคม 2567

7องค์กรอสังหาเครื่องร้อน! ชงแพกเกจเร่งฟื้นธุรกิจเตรียมยื่น‘นายกฯ-ธปท.’

‘7องค์กรอสังหา’เครื่องร้อน!ชงแพกเกจเร่งฟื้นธุรกิจเตรียมยื่นมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์‘นายกฯแพทองธาร ชินวัตร-ธปท.’ ในเดือน ม.ค.นี้ เพื่อเร่งกระตุ้นตลาด ผ่านมาตรการเดิมที่สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ทันที

เป็นอีกปีที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับภาวะยากลำบาก! ผู้ประกอบการต้องตั้งรับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว และยังคงเปราะบางจากหนี้ครัวเรือนสูง! กดดันการใช้จ่ายอย่างหนักโดยเฉพาะสินทรัพย์คงทนอย่าง “ที่อยู่อาศัย” ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่นเดิม กระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาต่อเนื่อง  ท่ามกลางปัจจัยบวกมีเพียงเล็กน้อย  โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว 2.3-3.3% จากการใช้จ่ายของภาครัฐ การลงทุนของภาคเอกชน การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่ “การท่องเที่ยว” เป็นเพียงเครื่องยนต์เดียวเท่านั้นที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี!

ล่าสุด 7 องค์กรอสังหาริมทรัพย์เตรียมยื่นมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณาอีกรอบภายในเดือน ม.ค.นี้ เพื่อเร่งกระตุ้นตลาด ผ่านมาตรการเดิมที่สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ทันที อาทิ การลดค่าโอนจำนอง รวมทั้งพิจารณา ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 50% ที่สำคัญการทบทวนหรือยกเลิกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ แอลทีวี (LTV : Loan-to-value ratio)

อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 7 องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย คณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย  เตรียมยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ พิจารณามาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

ประกอบด้วย การต่ออายุมาตรการเดิม ได้แก่ 1.มาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 31 ธ.ค.2567 ขอต่ออายุอีก 1 ปี ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อกระตุ้นตลาดต่อเนื่อง 2.การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี จึงอยากรัฐบาลช่วยลดภาระภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งอัตราภาษี “ล้านละ 3,000 บาท” ถือว่าสูงมาก

3.พิจารณามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือธนาคารออมสิน ในกลุ่มบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท และกลุ่มไม่เกิน 7 ล้านบาท 4.ขอให้ช่วยประสานกระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง แก้ประกาศคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง เรื่องกำหนดนโยบายการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรม  โดยขอให้ลดขนาดที่ดินของโครงการจัดสรรให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ขนาดครอบครัว ราคาที่ดิน ค่าก่อสร้าง เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการลดขนาดที่ดินบ้านเดี่ยวจากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา เป็นไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา บ้านแฝด จากที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา เป็นไม่ต่ำกว่า 28 ตารางวา และทาวน์เฮาส์ จากที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 ตารางวา เป็นไม่ต่ำกว่า 14 ตารางวา

นอกจากนี้ 7 องค์กรอสังหาริมทรัพย์ ได้แยกยื่นหนังสือให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ แอลทีวี เป็นการชั่วคราว เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มคนที่มีกำลังซื่้อ ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 3 

“จากประสบการณ์ในปี 2565 ที่มีการยกเว้นมาตรการแอลทีวี ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะธนาคารยังคงเข้มงวดการยื่นกู้ สะท้อนจากจำนวนการถูกปฏิเสธิสินเชื่อที่สูง 60-70% และมาตรการที่เสนอในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ส่วนใหญ่เป็นของเดิม ขณะที่การขยายระยะเวลาเช่า 30 ปี เป็น 90 ปี  และโควตาต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียมจาก 49% เป็น 75% นั้นไม่ได้เสนอเพิ่มไปเพราะถือว่าเสนอไปแล้ว”

ทั้งนี้ อยากเห็นมาตรการใหม่จากรัฐบาลที่ออกมากระตุ้นกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของประชาชน เช่น เฟส 3 เงินดิจิทัล 10,000 บาท หรือ “รถไฟฟ้า 20 บาท” ทุกสีทุกสาย หรือ บ้านเพื่อคนไทย

สอดคล้องกับ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า อสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ยังต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ 

“เราเผชิญพายุมาหลายระลอก ส่งผลกระทบต่อภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ยอดรีเจกต์เรตสูงถึง 70% ผู้บริโภคเกิดความไม่เชื่อมั่น กระทบต่อการใช้จ่าย ทำให้ยอดขายตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ติดลบ 25-30% และยอดโอนกรรมสิทธิ์ติดลบ 7-8% ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะส่งผลดีเกี่ยวเนื่องไปยังหลากหลายธุรกิจ” 

โดยเฉพาะมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ถือเป็นมาตรการพื้นฐานที่ต้องมี! เพราะมีผลทางจิตวิทยากับผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ  การยกเลิกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยชั่วคราว เพื่อกระตุ้นให้ตลาดฟื้นตัว

“มาตรการแอลทีวี เป็นอุปสรรคต่อการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งแบงก์ชาติควรยกเลิกมาตรการดังกล่าวเป็นการชั่วคราว 2 ปี”

นอกจากนี้ ควรลดดอกเบี้ยนโยบายและลดดอกเบี้ยที่แท้จริง เพราะที่ผ่านมา ดอกเบี้ยนโยบาย ลงมาอยู่ที่ 2.25% แต่ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินลดจริงอยู่ที่ระดับ 0.12% ซึ่ง “ไม่เหมาะสม” ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ ทำให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจยากขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจโตต่ำ ไม่มีเงินลงทุน เพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“ศุภาลัย” เปิดปี 68 ส่งแคมเปญโปรบ้าน-คอนโดพร้อมอยู่ สานฝันคนอยากมีบ้าน

“ศุภาลัย” เปิดปี 68 ส่งแคมเปญ “ศุภาลัย โปรฮิป เด้งเลือกได้” โปรโมชันบ้าน-คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ให้ลูกค้าเลือกสิทธิพิเศษได้เอง ตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 68

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประกาศเปิดตัวแคมเปญใหม่ “ศุภาลัย โปรฮิป เด้งเลือกได้” ต้อนรับปี 2568 มุ่งกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วยโปรโมชันที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรกและผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงในราคาคุ้มค่า

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงในราคาคุ้มค่า กลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรก และกลุ่มลูกค้าที่กำลังขยับขยายครอบครัว ยังคงมีความคึกคัก ท่ามกลางการแข่งขัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างเดินหน้าสร้างสรรค์โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง

ศุภาลัยได้มองเห็นศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ที่ยังคงมีความคึกคัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการบ้านหรือคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ โปรโมชัน “ศุภาลัย โปรฮิป เด้งเลือกได้” เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่มุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงเริ่มต้น และเพิ่มความคุ้มค่าให้กับลูกค้า

โดยแคมเปญนี้มอบความยืดหยุ่นให้กับลูกค้าในการเลือกสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง ประกอบด้วย

  • เด้งแรก ส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท หรือ Gift Voucher สำหรับช้อปของเข้าบ้านใหม่
  • เด้งสอง ฟรีค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์, ค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้า และค่าส่วนกลาง 1 ปี

ผู้ที่สนใจที่สนใจสามารถแวะชมโครงการพร้อมตรวจสอบเงื่อนไขของข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่สำนักงานขายศุภาลัยทุกแห่ง หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางต่างๆ ของศุภาลัย ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3 ม.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 34.39 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจยังไม่สามารถทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.50 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้3ม.ค.2568 ที่ระดับ  34.39 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.24 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มมีกำลังมากขึ้น ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน อย่างที่เราเคยประเมินไว้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม (ซึ่งต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาดลงบ้าง)

อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า หากประเมินด้วย ตามกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทก็อาจแกว่งตัว Sideways ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงจนทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน ทั้งนี้ โซนแนวรับของเงินบาทก็อาจขยับสูงขึ้นบ้างสู่ช่วง 34.20 บาทต่อดอลลาร์

ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในช่วงระยะสั้นนี้ การที่เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงหนัก ส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำด้วยเช่นกัน ซึ่งหากราคาทองคำเริ่มย่อตัวลงและกลับเข้าสู่ช่วงการปรับฐานอีกครั้ง ก็อาจกลับมาเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินดอลลาร์ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การปรับตัวขึ้นต่อของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดและมีโอกาสที่จะเห็นการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ได้ หากประเมินจากปัจจัยเชิงเทคนิคัล ที่ยังคงเห็นสัญญาณลักษณะ Bearish Divergence บนดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY)

พร้อมกับการเกิดภาพ Bullish Divergence บนสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) ทว่า เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าได้บ้าง จริงหรือไม่นั้น อาจต้องรอลุ้นรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต ของสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

โดยหากดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต ออกมาตามคาด หรือ แย่กว่าคาด ก็อาจช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้บ้าง ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า ทั้ง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ และข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.50 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้าน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางบรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่ยังคงหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์อยู่

นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม ทั้งยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนี S&P PMI ภาคการผลิต ต่างก็ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ธนาคารกลางหลักอื่นๆ

ทั้ง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้มากกว่า เฟด พอสมควร ทำให้ธีม US Exceptionalism ยังคงหนุนเงินดอลลาร์อยู่ พร้อมกดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงเกือบ -1% ในช่วงคืนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถกลับมาแกว่งตัวแถวโซน 2,660 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้โดยรวมเงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้านถัดไป 34.50 บาทต่อดอลลาร์

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Tesla -6.1% ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากทั้งข่าวรถกระบะไฟฟ้าระเบิดที่นอกโรงแรม Trump International

และรายงานยอดส่งมอบรวมถึงการผลิตรถยนต์ที่ลดลงกว่าคาด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการรีบาวด์ขึ้นของ Nvidia +3% และ Meta +2.3% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.22%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.6% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ BP +2.6%, Shell +2.1% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ที่ได้แรงหนุนจากความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของทางการจีน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั้ง ASML +1.7% และ Novo Nordisk +2.3%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.60% ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวอยู่บ้าง

โดยเฉพาะในช่วงที่บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย ก่อนที่จะแกว่งตัวแถวโซน 4.56% ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงสอดคล้องกับกลยุทธ์ Buy on Dip ของเรา

โดยในช่วงนี้ ก่อนที่รัฐบาล Trump 2.0 จะเริ่มดำเนินนโยบายต่างๆ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้ หากบอนด์ยีลด์มีการปรับตัวสูงขึ้นบ้าง เนื่องจากผลตอบแทนรวม (Total Return) ของการถือบอนด์ระยะยาวนั้น ยังมีความน่าสนใจอยู่ ตราบใดที่เฟดไม่ได้กลับมาขึ้นดอกเบี้ย

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามธีม US Exceptionalism หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า บรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทั้ง ECB และ BOE อาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าเฟดพอสมควร กดดันให้เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงพอสมควร

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุน ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 109.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.5-109.5 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ก็พอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ก็สามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ  โดย ISM (ISM Manufacturing PMI) ในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด (Thomas Barkin) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.40-34.42 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.44 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทขยับอ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงเช้าวันนี้ สอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และเงินหยวน ซึ่งยังคงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าเป็นระยะๆ จากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอจังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ลดลง  9,000 ราย ไปอยู่ที่ระดับ 211,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา vs. ตลาดคาดที่ 222,000 ราย)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นที่ 34.25-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ  ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก  รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และตัวเลขดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือน ธ.ค. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


8 เรื่องเด่นกีฬาไทยปี 2567

ในรอบปี พ.ศ.2567 หรือ ค.ศ.2024 ถือเป็นอีกหนึ่งขวบปีที่วงการกีฬาไทยมีทั้งเรื่องดีและร้าย ในโอกาสที่ปีปฎิทินเปลี่ยนผ่านจากปี 2567 สู่ปี 2568 ทีมข่าวกีฬาสยามและสยามสปอร์ต ขอรวบรวมเหตุการณ์เด่นๆของวงการกีฬาไทยที่เกิดขึ้นในรอบปี 2567 ให้แฟนกีฬาผู้อ่านได้ร่วมทบทวนและนึกถึงอีกสักรอบ

1. “เทนนิส”  สร้างประวัติศาสตร์ทองอลป. 2 สมัย

เหตุกาณ์ที่เป็นเรื่องเด่นของวงการกีฬาไทยที่แฟนๆกีฬานึกถึงเป็นลำดับต้นๆคือการที่ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนากิจ คว้าเหรียญทองเทควันโด โอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสได้สำเร็จ ในรุ่น 49 กก.หญิง ซึ่งนี่ถือเป็นฉากจบอย่างสมบูรณ์ที่สุดของชีวิตนักกีฬาที่เธอเองและแฟนกีฬาอยากให้เกิดขึ้น  เหรียญทองในศึก “ปารีส 2024” ยังถือเป็นการสร้างตำนาน ให้ “พาณิภัค” กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2 สมัย ซึ่งหลังเดินทางกลับถึงไทย เจ้าตัวประกาศเลิกเล่นเทควันโดอย่างที่เคยเปรยเอาไว้ พร้อมเบนเข็มทำธุรกิจโรงเรียนสอนเทคควันโดอย่างเต็มตัว และข่าวดีล่าสุดเมื่อวันคริสต์มาส วันที่ 25 ธ.ค.2024 หนุ่มคนรู้ใจอย่าง “จูเนียร์” รามณรงค์ เสวกวิหารี ก็ได้ทำเซอร์ไพรส์ขอเจ้าตัวแต่งงาน หลังคบหาดูใจกันมาอย่างยาวนานนับ 10 ปี

2. “สายสุนีย์” จารึกตำนานทองฟันดาบ 3 ประเภทพาราลิมปิก

หากให้หยิบยกเรื่องเด่นของวงการกีฬาคนพิการไทยมาสักหนึ่งเรื่อง ก็คงหนีไม่พ้นการระเบิดฟอร์มสุดฮอตของ “แวว” สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักวีลแชร์ฟันดาบทีมชาติไทยในวัย 50 ปี ที่คว้าคนเดียว 3 เหรียญทอง จากทั้งหมด 6 เหรียญทอง ที่ทัพนักกีฬาคนพิการไทยทำได้ในพาราลิมปิกเกมส์ 2024 เจ้าตัวเขียนหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ด้วยการคว้าเหรียญทองถึง 3 ประเภทเป็นคนแรกของโลกในวีลแชร์ฟันดาบพาราลิมปิก จากประเภทบุคคลหญิงดาบฟอยล์, ดาบเซเบอร์ และดาบเอเป้ นอกจากนี้ยังได้อีก 1 เหรียญทองแดง ทำให้ในโอลิมปิก 6 สมัย ที่เจ้าตัวเข้าร่วม สายสุนีย์  คว้าได้ถึง 5 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง

3. โอซีเอยกเลิกเอเชียนอินเดอร์เกมส์ที่ไทย

ถือเป็นการจบมหากาพย์ที่ไม่สวยนัก สำหรับการรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพกีฬาระดับทวีปเอเชียของประเทศไทย เมื่อสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (โอซีเอ)  สั่งยกเลิกการเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 ของประเทศไทย ซึ่งตามกำหนดจะจัดแข่งขันระหว่างวันที่ 21-30 พ.ย. 2567 ที่กรุงเทพมหานคร และชลบุรี ด้วยเหตุผลเรื่องงบประมาณ โดยโอซีเอให้เหตุผลในเรื่องที่ว่าไทยไม่สามารถปลดล็อคในเรื่องของบประมาณได้ในกรอบและเวลาของการดำเนินงาน และหวั่นจะเกิดปัญหาหากให้จัดแข่งขันตามเดิม ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกส่งผลกระทบกับวงการกีฬาไทยพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของประเทศ

4. “มาดามแป้ง” นั่งประมุขบอลไทย

เรื่องเด่นเรื่องดังในวงการฟุตบอลไทยรอบปี 2567 นี้ ต้องยกให้กับการได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่ของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ด้วยคะแนนโหวตสูงถึง 68 จากทั้งหมดผู้มีสิทธิ์ 73 เสียง คิดเป็นสัดส่วน 93 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดตั้งแต่เคยมีมา “มาดามแป้ง” กลายเป็นประมุขลูกหนังไทยคนที่ 18 เป็นผู้หญิงคนที่ 7 ของโลกที่ได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ ซึ่งนโยบายของ “มาดามแป้ง”  มุ่งเน้นไปที่การทำงานเพื่อผลประโยชน์ของบอลไทยที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้ ทั้งในแง่ของสโมสรและทีมชาติ ซึ่งเจ้าตัวต้องการบูมวงการและเรียกศรัทธาของแฟนๆให้กลับมาเหมือนในยุคหนึ่งที่เคยรุ่งเรื่องอีกครั้ง

5. “กุลวุฒิ” นักแบดมินตันคนแรกซิวเหรียญอลป.

ความพยายามของทีมแบดมินตันไทยในการที่จะคว้าเหรียญรางวัลในมหกรรมโอลิมปิกเกมส์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หลัง “วิว” กุลวุฒิ วิทิติศาสนต์ เจ้าของแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อน และแชมป์โลก 2023 คว้าเหรียญเงินชายเดี่ยว “ปารีส 2024” ได้สำเร็จ แม้รอบชิงฯเจ้าตัวจะเป็นฝ่ายพ่ายให้กับตัวเทพของวงการอย่าง วิคเตอร์ อเซลเซ่น ของเดนมาร์ก ไป 0-2 เกม แต่นี่ก็นับว่าเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจและน่าจดจำของวงการแบดมินตันไทยและแฟนกีฬาชาวไทยแล้ว เพราะเป็นเหรียญรางวัลแรกของทีมแบดมินตันไทยในรอบ 32 ปี  นับตั้งแต่แบดมินตันถูกบรรจุชิงชัยในโอลิมปิกปี 1992 ที่สเปน ซึ่งก็แน่นอนว่าแฟนกีฬาหลายๆคนหวังว่านี่จะเป็นการปูทางให้แบดมินตันไทยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องบนเวทีโอลิมปิกเกมส์ด้วย

6. “ก้อง-สมเกียรติ” นักบิดไทยคนแรกในโมโตจีพี

ฝีมือ บวกความมุ่งมั่นและความพยายามที่ไม่เคยหมดไปในตัวของ “ก้อง”สมเกียรติ จันทรา นักบิดชาวไทยวัย 25 ปี จากชลบุรี ทำให้เจ้าตัวได้ก้าวหน้าในเส้นทางการเป็นนักกีฬามอเตอร์สปอร์ต หลังถูกเลือกให้เซ็นสัญญาเป็นนักแข่งในสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ทีมแข่งในพรีเมียร์คลาส ด้วยสัญญา 2 ปี (ปี 2025-2026) หลังตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา สร้างผลงานในการลงแข่งขันระดับโมโตทูมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งการเซ็นสัญญาเป็นนักบิดในรุ่นโมโตจีพี ยังทำให้ สมเกียรติ กลายเป็นนักแข่งไทยคนแรกในการแข่งขันพรีเมียร์คลาส ของศึกมอเตอร์ไซต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกด้วย โดย “ก้อง” เองมีโปรแกรมจะลงประเดิมสนามในศึกโมโตจีพี 2025 สนามแรกที่ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 2  มี.ค. 2568 ด้วย

7. “อาฒยา”  ซิว 2 โทรฟี่โกยเงิน 210 ล.บาท

แม้การมีชื่อรับใช้ชาติจากการเข้าร่วมโอลิมปิกครั้งแรกในชีวิตของ “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล จะพลาดคว้าเหรียญรางวัลไป หลังจบอันดับ 18 ร่วม แพ้แชมป์  ลีเดีย โค ของนิวซีเแลนด์ ที่ตีรวม 10 อันเดอร์พาร์ อยู่ 8 สโตรค แต่ผลงานการเล่นระดับอาชีพ บนแอลพีจีเอ ทัวร์ ฤดูกาลที่ 3 จัดว่ายอดเยี่ยม “โปรจีน” คว้า 2 แชมป์ คือ ดาว เแชมเปี้ยนชิพ 2024 และแชมป์รายการใหญ่ ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปี้ยนชิพ แชมป์รายการนี้รายการเดียว ทำเธอฟาดเงินรางวัลก้อนโตเน้นๆถึง 138 ล้าน แถมในปีนี้ยังได้รางวัล “เอออน ริสก์ รีวอร์ด ชาลเลนจ์” ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับนักกอล์ฟที่มีค่าเฉลี่ยดีที่สุดในการเล่นหลุมยากของแต่ละสนาม ตลอดทั้งฤดูกาลอีกกว่า 38 ล้านบาท ทำเงินรางวัล 6.1 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 210 ล้านบาท  รวมตลอด 3 ฤดูกาล “โปรจีน” ลงเล่น 64 รายการ จบท็อปเท็น ( ติด 1 ใน 10) รวม 41 รายการ และคว้าแชมป์ 4 รายการ ทำเงินรวมกว่า 9.8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 338 ล้านบาท เลยทีเดียว

8. “บิ๊กป้อม” หลุดนายกกีฬาทางน้ำ ส่งผลตกเก้าอี้ปธ.อลป.

การพ่ายแพ้การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทยของ “บิ๊กป้อม” พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้กับ พลโท บุญชัย เกษตรตระการ ด้วยคะแนนเสียง 22-231 เสียง ทำให้ พลเอก ประวิตร ชวดเป็นนายกสมาคมกีฬาทางน้ำสมัย 3 ไป ซึ่งการพลาดตำแหน่งดังกล่าว ส่งผลให้ พลเอก ประวิตร ขาดคุณสมบัติในการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งเงื่อนไขในการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยระบุไว้ว่า บุคคลนั้นต้องมีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมกีฬาใดกีฬาหนึ่งด้วย ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว พลเอก ประวิตร ต้องลงจากตำแหน่งประธานโอลิมปิคแห่งประเทศไทยก่อนวาระจะหมดลงในเดือนมี.ค.2025 หลังครองตำแหน่งนี้มาเป็นเวลา 2 สมับ เกือบ 8 ปี โดยมีนายธรรมนูญ หวั่งลี รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯทำหน้าที่รักษาการแทน

อย่างไรก็ตาม หาก “บิ๊กป้อม” สามารถเข้าไปเป็นนายกสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” กีฬาใดกีฬาหนึ่งและผ่านการรับรองการจดทะเบียนก่อนเดือน มี.ค. 2568 ก็ยังคงมีสิทธิ์ลงชิงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยอีกสมัย ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้วาระใหม่ที่จะถึงก็มีแคนดิเดตหลายคนที่ถูกคาดหมายว่าจะลงชิงตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดฯ, คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันฯ หรือกระทั่ง นายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม นายกสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทยฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


โรคมะเร็งตับ ภัยเงียบใกล้ตัวกว่าที่คิด ไม่ดื่มก็เสี่ยง!

โรคมะเร็งตับ ภัยเงียบใกล้ตัวกว่าที่คิด ไม่ดื่มก็เสี่ยง!

มะเร็งตับ อาจฟังดูเหมือนโรคร้ายแรงที่ไกลตัวสำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ความจริงแล้ว มันอาจอยู่ใกล้กว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มะเร็งตับเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ และสาเหตุก็ไม่ได้มาจากการดื่มเท่านั้น!

จากข้อมูลของกรมการแพทย์และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่ามะเร็งตับและท่อน้ำดีเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนไทย โดยมีผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 2 หมื่นรายต่อปี และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.6 หมื่นราย เกินครึ่งของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด

เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งตับ รวมถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่คุณรักได้ดียิ่งขึ้น

มะเร็งตับ ภัยร้ายอวัยวะสำคัญ

มะเร็งตับคือการเกิดเนื้องอกชนิดร้ายแรงในตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกาย ผลิตน้ำดีช่วยย่อยไขมัน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มะเร็งตับแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

  • มะเร็งตับปฐมภูมิ  เกิดขึ้นจากเซลล์ในตับโดยตรง หรือเกิดจากเซล์ล์มะเร็งในท่อน้ำดีที่เชื่อมต่อกับตับโดยตรง
  • มะเร็งตับทุติยภูมิ  เกิดจากการแพร่กระจายของมะเร็งจากอวัยวะอื่น เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ โดยกระจายมาที่เนื้อตับในเวลาต่อมา 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง มะเร็งตับ 

การเกิดมะเร็งตับมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มคนที่มีประวัติโรคเกี่ยวกับตับมาก่อน ดังนี้

  1. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และซี (HCV)

การติดเชื้อไวรัสเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งตับ โดยไวรัสสามารถทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเกิดพังผืดในตับ (ตับแข็ง) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อผ่านทางเลือด การมีเพศสัมพันธ์ และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

  1. ตับแข็ง (Cirrhosis)

ตับแข็งเกิดจากเนื้อเยื่อตับถูกทำลายจนแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อพังผืด สาเหตุของตับแข็งมักมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือไขมันพอกตับ

  1. การบริโภคแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับและนำไปสู่ตับแข็ง

  1. การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin)

สารอะฟลาทอกซินพบในถั่วลิสงหรือธัญพืชที่เก็บรักษาไม่ดีจนเกิดเชื้อรา สารนี้เป็นสารก่อมะเร็งที่มีผลโดยตรงต่อตับ

  1. ไขมันพอกตับ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease, NAFLD)

ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ เป็นผลจากโรคอ้วน เบาหวาน หรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับได้

  1. พันธุกรรมและประวัติครอบครัว

หากครอบครัวมีประวัติของมะเร็งตับหรือโรคเกี่ยวกับตับ ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับจะเพิ่มขึ้น

  1. สารพิษและสารเคมี

การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง หรือสารหนู (Arsenic) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ

  1. โรคทางพันธุกรรมบางชนิด

โรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อตับ เช่น โรคเฮโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมธาตุเหล็กในตับ

  1. การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งตับและโรคมะเร็งอื่น ๆ

สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

โรคมะเร็งตับมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่ออาการเริ่มปรากฏ ผู้ป่วยอาจมีนี้ หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด

  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อาการปวดหรือแน่นบริเวณชายโครงขวา
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
  • ท้องบวมเนื่องจากน้ำในช่องท้อง
  • คลื่นไส้หรืออาเจียน

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที

การป้องกัน ปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง

แม้โรคมะเร็งตับจะดูน่ากลัว แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น:

  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หรือหลีกเลี่ยงการดื่มอย่างสิ้นเชิง 
  • รับประทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย หลีกเลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อรา 
  • ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติไวรัสตับอักเสบหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 

โรคมะเร็งตับอาจไม่ได้ไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด การรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก หากคุณพบว่าบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับครอบครัวและเพื่อน ๆ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ตระหนักถึงสุขภาพและป้องกันภัยเงียบที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราและคนที่เรารัก

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


จับตาประชุม ครม.นัดแรก 7 ม.ค.นี้ ‘ดีอี’ ชงเพิ่มโทษอาชญากรรมออนไลน์

รมว.ดีอี จ่อชงวาระแก้ พ.ร.ก.อาชญากรรมออนไลน์ เอาผิดโจรออนไลน์เพิ่มโทษ 5 เท่า ให้ค่ายมือถือ-สถาบันการเงิน ร่วมรับผิดหากปล่อยให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ประเดิมครม.นัดแรก ระบุร่างกฎหมายกำลังผ่านความเห็นชอบกฤษฎีกาแล้ว

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกวันที่ 7 ม.ค. 2568 นี้ กระทรวงดีอีจะเสนอขออนุมัติเห็นชอบ การแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เพื่อให้การแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะกรณีที่มีการระงับหรืออายัดบัญชีม้าที่มีเงินในธนาคาร และการเพิ่มโทษ การซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือว่า เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคม โดยจะเพิ่มอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี ด้วย

โดยขณะนี้กฎหมายอยู่ในขั้นตอนของ คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง และคาดว่าจะผ่านแล้วภายในสัปดาห์นี้ จากนั้นจะส่งกลับมาให้ ครม.เห็นชอบต่อไป โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ใน ม.ค. 2568

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน ภายใต้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ร่วมรับผิดชอบในความเสียหายของประชาชนที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ หากผู้ประกอบการละเลย หรือไม่ดูแลระบบอย่างดีพอ รวมถึง และมีการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลด้วย

สำหรับแนวทางแก้ไขที่การเปิดบัญชีผิดกฎหมายที่มีลักษณะเป็นบัญชีม้านิติบุคคลนั้น ล่าสุดกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลรายชื่อ บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงด้านการฟอกเงิน (HR-03) กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมออกคำสั่งการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล

ทั้งนี้ หากมีชื่อหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการ ที่ระบุในคำขอ เป็นบุคคลที่มีชื่อในข้อมูล HR-03 จะชะลอการจดทะเบียนไว้ก่อน และให้บุคคลนั้นมาแสดงตน และแสดงหลักฐาน หากไม่มา จะปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนทันที โดยได้เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค.68 ที่ผ่านมา เพื่อสกัดกั้นการเปิดบัญชีม้านิติบุคคลให้เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง และ เพื่อป้องปรามและปราบปรามการกระทำผิดอย่างจริงจัง

นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และ สน.ห้วยขวาง บุกจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ ภายในคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 9 พบ Sim Box 286 เครื่อง – ซิมการ์ดจำนวน 3 แสนชิ้น เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ว่า จะมีการขอหารือกับสำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เกี่ยวกับขั้นตอนการจำหน่ายซิมการ์ด และการลงทะเบียนยืนยันตัวตนเพราะแม้ว่า เอกชนที่เป็นเจ้าของซิมดังกล่าวจะระบุว่าเป็น กว้านซิมของรายย่อย แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาดนั้นก็จำเป็นที่จะต้องคุยและหารือถึงแนวทางในการจัดสรรเลขหมาย และการจัดจำหน่ายต่อไปด้วย 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


การบอกเวลาและการนัดหมายภาษาอังกฤษ : ทักษะพื้นฐานที่ควรรู้

เรียนรู้ การบอกเวลาและการนัดหมายภาษาอังกฤษ พร้อมตัวอย่างประโยคและคำศัพท์ที่ใช้ในการยืนยันหรือเปลี่ยนแปลงนัดหมายอย่างมืออาชีพ

วิธีการบอกเวลาในภาษาอังกฤษ: รูปแบบและคำศัพท์สำคัญ

การบอกเวลาในภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบและคำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับเวลา ช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. รูปแบบการบอกเวลา
  • แบบ British English รูปแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) ใช้คำว่า AM (ante meridiem) สำหรับช่วงเช้า หลังเที่ยงคืน – ก่อนเที่ยงวันและ PM (post meridiem) สำหรับช่วงบ่าย หลังเที่ยงวัน – ก่อนเที่ยงคืน ตัวอย่าง เช่น

7:00 AM – seven o’clock in the morning เจ็ดโมงเช้า

7:00 PM – seven o’clock in the afternoon หนึ่งทุ่ม

  • แบบ American English รูปแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) นิยมใช้ในแบบทางการ เช่น ตารางการเดินทาง ตัวอย่าง เช่น

07:00 – seven o’clock เจ็ดโมงเช้า

19:00 – nineteen o’clock หนึ่งทุ่ม

  1. คำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับเวลา
  • O’clock สำหรับการบอกเวลาที่เป็นชั่วโมงตรง เช่น 3:00 – Three o’clock
  • Hour ชั่วโมง, Minute นาที, Second วินาที เช่น It takes 1 hour 10 minutes 40 seconds to walk from home to my school. ใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมง 10 นาที 40 วินาทีจากบ้านไปถึงโรงเรียนของฉัน
  • past หรือ to เพื่อระบุนาที เช่น 3:15 – A quarter past three, 2:45 – A quarter to three
  • Half past ครึ่งชั่วโมง เช่น 4:30 – Half past four
  • Quarter สิบห้านาที เช่น 5:15 – A quarter past five
  • Midnight เที่ยงคืน เช่น You didn’t get to bed until after midnight คุณไม่ได้เข้านอนจนกระทั่งหลังเที่ยงคืน
  • Midday/Noon เที่ยงวัน เช่น we have lunch at noon. เรารับประทานอาหารตอนเที่ยงตรง

การนัดหมายในภาษาอังกฤษ: การใช้ประโยคและวลีที่เหมาะสม

เมื่อต้องการจัดการหรือตกลงการนัดหมายกับผู้อื่น การใช้ประโยคและวลีที่เหมาะสมช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนและมีความเป็นมืออาชีพ

  1. การเริ่มต้นนัดหมาย

“Can we schedule a meeting for tomorrow?”

เราสามารถนัดประชุมสำหรับวันพรุ่งนี้ได้ไหม?

“What time works best for you?”

เวลาไหนที่สะดวกสำหรับคุณที่สุด?

  1. การเสนอเวลา

“How about 3 PM?”

บ่ายสามโมงเป็นอย่างไร?

“Would 10 AM be convenient for you?”

สิบโมงเช้าสะดวกสำหรับคุณไหม?

  1. การยืนยันการนัดหมาย

“Let’s meet at 2 PM on Monday.”

เรามาเจอกันตอนบ่ายสองวันจันทร์

“I’ll see you at the agreed time.”

เจอกันตามเวลาที่ตกลงกันไว้

การใช้ประโยคเพื่อยืนยันและเปลี่ยนแปลงนัดหมาย

บางครั้งการยืนยันและการเปลี่ยนแปลงนัดหมายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเข้าใจผิดต่อกันได้

  1. 1. การยืนยันนัดหมาย

“Just confirming our meeting at 10 AM tomorrow.”

ขอยืนยันการนัดของเราตอนสิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้

“Is our appointment still on?”

การนัดของเรายังอยู่ใช่ไหม?

  1. การเปลี่ยนแปลงนัดหมาย

“Can we reschedule to a later time?”

เราสามารถเปลี่ยนเวลาเป็นเวลาที่ช้ากว่านี้ได้ไหม?

“I need to change our meeting to 4 PM instead of 2 PM.”

ฉันต้องเปลี่ยนการประชุมเป็นบ่ายสี่แทนบ่ายสอง

การตอบรับและปฏิเสธนัดหมายอย่างมืออาชีพ

การตอบรับหรือปฏิเสธคำเชิญนัดหมายอย่างสุภาพสามารถสร้างความประทับใจและยังแสดงถึงมารยาทที่ดี

  1. การตอบรับนัดหมาย

“That works perfectly for me. Thank you!”

นั่นเป็นเวลาที่ดีสำหรับฉัน ขอบคุณ!

“I’ll be there. Looking forward to it.”

ฉันจะไป รอคอยที่จะได้พบกัน

“Thank you for the invitation. I’d be happy to meet on Tuesday at 10 AM.”

ขอบคุณสำหรับคำเชิญ ฉันยินดีที่จะพบกันวันอังคารตอน 10 โมงเช้า

“I’m available at the suggested time and look forward to our meeting.”

ฉันสะดวกตามเวลาที่คุณเสนอและตั้งตารอการประชุมของเรา

“That time works perfectly for me. See you then!”

เวลานั้นเหมาะสำหรับฉันมาก แล้วเจอกัน

“I’ve added the meeting to my calendar. I’ll see you on Wednesday at 3 PM.”

ฉันได้เพิ่มการประชุมลงในปฏิทินแล้ว แล้วเจอกันวันพุธตอนบ่ายสาม

“I’m looking forward to our discussion. Let’s meet at the agreed time and place.”

ฉันตั้งตารอการพูดคุยของเรา เจอกันตามเวลาที่ตกลงไว้

“I’ll make sure to be on time. Thank you for organizing this meeting.”

ฉันจะมั่นใจว่าจะไปตรงเวลา ขอบคุณที่จัดการประชุมนี้

“I confirm my availability for the meeting on Friday at 2 PM. See you there!”

ฉันขอยืนยันความสะดวกของฉันสำหรับการประชุมวันศุกร์ตอนบ่ายสอง แล้วเจอกันค่ะ/ครับ

  1. การปฏิเสธนัดหมาย

“Can we arrange for another time?”

เราสามารถนัดหมายเป็นเวลาอื่นได้ไหม?

“Thank you for the invitation, but I’m unavailable at that time.”

ขอบคุณสำหรับคำเชิญ แต่ฉันไม่สะดวกในเวลานั้น

“Unfortunately, I have a prior commitment at that time. Could we reschedule?”

น่าเสียดายที่ฉันมีนัดหมายอื่นในเวลานั้น เราสามารถเลื่อนเวลาได้ไหม

“I appreciate the opportunity, but I’m unable to attend the meeting on Monday.”

ขอบคุณสำหรับโอกาสนี้ แต่ฉันไม่สามารถเข้าร่วมประชุมในวันจันทร์ได้

“I regret to inform you that I won’t be able to join due to a scheduling conflict.”

ฉันเสียใจที่ต้องแจ้งว่าฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากตารางเวลาไม่ลงตัว

“I’m unable to attend this time, but I’d be happy to join the next meeting if possible.”

ฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้ครั้งนี้ แต่ยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งหน้าหากเป็นไปได้

“I won’t be able to participate due to unforeseen circumstances, but I’m open to discussing alternatives.”

ฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ยินดีที่จะพูดคุยทางเลือกอื่น

“Apologies, I’m tied up during that time. Would another day work for you?”

ขอโทษด้วย ฉันติดภารกิจในเวลานั้น มีวันอื่นที่สะดวกสำหรับคุณไหม

ตัวอย่างประโยคเกี่ยวกับการบอกเวลาและการนัดหมาย

  1. ตัวอย่างการบอกเวลา
  • “It’s ten minutes past six.” ตอนนี้หกโมงสิบ
  • “The train leaves at half past nine.” รถไฟออกตอนเก้าโมงครึ่ง
  • The meeting starts at 2:15 การประชุมเริ่มตอนบ่ายสองสิบห้านาที
  • It’s half past six in the evening. ตอนนี้หกโมงครึ่งเย็น
  • We’ll leave at a quarter to five. เราจะออกเดินทางตอนสี่โมงสี่สิบห้านาที
  • The flight departs at 11:45 เที่ยวบินออกตอนเช้าเวลา 11 โมง 45 นาที
  • It’s ten past three. ตอนนี้สามโมงสิบ
  • Lunch is scheduled for 12:30 อาหารกลางวันกำหนดไว้เวลาเที่ยงครึ่ง
  • It’s almost 7 o’clock in the evening. ตอนนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว
  1. ตัวอย่างการนัดหมาย
  • การนัดประชุมงาน

“Let’s schedule the meeting for Thursday at 3 PM.”

มาจัดประชุมวันพฤหัสฯ ตอนบ่ายสามกันเถอะ

  • การนัดสัมภาษณ์งาน

“We’d like to invite you for an interview next Monday at 10 AM.”

เราขอเชิญคุณมาสัมภาษณ์งานวันจันทร์หน้าตอนสิบโมงเช้า

  • การนัดพบแพทย์

“Can I book an appointment with Dr. Somchai for Friday morning?”

ฉันขอจองนัดกับหมอสมชายเช้าวันศุกร์ได้ไหม

  • การนัดพบเพื่อน

“How about meeting for coffee at 4 PM tomorrow?”

ไปดื่มกาแฟตอนสี่โมงเย็นพรุ่งนี้ไหม

  • การนัดทานข้าวเย็น

“Let’s have dinner together at 7 PM this Saturday.”

ไปทานข้าวเย็นด้วยกันตอนหนึ่งทุ่มวันเสาร์นี้

  • การนัดเรียนหรือติว

“Can we meet at the library at 2 PM to study together?”

เราเจอกันที่ห้องสมุดตอนบ่ายสองเพื่อเรียนด้วยกันได้ไหม

  • การนัดเพื่อพูดคุยงาน

“I’d like to set up a meeting to discuss the new project on Tuesday.”

ฉันอยากจัดนัดเพื่อพูดคุยเรื่องโครงการใหม่ในวันอังคาร

  • การนัดท่องเที่ยว

“Let’s meet at the train station at 6 AM for the trip.”

มาเจอกันที่สถานีรถไฟตอนหกโมงเช้าสำหรับการเดินทาง

  • การนัดช่างซ่อม

“The technician will come to your house at 10 AM tomorrow.”

ช่างจะมาที่บ้านคุณตอนสิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


“มะระขี้นก” ผัก สมุนไพรประโยชน์เยอะ กับผลข้างเคียงที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน

มะระขี้นก นับเป็นผักสมุนไพรที่เลื่องชื่อในด้านการป้องกันและรักษาเบาหวานได้ดียิ่งนัก ทั้งนี้เนื่องจากมะระขี้นกมีสารซาแรนติน (Charatin) ที่มีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยต่อต้านอาการของโรคเบาหวานและเพิ่มการหลั่งอินซูลินจากในตับอ่อน เพิ่มความทนทานต่อกลูโคสและช่วยให้ร่างกายสามารถเร่งการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มะระขี้นกยังมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานและสามารถช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วย แต่มะระขี้นกนั้นก็มีผลข้างเคียงแบบที่อาจไม่ค่อยมีใครพูดถึง และต่อไปนี้คือผลข้างเคียงของมะระขี้นก

มะระขี้นก มีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง

ควรระมัดระวังในการบริโภคมะระขี้นกนอกเหนือจากการรับประทานเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวัน มะระขี้นกอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงและมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคมะระขี้นก ได้แก่

  • ปัญหาทางเดินอาหาร: อาการท้องเสีย อาเจียน และปัญหาทางเดินอาหารอื่นๆ
  • ปัญหาในสตรีมีครรภ์: อาจทำให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอด การหดรัดของมดลูก และอาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร
  • ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างอันตราย: หากรับประทานร่วมกับยาอินซูลิน
  • ความเสียหายต่อตับ
  • ปัญหาจากการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ทำให้ยาออกฤทธิ์เปลี่ยนแปลงไป
  • ปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัด
  • ผู้ที่มีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD) ไม่ควรรับประทานเมล็ดมะระ เพราะอาจเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เช่น โลหิตจาง ปวดศีรษะ ปวดท้อง มีไข้ และอาจมีภาวะโคม่าได้ในบางราย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,200.0043,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,798.0042,417.6843,800.00
ทองรูปพรรณ 90%2,518.2038,175.91n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,238.4033,934.14n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,259.0019,086.44n/a
ทองรูปพรรณ 40%979.0014,841.64n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,899.0043,948.84n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/01/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.2535.9536.4535.9535.9535.9535.9535.9535.9536.25
แก๊สโซฮอล์ 9135.8835.5836.0835.5835.5835.5835.5835.5835.5835.88
แก๊สโซฮอล์ E2034.1433.8434.3433.8433.8433.8433.8433.8434.14
แก๊สโซฮอล์ E8533.8933.5933.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.8449.8449.8449.8444.84
เบนซิน 9544.5449.8144.7444.3944.54
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9431.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า