อสังหาฯภูธรคึก จับเทรนด์ย้ายถิ่น–เกษียณ โครงการหรูบุกตลาดโคราช

- เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ สวนกระแสเศรษฐกิจ ขยายการลงทุนสู่หัวเมืองต่างจังหวัด โดยเฉพาะโคราช เพื่อเจาะตลาดที่มีศักยภาพและกระจายความเสี่ยง
- ปรับกลยุทธ์หันมาพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวหรูแบรนด์ “แกรนดิโอ” ราคา 5-20 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง
- เปิดตัวโครงการล่าสุด “แกรนดิโอ โคราช-เทอมินอล” มูลค่า 1,860 ล้านบาท ชูจุดเด่นบ้านหรูสไตล์ยุโรปและทำเลใจกลางเมือง เพื่อตอบสนองกำลังซื้อกลุ่มบน
ในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาหนี้ครัวเรือน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กลับเลือกเดินเกมสวนกระแส ด้วยการเร่งขยายการลงทุนสู่หัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่นครราชสีมาและขอนแก่น กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัทที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างจังหวัด หลังจากเริ่มต้นบุกภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2562
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ยังคงชะลอตัวทั่วประเทศ สัญญาณลบที่เคยจำกัดอยู่เพียงกรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มส่งผลไปยังหัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อหดตัวและการขอสินเชื่อมีอุปสรรค อย่างไรก็ตาม การวางยุทธศาสตร์ในอีสานยังเป็นเป้าหมายที่บริษัทเชื่อว่าจะสร้างการเติบโตระยะยาว
โคราชถูกมองว่าเป็น “ประตูสู่อีสาน” ด้วยจำนวนประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศ และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การศึกษา การแพทย์ และการท่องเที่ยว ขณะที่ขอนแก่นถือเป็น “เมืองมหาวิทยาลัย” และศูนย์กลางด้านการแพทย์ มีรายได้ต่อหัวประชากรสูงกว่าโคราช จึงดึงดูดผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่เข้ามาแข่งขันจำนวนมาก
เฟรเซอร์สเลือกใช้กลยุทธ์ที่แตกต่าง โดยเน้นพัฒนาโครงการในโซนใจกลางเมือง เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่พร้อมจ่ายเพื่อทำเลและคุณภาพโครงการ แทนที่จะกระจายไปยังรอบนอกที่แข่งขันกับผู้ประกอบการท้องถิ่นซึ่งมีต้นทุนตํ่ากว่า
การพัฒนาตลาดอีสานของเฟรเซอร์ส เริ่มจากแบรนด์ “โกลเด้น นีโอ” และ “นีโอ โฮม” ซึ่งจับตลาดทาวน์โฮมและบ้านแฝดในระดับราคา 2-7 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันบริษัทปรับพอร์ตสู่แบรนด์ “แกรนดิโอ” บ้านเดี่ยวหรูที่ราคา 5-20 ล้านบาท เพื่อรองรับกำลังซื้อที่แข็งแรงกว่า โดยเฉพาะกลุ่มแพทย์ ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจท้องถิ่น และผู้พิพากษา ที่ยังมีศักยภาพแม้เศรษฐกิจชะลอตัว
นายภวรัญชน์ ยอมรับว่า การยกระดับราคาเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย เนื่องจากกลุ่มลูกค้าระดับกลางประสบปัญหาการขอสินเชื่อมากขึ้น แต่กลุ่มบนยังมีความมั่นคงทางการเงินและพร้อมลงทุนในบ้านคุณภาพ
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบการแข่งขันในโคราชยังไม่รุนแรงเท่าขอนแก่น เนื่องจากผู้ประกอบการแบ่งทำเลค่อนข้างชัด ลูกค้าที่เลือกอยู่ในเมืองมักยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อความสะดวก ส่วนโครงการรอบนอกก็จับตลาดคนละกลุ่ม ทำให้เฟรเซอร์สมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความต่างด้านคุณภาพและทำเล
ในเชิงผลตอบแทน นายภวรัญชน์ยอมรับว่า กำไรขั้นต้น (Gross Profit) ของโครงการต่างจังหวัดหนากว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 5% เนื่องจากต้นทุนบริหารจัดการไม่สูง และซัพพลายเชนก่อสร้างเข้าถึงง่ายกว่า แม้ราคาที่ดินในเมืองโคราชจะขยับขึ้นต่อไร่จาก 4-5 ล้านบาทเป็น 6 ล้านบาทในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่การขยายพอร์ตยังคงคุ้มค่า
ทั้งนี้ โครงการล่าสุดของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยที่โคราช “แกรนดิโอ โคราช-เทอมินอล” (GRANDIO Korat-Terminal) มีมูลค่า 1,860 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 71 ไร่ รวม 320 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนสุระ 2 เชื่อมต่อทั้งถนนมิตรภาพและถนนบายพาส ใกล้มอเตอร์เวย์ M6 และแวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำของเมือง

บ้านมีให้เลือก 5 แบบ ตั้งแต่บ้านแฝด Adrano พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ไปจนถึงบ้านเดี่ยวหรู Luzern ขนาด 320 ตร.ม. มาพร้อมสระว่ายนํ้าส่วนตัว ราคาแตะ 20 ล้านบาท จุดขายอยู่ที่การออกแบบสไตล์ยุโรป โทนสีทอง-ขาว เรียบหรูทันสมัย สะท้อนความพรีเมียมที่แตกต่างจากโครงการท้องถิ่น
ส่วนกลางเน้นสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบครอบครัวครบวงจร ด้วยคลับเฮ้าส์ที่ได้แรงบันดาลใจจากสวน “ไฮด์พาร์ก” กรุงลอนดอน พื้นที่กว่า 3 ไร่ มีทั้งสระว่ายนํ้า ฟิตเนส Co-working Space สนามเด็กเล่น พื้นที่ Pet Society และ Jogging Track ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
อีกทั้ง เฟรเซอร์สยังตั้งเป้าการเติบโตในตลาดอีสานเฉลี่ยปีละ 10% พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ทั้งในโคราช ขอนแก่น และอุดรธานี โดยมองว่าอุดรฯ อาจเป็นจังหวัดถัดไป หากเจอที่ดินคุณภาพและราคาสมเหตุสมผล
ขณะเดียวกันยังคงจับตาตลาดภาคตะวันออก โดยเฉพาะระยองในเขต EEC ที่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ แม้ภาพรวมอสังหาฯ ไทยอยู่ในช่วงท้าทาย แต่การวางยุทธศาสตร์ขยายสู่หัวเมืองใหญ่ของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นการปรับตัวที่สอดรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งของแบรนด์บ้านหรูเจาะกลุ่มกำลังซื้อมั่นคง ในขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายยังเน้นตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล การสร้างรากฐานในอีสานอาจกลายเป็นแต้มต่อสำคัญของเฟรเซอร์สในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เผย 6 เทรนด์อสังหาฯ-บริการดาวรุ่ง รับสังคมสูงวัย ดันตลาดโตปีละ 5%

- ไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด เป็นโอกาสสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และบริการที่เกี่ยวข้องเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 5%
- 6 เทรนด์ธุรกิจดาวรุ่งเพื่อรองรับตลาดผู้สูงวัย ได้แก่ ที่อยู่อาศัยเฉพาะทาง, การรีโนเวทบ้าน, บริการดูแลที่บ้าน, เทคโนโลยี, สัตว์เลี้ยงบำบัด และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
- ตลาดนี้มีศักยภาพสูงจากทั้งกำลังซื้อของผู้สูงอายุในประเทศที่คาดว่าจะสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาทในปี 2572 และความต้องการจากชาวต่างชาติที่เลือกไทยเป็นจุดหมายเพื่อการเกษียณ
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super-aged Society) ในปี 2573 ซึ่งมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการเกี่ยวเนื่องถูกยกให้เป็น “ดาวรุ่ง” ที่ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับดีมานด์ใหม่ ๆ ของกลุ่ม Silver Age ที่มีศักยภาพทางการเงินสูง
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาฯ ในเครือแอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการศึกษาแนวโน้มธุรกิจที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร พบว่าธุรกิจอสังหาฯ และบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุมีโอกาสเติบโตแม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยชี้ 6 ธุรกิจสำคัญที่จะขยายตัวชัดเจน ได้แก่
- ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย (Senior Living Community) โครงการที่อยู่อาศัยที่ออกแบบด้วย Universal Design พร้อมบริการด้านสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ทั้งขายและให้เช่า เหมาะกับกลุ่ม Early Senior และ Assisted Senior ที่ยังพึ่งพาตนเองได้หรือเริ่มต้องการการดูแล
- ธุรกิจรีโนเวทบ้าน (Renovate to Senior Home) การปรับปรุงที่อยู่อาศัยเดิมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น ติดตั้งราวจับ ทำพื้นกันลื่น ปรับทางลาด เป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มที่วางแผนเกษียณล่วงหน้า
- ธุรกิจสัตว์เลี้ยงบำบัด (Pet Therapy) ตอบโจทย์สุขภาพจิตและความเหงาของผู้สูงอายุ โดยสามารถต่อยอดเป็นบริการเช่าสัตว์เลี้ยงหรือจัดฝึกเฉพาะทาง
- บริการดูแลผู้สูงวัยที่บ้าน (Home Care) ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสุขภาพ กายภาพบำบัด จัดยา ไปจนถึงการช่วยเหลือกิจวัตรประจำวัน เป็นตลาดที่เติบโตต่อเนื่องจากข้อจำกัดของครอบครัวรุ่นใหม่ที่ไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิด
- เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงอายุ เช่น ระบบตรวจจับการล้ม GPS Tracker Telemedicine และ Smart Home ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มวัยเกษียณที่คุ้นชินกับดิจิทัล
- การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและไลฟ์สไตล์ (Medical & Silver Tourism) เจาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ยังเดินทางได้ เน้นทัวร์ปลอดภัย โปรแกรมดูแลสุขภาพ และ Wellness Retreat ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวกลุ่มนี้
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า มูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาทในปี 2567 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านล้านบาทในปี 2572 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.3% จากจำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มจาก 13.8 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 18 ล้านคนในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากดีมานด์ในประเทศแล้ว นายประพันธ์ศักดิ์ยังมองว่า ประเทศไทยถือเป็น Retirement Destination ที่ได้รับความนิยมจากผู้สูงอายุต่างชาติ โดยเฉพาะยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ที่เลือกเข้ามาพักอาศัยหรือลงทุนอสังหาฯ ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยและบริการเพื่อผู้สูงวัยมีโอกาสขยายตัวทั้งในเชิงดีมานด์และการลงทุน
การปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ จึงเป็นมากกว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุโดยตรง แต่ยังต่อยอดไปสู่ธุรกิจบริการเสริม เช่น การรีโนเวทบ้าน เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม หรือแพ็กเกจท่องเที่ยวสุขภาพ เพื่อรองรับวิถีชีวิตแบบใหม่ของสังคมสูงวัยอย่างครบวงจร
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ก.ย. “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย”ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sidewaysในช่วงระหว่างวัน อาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาดีกว่าคาด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้3ก.ย.2568 ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยอาจยังติดโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่โซนแนวรับก็ไม่ควรจะต่ำกว่าโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปมากนัก โดยเฉพาะในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ (ไฮไลท์สำคัญ คือ ข้อมูลการจ้างงาน) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาดีกว่าคาด หนุนให้ เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีนในระดับสูง
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจพอช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะเกิดพฤติกรรมไล่ราคาซื้อ (Fear of Missing Out หรือ FOMO) ซึ่งจะทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไปได้ในระยะสั้น
กล่าวคือ ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเร็ว แรง ก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อ กดดันให้เงินบาทกลับอ่อนค่าลง (จากปกติที่เงินบาทควรจะแข็งค่าขึ้น ในจังหวะราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น)
นอกจากนี้ เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในส่วนของ Transshipment Tariffs
และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.42 บาทต่อดอลลาร์) หลังในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเข้าใกล้โซน 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้อานิสงส์จากประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก
โดยเฉพาะอังกฤษ โดยความกังวลดังกล่าวได้กดดันให้เงินปอนด์อังกฤ (GBP) อ่อนค่าลงหนัก นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนไปบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังเงินดอลลาร์ เผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน โดย ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.7 จุด
ทว่าต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ระดับ 49.0 จุด นอกจากนี้ ดัชนีในส่วนการจ้างงาน แม้จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 43.8 จุด แต่ก็ยังต่ำกว่าคาด และต่ำกว่าระดับ 50 จุด สะท้อนว่า ภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังคงมีการลดการจ้างงานต่อเนื่อง นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานดังกล่าว
กอปรกับความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) และแรงซื้อทองคำแบบไล่ราคาของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถวโซน 3,540 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาผสมผสาน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดได้กลับมากังวลทั้งประเด็นความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวในหลายประเทศต่างปรับตัวสูงขึ้น และประเด็นความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังศาลอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยตามศาลชั้นต้นว่า มาตรการภาษีส่วนใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กดดันให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปรับตัวลง -0.69%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงกว่า -1.50% กดดันโดยความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอังกฤษและกลุ่มประเทศสมาชิกยูโรโซน อย่าง ฝรั่งเศส ซึ่งภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 30 ปี ของอังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม Kering +3.8%, LVMH +1.9% ตามการปรับคำแนะนำเข้าลงทุนของบรรดานักวิเคราะห์
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างปรับตัวสูงขึ้น ทว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน กอปรกับ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้ชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ให้จำกัดแถวระดับต่ำกว่าโซน 4.30%
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนไปตามการมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยยังพอมีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังจากนี้
(ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน) ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดอาจยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งจะหนุนให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง
เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%) ส่วนความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ นั้นอาจทยอยลดลงบ้าง ส่งผลให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันบ้างจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ทว่า ความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินก็ยังพอช่วยหนุนเงินดอลลาร์อยู่บ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) เคลื่อนไหวแถวโซน 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ก็สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้ ตามความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาด อย่างกลุ่ม CTA ก็ทยอยไล่ราคาซื้อทองคำ หลังราคาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ในเดือนกรกฎาคม รวมถึง ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการของจีน (RatingDog Services PMI หรือ อดีต คือ Caixin Services PMI) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะสะท้อนภาวะของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ในภาคการบริการของจีนได้ดี
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การเมือง ทั้งแนวโน้มการยุบสภาโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีตัวแปรที่ต้องติดตาม คือ มติของพรรคประชาชน ว่าจะจับมือจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับพรรคการเมืองใด ระหว่างฝั่งพรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.38-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.38 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยแม้จะยังมีอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก แต่เงินบาทอ่อนค่าลง เนื่องจากตลาดยังคงมีจุดสนใจอยู่ที่ประเด็นทางการเมืองในประเทศ ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และได้รับแรงหนุนทางอ้อมจากทิศทางที่อ่อนค่าของเงินเยนและเงินปอนด์จากปัจจัยเฉพาะของทั้ง 2 สกุล
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ค. และรายงาน Beige Book ของเฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ส่องอันดับโลกล่าสุด 8 ชาติที่ผ่านเข้ารอบ วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเดินทางมาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ เป็นที่เรียบร้อย
โดยได้ทีมครบทั้ง 8 ชาติ ที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์มาเล่นในรอบนี้ ซึ่งจากบรรดาทั้งหมด 8 ทีม มีถึง 7 ทีมที่ครองอันดับโลกเบอร์ต้นๆ โลก ของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB)
อย่างไรก็ตามมีเพียง ฝรั่งเศส ทีมอันดับ 13 ของโลก ที่ถือเป็นม้ามืดที่สามารถผ่านเข้ามาเล่นในรอบนี้หลังคว่ำ ทีมชาติจีน เบอร์ 7 โลกลงได้แบบเหลือเชื่อในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
สรุปทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025
- อิตาลี (อันดับ 1)
- บราซิล (อันดับ 2)
- โปแลนด์ (อันดับ 3)
- ญี่ปุ่น (อันดับ 4)
- ตุรกี (อันดับ 5)
- สหรัฐอเมริกา (อันดับ 6)
- เนเธอร์แลนด์ (อันดับ 8)
- ฝรั่งเศส (อันดับ 13)
สำหรับ การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 รอบ 16 ทีมสุดท้าย จะเล่นในระบบน็อกเอาต์ แข่งขันกันที่สนาม อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก, กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 3 – 4 กันยายน 2568
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อันตรายจากการนอนน้อย เสี่ยง 6 โรคผลกระทบจากการนอนไม่พอ

ในชีวิตที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยภารกิจ หลายคนมักยอมเสียสละเวลานอนเพื่อทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆ จนติดเป็นนิสัย การนอนน้อย หรือนอนหลับไม่เพียงพอไม่ได้ส่งผลแค่ความรู้สึกง่วงซึมในวันถัดไปเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ “ภูมิคุ้มกันตก” และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ อย่างคาดไม่ถึง บทความนี้จะสรุปให้เห็นว่า การนอนน้อยส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร และโรคอะไรบ้างที่คุณอาจต้องเผชิญหากยังคงละเลยการนอนหลับที่เพียงพอ
นอนน้อยจึงก่อเกิดโรคต่าง ๆ ได้อย่างไร
ในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายไม่ได้หยุดทำงาน แต่กำลังอยู่ในกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองที่สำคัญ โดยเฉพาะการสร้างและหลั่ง ไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทของระบบภูมิคุ้มกัน มีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคและลดการอักเสบในร่างกาย
เมื่อเรานอนน้อย การผลิตไซโตไคน์จะลดลงอย่างมาก ทำให้ความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลงและง่ายต่อการติดเชื้อต่าง ๆ
โรคที่มาพร้อมกับการนอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับไม่เพียงพอไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ในระยะยาวได้ ดังนี้
- โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่: นี่คือโรคที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุด คนที่นอนน้อยมักจะติดหวัดง่าย และเมื่อเป็นแล้วก็มักจะหายช้ากว่าปกติ เพราะร่างกายไม่มีกำลังมากพอที่จะกำจัดเชื้อโรค
- โรคเบาหวานประเภทที่ 2: การนอนน้อยส่งผลกระทบต่อการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: การอดนอนเรื้อรังส่งผลให้ระดับความดันโลหิตและฮอร์โมนความเครียดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดในสมอง
- โรคซึมเศร้าและความวิตกกังวล: การนอนหลับมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับสุขภาพจิต การนอนน้อยส่งผลต่ออารมณ์และระดับสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
- ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน: การอดนอนจะไปกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิว และลดการทำงานของฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่ม ทำให้เราอยากอาหารมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะกินจุบจิบในปริมาณที่มากกว่าปกติ
- โรคผิวหนังต่างๆ: ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับการอักเสบได้ดี ส่งผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือสิว
การนอนหลับ จึงไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการนอนหลับอย่างเพียงพอสำหรับผู้ใหญ่อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ
หากคุณยังคงมีพฤติกรรมนอนน้อย ลองปรับเปลี่ยนตารางชีวิตและให้ความสำคัญกับการนอนมากขึ้น เพราะการมีสุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้จากง่าย ๆ ที่ตัวคุณเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
BAC ดึง Snowflake ยักษ์ Cloud AI โลก ต่อยอดพัฒนา AI Agent ลูกค้าองค์กร

- BAC จับมือกับ Snowflake ผู้นำตลาด AI Data Cloud ระดับโลก เพื่อเสริมศักยภาพด้านการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล
- มีเป้าหมายเพื่อนำแพลตฟอร์มของ Snowflake มาต่อยอดพัฒนาโซลูชัน AI Agent สำหรับองค์กรธุรกิจ
- ช่วยให้องค์กรสามารถสร้าง AI เฉพาะทางของตนเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและใช้ข้อมูลในการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
ในขณะที่โลกธุรกิจเดินหน้าเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด (BAC) ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านข้อมูลและเทคโนโลยีคลาวด์ โดยมุ่งเน้นการใช้ AI Data Cloud Platform เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจไทยในอนาคต โดยเฉพาะจากการจับมือกับ Snowflake ผู้นำในตลาด AI Data Cloud ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการวิเคราะห์และบริหารจัดการข้อมูลขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นางสาวพรรณศิริ อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด (BAC) เปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กลยุทธ์สำคัญของ BAC ในการเติบโตคือการมุ่งเน้นการใช้ AI และ Data Analytics ซึ่งไม่เพียงแค่การรวบรวมข้อมูล แต่ยังรวมถึงการพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะการนำเสนอโซลูชัน Cloud AI Platform ซึ่งเป็นบริการที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานข้อมูลในคลาวด์ได้โดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน
การพัฒนาโซลูชันนี้ตอบโจทย์ตลาดที่ต้องการเทคโนโลยีที่สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
Cloud AI Platform ของ Snowflake จะเข้ามาช่วยเสริมความเชี่ยวชาญด้าน Data และการวิเคราะห์ข้อมูล ของ BAC พัฒนาต่อยอด AI Agent ให้กับองค์กรธุรกิจ มี AI เฉพาะองค์กรของตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และใช้ข้อมูลการตัดสินใจอย่างแม่นยำ โดย Cloud AI Platform ที่มีเครื่องมืออยู่เป็นจำนวนมาก จะเปรียบเสมือนพื้นฐานสำคัญ ในการพัฒนา AI Agent ให้เหมาะ และตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจที่มีความแตกต่าง ๆ กัน โดยสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่ใช้งาน

นางสาวพรรณศิริ กล่าวต่อไปอีกว่า บริษัทมุ่งหวังที่จะสร้าง Data Ecosystem ที่ครบวงจรให้กับธุรกิจในประเทศไทย พร้อมทั้งขยายการบริการให้สามารถใช้ข้อมูลได้จริงเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในอนาคต โดยจะเห็นการเติบโตจากการใช้ AI Cloud และการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การร่วมมือกับ Snowflake จะทำให้เราเข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลกได้ทันทีและสามารถช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ BAC ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 300 ล้านบาท เติบโตประมาณ 5-10% โดยรายได้ส่วนใหญ่ได้มาจากการให้บริการ Data Solutions และ AI Technology โดย BAC วางแผนในการขยายตลาดที่เกี่ยวข้องกับ Cloud AI Platform และ Data Analytics ที่มีความต้องการสูงในตลาดปัจจุบัน การขยายตลาดในด้านนี้จะช่วยให้ BAC สามารถเพิ่มรายได้จาก Data Solutions ในปีต่อ ๆ ไป
“แม้หลายธุรกิจเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจผันผวน แต่ BAC ยังคง “สวนกระแส” และเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยใช้กลยุทธ์ยึดแนวทางเฉพาะด้าน Data อย่างมั่นคง ประกอบกับการปรับตัวเร็วต่อเทคโนโลยีใหม่และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า”
โดยกลยุทธ์หลักที่สำคัญของ BAC ในการสร้างการเติบโตธุรกิจ คือ การปรับตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดย BAC เป็นบริษัทแรก ๆ ที่เริ่มใช้ Data Analytics เพื่อช่วยองค์กรพัฒนา Dashboard การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นก็ขยายไปถึงการใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในองค์กร
“การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรา แต่สิ่งที่สำคัญคือการทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริง เราปรับตัวและพัฒนาตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ เสมอ ซึ่งก็ทำให้ BAC อยู่ในฐานะของบริษัทที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่องทุกปี ขณะเดียวกันเรายังโฟกัสในสิ่งที่เราถนัดที่สุด ไม่แตกไลน์ออกนอกเส้นทาง แต่เสริมด้วยการเป็นพันธมิตรกับเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Snowflake เพื่อเสริมจุดแข็งที่มีอยู่แล้วให้ยั่งยืน”
สำหรับทิศทางในระยะสั้น-กลาง BAC ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากบริการที่เชื่อมโยงกับ AI และ Data Cloud ให้มากขึ้น โดยเฉพาะจากความร่วมมือกับ Snowflake ที่จะกลายเป็น Growth Engine สำคัญ ขณะที่ในระยะยาว บริษัทวางแผนสร้าง Ecosystem ด้านข้อมูลให้ครบวงจร เพื่อเป็น Data Partner ขององค์กรไทยทุกขนาด
“คลื่นลูกใหม่กำลังมา เราต้องเตรียมทั้งเทคโนโลยีและคนให้พร้อมเพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ลูกค้า และสร้างการเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“พายุ” กับสำนวนภาษาอังกฤษน่ารู้

“พายุ” กับสำนวนภาษาอังกฤษน่ารู้
ตอนนี้สภาพภูมิอากาศของเรานั้นเปลี่ยนไปมากบางวันก็ร้อนจัดหรือฝนตกขึ้นมาเฉยๆ ถ้าถามว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาพแบบนี้คือ “ ภาวะโลกร้อน ”นั่นเองที่ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มขึ้น ถ้าคุณติดตามข่าวสารก็จะเห็นว่าเกิดภัยธรรมชาติทั่วทุกมุมโลก
วันนี้เราจะมาเสนอสำนวนที่เกี่ยวกับพายุกันสักหน่อยว่ามาสำนวนอะไรบ้าง เพื่อเพื่อนๆทุกคนจะนำไปใช้ได้
“a storm in a teacup”
ถ้าแปลตรงๆจะหมายความว่า “พายุในถ้วยชา” เราคงจะมึนงงเลยทีเดียวทำไมพายุไปอยู่ในชาได้ ถ้าอยู่จริงชาคงหกหมดแน่เลย
ความหมาย : “ การที่เราโกรธหรือกังวลในเรื่องที่ไม่สำคัญ ”
ตัวอย่าง: I think it’s all a storm in a tea cup; you don’t have to be worried.
คำแปล: ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณไม่ต้องกังวลหรอก
“do something up a storm”
สำนวนนี้ไม่ได้มีความหมายว่า ทำอะไรอยู่บนพายุ แต่มีความหมายว่า
ความหมาย : “ ทำอะไรด้วยความกระตือรือร้นหรือมีชีวิตชีวา ”
ตัวอย่าง: You should have seen him at the wedding. He was dancing up a storm!
คำแปล: คุณควรจะเห็นเขาในงานแต่งงานนะ เขาเต้นอย่างมีชีวิตชีวา
“storm around”
ความหมาย : “ ทำไปด้วยความโกรธหรือความโมโหเดือดดาล ”
ตัวอย่าง: Mike was storming around all morning because he lost his money.
คำแปล: ไมค์กำลังโมโหเพราะเขาทำเงินหาย
“After a storm comes calm.”
ความหมาย: ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ
ตัวอย่าง: Now you face a lot of problem, I believe After a storm comes a calm.
คำแปล: ตอนนี้คุณเผชิญกับปัญหามากมาย แต่ฉันเชื่อว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ
“Weather the storm”
ความหมาย: เผชิญหน้าฝ่าฟันปัญหาอย่างอดทน รับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ตัวอย่าง: If you stand by my side, I will be ready to weather the storm.
คำแปล: ถ้าคุณอยู่ข้างฉัน ฉันก็พร้อมที่จะฝ่าฝันก้บปัญหา
ขอบคุณข้อมูลจาก tistranslation.com
“มะนาวคาเวียร์” ผลไม้มหัศจรรย์ เพิ่มรสชาติ อุดมด้วยคุณประโยชน์

มื่อพูดถึงมะนาว หลายคนคงนึกถึงมะนาวลูกกลมๆ รสเปรี้ยวจี๊ด แต่ยังมีมะนาวอีกชนิดที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร นั่นคือ มะนาวคาเวียร์ หรือ มะนาวนิ้ว (Finger Lime) ผลไม้รูปร่างแปลกตาที่มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ และเมื่อผ่าออกมาจะพบเม็ดเล็กๆ คล้ายไข่ปลาคาเวียร์ใสๆ ที่อัดแน่นไปด้วยรสชาติและคุณประโยชน์
มะนาวคาเวียร์คืออะไร?
มะนาวคาเวียร์ (Citrus australasica) เป็นผลไม้ตระกูลส้มชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนเขตร้อนของประเทศออสเตรเลีย รูปลักษณ์ภายนอกของผลจะยาวรีคล้ายนิ้วมือ มีเปลือกบางสีเขียว, เหลือง, หรือม่วงเข้มขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ แต่ความพิเศษที่แท้จริงอยู่ด้านใน เมื่อผ่าครึ่งจะพบเนื้อที่มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ ใสๆ คล้ายไข่ปลาคาเวียร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “มะนาวคาเวียร์” เม็ดเหล่านี้เมื่อกัดเข้าไปจะแตกออกและปล่อยรสชาติมะนาวที่หอมสดชื่น เปรี้ยวจี๊ดแต่ไม่ฝาด
ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและรสชาติที่โดดเด่น ทำให้มะนาวคาเวียร์ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการอาหารชั้นสูง โดยนิยมนำไปตกแต่งอาหารคาว-หวาน หรือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความหรูหราและรสชาติที่ซับซ้อน
ประโยชน์ของมะนาวคาเวียร์: ไม่ได้มีดีแค่ความสวย
นอกจากความสวยงามและรสชาติที่พิเศษแล้ว มะนาวคาเวียร์ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย
- แหล่งวิตามินซีสูง: มะนาวคาเวียร์มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัด
- อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง และช่วยชะลอวัย
- ใยอาหารสูง: มีใยอาหารที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลของลำไส้
- บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในมะนาวคาเวียร์มีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์
มะนาวคาเวียร์จึงเป็นมากกว่าแค่เครื่องปรุงหรือของตกแต่งจานอาหาร แต่ยังเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบครัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารพร้อมๆ ไปกับการดูแลสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/09/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 54,000.00 | 54,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,491.00 | 52,923.56 | 54,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,141.90 | 47,631.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,792.80 | 42,338.85 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,570.95 | 23,815.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,221.85 | 18,523.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,617.62 | 54,843.12 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |