แสนสิริรุกตลาดบ้านพร้อมอยู่ ขายยูนิตตัวอย่างแต่งครบทั่วไทย

แสนสิริจัดแคมเปญ “เห็นแบบไหน ได้ทั้งหมด” ปล่อยบ้านตัวอย่างตกแต่งครบ 70 โครงการทั่วประเทศ ลดราคาสูงสุด 20%รองรับดีมานด์บ้านพร้อมอยู่กลุ่มพรีเมียมในกรุงเทพฯ
ในช่วงที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ความต้องการ “บ้านตกแต่งพร้อมอยู่” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ชัดเจนขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ไม่รอช้า เดินเกมเชิงรุก จัดแคมเปญพิเศษ “เห็นแบบไหน ได้ทั้งหมด” เปิดขายบ้านตัวอย่างตกแต่งครบทั่วประเทศ รวม 70 โครงการ 180 ยูนิต พร้อมข้อเสนอที่โดดเด่น จ่ายเพียง 80% ของราคาบ้าน แต่ได้บ้านพร้อมของตกแต่งครบชุดในแบบที่เห็น พร้อมเข้าอยู่ทันที
โดยยูนิตที่เปิดขายครอบคลุมทุกระดับราคา ตั้งแต่บ้านราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท ไปจนถึงระดับพรีเมียม 52 ล้านบาท ซึ่งได้รับการออกแบบโดยทีมดีไซเนอร์ของแสนสิริ ทั้งบิวท์อิน เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และเครื่องใช้ไฟฟ้า
“บ้านตกแต่งพร้อมอยู่คือคำตอบของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งเรื่องความคุ้มค่า ความเร็ว และดีไซน์” ภัคพริ้ง การุญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโครงการแนวราบ แสนสิริ
เทรนด์ “บ้านพร้อมอยู่” โตแรงในกลุ่มพรีเมียม
หนึ่งในข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ คือ ความต้องการบ้านตกแต่งพร้อมอยู่กำลังพุ่งขึ้นในกลุ่มราคา 10–30 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองขยาย เช่น ดอนเมือง ราชพฤกษ์ และบางนา ซึ่งมีลูกค้าระดับกลางบนถึงพรีเมียมมองหาบ้านที่ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มในการตกแต่ง
“บ้านตัวอย่างมักอยู่ในตำแหน่งแปลงที่ดีที่สุดของโครงการ และเมื่อตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ จะตอบโจทย์ทั้งเรื่องฟังก์ชัน การออกแบบ และความสะดวกทันที โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้บริโภคต้องการตัดสินใจเร็วและมั่นใจในสิ่งที่ได้รับ”
กู้ได้เต็ม ไม่ต้องเพิ่มงบตกแต่ง
จุดเด่นของแคมเปญนี้คือ ผู้ซื้อสามารถขอสินเชื่อบ้านได้ เต็ม 100% ของมูลค่าบ้านรวมการตกแต่ง ทำให้ไม่ต้องกันเงินส่วนต่างเพื่อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม ถือเป็นการช่วยลดภาระและเพิ่มความมั่นใจในการซื้อบ้าน พร้อมกับสร้างความแตกต่างจากบ้านทั่วไปที่ต้องตกแต่งเองภายหลัง
ตัวอย่างโครงการไฮไลต์ บ้านสวย แต่งครบ บนทำเลศักยภาพ เช่น
- โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ – สาย 1 ราคา 35.9 ล้านบาท (ปกติ 39.9 ลบ.) 4 ห้องนอน ใกล้คลับเฮ้าส์ เชื่อมกาญจนาภิเษก
- โครงการเศรษฐสิริ งามวงศ์วาน ราคา 19.99 ล้านบาท ปกติ 24.99 ลบ. ใจกลางงามวงศ์วาน ใกล้วิภาวดี–ดอนเมือง
- โครงการสราญสิริ ศาลายา – ปิ่นเกล้า ราคา 12.49 ล้านบาท ปกติ 14.49 ลบ. แปลงมุม ใกล้คู่ขนานบรมฯ
- โครงการอณาสิริ ติวานนท์ – ศรีสมาน ราคา 8.99 ล้านบาท ปกติ 10.59 ลบ. แปลงสวย หน้าคลับเฮ้าส์
- โครงการสิริ เพลส พัฒนาการ ราคา 6.25 ล้านบาท ปกติ 8.25 ลบ. ทาวน์โฮมวิวสวน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง
ขยับเร็ว จ่ายคุ้ม รับดีไซน์เต็ม
ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความสะดวก “บ้านพร้อมอยู่” กำลังเป็นจุดเปลี่ยนของตลาดแนวราบในเมืองไทย แสนสิริใช้โอกาสนี้ขยับเร็ว ด้วยยูนิตตัวอย่างที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชัน ความงาม และความเชื่อมั่นในแบรนด์
แคมเปญ “เห็นแบบไหน ได้ทั้งหมด” ไม่เพียงเป็นการกระตุ้นตลาด แต่ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับพฤติกรรมการซื้อบ้านในยุคที่เวลาและความมั่นใจคือสินทรัพย์ที่สำคัญไม่แพ้ราคา
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ศุภาลัยออสเตรเลียพุ่งแรง! ยอดขายครึ่งปีแรกเติบโต 310%

ศุภาลัยโกยยอดขายอสังหาฯ ในออสเตรเลียครึ่งปีแรกทะลุ 6,000 ล้านบาท โต 310% หลังรับโอน 12 โครงการใหม่ ร่วมทุนยักษ์อสังหาฯ Stockland
ศุภาลัยเดินหน้าขยายพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศอย่างมั่นคง โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียที่ยังร้อนแรงต่อเนื่อง ล่าสุดรายงานยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ทะยานแตะ 279 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 6,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 310% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดนับตั้งแต่การขยายโครงการผ่านกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับพันธมิตรระดับแนวหน้า

ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม Director of Supalai Australia Holdings Pty Ltd เปิดเผยว่า การเติบโตดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังศุภาลัยได้รับโอนโครงการใหม่จำนวน 12 โครงการในเดือนพฤศจิกายน 2567 ภายใต้กิจการร่วมค้า SSRCP HoldCo Pty Ltd ที่จัดตั้งร่วมกับ Stockland Communities Partnership HoldCo Pty Ltd ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของออสเตรเลีย ส่งผลให้พอร์ตโครงการในแดนจิงโจ้ของศุภาลัยเพิ่มขึ้นเป็น 24 โครงการ รวมมูลค่าลงทุนในส่วนของศุภาลัยมากกว่า 187,700 ล้านบาท
ความสำเร็จของโครงการในออสเตรเลีย ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อคุณภาพของโครงการและแบรนด์ศุภาลัยในตลาดต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลบวกโดยตรงต่อรายได้รวมของบริษัท โดยคาดว่าตลอดปี 2568 ศุภาลัยออสเตรเลียจะสามารถทำยอดขายเติบโตเกินกว่า 200% เมื่อเทียบกับปี 2567 พร้อมตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ราว 10,000 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของศุภาลัยในออสเตรเลียอย่างโดดเด่น ประกอบด้วยความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญ ความสามารถในการขยายโครงการด้วยความระมัดระวัง และการวางแผนการลงทุนโดยทีมที่ปรึกษามืออาชีพระดับประเทศ ซึ่งทั้งหมดล้วนช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ศุภาลัยยังคงเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนในต่างประเทศ โดยออสเตรเลียยังถือเป็นตลาดเป้าหมายหลักจากศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่มั่นคง คุณภาพชีวิตที่ดี และความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้บริษัทมุ่งนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยไปสร้างคุณค่าในระดับสากล และสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาวในเวทีโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4ส.ค.“แข็งค่าขึ้นมาก”ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่าขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ ต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐถ้าออกมาแย่กว่าตลาดคาดอาจเพิ่มโอกาสให้เฟดลดดอกเบี้ยได้ 2-3ครั้งในปีนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4ส.ค. 2568 ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น “เร็วและแรง” กลับสู่โซนแนวรับแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.88 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 7.3 หมื่นราย แย่กว่าที่ตลาดคาด
อีกทั้ง ยังมีการปรับแก้ไขข้อมูลก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยภาพดังกล่าวทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ทันที
และมองว่า เฟดมีโอกาสราว 44% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถรีบาวด์สูงขึ้นสู่โซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง “เร็วและแรง” หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดและมีการปรับแก้ไขข้อมูลเดิม ที่สะท้อนการจ้างงานที่อ่อนแอ ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ผลการประชุม BOE รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกรกฎาคม และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังล่าสุด รายงานข้อมูลการจ้างงานที่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 3 ครั้ง ในปี 2026 ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุด และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE มีโอกาสถึง 97% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมครั้งนี้ สอดคล้องกับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่คาดว่า BOE จะลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.00%
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE มีโอกาสถึง 97% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมครั้งนี้ สอดคล้องกับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่คาดว่า BOE จะลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.00%
ทว่า BOE อาจย้ำจุดยืนเดิมว่า BOE จะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงหลัง อัตราเงินเฟ้ออังกฤษทยอยปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วงปลายปี
ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนสิงหาคม และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน
▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการบริการ อัตราเงินเฟ้อ CPI ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ในเดือนกรกฎาคม
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนมิถุนายน ทางฝั่งนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา หลังทั้งสองฝ่ายได้มีการตกลงหยุดยิงและเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยได้
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงและเงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น พร้อมกับเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ
โดยต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
หากผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ หรือเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็เริ่มออกมาแสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ
และเริ่มมองเห็นโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.75 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.48-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.51 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งทำให้ตลาดกลับมาให้น้ำหนักกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. (ตลาดคาดที่ 106,000 ตำแหน่ง) ขณะที่ ตัวเลขการจ้างงานเดือนพ.ค.-มิ.ย. ก็ถูกปรับทบทวนลงมาที่ 33,000 ตำแหน่ง (จากตัวเลขรายงานเดิมที่ 272,000 ตำแหน่ง) นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนก.ค. ก็ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 4.2% ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บทสรุปทุกอย่าง! “สาวไทย” คว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2025 สัปดาห์แรก

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2025 (SEA V.League 2025) สัปดาห์แรก ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” สามารถเก็บชัยเหนือคู่แข่งทั้ง ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ได้ทั้ง 3 เกม ทำให้เก็บ 8 คะแนน คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ
จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ วอลเลย์บอลหญิงไทย ครองความเป็น 1 ได้ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 8 ติดต่อกัน หลังเริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2019
รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมในตำแหน่งต่างๆ
นักกีฬายอดเยี่ยม (MVP) : พิมพิชยา ก๊กรัมย์ (ไทย)
หัวเสายอดเยี่ยม : อัจฉราพร คงยศ (ไทย), แองเจิล คานิโน่ (ฟิลิปปินส์)
บอลเร็วยอดเยี่ยม : ทัดดาว นึกแจ้ง (ไทย), เจิ่น ถิ บิค ทวี (เวียดนาม)
ตัวรับอิสระยอดเยี่ยม : เหงียน คานห์ ดัง (เวียดนาม)
เซตยอดเยี่ยม : พรพรรณ เกิดปราชญ์ (ไทย)
บีหลังยอดเยี่ยม : เหงียน ถิ บิค เตวียน (เวียดนาม)
สรุปอันดับการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2025 สัปดาห์แรก
1. ไทย (แชมป์)
2. เวียดนาม (รองแชมป์)
3. ฟิลิปปินส์ (อันดับ 3)
4. อินโดนีเซีย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“มะเร็งต่อมน้ำลาย” กับสัญญาณอันตรายที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรค

มะเร็งต่อมน้ำลาย อีกอวัยวะหนึ่งที่สามารถเป็นโรคมะเร็งได้ หากพบในระยะแรกตามสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะสามารถรักษาให้หายได้
ต่อมน้ำลาย อยู่ส่วนใดของร่างกาย ทำหน้าที่อะไรบ้าง?
รศ.นพ. ณปฎล ตั้งจาตุรนต์รัศมี แพทย์เฉพาะทางสาขาโสต คอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายว่า มนุษย์เราจะมีต่อมน้ำลายอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่
- ต่อมน้ำลายหลัก
ต่อมน้ำลายหลักประกอบด้วยต่อมน้ำลาย 3 คู่ อยู่บริเวณกกหู ใต้คาง และ ใต้ลิ้น รวมเป็นทั้งหมด 6 ต่อม
- ต่อมน้ำลายขนาดเล็ก
ต่อมน้ำลายขนาดเล็กจะอยู่ทั่วไปในช่องโพรงจมูก ในช่องว่างข้างคอหอย และในบริเวณริมฝีปาก รวมทั้งตำแหน่งเพดานอ่อน
เนื้องอกต่อมน้ำลาย อันตรายอย่างไร?
เนื้องอก ที่เกิดขึ้นบริเวณหน้ากกหู หรือแก้ม ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้องอกธรรมดา ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง แต่หากเป็นเนื้องอกขนาดเล็กของต่อมน้ำลายบริเวณโพรงจมูก ริมฝีปาก เพดานอ่อน กลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำลาย
สัญญาณอันตราย “มะเร็งต่อมน้ำลาย”
ส่วนใหญ่แล้ว เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการที่ก้อนเนื้องอกไปกดเบียดเส้นประสาทในบริเวณใบหน้า เช่น
- หลับตาไม่ได้
- อ้าปาก ยิงฟัน แล้วยิ้ม มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นไม่เท่ากัน
- ก้อนบริเวณต่อมน้ำเหลืองโต
- พบก้อนเนื้อที่บริเวณหน้าหู ใต้คาง หรือใต้ลิ้น
- ก้อนเนื้องอกที่พบมีขนาดที่โตเร็วผิดปกติ
หากพบอาการดังกล่าวตามข้อใดข้อหนึ่ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อเร่งวินิจฉัย และทำการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
วิธีตรวจมะเร็งต่อมน้ำลาย
แพทย์อาจทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย อาจทำการเจาะชิ้นเนื้อตรวจ หรือตรวจเพิ่มเติมทางรังสีวิทยา เช่น การตรวจอัลตร้าซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็ก
วิธีรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย
โรคมะเร็งต่อมน้ำลาย รักษาได้ด้วยวิธีการผ่าตัด โดยอาจผ่าตัดเอาต่อมน้ำลายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งออก ร่วมกัยการเลาะเอาต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอออกด้วยหากมีข้อบ่งชี้ หลังผ่าตัดขึ้นอยู่กับผลเนื้อทางพยาธิวิทยาก่อน หากมีความจำเป็น แพทย์อาจทำการรักษาด้วยวิธีฉายแสงอีกครั้ง หรือรังสีรักษาบวกกับการให้ยาบำบัดร่วมด้วย
ข้อปฏิบัติของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย
เมื่อเข้ารับการรักษาแล้ว ควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง และเคร่งครัด และผู้ป่วยไม่มีข้อจำกัดด้านอาหาร เพียงแต่ควรเข้าพบแพทย์ตามเวลาที่นัดหมายทุกครั้ง
หากสงสัยว่าตัวเองอาจเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย สามารถเข้ารับการตรวจร่างกายได้ที่แผนกโสต คอ นาสิก อาคารภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
GPT-5 มาแน่! เตรียมเปิดตัว ส.ค.นี้ พร้อมฟีเจอร์สุดล้ำ เปลี่ยนเกม AI

OpenAI เตรียมเปิดตัว GPT-5 ภายในเดือนสิงหาคม 2025 หลังจากที่มีทั้งคำยืนยันจากซีอีโอ แซม อัลท์แมน และนักวิจัยภายในองค์กร รวมถึงแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ต่างรายงานตรงกันว่า “GPT-5 is coming”
การเปิดเผยนี้ทำให้ชัดเจนว่า GPT-5 ได้เข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบลับมาระยะหนึ่งแล้ว และใกล้พร้อมใช้งานเต็มที่ โดยในการให้สัมภาษณ์ผ่านพอดแคสต์ล่าสุด แซม อัลท์แมน ซีอีโอ OpenAI เล่าว่าเขาได้ส่งคำถามที่ตัวเองยังตอบไม่ได้ให้ GPT-5 และ AI ตอบกลับอย่างแม่นยำภายในเสี้ยววินาที
จนทำให้เขารู้สึกว่า “ตัวเองไร้ประโยชน์เมื่อเทียบกับ AI” สะท้อนถึงศักยภาพที่ก้าวกระโดดของโมเดลใหม่ตัวนี้
ต้นปีที่ผ่านมา อัลท์แมนเคยกล่าวว่า GPT-5 จะไม่ใช่แค่โมเดลใหม่ แต่เป็น “ระบบที่รวมเทคโนโลยีทั้งหมดของ OpenAI” เขายังระบุด้วยว่าจะไม่มีการปล่อยโมเดล o3 แบบแยกเดี่ยวอีกต่อไป เพราะ GPT-5 จะรวมความสามารถของ o3 โดยเฉพาะทักษะด้านการให้เหตุผล (reasoning) ไว้ตั้งแต่ต้น
แนวทางของ OpenAI ชัดเจน โดยต้องการสร้าง AI ที่รู้ว่าเมื่อใดควรคิดอย่างลึกซึ้ง เมื่อใดควรตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และสามารถเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ ได้เองแบบอัตโนมัติ
ฟีเจอร์เด่นของ GPT-5
1. รวมทุกความสามารถในระบบเดียว:
GPT-5 จะรวมทักษะการมองเห็น (vision), ความจำ (memory), การให้เหตุผล (reasoning) และการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) ไว้ในระบบเดียว ต่างจาก GPT-4 ที่ต้องใช้ปลั๊กอินหรือโมดูลเสริม
2. ระดับการให้เหตุผลแบบ o3:
GPT-5 จะมีความสามารถด้านตรรกะและการวางแผนที่ซับซ้อนเทียบเท่าระดับ o3 ทำให้เหมาะกับการใช้งานในงานที่ต้องใช้กระบวนการคิดหลายขั้นตอน
3. เร็วขึ้นมาก:
อัลท์แมนยืนยันว่า GPT-5 “เร็วมาก” ในการใช้งานจริง และพร้อมรองรับงานประเภท “Agentic AI” หรือระบบที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น การใช้ ChatGPT Agent ที่เพิ่งเปิดตัว ซึ่ง GPT-5 จะต่อยอดให้ก้าวไกลขึ้น
4. แบ่งเป็น 3 ระดับบริการ:
– ฟรี: ใช้ GPT-5 ได้ไม่จำกัดแบบพื้นฐาน
– ChatGPT Plus: เข้าถึงความฉลาดระดับกลาง
– ChatGPT Pro: เข้าถึงความฉลาดสูงสุด เหมาะกับงานเชิงลึก
5. บริบทยาวมหาศาล (Context Length):
มีข่าวลือว่า GPT-5 อาจรองรับบริบทข้อความยาวถึง 1 ล้านโทเคน (input) และ 100,000 โทเคน (output) ซึ่งหมายความว่า AI อาจอ่านหนังสือทั้งเล่ม วิเคราะห์เอกสารหลายร้อยหน้า หรือเข้าใจบริบทการสนทนายาว ๆ ได้ในคราวเดียว
อัลท์แมนยอมรับว่า เขา “รู้สึกกลัว” ขณะทดสอบ GPT-5 และถึงกับเปรียบการพัฒนา AI รุ่นนี้ว่าเป็น “โครงการแมนฮัตตัน” ในแง่ของผลกระทบทางเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GPT-5 ไม่ใช่แค่พัฒนาการเชิงเทคนิค แต่เป็นจุดเปลี่ยนของยุคสมัย
แม้จะกังวล แต่ OpenAI ยืนยันว่าจะเปิดตัว GPT-5 อย่างรอบคอบ ผ่านกระบวนการ “red team” ทดสอบหาความผิดพลาดหรืออคติที่อาจเกิดขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงก่อนเปิดให้ใช้งานจริง
อัลท์แมนเคยกล่าวในงานที่กรุงวอชิงตันว่า “บางงานจะหายไปโดยสิ้นเชิง” เมื่อ AI ก้าวหน้าในระดับนี้ แม้ว่าอาชีพใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นตามมาก็ตาม ทั้งนี้ เขาเน้นว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นทันที หรือไม่ใช่แค่เพราะ GPT-5 เพียงตัวเดียว
GPT-5 กำลังจะมาถึง และอาจเปลี่ยนนิยามของ AI ไปตลอดกาล
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แนะนำวิธี เปลี่ยน Active Voice เป็น Passive Voice ฉบับเข้าใจง่าย

สิ่งสำคัญในการ เรียนภาษาอังกฤษ นอกเหนือจากการรู้คำศัพท์แล้ว ก็คือการทำความเข้าใจหลักไวยากรณ์หรือ Grammar เพราะ Grammar คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสร้างประโยคเพื่อสื่อสารได้ ประโยคโดยทั่วไปประกอบด้วยประธาน (Subject) คือผู้กระทำกิริยา (Verb) หากมีสิ่งที่ถูกกระทำ สิ่งนั้นคือกรรมหรือ Object ของประโยค แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการเน้นผู้ถูกกระทำ เราจะต้องนำประโยคแบบ Passive Voice มาใช้ คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วเจอประโยคแบบ Passive เป็นครั้งแรกอาจจะงง แต่จบจากบทความนี้ ทุกคนจะเข้าใจอย่างชัดเจน โดยจะได้รู้หลักการและวิธี เปลี่ยน Active Voice เป็น Passive Voice ด้วย
Active Voice กับ Passive Voice ต่างกันอย่างไร
ก่อนจะเปลี่ยน Active ให้เป็น Passive ได้ คนที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ควรเข้าใจความแตกต่างของสองรูปแบบนี้ก่อน โดย Active Voice คือประโยคที่ประธาน (subject) ทำกริยา (verb) โดยมีกรรม (object) คือสิ่งที่ถูกกระทำหรือผลของการกระทำนั้น ส่วน Passive Voice คือประโยคที่กรรมของ Active Voice กลายเป็นประธานของประโยค เพราะเราต้องการเน้นผู้ถูกกระทำหรือผลของการกระทำที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูสองประโยคนี้พร้อมด้วยคำอธิบายกันดีกว่า
The chef cooks the meal.
(เชฟทำอาหาร)
ประโยคนี้คือรูปประโยคแบบ Active Voice ที่คน เรียนภาษาอังกฤษ คุ้นเคยเป็นอย่างดี พูดถึง The chef (ประธาน) ซึ่งเป็นผู้กระทำกิริยา cook และมีสิ่งที่ถูกกระทำขึ้น (object) คือ the meal แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการเน้นอาหารที่ทำขึ้นมากกว่าเน้นพูดถึงเชฟ ประโยคจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบ Passive ทันที
The meal is cooked by the chef.
(อาหารถูกปรุงโดยเชฟ)
ประโยคนี้เน้นว่า the meal ถูกกระทำ ไม่ได้เน้นว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งแม้ว่าในความเป็นจริงเราจะพูดแบบแรกมากกว่า แต่ก็มีบางครั้งที่ควรใช้ประโยคแบบ Passive มากกว่า ซึ่งเราจะสรุปให้ต่อไปว่ามีสถานการณ์ไหนบ้าง
ขั้นตอน เปลี่ยน Active ให้เป็น Passive Voice
ต่อไปนี้คือ 5 ขั้นตอนการ เปลี่ยน Active เป็น Passive ในแบบเข้าใจง่ายที่คน เรียนภาษาอังกฤษ นำไปใช้ได้ทันที โดยเราจะเริ่มจากประโยค Active คือ
The manager approved the report.
(หัวหน้าอนุมัติรายงานฉบับนี้แล้ว)
- หา Subject, Verb และ Object ของประโยคให้เจอ ซึ่งในประโยคนี้เราเชื่อว่าคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ แบบพอรู้ Grammar อยู่บ้างเข้าใจได้ทันทีว่า the manager คือ Subject, approved คือ Verb ในรูปแบบ Past Simple Tense และ the report คือ Object
- ย้าย Object มาเป็น Subject ใหม่ของประโยค Passive ที่เรากำลังสร้างขึ้น โดยที่ The report จะกลายเป็นประธานของประโยคใหม่
- เติม verb to be ตาม tense เดิมของประโยค ซึ่งประโยคนี้เป็น Past Simple Tense ประธานจากข้อ 2 คือ The report เป็นเอกพจน์ จึงต้องใช้ verb to be ในรูป was
- เปลี่ยนกิริยาหลักให้เป็นกริยาช่องที่ 3 ซึ่งในกรณีนี้รูปกิริยาช่องที่ 2 และ 3 ของ approve คือ approved จึงนำมาใช้ได้ทันที
- เติม by + subject จากประโยค active ในกรณีที่จำเป็นเพื่อเน้นว่าสิ่งนั้นถูกทำโดยใคร เมื่อจบขั้นตอนนี้ เราก็จะได้ประโยค Passive คือ
The report was approved by the manager.
(รายงานฉบับนี้ได้รับการอนุมัติโดยหัวหน้าแล้ว)
Passive Voice ใช้ในสถานการณ์ไหนบ้าง
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ รวมถึงการนำไปใช้จริง ประโยคที่ใช้มากที่สุดคือประโยคแบบ Active แต่ก็มีอย่างน้อย 4 สถานการณ์ต่อไปนี้ที่เราจะพบเห็นการใช้ Passive คือ
- เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ เช่น
My phone was stolen.
(มือถือของผมถูกขโมย)
- เมื่อไม่อยากระบุว่าใครเป็นผู้กระทำ มักจะใช้ในภาษาทางการ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการเลี่ยงการกล่าวหาผู้กระทำผิด เช่น
Mistakes were made.
(มีการกระทำผิดเกิดขึ้น)
- เมื่อต้องการเน้นผลของการกระทำมากกว่าผู้กระทำ เช่น
The house was built in 2000.
(บ้านสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2000) – ไม่สนใจว่าใครเป็นผู้สร้าง
- เมื่อใช้ในภาษาเชิงทางการหรืออีเมลทางธุรกิจ เช่น
Your application has been received.
(เราได้รับใบสมัครของคุณแล้ว) – มักจะพบในอีเมลตอบรับการสมัครงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ทำไมกินแก้วมังกรสีแดง แล้วปัสสาวะเป็นสีแดง?

หลายคนอาจตกใจเมื่อพบว่าปัสสาวะของตนเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีแดงหลังจากกินผลไม้ชนิดหนึ่งอย่างแก้วมังกรสีแดง บทความนี้จะอธิบายว่าเกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่ และควรสังเกตอาการอย่างไร
แก้วมังกรสีแดงคืออะไร และมีสารอะไรเป็นพิเศษ
แก้วมังกรสีแดง หรือ Red Dragon Fruit เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับกระบองเพชร มีเนื้อสีม่วงแดงสด รสชาติหวานอมเปรี้ยวอ่อน ๆ นอกจากความอร่อย ยังมีสารสำคัญชื่อเบตาไซยานิน (Betacyanin) ซึ่งเป็นสารเม็ดสีตามธรรมชาติในกลุ่มเดียวกับบีทรูท เป็นตัวที่ให้สีแดงแก่เนื้อของผลไม้ชนิดนี้ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
ทำไมแก้วมังกรสีแดง ทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนสี
สาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีแดงหรือชมพูหลังการกินแก้วมังกรสีแดง มักมาจาก
- การดูดซึมสารสีในร่างกาย: สารเบตาไซยานินในแก้วมังกรสีแดง บางส่วนจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด แล้วขับออกทางไตผ่านปัสสาวะ
- ร่างกายไม่ย่อยสีทั้งหมด: ในบางคนร่างกายไม่สามารถย่อยสารสีเหล่านี้ได้หมด จึงขับออกมาในลักษณะที่ยังมีสีอยู่
- ความเข้มข้นของผลไม้: ยิ่งกินเยอะหรือกินเนื้อที่เข้มมาก สีในปัสสาวะก็จะยิ่งชัด
ลักษณะนี้คล้ายกับการกินบีทรูทแล้วถ่ายหรือปัสสาวะออกเป็นสีแดง ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติในคนส่วนใหญ่
ปัสสาวะเปลี่ยนสีเพราะกินแก้วมังกรสีแดง อันตรายไหม?
โดยทั่วไป ไม่เป็นอันตราย และถือว่าเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของร่างกายกับสารสีที่พบในแก้วมังกรสีแดง แต่ควรสังเกตดังนี้:
- ไม่มีอาการอื่นร่วม: เช่น ปวดท้อง ปัสสาวะแสบ หรือไข้ หากไม่มีอาการเหล่านี้ สาเหตุน่าจะมาจากสีของอาหาร
- หายไปใน 1–2 ครั้ง: หากหยุดกินแล้วปัสสาวะกลับมาเป็นปกติภายใน 1–2 วัน แสดงว่าไม่ใช่ภาวะผิดปกติ
- แต่ถ้าสีแดงอยู่ต่อเนื่องแม้ไม่ได้กิน: อาจเป็นเลือดในปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์
วิธีบริโภคแก้วมังกรสีแดงอย่างปลอดภัย
- กินในปริมาณพอเหมาะ ไม่ควรกินมากเกินวันละ 1 ลูก
- ล้างเปลือกให้สะอาดก่อนปอก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้กลางแจ้ง
- หากมีโรคประจำตัว เช่น ไต หรือเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินเป็นประจำ
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้สารสีในร่างกายถูกขับออกง่ายขึ้น
สรุป
ปัสสาวะที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดงหลังจากกินแก้วมังกรสีแดง มักเกิดจากสีธรรมชาติของเบตาไซยานินในผลไม้ และไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลในคนทั่วไป หากไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย แต่หากปัสสาวะยังคงเปลี่ยนสีแม้ไม่ได้กิน หรือมีอาการร่วม ควรรีบพบแพทย์เพื่อเช็กว่ามีภาวะเลือดปนในปัสสาวะหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 04/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,450.00 | 51,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,326.00 | 50,422.16 | 52,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,993.40 | 45,379.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,660.80 | 40,337.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,496.70 | 22,689.97 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,164.10 | 17,647.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,446.63 | 52,250.91 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.55 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 33.18 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.34 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |