สาระน่ารู้ประจำวันที่ 05 มิถุนายน 2568

อสังหาบนรอยเลื่อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเปลี่ยนสู่มาตรฐานใหม่

 วิกฤติบนรอยเลื่อนเปลี่ยนตลาดอสังหา! จากความกลัวสู่มาตรฐานใหม่ ผู้บริโภคเปลี่ยนลง‘แนวราบ คอนโดโลว์ไรส์’ ปัจจัยใหม่ซื้ออสังหาฯ “คุ้มค่า-มั่นใจ”

เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาไม่เพียงเขย่าพื้นดินประเทศไทย แต่ยังสั่นคลอนจิตใจและพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ “ความมั่นคง” กลายเป็น “ปัจจัยใหม่” ของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย  เป็นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังออกแบบอนาคตของตลาดอสังหาฯ

สุมิตรา วงศ์ภักดี  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า TerraBKK สำรวจประชาชน 600 รายทั่วประเทศ (28 เม.ย.-19 พ.ค.2568) พบว่า คอนโดมิเนียมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวมากกว่าแนวราบ โดยกว่า 93% ของผู้อยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์และคอนโด รายงานว่า พบ “รอยร้าว” ระดับต่างๆ แม้ไม่กระทบโครงสร้างโดยตรง แต่กลับส่ง “แรงกระแทก” มหาศาลต่อ “ความมั่นใจ”

จากการสำรวจมีสัดส่วนผู้อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 88% และ 98% อาศัยในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีรายได้ส่วนตัวต่อเดือน 15,000-85,000 บาท รายได้ครอบครัวต่อเดือน 35,000-85,000 บาท Gen Y (อายุ 30-43 ปี) สัดส่วนสูงสุด 46% โดย 84% เป็นเจ้าของบ้านหรืออาศัยกับญาติ 16% เป็นผู้เช่า 37% อาศัยมาแล้วมากกว่า 10 ปี มูลค่าที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ราคา 2-5 ล้านบาท

24%เล็งเปลี่ยนจากคอนโดเป็นแนวราบ

ผลกระทบจากแผ่นดินไหวนั้น “คอนโด” มีรอยร้าวที่ผนังและพื้นผิวที่ไม่ใช่โครงสร้างในระดับปานกลาง-รุนแรง ถึง 93% บ้านและทาวน์โฮม ส่วนใหญ่พบรอยร้าวที่ผนังและพื้นผิวที่ไม่ใช่โครงสร้างในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง แม้จะมีรอยร้าว 

“90% ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคาร และ 67% รู้สึกไม่สบายใจหรือไม่มีความสุขเหมือนเดิม”

จากผลกระทบดังกล่าว 4% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีแผนย้ายออกจากที่อยู่อาศัยเดิม  52% พร้อมที่จะเพิ่มงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ 24% มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากคอนโดเป็นบ้านแนวราบ 95% ต้องการเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และใช้ผู้รับเหมาที่น่าเชื่อถือ

ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ

การสำรวจยังพบว่า ราคาสมเหตุสมผลและคุณภาพดี เป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุดในปี 2568 (59%) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ที่มีสัดส่วน 44% แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ซื้อระดับบน (มูลค่าที่อยู่อาศัยมากกว่า 20 ล้านบาท) ความหรูหรา ถูกลดความสำคัญลงเมื่อเทียบกับคุณภาพและความคุ้มค่า

3 Key Insights พบว่า 95% ของผู้บริโภคเลือก “เปลี่ยนแบรนด์” ที่อยู่อาศัย เน้นไปยังผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง 42% เพิ่มงบประมาณ เพื่อความมั่นใจ แม้ต้องซื้อที่อยู่อาศัยราคาสูงขึ้น 52% ย้ายจากคอนโดเป็นบ้าน 24% เลือกย้ายจากคอนโด High Rise สู่ คอนโด Low Rise

แรงสั่นสะเทือนเปลี่ยนพฤติกรรม

ผลวิจัยชี้ว่า สุขภาวะทางใจของผู้อยู่อาศัย “ลดลง“ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่ม “Critical Impact” สุขภาวะทางใจต่ำลงถึงระดับ 61 จากคะแนนเต็ม 100 เทียบกับกลุ่ม No Impact ที่สูงถึง 73.8

เมื่อรวมเข้ากับแนวโน้ม “Wellbeing at Home” ที่แต่ละเจนเนอเรชันมีการให้ความสำคัญแตกต่างกัน ตั้งแต่ พื้นที่พักผ่อนส่วนตัวของ Gen Z จนถึง ความสงบทางจิตวิญญาณของ Baby Boomer สะท้อนว่าผู้บริโภคมอง “บ้าน” เป็นมากกว่าสิ่งปลูกสร้าง

 “คุ้มค่า-มั่นใจ” ปัจจัยใหม่ซื้ออสังหาฯ

สำหรับโครงการ High Rise ในกรุงเทพฯ ผู้ตอบระบุว่า “ดีไซน์ไม่ช่วย ถ้าโครงสร้างไม่มั่นใจ” Terra Research พบว่าหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2568 ปัจจัยหลักใน “การเลือกซื้อ” ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคไทยเปลี่ยนแปลงชัดเจน

– ราคาสมเหตุสมผล-คุณภาพดี เพิ่มจาก 44% (ปี 2567) เป็น 59% (ปี 2568)

– คุณภาพดี-แบรนด์น่าเชื่อถือ ขยับขึ้นเป็น 33%

– ความหรูหรา กลายเป็นปัจจัยลำดับท้าย!

ความเชื่อมั่นของ “แบรนด์” จึงถูกยกระดับเป็นเกณฑ์ตัดสินใจใหม่ โดยผู้ซื้อระดับรายได้สูงยังให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของแบรนด์ มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว!

วิกฤติเปลี่ยนตลาด! ความกลัวสร้างมาตรฐานใหม่

แม้ยอดขายและแผนการเปิดตัวโครงการในทุกเซกเมนต์จะลดลงในปี 2568 แต่แบรนด์ใหญ่ เช่น แสนสิริ เสนาฯ ศุภาลัย เอสซี แอสเสท เอพี และ อนันดา เริ่มพลิกเกม โดยชูแนวคิด “มาตรฐาน-รับผิดชอบ-ปลอดภัย” พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบรับความเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ

สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 จะยังเผชิญพายุหลายลูก ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง หนี้ครัวเรือน และ ภัยธรรมชาติ ขณะที่ “ความมั่นคงทางจิตใจ” กลายเป็นเข็มทิศใหม่ของผู้บริโภค ซึ่งผู้ประกอบการที่ปรับตัวเร็วและเข้าใจอย่างแท้จริง คือ ผู้ที่จะรอดและโต อย่างยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


หนี้ครัวเรือนสูงฉุดแรงซื้อทุบยอดโอน-หนีเจาะกลุ่มไฮเอนด์

ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง สะท้อนผลกระทบต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ อสังหาฯหันขยับฐานลูกค้าสู่กลุ่มมีกำลังซื้อ เจาะกลุ่มไฮเอนด์ ขณะที่เซกเมนต์ล่างอ่อนแรง

ปี2568 แวดวงอสังหาริมทรัพย์ กลับยังต้องเผชิญแรงกระแทกจาก “หนี้ครัวเรือน” ที่สะสมตัวมาอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลัง ส่งผลกระทบตรงต่อ “ยอดโอนกรรมสิทธิ์” โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับล่าง

จากข้อมูลวิเคราะห์ของ TerraBYTE แอปพลิเคชั่น ในไตรมาส 1/2568 พบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมโดยรวมอยู่ในภาวะ “ชะลอตัว” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเซกเมนต์ บัดเจ็ทราคาต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท และอีโคโนมี ราคาตั้งแต่ 1.8-3 ล้านบาท ที่ไม่เพียงแค่ยอดเปิดตัวโครงการลดลงเท่านั้น แต่ยังเผชิญกับอัตราการดูดซับ (Absorption Rate) ที่ลดลงเฉลี่ย 2% สะท้อนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา

“ตลาดคอนโดฯ เผชิญกับความท้าทายจากสินค้าคงค้างและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้น”

สุมิตรา วงศ์ภักดี  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด  กล่าวว่า  แนวโน้มนี้ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้อง “รีเซ็ต” กลยุทธ์ โดยเปลี่ยนจากการทำตลาดบัดเจ็ท และอีโคโนมี ไปสู่ ตลาดแมส ราคาตั้งแต่ 3-5 ล้านบาท ที่แม้ราคาสูงขึ้น แต่กลุ่มลูกค้ากลับมี “คุณภาพการกู้” ที่ดีกว่า และอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับไม่เกิน 20% ทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ทำได้จริง

 บ้านแนวราบยืนหนึ่ง – เจาะตลาดกลาง-บน

สวนทางกับคอนโดตลาดบ้านแนวราบ โดยเฉพาะ “บ้านเดี่ยว” และ “บ้านแฝด” ในกลุ่มราคากลางถึงบน ยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง และกลายเป็นตลาดหลักที่ยังมีดีมานด์จริง จากการสำรวจ พบว่า อัตราการดูดซับในกลุ่มบ้านแนวราบเพิ่มขึ้นในทุกระดับราคา โดยกลุ่มแมสขยับขึ้น 5% พรีเมียมเพิ่มขึ้น 8% และกลุ่มลักชัวรีพุ่งสูงถึง 19% ในขณะที่อีโคโนมีกลับลดลง 1%

“ผู้บริโภคมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและมั่นใจในมูลค่าเพิ่มระยะยาว มากกว่าราคาที่ถูกในปัจจุบัน”  

สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ซื้อบ้านยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ คุณค่า (Value) มากกว่า  ราคา (price) และเลือกลงทุนในบ้านที่รองรับการใช้ชีวิตระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้มั่นคงและคุณสมบัติผ่านการพิจารณาสินเชื่อ

ทาวน์โฮมหรูพุ่งแรง – ดาวรุ่งตลาดใหม่

อีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ของตลาด คือ ทาวน์โฮมระดับ ลักชัวรีราคาตั้งแต่ 9–15 ล้านบาท ที่กลายเป็น“ดาวรุ่ง”ในตลาดอสังหาฯ ด้วยยอดเปิดตัวที่เพิ่มขึ้นถึง 16% และอัตราการดูดซับสูงสุดในทุกเซกเมนต์ที่ 35% ขณะที่ทาวน์โฮมพรีเมียมราคา6–8 ล้านบาทก็โชว์ฟอร์มดีไม่แพ้กัน โดยยอดเปิดตัวเพิ่มขึ้น 20% และยอดขายเพิ่มขึ้น 6%

“ทาวน์โฮมหรูคือคำตอบของคนเมือง ที่อยากได้ฟังก์ชันบ้านเดี่ยว แต่ยังอยู่ในโซนเข้าถึงง่าย”

ความสำเร็จของเซกเมนต์นี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย จากกลุ่มรายได้ต่ำที่กู้ไม่ผ่าน มาสู่กลุ่มกำลังซื้อระดับบนที่พร้อมจ่าย และต้องการบ้านที่ “คุ้มค่า” พร้อมดีไซน์และบริการครบครัน

 ลักชัวรีอีด!ไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่ชะลอการตัดสินใจ

แม้ตลาดบนจะยังเป็นกลุ่มที่มีแรงซื้อ แต่การตัดสินใจกลับเริ่มช้าลง โดยเฉพาะในกลุ่มลักชัวรี ทั้งคอนโดและบ้านเดี่ยว แม้จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการจะยังมาก แต่กลับใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น  สะท้อนถึงความ “ระมัดระวัง” ที่เพิ่มขึ้นของผู้ซื้อ แม้จะมีกำลังจ่าย แต่ยังรอดูปัจจัยทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในปี 2568 คือ นักพัฒนาอสังหาฯ “ลดจำนวน”โครงการเปิดใหม่ แต่กลับเพิ่ม “มูลค่าโครงการ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยขยับเข้าสู่กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนมากขึ้น ในสภาพแวดล้อมที่หนี้ครัวเรือนยังสูง และเงื่อนไขสินเชื่อยังเข้มงวด การโฟกัสที่คุณภาพของกลุ่มเป้าหมายแทนปริมาณ เป็นแนวทางที่ถูกต้องในเวลานี้

“หนี้ครัวเรือนส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ มากกว่าจีดีพี เพราะกระทบตรงยอดโอน”

และนั่นคือความจริงที่นักพัฒนาอสังหาฯ ต้องยอมรับ และปรับกลยุทธ์ให้ทัน ก่อนคลื่นหนี้ลูกใหม่จะถาโถมเข้ามาอีกระลอก

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5มิ.ย.“แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5มิ.ย.“แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าหากมีแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ โดยรวมในระยะสั้นอาจติดโซนแนวรับแถว 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านจะอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5มิ.ย.2568 ที่ระดับ  32.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.70 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 ซึ่งจำเป็นต้องเห็นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่ออกมาดีกว่าคาด สวนทางกับ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP

หรืออย่างน้อย ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ไม่ควรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องชัดเจน ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าวจะได้แรงหนุนจากทั้ง การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ (ที่จะมาพร้อมกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย) และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากในช่วงนี้ เรายังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง อาทิ ในจังหวะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ก็อาจมีแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติที่ช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง

ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน ทำให้มีความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจย่อตัวลงได้ หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนการปรับตัวขึ้นต่อ (เราคงย้ำว่า ราคาทองคำ คือ Two-Way risk สำหรับเงินบาท ขึ้นกับทิศทางราคาทองคำ) ทำให้โดยรวมในระยะสั้น เงินบาทอาจติดโซนแนวรับแถว 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ได้

ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทนั้น จะอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งการจะเห็นเงินบาทกลับมาอ่อนค่าได้บ้างนั้น เรามองว่า จำเป็นต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด หนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันราคาทองคำไปพร้อมกันด้วย

ทั้งนี้ หากผลการประชุม ECB ในวันนี้ สะท้อนว่า ECB ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินยูโร (EUR) ในระยะสั้น หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.55-32.73 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด

อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น เพียง 3.7 หมื่น ตำแหน่ง ส่วนดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนพฤษภาคม ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.9 จุด (ต่ำกว่าระดับ 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะหดตัว) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร

โดยภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มโอกาสเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 28% จากที่ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ทยอยปรับตัวขึ้นเข้า ตามการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ (ทางการสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า จาก 25% เป็น 50%) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนเช่นกัน

 บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ การปรับตัวลงของราคาหุ้น Tesla -3.6% หลังบริษัทรายงานยอดขายในยุโรปที่น่าผิดหวัง ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.01%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.47% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเยอรมนี (ดัขนี DAX +0.77%) ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี หลังรัฐบาลเยอรมนีได้อนุมัติมาตรการลดภาษีนิติบุคคล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกชะลอลงบ้าง จากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ล่าสุด ทางการสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า (25% เป็น 50%)

ในส่วนตลาดบอนด์ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ เป็นราว 28% จากเดิม 0% ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.36%

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส

ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจชะลอการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้ เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกันบรรยากาศในตลาดการเงินก็ถูกกดดันจาก ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกกลับเข้าถือสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 143 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยปรับตัวขึ้น ทะลุโซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ได้สำเร็จ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 2.00% ซึ่งถือเป็นระดับ Neutral Rate ที่ทาง ECB ได้ประเมินไว้

พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะ ประธาน ECB ในช่วง Press Conference เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการของจีน (Caixin Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนได้

ทางฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.52-32.54 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้ง ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนรายงานโดย ADP และดัชนี ISM ภาคบริการเดือนพ.ค. ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังถูกกดดันจากการที่ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงแสดงท่าทีเรียกร้องให้ประธานเฟดรีบปรับลดดอกเบี้ย

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สัญญาณเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้า และผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ค. ของจีน และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไทย VS เบลเยียม : วอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2025, เทียบสถิติ, ถ่ายทอดสด

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์แรก ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-8 มิถุนายน 2568

โดยในวันนี้ (5 มิ.ย. 68) จะเป็นการลงสนามนัดที่สองของ “ทัพนักตบสาวทีมชาติไทย” ทีมอันดับ 13 ของโลก พบกับ ทีมชาติเบลเยียม ทีมอันดับ 14 ของโลก

เผยสถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุดระหว่าง ไทย VS เบลเยียม ปรากฏว่า สาวไทยชนะเพียงแค่ 1 ครั้ง และต้องย้อนไปถึงปี 2015 ส่วน เบลเยียม เก็บชัยชนะได้ 4 เกมติดต่อกัน

สถิติ 5 นัดหลังสุด วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย VS ทีมชาติเบลเยียม

เนชันส์ ลีก วันที่ 4 มิถุนายน 2022
ไทย แพ้ เบลเยียม 2-3 เซต (22-25, 25-18, 25-23, 21-25, 13-15)

เนชันส์ ลีก วันที่ 18 มิถุนายน 2021 
ไทย แพ้ เบลเยียม 1-3 เซต (23-25, 24-26, 25-23, 15-25)

เนชันส์ ลีก วันที่ 30 พฤษภาคม 2019 
ไทย แพ้ เบลเยียม 0-3 เซต (21-25, 22-25, 23-25)

เนชันส์ ลีก วันที่ 14 มิถุนายน 2018
ไทย แพ้ เบลเยียม 1-3 เซต (24-26, 25-23, 20-25, 21-25)

เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ วันที่ 12 กรกฏาคม 2015
ไทย ชนะ เบลเยียม 3-1 เซต (25-11, 25-23, 22-25, 25-14)

สำหรับวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเบลเยียม ศึกเนชันส์ ลีก 2025 วันที่ 5 มิถุนายน 2568 ตามเวลาประเทศไทย 14:00 น. สามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง VBTV (มีค่าบริการแบบรายเดือน)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ภัยเงียบ “กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน” เสี่ยงเสียชีวิตใน 1 ชั่วโมง

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือ หัวใจวายเฉียบพลัน อาจทำให้เสียชีวิตภายใน 1 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ กรมการแพทย์เตือนหากจุกแน่นหน้าอก เหงื่อออก ใจสั่น ปวดร้าวไปกราม จุกใต้ลิ้นปี่ ให้รีบพบแพทย์ทันที แนะหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงความเครียดบุหรี่และแอลกอฮอล์ควบคุมอาหารออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี จะลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นภาวะที่มีลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจจะขาดเลือดและออกซิเจน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย

ในประเทศไทยพบว่าร้อยละ 45 ของการเสียชีวิตเฉียบพลัน เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งโรคนี้มักเกิดขึ้นทันทีแบบเฉียบพลันเช่น ขณะปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ทำงาน เล่นกีฬาเกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและก่อตัวเป็นตะกรัน โดยหลอดเลือดเมื่อเกิดการร่อนหลุดของตะกรัน ทำให้มีการอุดตันของหลอดเลือด อาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง และที่สำคัญมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหัวใจ ไม่เคยแสดงอาการมาก่อนสะท้อนให้เห็นว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดดังนั้นการดูแลสุขภาพตนเองเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ

วิธีลดความเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน

  1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันประเภทอิ่มตัว เช่น ไขมันจากเนื้อสัตว์อาหารฟาสต์ฟู้ด เนยและผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่พร่องไขมันเพราะอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้เกิดการสะสมไขมันในผนังหลอดเลือดโดยควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้นในแต่ละมื้อ
  2. หลีกเลี่ยงความอ้วน ซึ่งหากมีนํ้าหนักตัวมากหัวใจจะทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งโลหิต ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ซึ่งหากเปรียบเทียบการทำกิจกรรมประเภทเดียวกันหัวใจของคนที่มีนํ้าหนักตัวมากจะทำงานหนักกว่าคนที่มีนํ้าหนักตัวปกติดังนั้นควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 -5 ครั้ง จะช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ
  3. หลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด เพราะความเครียดจะมีผลต่อสุขภาพร่างกายในหลายๆ ด้านเช่นปวดศีรษะไปจนถึงขั้นหัวใจวายจึงควรทำจิตใจให้แจ่มใส ควบคุมอารมณ์ หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดความเครียดโดยหากิจกรรมนันทนาการ เช่น ปลูกต้นไม้ ฟังเพลง เล่นกีฬา เพื่อให้ผ่อนคลาย
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานานจะทำให้ปริมาณไขมันในเลือดมีระดับสูงลดสมรรถภาพของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายนอกจากนี้ หากพบว่าตนเองมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมระดับความดันโลหิตและระดับนํ้าตาล ในเลือดมากกว่าบุคคลทั่วไป

อาการและสัญญาณเตือนของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

อาการและสัญญาณเตือนของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน คือ จุกแน่นหน้าอก มีเหงื่อออก ใจสั่น ปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย จุกคอหอย จุกใต้ลิ้นปี่ คล้ายโรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์โดยเร็วซึ่งจะต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือดภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังมีอาการ หรือขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดคํ้ายันภายในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง หลังจาก มีอาการ จะให้ผลการรักษาที่ดีมาก

นอกจากนี้ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆเช่น อาหารไขมันสูง ความเครียด ออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคหัวใจที่อาจเป็นภัยเงียบทำให้เสียชีวิตได้

และด้วยการที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแบบฉับพลันนี้อาจเป็นที่มาของภาวะข้างเคียง อย่าง ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้ ซึ่งเกิดจากการอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากอาจมีบางอย่างมาขวางการไหลของเลือด จนเป็นเหตุทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายตามมา

หัวใจวายเฉียบพลัน เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

อาการหัวใจวายเฉียบพลัน หรือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดจากภายในหลอดเลือดหัวใจนั้นเกิดการอุดตัน โดยที่ลิ่มเลือดเหล่านี้เกิดจากการที่ร่างกายมีไขมันมากจนเกิดการสะสมเป็น ‘ตะกรัน’ (plaque) ไปเกาะอยู่ทั่วผนังของหลอดเลือด จากนั้นเมื่อไขมันเหล่านี้รวมเข้ากับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มากัดกินก็จะทำให้เกิดเป็นกลุ่มเซลล์ แต่ไม่สามารถที่จะดูดกลับเข้าไปในร่างกายใหม่ได้ จนต้องฝังตัวอยู่ในผนังหลอดเลือดแทน เมื่อเวลาผ่านไป มีการสะสมของตะกรันเป็นจำนวนมากก็จะปริออก หรือแตกตัว ทำให้หลอดเลือดพยายามซ่อมแซมตัวเองจนเกิดเป็นลิ่มเลือดไปอันตันหลอดเลือด เกิดเป็นการแตกตัวที่หลอดเลือดแขนงเล็กเพิ่มขึ้นอีก เมื่อภาวะนี้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยก็จะมีอาการเจ็บหน้าอก ในขั้นร้ายแรงที่สุด หากลิ่มเลือดนี้เข้าไปอุดตันหลอดเลือดขนาดใหญ่ก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เนคเทค เดินหน้ายุทธศาสตร์ AI ดันภาครัฐใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ

เนคเทค เผยความก้าวหน้าเทคโนโลยี AI ในภาครัฐ ชูแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ พัฒนาโมเดลภาษาไทย เสริมแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส และเดินหน้าขยายการใช้งานจริงหลายหน่วยงาน

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ AI แห่งชาติ เปิดเผยว่า ผลการสำรวจร่วมระหว่างสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สวทช. ล่าสุด พบว่า มีหน่วยงานภาครัฐไทยเพียง 17% ที่นำ AI มาใช้งานจริงแล้ว

ขณะที่อีกกว่า 75% อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมหรืออยู่ในขั้นตอนการพิจารณา แสดงให้เห็นว่าภาครัฐไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ขับเคลื่อนการบริหารจัดการและการให้บริการสาธารณะ

แม้ตัวเลขผู้ใช้งานจริงจะยังไม่สูงนัก แต่แนวโน้มความสนใจและการตื่นตัวในหมู่หน่วยงานราชการถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนต่ออนาคตของ AI ภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เทคโนโลยีโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ Multimodal AI ซึ่งสามารถประมวลผลข้อมูลหลากหลายรูปแบบได้พร้อมกัน ทั้งข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ รวมถึง Edge AI ที่รองรับการประมวลผลที่อุปกรณ์ปลายทางโดยไม่ต้องอาศัยศูนย์กลางคลาวด์ ทำให้ภาครัฐสามารถให้บริการได้รวดเร็ว ปลอดภัย และสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่มากยิ่งขึ้น

ประเทศไทยได้เริ่มวางรากฐานด้าน AI อย่างเป็นระบบผ่านการประกาศใช้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เมื่อปี 2565 เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีและกำหนดแนวทางการนำ AI ไปใช้จริงในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างให้กับประเทศ

สำหรับการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในภาครัฐ เนคเทคเสนอแนวทาง 4 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี การปรับกระบวนการทำงานและข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล การพัฒนาบริการอัจฉริยะทั้งต่อภายในและภายนอกองค์กร และการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างแม่นยำในเชิงนโยบาย ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้ภาครัฐเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน เนคเทคยังเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถของประเทศผ่านการพัฒนาเครื่องมือ AI ที่ตอบโจทย์การใช้งานในบริบทของไทยโดยเฉพาะ หนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญคือการพัฒนาโมเดลภาษาไทย OpenThaiGPT ที่เริ่มต้นในปี 2566 และต่อยอดเป็น OpenThaiLLM ซึ่งเป็นโมเดลแบบโอเพ่นซอร์ส สามารถปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน และนำไปใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ขึ้นอยู่กับบริการจากต่างประเทศที่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความสามารถในการควบคุม

นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์ม “AI for Thai” ที่เนคเทคพัฒนาขึ้นเพื่อเปิดให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าถึงบริการ AI ได้ฟรี โดยในแพลตฟอร์มดังกล่าวมีเครื่องมือ AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การรู้จำเสียงพูด การถอดความอัตโนมัติ การวิเคราะห์ภาษาไทย ไปจนถึงการแปลภาษาและสรุปข้อมูล ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการเริ่มต้นใช้งาน AI สำหรับหน่วยงานที่ยังไม่มีทรัพยากรด้านเทคนิคหรืองบประมาณเพียงพอ

ความพยายามของเนคเทค เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมจากหลายโครงการที่ถูกนำไปใช้ในหน่วยงานภาครัฐแล้ว เช่น ระบบถอดความการประชุมรัฐสภาที่ช่วยลดเวลาการจัดทำรายงานประชุม ระบบ DocChat และ DocGen ที่ช่วยเจ้าหน้าที่สืบค้นข้อมูลและจัดทำเอกสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ Chatbot ของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่สามารถให้ข้อมูลกับประชาชนตามคู่มือราชการอย่างถูกต้องและทันสมัย

อีกตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ Traffy Fondue ระบบรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ปัญหาแบบเรียลไทม์ และส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง รวมถึงโครงการ Thai School Lunch ที่นำ AI มาช่วยออกแบบเมนูอาหารกลางวันในโรงเรียน โดยคำนึงถึงโภชนาการที่เหมาะสมและการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ขณะเดียวกัน TPMAP หรือ Thai People Map and Analytics Platform ก็ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อช่วยชี้เป้าความยากจนและออกแบบสวัสดิการได้อย่างตรงจุด

การผลักดันให้หน่วยงานรัฐปรับตัวสู่ระบบอัจฉริยะด้วย AI ยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของข้อมูล การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเข้าใจเทคโนโลยี และการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน

อย่างไรก็ตาม ดร.ชัย ย้ำว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และจำเป็นต้องเดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อให้เทคโนโลยีสามารถยกระดับการให้บริการภาครัฐได้อย่างยั่งยืน

ในระยะต่อไป เนคเทคเตรียมผลักดันการขยายการใช้งาน AI ในภาคส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว การเกษตร และสาธารณสุข โดยมองว่า AI สามารถช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ การคาดการณ์ และการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

บทบาทของ AI จึงไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี แต่คือเครื่องมือในการยกระดับระบบราชการไทยให้เข้าสู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการให้บริการต่อประชาชนอย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เปิดโลกคณิตศาสตร์ผ่านภาษาอังกฤษ เรียนรู้คำศัพท์คณิตที่เจอบ่อยและใช้ได้จริง

วันนี้ขอแนะนำ คำศัพท์คณิตศาสตร์ภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร รูปทรงเรขาคณิต และตัวอย่างโจทย์ พร้อมประโยคภาษาอังกฤษประกอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้จริงได้ ทั้งในการเรียน การทำงาน หรือการสื่อสารทั่วไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะ เรียนภาษาอังกฤษ ควบคู่กับการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองหรือใช้ประกอบการเรียนในห้องเรียน ช่วยเสริมพื้นฐานทางภาษาและสร้างความมั่นใจในการใช้งานภาษาอังกฤษในบริบทต่าง ๆ ทั้งในชีวิตประจำวันและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ

            1) คำศัพท์ภาษาอังกฤษ: เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์

การ เรียนภาษาอังกฤษ ควบคู่กับคณิตศาสตร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มทักษะด้านภาษาและความเข้าใจในเนื้อหาทางวิชาการไปพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้น เรียนภาษาอังกฤษ การเรียนรู้คำศัพท์ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคำศัพท์เหล่านี้ไม่ได้ใช้แค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น การคำนวณเงิน การจัดการเวลา หรือแม้แต่การอ่านค่าต่างๆ จากอุปกรณ์ดิจิทัล ตัวอย่างที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่

เครื่องหมายภาษาอังกฤษความหมาย
+plusบวก
minusลบ
× หรือ *times / multiplied byคูณ
÷ หรือ /divided byหาร
=equalsเท่ากับ
not equal toไม่เท่ากับ
>greater thanมากกว่า
<less thanน้อยกว่า

ตัวอย่างประโยค:

  • Five plus three equals eight. (ห้าบวกสามเท่ากับแปด)
  • Ten divided by two equals five. (สิบหารสองเท่ากับห้า)
  • Seven is greater than four. (เจ็ดมากกว่าสี่)
  • Two is less than six. (สองน้อยกว่าหก)

การ เรียนภาษาอังกฤษ ผ่านคำศัพท์พื้นฐานแบบนี้ทำให้สามารถพัฒนาความเข้าใจอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะหากคุณกำลังเริ่มต้น เรียนภาษาอังกฤษ การเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ จะช่วยให้คุณไม่กลัวการเรียนคณิตศาสตร์ในแบบภาษาอังกฤษอีกต่อไป และยังสามารถ เรียนภาษาอังกฤษ ออนไลน์หรือ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

          2) คำศัพท์ภาษาอังกฤษ รูปทรงเรขาคณิต

นอกจากเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์แล้ว รูปทรงเรขาคณิตก็เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและควรเรียนรู้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะกับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย เพราะคำศัพท์เหล่านี้มักปรากฏในแบบฝึกหัด หนังสือเรียน และแบบทดสอบ นอกจากนี้ การรู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับรูปทรงยังช่วยให้เข้าใจคำสั่งหรือคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับการวัดขนาด พื้นที่ หรือปริมาตรได้ดีขึ้น เช่น

  • Circle แปลว่า วงกลม
  • Square แปลว่า สี่เหลี่ยมจัตุรัส
  • Triangle แปลว่า สามเหลี่ยม
  • Rectangle แปลว่า สี่เหลี่ยมผืนผ้า
  • Pentagon แปลว่า ห้าเหลี่ยม
  • Cube แปลว่า ลูกบาศก์
  • Sphere แปลว่า ทรงกลม
  • Cone แปลว่า ทรงกรวย

ตัวอย่างประโยค:

  • A cube has six equal square faces. (ลูกบาศก์มีด้านเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหกด้านเท่า ๆ กัน)
  • A triangle has three sides. (สามเหลี่ยมมีสามด้าน)
  • The sun looks like a circle in the sky. (ดวงอาทิตย์ดูเหมือนวงกลมบนท้องฟ้า)
  • A cone is used to serve ice cream. (กรวยใช้ใส่ไอศกรีม)

การ เรียนภาษาอังกฤษ ผ่านคำศัพท์ทางรูปทรงเรขาคณิต นอกจากจะช่วยให้เข้าใจภาพและคำอธิบายได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะการแปลความหมายจากภาพสู่ข้อความอีกด้วย โดยเฉพาะในการ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเอง เมื่อเห็นรูปภาพหรือสื่อการเรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนจะสามารถเชื่อมโยงได้ทันที

3) ตัวอย่างโจทย์การใช้เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์

ตัวอย่างที่ 1:
If John has 12 apples and gives away 4, how many does he have left?
Answer: 12 minus 4 equals 8.

ตัวอย่างที่ 2:
Sarah buys 3 packs of pencils. Each pack has 5 pencils. How many pencils does she have in total?
Answer: 3 times 5 equals 15.

ตัวอย่างที่ 3
There are 20 candies. They are divided equally among 4 children. How many candies does each child get?
Answer: 20 divided by 4 equals 5.

ตัวอย่างที่ 4:
Tom read 6 pages every day. After 5 days, how many pages did he read?
Answer: 6 times 5 equals 30.

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


อาหารที่ควร “หลีกเลี่ยง” หากมีอาการป่วย

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เมื่อมีอาการป่วยก็จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการ แต่เรื่องอาหารการกินก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน

นอกจากรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นแล้ว รู้หรือไม่ว่ามีอาหารบางชนิดที่ไม่ควรกินขณะมีอาการป่วยด้วย เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้!

เมื่อเป็นหวัดหรือมีไข้ สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ผักโขม

ในผักโขมมีสารที่ชื่อว่า ฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่เป็นตัวหลั่งสารภูมิแพ้ออกมาทางร่างกาย “มันจไปกระตุ้มเซลล์ ที่เรียกว่าแมสต์เซลล์ และปล่อยสารฮีสตามีนออกมาและทำให้เกิดการอักเสบ” Renee Wellenstein แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าว “สารฮีสตามีนมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับอาการหวัดละไข้จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้อาการหนักกว่าเดิมได้”

  • ถั่ว

ถั่วอันที่จริงแล้วเป็นแหล่งรวบรวมซิงก์และวิตามินอี แต่อีกมุมหนึ่งถั่วก็มีไขมันมาก การกินถั่วขณะที่ป่วยทำให้ร่างกายทำงานหนักขึ้น อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดท้อง

  • บรอกโคลี

บรอกโคลีมีประโยชน์มากมาย มีภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินเอและซี แต่ก็เป็นผักที่มีไฟเบอร์สูง อาจทำให้ย่อยยากขณะที่คุณกำลังป่วย Mahmoud Ghannoum ผู้เชี่ยวชาญด้านลำไส้ กล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ลำไส้ทำงานหนักควรเลือกกินอาหารไฟเบอร์ต่ำไปก่อน

เมื่อปวดศีรษะ สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ชีสที่บ่มมานาน (Aged Cheese)

อาหารที่ยิ่งบ่มนานยิ่งมีสารฮีสตามีนสูง ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว ก่อให้เกิดอาการปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิม

  • าหารหมักดอง

เพราะในอาหารหมักดองจะมีสารไทรามีน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ การกินอาหารประเภทนี้ขณะปวดหัวจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและหดตัว จึงเป็นสาเหตุให้มีอาการมากขึ้น


เมื่อไอหรือเจ็บคอ 
สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ผักดิบ

ผักดิบมันจะมีส่วนหยาบหรือขรุขระ ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองขณะกลืนได้ แม้ว่าอันที่จริงแล้วผักดิบถือเป็นของคบเคี้ยวที่มีประโยชน์ แต่พักการกินไว้ก่อนหากกำลังไอหรือเจ็บคอ

  • ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

แม้ว่าผลไม้เหล่านี้จะมีวิตามินสูง แต่ในอีกมุมหนึ่งความเป็นกรดของมันก็อาจทำให้ระคายคอมากขึ้นได้ ดังนั้นคุณควรจะหาวิตามินซีจากแห่งอื่นไปก่อนในช่วงที่มีอาการ

เมื่อปวดท้อง คลื่นไส้ หรือท้องเสีย สิ่งที่ไม่ควรทาน ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์จากนม

ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีส่วนผสมของแลคโตส บางคนก็มีอาการแพ้แลคโตส เพราะแลคโตสทำให้กระเพาะย่อยยาก จึงอาจทำให้มีอาการปวดท้อง หรือท้องเสียมากขึ้นได้

  • รำข้าว

รำข้าวมีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำสูง ดังนั้นเมื่อทานเข้าไปมันจะพุ่งตรงไปที่ลำไส้ เช่นเดียวกับพวกกราโนลา ข้าวกล้อง และพาสต้าข้าวสาลี

  • ถั่ว

น้ำตาลที่อยู่ในถั่ว (อัลฟากาแลกโตซิเดส) ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร อาจทำให้ท้องเสียงหรือมีแก๊ซในท้องได้ เพราะว่าร่างกายอาจจะสร้างเอนไซม์ที่ไม่พอสำหรับการย่อยน้ำตาลเหล่านี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/06/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,900.0052,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,355.0050,861.8052,800.00
ทองรูปพรรณ 90%3,019.5045,775.62n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,684.0040,689.44n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,509.7522,887.81n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,174.2517,801.63n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,476.6852,706.47n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1448.8449.8448.8441.14
เบนซิน 9540.8448.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า