แสนสิริพลิกภูเก็ตฮับอสังหาเจาะดีมานด์‘อีลิทไทย-เวลธ์ทั่วโลก’

เปิดโรดแมป‘แสนสิริ’พลิกภูเก็ตจากที่พักร้อนสู่ฮับอสังหาเจาะดีมานด์ใหม่จาก‘อีลิทไทย-เวลธ์ทั่วโลก’ ลงทุน 3.3หมื่นล้านผุด29 โครงการใน 5 ปีดันภูเก็ตElite Destination
หากพูดถึง “ภูเก็ต” ในสายตาชาวโลก ภาพจำในอดีตอาจเป็นเพียงเมืองท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติและชายหาดสวยระดับโลก แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการเติบโตของภาคท่องเที่ยว การค้า การลงทุนอย่างต่อเนื่อง เวลานี้ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ภูเก็ตทั้งสิ้น และในมุมมองของแสนสิริ “ภูเก็ต” กำลังเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว สู่ The World’s Elite Destination ที่ผสานทั้งไลฟ์สไตล์ การอยู่อาศัย และการลงทุนไว้ในเมืองเดียวอย่างลงตัว
ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ มองเห็นศักยภาพภูเก็ตในฐานะเมืองที่ไม่ได้แค่รับนักท่องเที่ยว แต่สามารถเป็นเมืองที่ “คนเลือกมาอยู่อาศัย” หรือมาลงทุนได้จริง! โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งทั้งไทยและต่างชาติ
ภายใต้แผนลงทุนระยะ 5 ปี (2568-2572) แสนสิริ เตรียมเปิด 29 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 33,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 13 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเพิ่มซัพพลาย แต่คือการ “วางรากฐาน” ให้ภูเก็ตเป็นสนามลงทุนในระดับนานาชาติ ด้วยการจับกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในไทย (Expat) ระยะยาว นักลงทุนต่างชาติจากประเทศใหม่ๆ เช่น อิสราเอล รัสเซีย อินเดีย รวมถึงกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่มองหาสังคมเปิดกว้างและปลอดภัย
Demand ใหม่ = โอกาสใหม่
หนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตคือ “หน้าใหม่” ของผู้ซื้อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย ดีมานด์ต่างชาติเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนพฤติกรรม อย่างชัดเจน นักลงทุนจากตลาดใหม่ เช่น กลุ่มประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย อิสราเอล อินเดีย กลุ่มอดีตผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ที่ต้องการคุณภาพชีวิตระดับโลกแต่เข้าถึงได้ กลุ่ม LGBTQIAN+ ที่ได้รับแรงจูงใจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทย
“ความชัดเจนด้านกฎหมาย ทั้งกรรมสิทธิ์ของต่างชาติและสิทธิเสมอภาค เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูเก็ตเป็นมากกว่าเมืองตากอากาศ แต่กลายเป็นทางเลือกสำหรับการใช้ชีวิตและวางแผนระยะยาว”
เกมของ “แบรนด์ที่ไว้ใจได้”
ในภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตมีการแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย แต่สิ่งที่กำหนดชัยชนะคือ “ความน่าเชื่อถือ” และ “บริการหลังการขาย” ที่ครบวงจร แสนสิริจึงไม่เน้นแค่ขายบ้าน แต่สร้างระบบนิเวศของการใช้ชีวิต ตั้งแต่ ฟังก์ชันบ้าน ระบบบริการ Plus Concierge จาก “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” การดูแลโครงการในระยะยาว การเชื่อมโยงกับบริการสุขภาพ การศึกษา และไลฟ์สไตล์
“ลูกค้าชาวต่างชาติกลุ่มมั่งคั่ง (Wealth) ทั่วโลก มองหามากกว่าคอนโดมิเนียมหรู คือ ต้องการโซลูชันแบบ one stop ที่ตอบโจทย์ชีวิต พวกเขาให้ความสำคัญกับการบริการไม่แพ้ทำเล”
สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเสริมและขยายความต่อว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตวันนี้ แบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจน ได้แก่ โซนในเมือง คือ เรียลดีมานด์ คนไทยประมาณ 60% ต่างชาติ 40% เน้นไลฟ์สไตล์สะดวก ใกล้แหล่งงานและสาธารณูปโภค และ โซนรอบเมือง (เชิงทะเล-ลากูน่า) คือ ชาวต่างชาติพำนักระยะยาว 70-80% ซึ่งนักลงทุนครองสัดส่วนถึง 80% เหมาะสำหรับบ้านพักตากอากาศหรือปล่อยเช่า พลัสฯ จึงออกแบบบริการเฉพาะในแต่ละโซน เช่น บริการรับ-ส่งสนามบิน การดูแลอสังหาริมทรัพย์ การปล่อยเช่า การจัดการเอกสารคนเข้าเมือง
ปั้นจุดแข็ง 16 ปี วางรากฐานคอมมูนิตี้
“แสนสิริ” ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ในภูเก็ต! ปัจจุบันมีสำนักงานภูมิภาคประจำ และพัฒนาโครงการแล้วกว่า 28 โครงการ มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “เศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต” บ้านเดี่ยวแนวโมเดิร์นบนทำเลเงียบสงบเกาะแก้ว พร้อมขยายตลาดแนวราบที่ยังมีช่องว่างการเติบโต
โดยสิ่งที่แสนสิริและพลัสฯ เน้นย้ำไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยคุณภาพ แต่รวมถึง “การสร้างชุมชน” ที่มีชีวิต การอบรมพนักงานภายใต้สถาบัน Plus Eduplex กิจกรรม Community เช่น กิจกรรมตามเทศกาล สร้างความยั่งยืน กิจกรรมเก็บขยะ หรือรีไซเคิล
“เราไม่ได้ขายบ้าน แต่เราสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และสร้างเมืองที่น่าอยู่ไปด้วยกัน”
การขับเคลื่อนของแสนสิริในภูเก็ตไม่ใช่การตามเทรนด์ แต่เป็นการสร้างเทรนด์ ที่สะท้อนถึงความเข้าใจในโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และไลฟ์สไตล์อย่างลึกซึ้ง ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่วางรากฐานไว้แล้วล่วงหน้า
การลงทุนต่อเนื่อง 33,000 ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า ตอกย้ำว่า “ภูเก็ต” จะไม่ใช่แค่บ้านพักตากอากาศ มาพักร้อนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นเมืองลงทุนระดับโลก! ของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจทุกๆ แขนง รองรับดีมานด์ที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศทั่วโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Stu/D/O Architects และ 111Praditmanutham คว้ารางวัล Architizer A+Awards ปี 2025

Stu/D/O Architects และโครงการ “111Praditmanutham” คว้ารางวัล Architizer A+Awards ประจำปี 2025 บนเวทีระดับโลก
บริษัท Stu/D/O Architects สร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติอีกครั้ง ด้วยผลงานการออกแบบโครงการ “111Praditmanutham” ซึ่งได้รับรางวัล Popular Choice Winner จากเวที Architizer A+Awards 2025 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรางวัลด้านสถาปัตยกรรมที่ทรงเกียรติที่สุดในระดับโลก
โครงการ “111Praditmanutham” ตั้งอยู่บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นอาคารสำนักงานสูง 6 ชั้น พื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตารางเมตร ถูกออกแบบให้แบ่งเป็น 2 อาคาร มีลานกลางแจ้งขนาดใหญ่คั่นกลาง อาคารเป็นรูปทรงเฉียงผสานแนวคิด “พื้นที่ทำงานแห่งอนาคต” เข้ากับการออกแบบที่เน้นความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน ภายในประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น, พื้นที่สีเขียว, ลานกิจกรรมส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ฟิตเนส คาเฟ่ ร้านอาหาร และห้องประชุม โดยโครงการออกแบบให้มีความโปร่งโล่ง มีการถ่ายเทอากาศตามธรรมชาติ และลดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ออกแบบโครงการ คือ Stu/D/O Architects เป็นสำนักงานสถาปนิกชั้นนำของไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 มีชื่อเสียงจากแนวทางการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับบริบทท้องถิ่น ความยั่งยืน และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน โดยที่ผ่านมา Stu/D/O เคยได้รับรางวัล World Architecture Festival (WAF) มาแล้วจากโครงการ InterCrop Head Office และ Naiipa Art Complex

ชนาสิต ชลศึกษ์ สถาปนิกและผู้ก่อตั้ง Stu/D/O Architects กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบโครงการ 111 Praditmanutham ว่า สำหรับโครงการ 111PMT เราต้องการสร้างอาคารสำนักงานที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของวิถีการทำงานในอนาคต โดยเน้นความยืดหยุ่นของพื้นที่ การเปิดรับธรรมชาติ และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน ธรรมชาติ และบริบทเมืองโดยรอบ เราเชื่อว่าอาคารสำนักงานไม่ควรเป็นเพียงพื้นที่ทำงาน แต่ควรเป็นสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน

ที่งนี้ เวที Architizer A+Awards จัดขึ้นโดย Architizer.com เว็บไซต์ที่รวบรวมผลงานสถาปัตยกรรมและบริษัทสถาปนิกทั่วโลก เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับสถาปนิก นักออกแบบ และผู้ที่สนใจในงานสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ Architizer ยังเป็นผู้จัดงานประกวดรางวัล Architizer A+ Awards ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการสถาปัตยกรรม โดยมีผู้ชมมากกว่า 400 ล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี รางวัลดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกย่องงานออกแบบสถาปัตยกรรมที่สร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการอยู่อาศัย โดยรางวัลประเภท Mid Rise Office Building มอบให้กับอาคารสำนักงานที่มีความสูงระหว่าง 5-15 ชั้น และสะท้อนถึงความเป็นเลิศด้านแนวคิดการออกแบบและการใช้งานในระดับสากล

กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลไล รีท แมนเนจเมนท์ จำกัด ซี่งเป็นธุรกิจด้านการลงทุนและบริหารอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเคอี และยังเป็นผู้พัฒนาโครงการ 111Praditmanutham กล่าวถึงรางวัลในครั้งนี้ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ โครงการ 111PMT ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติจาก Architizer A+Awards ซึ่งเป็นรางวัลด้านสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าและได้รับการยอมรับมากที่สุดรางวัลหนึ่งของโลก ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการพัฒนาโครงการสำนักงานที่ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทำงานยุคใหม่อย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของประสบการณ์ พื้นที่สีเขียว และความยั่งยืนในระยะยาว ตนขอขอบคุณทีมผู้ออกแบบ Stu/D/O Architects และทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการนี้ให้เกิดขึ้นจริง

การได้รับรางวัล Architizer A+Awards ในปีนี้ นับเป็นอีกหนึ่งหลักไมล์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักออกแบบไทยบนเวทีสถาปัตยกรรมระดับโลก และเป็นแรงผลักดันให้ วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืน ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของสังคมในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5ส.ค. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยง Two-Way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังโมเมนตัมการแข็งค่ามีกำลังมากขึ้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
พร้อมกับกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยง Two-Way risk (พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง แข็งค่าต่อ หรือ พลิกกลับมาอ่อนค่าลง) ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยเรามองว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้เลวร้ายมากนัก อย่างที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดสะท้อนออกมา และเรามองว่า การจ้างงานที่แย่ลงในช่วงหลายเดือนก่อนนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จนทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงานลง เพื่อรอความชัดเจน
ซึ่งล่าสุด ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนมากขึ้น หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้เรามองว่า ภาคธุรกิจสหรัฐฯ อาจเริ่มกลับมาจ้างงานมากขึ้นในระยะข้างหน้าได้
ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทยอยเห็นชัดในรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และ PCE ในระยะข้างหน้า ทำให้ เราคงมองว่า เฟด อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยลงอย่างที่ตลาดคาดหวังได้
(แต่ยอมรับว่า ความเสี่ยงเฟดลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด ก็เพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งเราจะรอติดตามข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เพิ่มเติม
โดยหากเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และงานสัมนาประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole รัฐ Wyoming ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม
อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส และรายงานอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะกลับมาหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ กดดันราคาทองคำและเงินบาท
นอกจากนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะหากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)
โดยหากประเมินจากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ เรามองว่า หากราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วไม่ผ่าน เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นราว 15-20 สตางค์ และอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสถึง 98% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสราว 52% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ สอดคล้องกับ ถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Mary Daly (San Francisco Fed) ที่ระบุว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย “มากกว่า 2 ครั้ง” ในปีนี้
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ จากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.95% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.47%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.90% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ออกมาสดใส นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน-ทหาร ก็ยังคงช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 4.19% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-98.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนการปรับตัวขึ้นของ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) โดยล่าสุด ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,430-3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ (ทุกการประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้)
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี S&P PMI ภาคการบริการของจีน (เดิม คือ Caixin PMI) ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวแข็งค่าไปใกล้ ๆ แนว 32.30 โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 32.32-32.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.57 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดปัจจัยใหม่ ๆ มาหนุนเนื่องจากยังคงมีประเด็นกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลกระทบจาก Tariffs และยังคงเผชิญแรงกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนก.ย. หลังจากที่ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ Sentiment ของสกุลเงินเอเชียยังได้รับอานิสงส์บางส่วนจากเงินเยนที่ขยับแข็งค่าขึ้น หลังบันทึกการประชุม BOJ สะท้อนโอกาสที่อาจจะมีการกลับมาปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งก่อนสิ้นปี
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึง ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
6 วิธีแก้อาการอ่อนเพลียเรื้อรังที่ไม่ได้มาจากนอนไม่พอ แต่ฮอร์โมนและระบบภายในพัง

คุณผู้หญิงหลายคนอาจรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรัง ทั้งที่นอนครบ 7–8 ชั่วโมงทุกคืน อาการนี้อาจไม่ได้เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่เป็นสัญญาณว่าระบบภายในร่างกาย อย่างฮอร์โมน การเผาผลาญ หรือระบบประสาทกำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือ จึงขอพาสาว ๆ ไปลองทำ 6 วิธีดูแลตัวเองให้กลับมาสดใสอีกครั้ง ตามนี้เลยค่ะ
1.ปรับสมดุลฮอร์โมน
ฮอร์โมน เช่น คอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) และเอสโตรเจน มีบทบาทสำคัญต่อพลังงานและอารมณ์ของสาว ๆ หากฮอร์โมนเหล่านี้เสียสมดุล อาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
วิธีดูแล
- รับประทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด ถั่ว และปลาแซลมอน
- หลีกเลี่ยงน้ำตาลและคาเฟอีนเกินขนาด
- นอนหลับให้เป็นเวลา และหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าก่อนนอน
2.ฟื้นฟูระบบประสาท
ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ควบคุมการทำงานของหัวใจ ลำไส้ และการหายใจ ซึ่งหากอยู่ในภาวะสู้หรือหนีตลอดเวลา จะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว
วิธีดูแล
- ฝึกหายใจแบบ 4-7-8 (หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 7 วินาที และหายใจออก 8 วินาที)
- ทำสมาธิหรือโยคะวันละ 10–15 นาที
- ใช้กลิ่นบำบัด เช่น ลาเวนเดอร์หรือยูคาลิปตัส
3.เสริมการเผาผลาญด้วยสารอาหาร
การเผาผลาญที่ช้าลงอาจเกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม หรือวิตามินบี ซึ่งมีผลต่อการสร้างพลังงานระดับเซลล์
วิธีดูแล
- ตรวจเลือดเพื่อดูระดับสารอาหารที่ขาด
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ ไข่แดง และผักใบเขียว
- เสริมวิตามินบีรวมและแมกนีเซียม จากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริม
4.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าได้ เพราะน้ำมีบทบาทในการลำเลียงสารอาหารและขับของเสียออกจากเซลล์
วิธีดูแล
- ดื่มน้ำวันละ 1.5–2 ลิตร หรือมากกว่านั้นหากออกกำลังกาย
- เพิ่มน้ำเลมอนหรือแตงกวาในน้ำดื่ม เพื่อช่วยดีท็อกซ์
- ลดการบริโภคแอลกอฮอล์และอาหารแปรรูป
5.ตรวจเช็กภาวะไทรอยด์และภาวะดื้ออินซูลิน
สาว ๆ ที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรังอาจมีภาวะไทรอยด์ต่ำ หรือภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อระดับพลังงานและการเผาผลาญ
วิธีดูแล
- ตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับฮอร์โมนไทรอยด์และน้ำตาลในเลือด
- ลดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น ขนมปังขาวและน้ำตาล
- เพิ่มโปรตีนและไฟเบอร์ในมื้ออาหาร
6.รับแสงแดดและเคลื่อนไหวเบา ๆ ทุกวัน
แสงแดดช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามิน D และเซโรโทนิน ซึ่งมีผลต่ออารมณ์และพลังงาน การเคลื่อนไหวเบา ๆ ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
วิธีดูแล
- ออกไปรับแสงแดดยามเช้า 10–15 นาที
- เดินเล่นหรือยืดเส้นวันละ 20–30 นาที
- หลีกเลี่ยงการนั่งนานเกิน 1 ชั่วโมง โดยไม่ขยับตัว
อาการอ่อนเพลียเรื้อรังในสาว ๆ อาจไม่ใช่แค่เรื่องการนอนน้อย แต่เป็นสัญญาณจากระบบภายในที่ต้องการการดูแลอย่างลึกซึ้ง ทั้งฮอร์โมน การเผาผลาญ และระบบประสาท หากคุณผู้หญิงเริ่มปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ เหล่านี้ในแต่ละวัน จะช่วยฟื้นฟูพลังงานและความสดใสให้กลับมาอย่างยั่งยืนได้ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
GWS CLOUD เช็นร่วมดีป้า นำคลาวด์ระดับโลกติดปีก SMEs –สตาร์ทอัพ

บิ๊กเนมไต้หวัน “GWS CLOUD” จับมือ “ดีป้า” นำโซลูชันคลาวด์ระดับโลกติดปีก SMEs และดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยสู่การเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล ชี้องค์กรไทยทุ่มเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์ ใช้คลาวด์ขับเคลื่อนความสำเร็จ
นางสาวนีนี่ อู๋ ประธานกรรมการ บริษัท จีดับเบิ้ลยูเอส คลาวด์ จำกัด (GWS CLOUD) กล่าวว่า GWS CLOUD ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำจากไต้หวัน เดินหน้าผลักดันการใช้คลาวด์ครบวงจรเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจไทยในโลกยุคดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ “ดีป้า” เพื่อนำเทคโนโลยีและบริการคลาวด์ชั้นนำระดับโลกมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสตาร์ทอัพและ SMEs เมืองไทย ให้ก้าวสู่ความสำเร็จในโลกดิจิทัล
การร่วมมือกันครั้งนี้นับเป็นการเปิดทางให้กลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและดีป้า ให้ได้รู้จักและเข้าถึงบริการคลาวด์ล้ำสมัยและบริการโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบครบวงจรที่สะดวก เสถียร และปลอดภัย เพื่อยกระดับธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคง
“ความร่วมมือกับดีป้าในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญบนเส้นทางการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ได้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก พร้อมผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวหน้า GWS CLOUD ตั้งเป้าหมายเป็นพันธมิตรที่ช่วยสตาร์ทอัพไทยท่ามกลางการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัล ขณะนี้ทุกอุตสาหกรรมกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI Cloud การใช้คลาวด์จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

เราจึงมุ่งมั่นนำเสนอเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญระดับแนวหน้าจากไต้หวันสู่ตลาดไทย พร้อมส่งมอบบริการคลาวด์ที่เหมาะสมและเข้าใจธุรกิจทุกสเกล เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้ที่ใช้ระบบคลาวด์อยู่แล้วหรือสตาร์ทอัพยุคใหม่ที่กำลังพิจารณาลองใช้ระบบคลาวด์เพื่อยกระดับธุรกิจไปอีกขั้น GWS CLOUD พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขยายโอกาส ความร่วมมือ และการเติบโตทั้งในไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีคลาวด์ระดับโลก GWS CLOUD พร้อมให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูงให้ทีมสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในประเทศไทย โดยมีจุดแข็งหลักคือแพลตฟอร์มแบบ All-in-ONE ที่รวมการประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล การสำรองข้อมูล ความปลอดภัยของข้อมูล ไปจนถึงเครือข่ายไว้ในระบบเดียว เพื่อการบริหารจัดการแบบครบวงจร ช่วยให้ภาคธุรกิจได้รับประสิทธิภาพระดับคลาวด์ชั้นนำของโลก แต่ประหยัดต้นทุนได้สูงถึง 50%
บริษัทยังเป็นผู้นำในการพัฒนาโซลูชัน AI ที่ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างโมเดลเริ่มต้นไปจนถึงการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการทำดาต้าเซ็นเตอร์ การจัดซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ การจัดสรรทรัพยากรประมวลผลบนคลาวด์ การติดตั้งโมเดล และการจัดการฝึกอบรม โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจะให้ความช่วยเหลือธุรกิจตลอดกระบวนการ เพื่อให้ลูกค้านำแผน AI ไปสู่การปฏิบัติเองได้จริง
นอกจากนี้ GWS CLOUD ยังโดดเด่นด้านบริการเช่าพลังประมวลผลที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงง่าย ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบการเช่า GPU แบบทั้งแผ่นที่พบโดยทั่วไปในตลาด เนื่องจาก GWS AI Cloud รองรับการเช่าแบบยืดหยุ่นขั้นต่ำเพียง 0.25 แผ่น GPU และสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเช่า พร้อมด้วยบริการเสริมครบครันที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบริการคลาวด์สำรองข้อมูล (Disaster Recovery – DR) บริการสำรองข้อมูล และบริการ Network Optimization ด้วย SD-WAN เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้มั่นคงและเติบโตได้อย่างไม่มีสะดุด
GWS CLOUD ได้เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 ทั้งยังปักหมุดไทยเป็น Regional Hub ในการขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาค ประกอบกับธุรกิจคลาวด์ในตลาดไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย Cloud First Policy ของรัฐบาล
ซึ่งการ์ทเนอร์ประเมินว่ามูลค่าการใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะขององค์กรไทยในปี 2567 มีมูลค่ากว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.1% จากปีก่อน ด้วยความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจในตลาดไทยอย่างจริงจัง GWS CLOUD จึงเดินหน้าขยายความร่วมมือกับภาครัฐ-เอกชนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันให้บริการคลาวด์แก่ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ Bridgestone, Cubinet และหน่วยงานการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (KMUTNB) โดยดูแลลูกค้าด้วยทีมสนับสนุนด้านเทคนิค ทีมงานตรวจสอบ และบริการศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย (NOC) ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทีมงานมืออาชีพในทุกฝ่ายที่จะช่วยให้องค์กรไทยเข้าถึงบริการคลาวด์ครบวงจรได้อย่างสะดวกสบายและไร้กังวล
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สาระดีๆ 50 คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสงคราม ทหาร อาวุธการต่อสู้ ที่มักเห็นในข่าว มีคำว่าอะไรบ้าง

สวัสดีทักทายคุณผู้อ่านทุกๆคนจ้า กลับมาพบปะกันอีกครั้งนะคะ กับบทความบล็อกสาระน่ารู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ หลังจากไม่ได้มาเขียนนานเลย และในช่วงนี้ข่าวสารเกี่ยวกับสงคราม การสู้รบในต่างประเทศ ก็นำเสนอยู่บ่อยๆ ทำให้เรามักจะได้ยินและพบคำศัพท์เกี่ยวกับกับสงคราม และทางทหารอยู่ตลอด หลายคนอาจจะสงสัยว่าในหมวดหมู่คำศัพท์เกี่ยวกับทหารและสงครามนั้น มีคำว่าอะไรบ้าง เพราะจะได้นำไปต่อยอดอ่านเป็นความรู้ในการดูข่าวภาษาอังกฤษได้
เพื่อไม่ให้บทความบล็อกร้างไป หลังจากเลิกงานแล้ว วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอมาแบ่งปันแนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับทหาร เกี่ยวกับสงคราม การสู้รบ มาให้ได้อ่านเป็นความรู้กัน หวังว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านทุกๆคนอยู่ไม่มากก็น้อยนะคะ ส่วนคำศัพท์เกี่ยวกับทหารและสงคราม มีคำอะไรบ้างนั้น จัดมาให้อ่านเพื่อฆ่าเวลากันดังนี้จ้า
แนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับทหาร สงคราม และการต่อสู้รบกันอย่างดุเดือด เลือดกระจาย มีดังนี้ น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
1.Army (อามมี่) หมายถึง กองทัพ
2.Commander (คะมาน เดอะ) หมายถึง ผู้บังคับบัญชา
3.Weapon (เวพ-เพิน) หมายถึง อาวุธ
4. Cover (โควเวอะ) หมายถึง คุ้มกัน,ปกป้อง
5.Declare (ดีแคลร์) หมายถึง ออกคำสั่ง,ประกาศ
6.Air Force (แอร ฟอร์ส) หมายถึง กองทัพอากาศ
7.Air strike (แอร์ สไทรคฺ) หมายถึง การโจมตีทางอากาศ
8.War (วอร์) หมายถึง สงคราม
9.Soldier (โซล เจอะ) หมายถึง ทหาร
10.Officer (ออฟฟิสเซอร์) หมายถึง เจ้าหน้าที่
11.Nuclear Weapons (นิวเคลีย เวพเพิน) หมายถึง อาวุธนิวเคลียร์
12.Warfare (วอร์ แฟร์) หมายถึง การทำสงคราม,ความขัดแย้ง
13.Association (แอทโซซิเอชั่น) หมายถึง การรวมกัน
14.Attack (แอทแทค) หมายถึง การจู่โจม,การปะทะ
15.Battle (แบดเทิล) หมายถึง การต่อสู้
16.Pilot (ไพลอท) หมายถึง นักบิน
17.Navy (เนวี) หมายถึง กองทัพเรือ
18.Unmanned Aerial Vehicle, UAV หมายถึง อากาศยานไร้คนขับ
19.Military transport aircraft / military cargo aircraft หมายถึง เครื่องบินลำเลียง
20.Interceptor aircraft หมายถึง เครื่องบินสกัดกั้น
21.Missile หมายถึง ขีปนาวุธ
22.Rocket หมายถึง จรวด
23.Bullet หมายถึง กระสุนปืน
24.Grenade หมายถึง ลูกระเบิด
25.Bomb suit (บอมบ์สูท) หมายถึง ชุดกันระเบิด
26.Bomb หมายถึง ระเบิด
27.Gun หมายถึง ปืน
28.Helmet หมายถึง หมวกเหล็ก
29.Fighter Jet หมายถึง เครื่องบินรบ
30.Train หมายถึง เตรียมตัว,ฝึกอบรม
31.Shoot หมายถึง ยิง
32.Captivity หมายถึง การถูกกักขัง
33.Aircraft carrier หมายถึง เรือบรรทุกเครื่องบิน
34.Cruiser หมายถึง เรือลาดตระเวน
35.Main Battle Tank: MBT หมายถึง รถถังหลัก
36.Rotor Craft หมายถึง อากาศยาน ปีกหมุน
37.Helicopter หมายถึง เฮลิคอปเตอร์
38.Tank หมายถึง รถถัง
39.Submarine หมายถึง เรือดำน้ำ
40.Ammunition หมายถึง กระสุน
41.Pistol หมายถึง ปืนพก
42.Shotgun หมายถึง ปืนลูกซอง
43.Rifle (ไรเฟิล) : ปืนเล็กยาว
44.Defense หมายถึง การป้องกัน
45.Destruction หมายถึง การทำลาย
46.Fighter-bomber หมายถึง เครื่องบินทิ้งระเบิด
47.Gas mask หมายถึง หน้ากากแกส
48.Prisoner หมายถึง นักโทษ
49.Withdraw หมายถึง ถอนกำลังทหาร,ถอนคำพูด,เก็บคืน
50.Execute หมายถึง ประหารชีวิต
51.Fighter หมายถึง เครื่องบินขับไล่
52.Armored cruiser หมายถึง เรือลาดตระเวนหุ้มเกราะ
53.Amphibious assault ship หมายถึง เรือสะเทินน้ำสะเทินบก
54.Aircraft carrier หมายถึง เรือบรรทุกเครื่องบิน
55.Battle cruiser หมายถึง เรือรบลาดตระเวน
56.Bayonet หมายถึง ดาบปลายปืน
57.Parachute หมายถึง ร่มชูชีพ
ขอบคุณข้อมูลจาก khunnaiver.blogspot.com
ใครบ้างที่ไม่ควรกินมัทฉะ? แม้มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวัง

มัทฉะ (Matcha) ชาเขียวบดละเอียดสีเขียวมรกตจากญี่ปุ่น ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ไม่ใช่แค่เพราะรสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังรวมถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มพลังงาน และอาจช่วยลดน้ำหนักได้
อย่างไรก็ตาม แม้มัทฉะจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีบางกลุ่มคนที่ไม่ควรกินมัทฉะ หรือควรบริโภคด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
ใครบ้างที่ไม่ควรกินมัทฉะ?
- ผู้ที่แพ้คาเฟอีน หรือไวต่อคาเฟอีน
มัทฉะมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป เนื่องจากเป็นการบริโภคใบชาทั้งใบ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไวต่อคาเฟอีน หรือมีอาการแพ้คาเฟอีนอยู่แล้ว การดื่มมัทฉะอาจทำให้อาการแย่ลงได้ อาการที่อาจพบได้แก่:
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย
- วิตกกังวล หงุดหงิด
- ปวดศีรษะ
- เวียนศีรษะ คลื่นไส้
หากคุณมีอาการเหล่านี้หลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ควรหลีกเลี่ยงมัทฉะ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
ด้วยปริมาณคาเฟอีนที่สูง มัทฉะอาจส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว การบริโภคคาเฟอีนอาจกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตในบางราย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจดื่มมัทฉะ
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ปริมาณคาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์สามารถส่งผ่านรกไปยังทารกได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ หากบริโภคมากเกินไป รวมถึงปริมาณคาเฟอีนที่ปนเปื้อนในน้ำนมแม่ก็อาจส่งผลต่อทารกที่ดื่มนมได้เช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว แพทย์มักแนะนำให้จำกัดปริมาณคาเฟอีนไม่เกิน 200-300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ซึ่งมัทฉะ 1 แก้วอาจมีคาเฟอีนสูงถึง 70-100 มิลลิกรัม หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับปริมาณที่ชง ดังนั้น หากไม่แน่ใจ ควรหลีกเลี่ยง หรือปรึกษาแพทย์
- ผู้ป่วยภาวะโลหิตจาง หรือมีปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็ก
ชาเขียวรวมถึงมัทฉะมีสารแทนนิน (Tannins) ซึ่งเป็นสารที่สามารถยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กโดยเฉพาะธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม (Non-heme iron) ที่พบในพืชผักและอาหารเสริม สำหรับผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง หรือมีปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็กอยู่แล้ว การดื่มมัทฉะพร้อมมื้ออาหารอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มมัทฉะในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง หรือควรดื่มในปริมาณที่จำกัดและห่างจากมื้ออาหาร
- ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร หรือกรดไหลย้อน
มัทฉะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ และมีคาเฟอีน ซึ่งอาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบท้อง ปวดท้อง หรือทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนกำเริบได้ สำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร หรือมีอาการทางเดินอาหารที่ไวต่อกรด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มมัทฉะ หรือดื่มในปริมาณน้อย และไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง
- ผู้ที่กำลังรับประทานยาบางชนิด
คาเฟอีนและสารประกอบอื่นๆ ในมัทฉะอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด ทำให้ประสิทธิภาพของยาเปลี่ยนไป หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น:
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: อาจรบกวนการทำงานของยา
- ยาปฏิชีวนะบางชนิด: อาจส่งผลต่อการเมตาบอไลซ์ของคาเฟอีน
- ยาสำหรับโรคหัวใจ: อาจเพิ่มผลข้างเคียงของยา
หากคุณกำลังรับประทานยาใดๆ เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนดื่มมัทฉะ เพื่อความปลอดภัย
มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป การตระหนักถึงข้อจำกัดและข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยให้คุณบริโภคมัทฉะได้อย่างปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุด หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น หรือมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนตัดสินใจดื่มมัทฉะ เพื่อให้แน่ใจว่าการบริโภคมัทฉะจะส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก .sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,600.00 | 51,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,336.00 | 50,573.76 | 52,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,002.40 | 45,516.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,668.80 | 40,459.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,501.20 | 22,758.19 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,167.60 | 17,700.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,456.99 | 52,407.97 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.25 | 33.25 | 33.95 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 | 33.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.88 | 32.88 | 33.58 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.04 | 31.04 | 31.74 | 31.04 | 31.04 | – | 31.04 | 31.04 | 31.04 | 31.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.39 | 29.39 | – | – | – | – | – | – | – | 29.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.84 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.84 |
เบนซิน 95 | 41.54 | – | – | – | 49.81 | – | 42.04 | 41.69 | – | 41.54 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |