เศรษฐกิจ-การเมืองฉุดคอนโดหรูแผ่วคนรวยเบรกซื้อดันตลาด3-5ลบ.โต

สถานการณ์เศรษฐกิจ-การเมืองกดดันกลุ่มกำลังซื้อสูงเบรกลงทุนอสังหาฯ ขณะที่ตลาดคอนโดระดับกลาง 3-5 ล้านคึกคัก ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรวมถึงนักลงทุนปล่อยเช่า
สมัตถ์คม ต่างวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังไร้ความชัดเจน และการเมืองยังคงปั่นป่วนในสายตาผู้ซื้อคอนโดระดับบน ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์จึงเผชิญจังหวะการ”ชะลอตัว”อย่างเห็นได้ชัดแม้กำลังซื้อของกลุ่มผู้มีฐานะยังมีอยู่มาก แต่สิ่งที่หายไปคือ “ความมั่นใจ” และ “ความจำเป็น” ทำให้หลายคนเลือก “หยุดรอดู” มากกว่าลงมือซื้อจริง
“ปัจจุบันคอนโดระดับบนไม่ได้ขายไม่ได้เพราะคนไม่มีเงิน แต่เพราะไม่มีอารมณ์ซื้อจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง”
พลิกเกมคอนโดหรูสู่เรียลดีมานด์
ในจังหวะที่ตลาดคอนโดระดับบนเริ่มเงียบ ผู้เล่นรายใหญ่กลับเลือกเดินเกมอย่างมั่นใจ แสนสิริ คือหนึ่งในนั้นที่ไม่หวั่นต่อแรงสั่นสะเทือนของตลาด ด้วยสถานการณ์เงินที่แข็งแรง จึงยังเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้น “คอนโดพร้อมอยู่” และโครงการขนาดกลางที่มีศักยภาพในการขาย
“แม้ว่าปัจจุบันดีมานด์ตลาดคอนโดลดลง แต่ซัพพลายใหม่ลดลงมากกว่า ทำให้ผู้เล่นในตลาดคอนโดน้อยลงมาก คู่แข่งหลักของแสนสิริเปิดตัวคอนโดลดลงมากเปิดโอกาสสำหรับเราที่มีสถานทางการเงินที่แข็งแกร่งจะไปต่อทั้งการเปิดตัวคอนโดใหม่และการขายคอนโดพร้อมอยู่รองรับคนทำงานและนักลงทุน ”
ปัจจุบันตลาดคอนโดที่เปิดขายในตลาด เน้นราคาที่จับต้องได้ระดับราคาอยู่ที่ 130,000 – 150,000บาทต่อตร.ม. หรือตั้งแต่ 3-5ล้านบาทต่อยูนิตเพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานที่มีเงินเดือน50,000บาทที่สามารถซื้อได้ ทดแทนคอนโดระดับบนที่ชะลอตัวหลายบริษัทเลื่อนการทำตลาดออกไปก่อนเช่นเดียวกับแสนสิริ แต่ยังคงเดินพัฒนาโครงการตามแผน
“แทนที่จะทำการตลาดคอนโดระดับบนหันมาทำตลาดคอนโดสำหรับกลุ่มคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคา3-5ล้านที่คนสามารถจับต้องได้ง่ายกว่าบ้านที่มีราคาสูงกว่า ”
ปัจจุบันคนกลับมาสนใจคอนโด ด้วย”ความจำเป็น”ในการต้องการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตใกล้ที่ทำงาน หากซื้อไม่ได้ใช้วิธีเช่าแทน เนื่องจากธนาคาปล่อยกู้ยากขึ้นทำให้ภาพคอนโดเปลี่ยนไปจากบ้านหลังที่สองกลายเป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถอยู่ได้จริง ทำให้ตลาดคอนโดเพื่ออยู่อาศัยกลายเป็น”ทางเลือก”ของลูกค้ามากขึ้น เน้น”สเปซและราคา”ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นความสำคัญของการ “เข้าใจลูกค้า” และ “ตั้งราคาตรงกำลังซื้อ” โดยกลุ่มเป้าหมายหลักในตอนนี้คือ “คนทำงาน” ซึ่งมีกำลังซื้ออยู่ในช่วง 3-5 ล้านบาท
จากทางเลือกกลายเป็นทางรอด
ด้วยความเข้มงวดในการปล่อยกู้ของธนาคาร ทำให้ตลาดบ้านแนวราบราคาสูงถูกจำกัดการเข้าถึงจากกลุ่มคนทำงาน ทำให้คอนโดในระดับราคา 3-5 ล้านบาท กลายเป็น “ทางเลือกใหม่ที่จับต้องได้”
“วันนี้คนกลับมาซื้อคอนโดไม่ใช่เพราะอยากมีอสังหา แต่เพราะต้องอยู่จริง”
กลุ่มคอนโดระดับราคานี้ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีแหล่งงาน เช่น พระราม 9 สุขุมวิทตอนปลาย รัชดา ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์เรื่องการเดินทาง แต่ยังเป็นทำเลที่ปล่อยเช่าได้ง่าย
พระราม 9ทำเลทองของนักลงทุน
ยกตัวอย่างโครงการ “เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9” ของแสนสิริคือตัวอย่างชัดเจนของโครงการที่แม้เปิดตัวในช่วงการแข่งขันสูง แต่สามารถรอดจากสงครามราคาได้ ด้วยการเลือกช่วงเวลาขายที่เหมาะสม ในวันที่โครงการสร้างเสร็จ คู่แข่งแทบไม่เหลืออยู่แล้ว ทำให้โครงการขายได้ง่ายขึ้น โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 120,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่เรทค่าเช่า 1 ห้องนอน ขนาด 30 ตร.ม. อยู่ที่ 20,000 บาท/เดือน
“เมื่อดีมานด์ลดลง ซัพพลายต้องลดลงให้มากกว่า จึงจะอยู่รอด”

โฟกัสที่ทำเล – เปิดตัวอย่างมีกลยุทธ์
ในปี 2568 แสนสิริยังคงเดินหน้าเปิดตัวคอนโด 15 โครงการใหม่ทั่วประเทศ โดยเลือกทำเลที่มีศักยภาพสูงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมกระจายความเสี่ยงด้วยโครงการขนาดกลาง ไม่เน้นตึกใหญ่หลายอาคารเนื่องจากพฤติกรรมผู้ซื้อเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด การเลือกซื้อคอนโดตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง “แบรนด์” หรือ “โปรโมชั่น” แต่เป็นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” และ “ความอยู่ได้จริง” มากกว่าเดิม
แม้ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากอดีต แต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือ “ความต้องการที่อยู่อาศัย”แสนสิริมองเห็นโอกาสในจุดที่หลายคนมองเป็นวิกฤติ และปรับตัวด้วยความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่คอนโดหรูต้องหยุดรอดู ทว่าตลาด “อยู่จริง ใช้จริง” กลับเติบโตแบบเงียบ ๆ อย่างมั่นคง
“ปัจจุบันการขายคอนโดที่เปิดใหม่อาจจะยากกว่าคอนโดพร้อมอยู่ เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนซื้อปล่อยเช่าลดลง ไม่นับรวมกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไรที่หายไปแล้ว ขณะที่คนที่ต้องการที่อยู่อาศัยลดลง เพราะจะซื้อก็ต่อเมื่อต้องการใช้เท่านั้น”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ตราเพชร ผุดโรงงานใหม่ดันกำลังผลิตอิฐมวลเบาทะลุ 8.7 ล้าน ตร.ม.

ตราเพชร ลงทุนขยายกำลังผลิตอิฐมวลเบา ด้วยโรงงานแห่งที่ 2 ในสระบุรี ใช้เทคโนโลยีใหม่ลดต้นทุน-รักษ์โลก พร้อมเสริมความสามารถแข่งขันในตลาดเมกะโปรเจกต์รัฐและเอกชน
ในยุคที่อุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กำลังขยับตัวครั้งสำคัญอีกครั้ง ด้วยการเปิดเดินเครื่องจักร โรงงานอิฐมวลเบาสระบุรีแห่งที่ 2 (AAC-2) อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับดีมานด์ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน
โรงงาน AAC-2 ใช้งบลงทุนกว่า 648 ล้านบาท มีกำลังผลิตอยู่ที่ 163,200 ตันต่อปี หรือราว 2.9 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้ DRT มีกำลังผลิตรวมทั้งหมดที่ 8.7 ล้านตารางเมตรต่อปี จากทั้ง 3 แห่ง (สระบุรี 2 แห่ง + เชียงใหม่)
การเปิดตัวโรงงานใหม่ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการขยายกำลังผลิต แต่ยังสะท้อนถึงการลงทุนใน “ประสิทธิภาพ” ผ่านเทคโนโลยี The Green Cake Separating Technology ซึ่งช่วยให้กระบวนการผลิตอิฐมวลเบา “ไม่ติดกัน” หลังอบ ลดการสูญเสีย และช่วยประหยัดพลังงาน
“การลงทุนใน AAC-2 ไม่ได้เพิ่มแค่กำลังผลิต แต่เพิ่มความยืดหยุ่น และคุณภาพในการรองรับดีมานด์ใหม่ของตลาด” สาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT กล่าว
ทำไม DRT ถึงเลือกลงทุนในอิฐมวลเบา?
แม้ DRT จะเป็นที่รู้จักจากผลิตภัณฑ์หลังคาและไม้สังเคราะห์ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อิฐมวลเบา กลายเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าสำคัญของบริษัท เพราะตอบโจทย์ทั้งในแง่ต้นทุนก่อสร้าง น้ำหนักเบา ประหยัดพลังงาน และเป็นวัสดุก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวทาง Green Building ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
จากโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ เช่น ระบบราง, อาคารราชการ, และโครงการที่อยู่อาศัยของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม ต่างก็มีความต้องการใช้อิฐมวลเบาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Green Cake Technology = ลดต้นทุน + รักษ์โลก
สิ่งที่ทำให้ AAC-2 โดดเด่นกว่าการขยายไลน์การผลิตแบบเดิม ๆ คือการเลือกใช้ Green Cake Separating Technology ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วย
- แยกอิฐก่อนเข้าเตาอบ ลดการแตกหัก
- ลดของเสีย (waste) จากกระบวนการผลิต
- ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง Sustainable Development
นี่คือการตอบโจทย์ทั้ง “ต้นทุน” และ “ภาพลักษณ์องค์กร” ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในวงการอุตสาหกรรมต่างต้องให้ความสำคัญ
มากกว่าแค่ผลิตเพิ่ม คือการ “มิกซ์สินค้า” อย่างยืดหยุ่น
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่โรงงานใหม่เข้ามาเติมเต็ม คือ ความยืดหยุ่นของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมาตรฐานหรือสเปกพิเศษ เช่น
- อิฐมวลเบา G2 และ G4
- สำหรับงานโครงสร้างที่มีข้อกำหนดเฉพาะ
- รองรับงานโครงการทั้งเล็กและใหญ่
ซึ่งช่วยให้ DRT สามารถขยายฐานลูกค้า และจับตลาดที่กว้างขึ้น โดยไม่ติดข้อจำกัดของไลน์ผลิต
เกมนี้ DRT กำลัง “สร้างจุดแข็ง” มากกว่าปริมาณ
การลงทุน 648 ล้านบาท อาจฟังดูมากสำหรับการขยายโรงงานเพียงแห่งเดียว แต่หากมองให้ลึกลงไป สิ่งที่ DRT ได้รับไม่ใช่แค่ “ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น” แต่คือ
- คุณภาพสินค้า ที่สม่ำเสมอมากขึ้น
- ต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลง
- ความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
- โอกาสในการตอบสนองตลาดโครงการขนาดใหญ่
ในวันที่การแข่งขันในตลาดวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น และผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ “คุ้มค่าในทุกมิติ” การที่ DRT ลงมือก่อน จึงอาจกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้บริษัทนี้ยืนหนึ่งในตลาดได้อีกนาน
“เราเชื่อว่า…การลงทุนในประสิทธิภาพวันนี้ คือกำไรในอนาคตที่ยั่งยืน”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้5ก.ย. “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทและเงินดอลลาร์มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ตลาดรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงวันศุกร์ที่ 5 ก.ย.นี้ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,600-3,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5ก.ย.2568 ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.31 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยอาจยังติดโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่โซนแนวรับก็ไม่ควรจะต่ำกว่าโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปมากนัก หลังผู้เล่นในตลาดได้รับรู้แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดไปพอสมควรแล้ว
โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างมีนัยสำคัญ อีกครั้ง หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ นั้น ผู้เล่นในตลาดควรจับตาแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการโหวตลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในวันนี้ โดยความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองไทย อาจส่งผลบวกต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทย และอาจพอช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง แต่คาดว่า อาจไม่มากนัก เนื่องจากสุดท้ายผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ
เราขอย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ โดยสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมาสะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) อาจผันผวนในระดับ +/-1 SD ราว +0.6%/-0.4% ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว ราว 30 นาที ซึ่งในการรายงานยอดการจ้างงานเดือนกรกฎาคม ที่ยอดการจ้างงานออกมาแย่กว่าคาดพอสมควรนั้น ได้ส่งผลให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้น -0.9% ซึ่งถือว่าเป็นระดับ เกิน -2 SD
โดยเรามองว่า หากยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น +7.5 หมื่น ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 4.3% ตามคาด ผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากนัก ทำให้ การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากปัจจุบัน เงินบาท (USDTHB) ก็อาจแกว่งตัวแถวระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้
แต่หากยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด เช่น +9 หมื่น ตำแหน่ง ขึ้นไป ส่วนอัตราการว่างงาน ก็ทรงตัวที่ระดับ 4.2% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยลงบ้าง
โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ ซึ่งตลาดประเมินโอกาสราว 42% โดยภาพดังกล่าวอาจหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท โดยเงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือปรับตัวขึ้นทะลุโซนดังกล่าว (แนวต้านถัดไป 32.65 บาทต่อดอลลาร์) ได้
ในทางกลับกัน หากยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน เช่น เพิ่มขึ้นน้อยกว่า/เท่ากับ +5 หมื่น ตำแหน่ง (ซึ่งมีความเป็นไปได้ เนื่องจากสถิติในอดีตที่ผ่านมา เดือนสิงหาคมมักจะมีการรายงานยอดการจ้างงานต่ำกว่าคาด) ส่วนอัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้น สู่ระดับ มากกว่า/เท่ากับ 4.3%
เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจเริ่มมองว่า เฟดมีความจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยิ่งกดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น พร้อมกับหนุนราคาทองคำและเงินบาท
ทว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้หรือไม่นั้น เรามองว่า จะขึ้นกับ พฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดต่อโฟลว์ธุรกรรมทองคำ เพราะหากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ ก็อาจทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าว ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
และที่สำคัญ เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในส่วนของ Transshipment Tariffs และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหว้ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.35 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน
อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP เดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 5.4 หมื่นราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ราว 7 หมื่นราย ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 2.37 แสนราย สูงกว่าคาดราว 7 พันราย ขณะที่ ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด 51 จุด สะท้อนภาวะการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาน่าผิดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์ 5 กันยายน นี้ อาจสะท้อนภาพการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ (ตลาดคาดยอดการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 7.5 หมื่นราย)
กอปรกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง John Williams (NY Fed) ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ อาจไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยกังวล ทำให้เฟดสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ โดย John Williams ระบุว่า เฟดก็สามารถทยอยลดดอกเบี้ยสู่ระดับ Neutral Rate แถวโซน 3.00% ซึ่งถ้อยแถลงของ John Williams
สอดคล้องกับบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนในช่วงนี้ ที่แสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ และสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของเฟด โดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานดังกล่าว
กอปรกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ได้ทำให้ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาส 42% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งในปีนี้ และมีโอกาสราว 20% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 4 ครั้ง ในปี 2026
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างปรับตัวสูงขึ้น นำโดย Amazon +4.3%, Netflix +2.6% และ Nvidia +0.6% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.98% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.83%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.61% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML +3.6% ตามความคาดหวังต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอังกฤษและกลุ่มประเทศสมาชิกยูโรโซน อย่าง ฝรั่งเศส ก็ลดลงบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นสินค้าแบรนด์เนมที่พึ่งพาตลาดจีน อย่าง LVMH -4.2% หลังตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงหนักในช่วงนี้ จากความกังวลว่า ทางการจีนอาจเข้าควบคุมความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด กอปรกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่ออกมาสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟด (แม้จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เฟดควรลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายนหรือไม่) ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.15%
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนไปตามการมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยยังพอมีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในช่วงหลังจากนี้ (ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน) ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง (เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว)
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดอาจยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งจะหนุนให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%) ส่วนความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ นั้นอาจทยอยลดลงบ้าง ส่งผลให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางชัดเจนในกรอบ Sideways ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็รอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงวันศุกร์ที่ 5 กันยายน นี้ อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์อย่างชัดเจน ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) เคลื่อนไหวแถวโซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ก็เผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
อีกทั้งผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างก็รอลุ้น รอลุ้นข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,600-3,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในเดือนสิงหาคม
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การเมือง ซึ่งอาจมีการโหวตลงมติเลือกนายกฯ คนใหม่ภายในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน นี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.23-32.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.58 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของเงินหยวนและการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงกดดันท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนนี้ หลังข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ
ทั้งตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนส.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.15-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนส.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
รอบนี้ปรับเวลา! โปรแกรมถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 รอบรองฯ

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568
โดย สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้ทำการประกบคู่ พร้อมกำหนดสายที่แต่ละทีมจะต้องเจอกันในรอบรองชนะเลิศ ยาวไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ เป็นที่เรียบร้อย

โปรแกรม วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 รอบ 4 ทีมสุดท้าย
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568
เวลา 15.30 น. ญี่ปุ่น พบ ตุรกี (ช่อง PPTV, ช่อง AIS PLAY)
เวลา 19.30 น. อิตาลี พบ บราซิล (ช่อง PPTV, ช่อง AIS PLAY)
สำหรับ การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 รอบ 4 ทีมสุดท้าย จะเล่นในระบบน็อกเอาต์ แข่งขันกันที่สนาม อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก, กรุงเทพฯ ในวันที่ 6 กันยายน 2568
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อาการโรค ‘หลอดเลือดสมอง’ เกิดขึ้นเฉียบพลันทำพิการ-เสียชีวิต

- โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบ ตัน หรือแตก ทำให้สมองขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความพิการ
- อาการเตือนที่เกิดขึ้นทันทีสังเกตได้จากหลัก BEFAST คือ เดินเซ (Balance), ตามัว (Eye), หน้าเบี้ยว (Face), แขนขาอ่อนแรง (Arms) และพูดไม่ชัด (Speech)
- ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด เนื่องจากเวลา (Time) เป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ ผู้ชำนาญการด้านประสาทวิทยา โรคพาร์กินสัน และโรคทางการเคลื่อนไหวผิดปกติ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke กำลังทวีความรุนแรงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 3.4 แสนราย มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 5 หมื่นรายต่อปี ขณะที่ผู้รอดชีวิตมากกว่า 60% ต้องเผชิญกับความพิการ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
ขณะที่สถิติจากองค์การอัมพาตโลก (World Stroke Organization) ในปี 2564 พบว่ามีผู้ป่วยสโตรกใหม่สูงถึง 11.9 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตกว่า 7.3 ล้านราย และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องทนทุกข์จากภาวะแทรกซ้อนและความพิการมากกว่า 93.8 ล้านราย ซึ่งโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก และเป็นสาเหตุของความพิการระยะยาวอันดับ 3 โดยคาดว่า ภายในปี 2593 จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นกว่า 50% หรือมากถึง 9.7 ล้านรายต่อปี
โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ทำให้เนื้อเยื่อสมองบางส่วนทำงานผิดปกติ อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและไม่ทันตั้งตัว แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) – เกิดจากหลอดเลือดตีบจากไขมันหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดและเนื้อเยื่อตาย
2. หลอดเลือดสมองแตกหรือฉีกขาด (Hemorrhagic Stroke) – เกิดจากความเปราะบางของหลอดเลือดในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง
นอกจากนี้ยังมี ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) โดยมีอาการคล้ายสโตรก แต่หายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ เพราะประมาณหนึ่งในสามของผู้ที่มี TIA อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดสมองภายใน 7 วัน
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไต ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการใช้สารเสพติด ส่วนปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น ประวัติครอบครัว และการเคยมีโรคหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะอื่น
อาการเบื้องต้นตามหลัก BEFAST
• B: balance เดินทรงตัวไม่ดี เวียนศีรษะ
• E : eye ตามองไม่เห็น หรือเห็นภาพซ้อน
• F (Face): ใบหน้าเบี้ยว ปากตก ยิ้มไม่เท่ากัน
• A (Arms): แขนขาอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
• S (Speech): พูดไม่ชัด พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ
• T (Time): เวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
1. การรักษาช่วงเฉียบพลับ เช่น การให้ยาสลายลิ่มเลือด(rtPA) การเกี่ยวลากลิ่มเลือดจากหลอดเลือดสมอง(Mechanical thrombectomy)
2. การป้องกันการเป็นซ้ำ ได้แก่การให้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือละลายลิ่มเลือด การผ่าตัดไขมันออกจากหลอดเลือดใหญ่ที่คอหากมีการตีบหรืออุดตัน(carotid endarterectomy)
3. การฟื้นฟู ได้แก่ การกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และการฝึกพูดและการสื่อสาร
นพ.สิทธิ กล่าวว่า การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง” สิ่งสำคัญคือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักและสุขภาพหัวใจ งดสูบบุหรี่ จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมโรคประจำตัว และจัดการความเครียด
นอกจากนี้ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพประจำปียังช่วยเฝ้าระวังและจัดการปัจจัยเสี่ยงได้ทันเวลา และหากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการสโตรก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที การรักษาอย่างรวดเร็วภายใน 4.5 ชั่วโมง จะช่วยลดความรุนแรงและเพิ่มโอกาสฟื้นตัวสูงสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เอาตัวรอดได้! รวมประโยคสนทนาภาษาอังกฤษเวลาไปสนามบิน พร้อมคำแปล ใช้ได้จริง

ทำไมต้องเรียนรู้ประโยคภาษาอังกฤษเวลาอยู่สนามบิน?
สำหรับนักเดินทางที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ การไปสนามบินต่างประเทศอาจเป็นประสบการณ์ที่น่ากังวล เพราะต้องเจอกับเจ้าหน้าที่หลากหลายขั้นตอน เช่น เช็กอิน โหลดกระเป๋า ตม. หรือแม้แต่เหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างไฟลท์ดีเลย์ หรือกระเป๋าหาย
บทความนี้จะรวม ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยในสนามบิน พร้อมคำแปลและสถานการณ์จำลองให้คุณนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียวหรือกับเพื่อน ก็มั่นใจขึ้นแน่นอน!
หมวด 1: ประโยคภาษาอังกฤษตอน “เช็กอิน”
จุดเริ่มต้นของการเดินทางคือที่เคาน์เตอร์เช็กอิน นี่คือสิ่งที่คุณอาจได้ยิน และควรถามได้
สิ่งที่เจ้าหน้าที่มักถาม
- “May I see your passport, please?”
ขอดูพาสปอร์ตหน่อยครับ/ค่ะ - “Where are you flying to?”
คุณจะบินไปที่ไหน - “Do you have any luggage to check in?”
คุณมีสัมภาระที่ต้องโหลดใต้เครื่องไหม - “Would you like a window or aisle seat?”
คุณต้องการที่นั่งริมหน้าต่างหรือริมทางเดิน
ประโยคที่คุณสามารถใช้ตอบ
- “Here is my passport and ticket.”
นี่คือพาสปอร์ตและตั๋วครับ/ค่ะ - “I’m flying to London.”
ผม/ฉันจะบินไปลอนดอน - “Yes, I have one suitcase to check in.”
มีครับ/ค่ะ หนึ่งใบที่ต้องโหลด - “Window seat, please.”
ขอที่นั่งริมหน้าต่างครับ/ค่ะ
หมวด 2: ประโยคเวลา “โหลดกระเป๋า / น้ำหนักเกิน”
เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าน้ำหนักเกิน หรือสอบถามเรื่องสัมภาระ
💬 เจ้าหน้าที่พูดว่า
- “Your bag is overweight.”
กระเป๋าคุณน้ำหนักเกิน - “You need to pay an excess baggage fee.”
คุณต้องจ่ายค่าสัมภาระส่วนเกิน
วิธีตอบกลับ
- “How much is the excess baggage fee?”
ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ครับ/ค่ะ - “Can I move some items to my carry-on?”
ผม/ฉันสามารถย้ายของบางชิ้นไปกระเป๋าถือได้ไหม - “Okay, I’ll pay by card.”
โอเคครับ/ค่ะ ผมจะจ่ายด้วยบัตร
หมวด 3: ไปเกตไม่ถูก! ถามทางอย่างสุภาพ
สนามบินใหญ่มาก หาเกตไม่เจอ ถามใครดี? ใช้ประโยคเหล่านี้ได้เลย
💬 ถามทางไปเกตหรือสถานที่
- “Excuse me, where is Gate A7?”
ขอโทษครับ/ค่ะ เกต A7 อยู่ตรงไหน - “How can I get to the immigration area?”
ไปโซนตรวจคนเข้าเมืองได้ยังไง - “Where can I find the baggage claim?”
จุดรับกระเป๋าอยู่ตรงไหนครับ/ค่ะ
คำตอบที่อาจเจอ
- “Just follow the signs.”
เดินตามป้ายไปได้เลย - “Go straight and turn left.”
เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย - “It’s next to the duty-free shop.”
อยู่ติดกับร้านปลอดภาษี
หมวด 4: ด่าน “ตรวจคนเข้าเมือง” (Immigration)
เจ้าหน้าที่ ตม. มักถามคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับแผนการเดินทาง
💬 สิ่งที่ ตม. มักถาม
- “What is the purpose of your visit?”
มาทำอะไรที่ประเทศนี้ - “How long will you stay?”
คุณจะอยู่กี่วัน - “Where will you be staying?”
คุณจะพักที่ไหน - “Do you have a return ticket?”
คุณมีตั๋วขากลับไหม
วิธีตอบ
- “I’m here for vacation.”
มาท่องเที่ยวครับ/ค่ะ - “I’ll be here for 7 days.”
จะอยู่ที่นี่ 7 วัน - “I’ll stay at ABC Hotel in downtown.”
จะพักที่โรงแรม ABC ในตัวเมือง - “Yes, here is my return ticket.”
มีครับ/ค่ะ นี่คือตั๋วขากลับ
หมวด 5: ประโยคเกี่ยวกับ “ไฟลท์ดีเลย์ / ยกเลิก”
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ เตรียมพูดให้ถูกไว้ก่อน
💬 ประโยคที่คุณควรถาม
- “Why is the flight delayed?”
ทำไมไฟลท์ถึงดีเลย์ - “When is the new departure time?”
ไฟลท์ใหม่จะออกกี่โมง - “Can I get a refund or reschedule?”
ขอเงินคืนหรือเปลี่ยนเที่ยวบินได้ไหม - “Will I miss my connecting flight?”
จะตกไฟลท์ต่อเครื่องไหม
หมวด 6: เมื่อ “กระเป๋าหาย” หรือไม่มาถึง
ปัญหายอดฮิตของคนเดินทาง ต้องแจ้งให้ถูก
💬 แจ้งเจ้าหน้าที่
- “My luggage hasn’t arrived.”
กระเป๋าผมหายครับ - “I can’t find my suitcase.”
หากระเป๋าไม่เจอครับ/ค่ะ - “This is the baggage claim tag.”
นี่คือใบรับกระเป๋าของผม - “What should I do next?”
แล้วผมควรทำอย่างไรต่อ
หมวด 7: คำศัพท์ + วลีที่ควรรู้ในสนามบิน
| คำศัพท์อังกฤษ | ความหมาย |
|---|---|
| Check-in counter | เคาน์เตอร์เช็กอิน |
| Boarding pass | บัตรผ่านขึ้นเครื่อง |
| Departure / Arrival | ขาออก / ขาเข้า |
| Immigration | ด่านตรวจคนเข้าเมือง |
| Gate | ประตูขึ้นเครื่อง |
| Carry-on baggage | กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง |
| Baggage claim | จุดรับกระเป๋า |
| Customs | ศุลกากร |
เคล็ดลับจำง่ายและใช้งานได้จริง!
- ใช้ Google Translate / Papago ช่วยฟังสำเนียง
- ฝึกพูดออกเสียงประโยค 1-2 ครั้งก่อนออกเดินทาง
- เซฟบทความนี้เก็บไว้ในมือถือ หรือสกรีนช็อตประโยคที่ใช้บ่อย
- ไม่ต้องพูดคล่องเป๊ะ แค่กล้าพูด และใช้คำที่ถูกบริบทก็พอ
ส่งท้าย
ถ้าคุณเตรียมตัวกับ ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในสนามบิน ไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้การเดินทางต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายและสบายใจกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะเจอเจ้าหน้าที่ ตม. สอบถามข้อมูล หรือแม้แต่เจอปัญหา ก็สามารถสื่อสารได้อย่างมั่นใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
คาดปี 69 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขับเคลื่อนด้วย AI ครองตลาดเกินครึ่ง

การ์ทเนอร์รายงานว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI PCs จะครองส่วนแบ่งตลาดถึง 31% ในปี 2568 และมีแนวโน้มที่สูงขึ้นถึง 55% ในปี 2569 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดพีซีที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI ในอนาคต
โดยในปี 2568 AI PCs จะมียอดจัดส่ง 77.8 ล้านยูนิต และจะเพิ่มขึ้นเป็น 143 ล้านยูนิตในปี 2569 การเติบโตนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ AI ในการใช้งานประจำวันของผู้ใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ พีซีที่มีความสามารถในการทำงานที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพสูง การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งตลาดจาก 31% ในปี 2568 ไปยัง 55% ในปี 2569 จะเป็นการสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั้งในภาคธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไป

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AI PCs เติบโตได้อย่างรวดเร็วคือการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดเล็ก (SLMs) ซึ่งทำงานบนพีซีได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยลดการพึ่งพาบริการคลาวด์ โมเดลนี้ไม่เพียงแต่ทำให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี เร็วขึ้น แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2569 ซอฟต์แวร์จะเริ่มพัฒนาเพื่อรองรับฟังก์ชัน AI โดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นจากการใช้งานพีซีที่มีความสามารถในการทำงานที่ฉลาดขึ้น
การแบ่งกลุ่มตลาดและสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย
การเลือกสถาปัตยกรรมของ AI PCs เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ผู้บริโภคในกลุ่มที่ต้องการความคล่องตัวในการใช้งาน เช่น แล็ปท็อป มักจะเลือกสถาปัตยกรรม Arm ซึ่งจะครองตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่ในอนาคต ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความเข้ากันได้กับแอปพลิเคชัน Windows สถาปัตยกรรม x86 จะยังคงเป็นตัวเลือกหลัก โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 71% ในปี 2568 สะท้อนถึงความแตกต่างของการใช้งานในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

การปรับตัวของผู้จำหน่าย
เพื่อรองรับการเติบโตของ AI PCs ผู้จำหน่ายจะต้องปรับตัวไปสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ได้มากขึ้น โดยการพัฒนาฟีเจอร์ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการของแต่ละคน นอกจากนี้ การออกแบบที่มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้านและฟังก์ชันที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มผู้ใช้ จะช่วยสร้างความภักดีในแบรนด์และเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้บริโภค
ความท้าทายและอนาคตของ AI PCs
แม้ว่าการเติบโตของ AI PCs จะเป็นไปตามการคาดการณ์ แต่ก็ยังคงมีความท้าทายอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับแอปพลิเคชันต่าง ๆ และความต้องการของตลาดที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในระยะยาว การเติบโตที่ยั่งยืนจะต้องพึ่งพาการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายและการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง
ในที่สุด AI PCs จะไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือที่เพิ่มความสะดวกในการทำงาน แต่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ พีซี ในอนาคต ขึ้นอยู่กับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของผู้ใช้ โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการทำงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แอปเปิ้ลควรกินตอนไหน? เคล็ดลับช่วยลดไขมันในเลือดและคอเลสเตอรอล

แอปเปิ้ลควรกินตอนไหน ช่วยลดไขมันในเลือด
แอปเปิ้ล (Apple) จัดเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะอุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ ใยอาหารชนิดละลายน้ำ (เพกติน) และ โพลีฟีนอล ที่มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันไม่ดี (LDL) ในเลือด ทำให้หลายคนสงสัยว่า แอปเปิ้ลควรกินตอนไหนถึงจะช่วยลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุด บทความนี้มีคำตอบ
ทำไมแอปเปิ้ลถึงช่วยลดไขมันในเลือดได้
- เพกติน: ใยอาหารละลายน้ำที่ช่วยดักจับไขมันและคอเลสเตอรอลในลำไส้ ลดการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
- โพลีฟีนอล: สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลไขมันในเลือด
- ไฟเบอร์สูง แคลอรีต่ำ: ช่วยให้อิ่มท้องนาน ลดความอยากอาหาร และควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดไขมัน
แอปเปิ้ลควรกินตอนไหนดีที่สุด
1. กินตอนเช้า หลังตื่นนอน
- ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
- เติมพลังงานเบา ๆ โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
- ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีในช่วงเช้า
2. กินก่อนมื้ออาหาร (ประมาณ 30 นาที)
- ใยอาหารช่วยให้อิ่มท้อง ลดการกินอาหารมันและแป้งในปริมาณมาก
- เพกตินจะช่วยชะลอการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด
- ดีต่อการควบคุมน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอล
3. กินเป็นของว่างระหว่างวัน
- ทดแทนขนมหวานหรือของทอดได้ดี
- ลดโอกาสที่ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดจะสูงเกินไป
- ให้ความสดชื่น และพกพาสะดวก
วิธีการกินแอปเปิ้ลเพื่อสุขภาพ
- กินพร้อม เปลือก (ล้างให้สะอาด) เพราะสารสำคัญอยู่มากที่เปลือก
- วันละ 1–2 ผลกำลังดี ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะยังมีน้ำตาลธรรมชาติ
- เลือกแอปเปิ้ลสดใหม่ หลีกเลี่ยงแอปเปิ้ลแปรรูป เช่น น้ำแอปเปิ้ลสำเร็จรูปหรืออบแห้งที่มีน้ำตาลสูง
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- ไม่ควรกินแอปเปิ้ล ทันทีหลังอาหารมื้อใหญ่ เพราะอาจทำให้ท้องอืด
- หลีกเลี่ยงการกินร่วมกับของหวานจัดหรืออาหารมันมาก เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการลดไขมันในเลือดลดลง
สรุป
การกินแอปเปิ้ลช่วยลดไขมันในเลือดได้จริง หากเลือกเวลากินให้เหมาะสม โดยเฉพาะ ช่วงเช้า หลังตื่นนอน, ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที และ เป็นของว่างระหว่างวัน นอกจากนี้ควรกินแอปเปิ้ลพร้อมเปลือก และควบคู่กับการดูแลอาหารอื่น ๆ ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคไขมันในเลือดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/09/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 54,100.00 | 54,200.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,497.00 | 53,014.52 | 55,000.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,147.30 | 47,713.07 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 2,797.60 | 42,411.62 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,573.65 | 23,856.53 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,223.95 | 18,555.08 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,623.83 | 54,937.26 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
| เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
| ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







