สาระน่ารู้ประจำวันที่ 06 มกราคม 2568

เจาะเทรนด์ที่อยู่อาศัยวิถีชาว “Solo Economy” แบบไหนถึงตอบโจทย์

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เจาะเทรนด์ที่อยู่อาศัยวิถีชาว Solo Economy โจทย์การอยู่อาศัยของคนโสด สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ดี ทำเลต้องปัง เลี้ยงสัตว์ได้ ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นเลิศ

การขยายตัวของ เศรษฐกิจคนโสด Solo Economy :เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ในยุคอยู่คนเดียวในไทยส่งผลให้วิถีชีวิตผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามไปด้วยในหลายมิติ ซึ่งรวมทั้งเทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัย หลังจากก่อนหน้านี้วัยทำงานมักเริ่มวางแผนซื้อบ้านเมื่อต้องการสร้างครอบครัวเป็นอันดับต้น ๆ

อย่างไรก็ดี คนโสดยังคงต้องการบ้านในฝันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยเทรนด์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์คนโสดหรือผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว ปัจจัยใดบ้างที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อให้มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่เน้นดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่

การเช่าตอบโจทย์ ลดภาระในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้ทำแบบสอบถามที่มีสถานะโสดวางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า 14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วไป (สัดส่วน 10%) และสูงกว่าผู้บริโภคในสถานภาพสมรสอื่น ๆ

สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์การเช่าบ้าน/คอนโดฯ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนโสดมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบำรุงรักษาตามมามากกว่าการเช่า ขณะที่ปัจจุบันธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดการเกิดหนี้เสีย ทำให้หลายคนเลือกใช้วิธีกู้ร่วมกับคนรักเพื่อให้ได้วงเงินที่สูงขึ้นและครอบคลุมราคาบ้านที่ต้องการแทน

แม้คนโสดจะสามารถกู้ซื้อบ้านร่วมกับคนในครอบครัวได้ แต่หลายคนมักให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินในระยะยาว และเน้นใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่าต้องมากังวลกับภาระหนี้ การซื้อบ้านจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจากยังสามารถเลือกการเช่าแทนได้และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งยังสะดวกในการโยกย้ายหากต้องการเปลี่ยนงานหรือย้ายทำเลมากกว่า นอกจากนี้ คนโสดยังไม่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากเกินความจำเป็น ทำให้มักจะเลือกที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเหมาะสมกับการอยู่อาศัยจริงที่ค่าเช่าไม่สูงจนเกินไป

1. ระบบรักษาความปลอดภัยต้องรัดกุม ที่อยู่อาศัยในฝันของหลายคนคือโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มายกระดับความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้อยู่อาศัยทุกคนโดยเฉพาะคนที่อยู่เพียงลำพัง โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามนิติบุคคลถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่โครงการมีให้

เช่น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงและมีการเดินตรวจตราครอบคลุมทุกพื้นที่ มีกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ ผู้อยู่อาศัยเข้า-ออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด มีการตรวจสอบ/คัดกรองบุคคลที่มาติดต่อในโครงการอย่างเคร่งครัด และมีมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้พักอาศัยให้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) ที่สามารถปรับรูปแบบการปลดล็อกได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยว่าแต่ละประเภทมีความคุ้มครองแบบใดบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คอนโดฯ อาจพิจารณาซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลางเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้อง ช่วยเพิ่มความมั่นใจและป้องกันความเสียหายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึมหรือไฟไหม้ 

 2.โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ช่วยคลายเหงา การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่คนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะตลาดนี้เช่นกัน ข้อมูลจากผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% เมื่อเทียบกับปี 2554

สอดคล้องกับแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า 33% ของคนโสดต้องการฟิลเตอร์ช่วยคัดกรองโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) เมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถค้นหาที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของสัตวเลี้ยงโดยเฉพาะ และได้อยู่ท่ามกลางคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์เหมือนกัน ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ยังติดอันดับ 1 ใน 5 ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของคนโสดอีกด้วย

 3.พื้นที่ส่วนกลางเสริมสุขภาพกายและใจ พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้พักอาศัยสามารถใช้เวลาพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ที่ตนชื่นชอบได้ โดยคนโสดส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองจึงต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสายรักสุขภาพอย่างพื้นที่ออกกำลังกาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ เลนปั่นจักรยาน หรือสนามกีฬาประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้การดูแลสุขภาพจิตใจให้สมดุลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โครงการจึงควรมีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนพักผ่อนหรือสวนลอยฟ้ารองรับการพักผ่อนพร้อมชมวิว พื้นที่ Co-Working Space ห้องดูหนัง หรือห้องเล่นเกม ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนโสดให้สามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายได้ภายในโครงการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางออกไปข้างนอก  

 4.ทำเลต้องปัง เดินทางสะดวก การเดินทางเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ดังนั้นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครันและมีความเจริญในพื้นที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยระยะยาวของคนโสดได้มากกว่า เช่น อยู่ใกล้สถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ นอกจากนี้ไลฟ์สไตล์ยังมีความสำคัญกับการเลือกทำเลโครงการเช่นกัน

หากเป็นคนโสดที่ชื่นชอบการสังสรรค์ อาจพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง เพื่อช่วยลดเวลาในการเดินทางลง โดยมีหัวใจสำคัญในการเลือกคือโครงการควรตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางได้สะดวกทั้งในการไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ไม่อยู่ในซอยเปลี่ยว ควรตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่าย หรือใกล้ทางด่วน หรือใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ซึ่งจะช่วยให้สามารถเดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน เพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางของคนโสด อีกทั้งยังลดการปล่อยมลพิษจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวเมื่อเดินทางเพียงลำพังได้อีกด้วย

 แม้เทรนด์การเติบโตของ Solo Economy จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันได้ช่วยลดช่องว่างของการอยู่คนเดียวลง คนโสดจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง มีความพร้อมในการใช้จ่ายเพื่อความสุขและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้นำเสนอโครงการที่มีจุดเด่นหลากหลายตอบโจทย์ทั้งด้านราคาให้คนโสดหรือผู้ที่อาศัยคนเดียว ได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาฯ 68 จับตาคอนโด-บ้านหรู ดาวเด่นท่ามกลางเศรษฐกิจท้าทาย

อสังหาฯ 68 จับตาคอนโด-บ้านหรู ดาวเด่นท่ามกลางเศรษฐกิจท้าทาย

ปี 68 คาดอสังหาฯยังคงชะลอตัวจากกำลังซื้อที่เปราะบาง แต่บ้านหรู-คอนโดมิเนียมบางเซกเมนต์ยังเป็นดาวเด่น ขณะที่ผู้พัฒนาอาจปรับกลยุทธ์ระบายสต็อก-เลือกทำเลศักยภาพเพื่อตอบโจทย์ดีมานด์เฉพาะกลุ่ม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 เผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทาย ตลาดกลับแสดงสัญญาณบวกในบางเซกเมนต์ โดยเฉพาะบ้านหรูและคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ซึ่งยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเฉพาะกลุ่ม

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เผยแนวโน้มสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ที่ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว แต่ในบางเซ็กเมนต์บ้านหรูและคอนโดมิเนียมยังคงเติบโตจากดีมานด์เฉพาะกลุ่ม ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในทำเลศักยภาพ

อย่างไรก็ตามในปี 2568 อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเลือกเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง พร้อมปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของผู้ซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป

ดีมานด์บ้านหรูไม่แผ่ว-คอนโดทำเลศักยภาพยังฮอต

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ยังเผยว่า กลุ่มบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรีที่มีราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงเป็นดาวเด่นในตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น บางนา พัฒนาการ และกรุงเทพกรีฑา ผู้ซื้อกลุ่มนี้ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยที่สะท้อนรสนิยมและความเป็นส่วนตัว ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บ้านหรูยังคงเติบโตด้วยดีมานด์จากกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ด้านตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2568 คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 20,000-25,000 ยูนิต ลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้พัฒนาเลือกที่จะระบายสต็อกเก่าที่ค้างอยู่ในตลาดก่อน อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมในทำเลเด่นใจกลางเมือง เช่น สุขุมวิท หรือแนวรถไฟฟ้า อย่างสายสีส้มและสายสีเหลือง ยังคงเป็นที่จับตามอง ด้วยการพัฒนาโครงการระดับแฟล็กชิปที่มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยและราคาขายสูงเป็นประวัติการณ์

ภูเก็ต ดาวเด่นอสังหาฯ ภูมิภาค

ภูเก็ตจะยังคงเป็นพื้นที่ที่เติบโตได้ดีในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดบ้านพักตากอากาศและคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และมีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6%-8% โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีอุปทานใหม่ในตลาดประมาณ 6,000-8,000 ยูนิต โดยทำเลบางเทาและเชิงทะเลยังคงเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับผู้ซื้อ

ปรับกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้อาจมุ่งเน้นการปรับตัวเพื่อรองรับกำลังซื้อเฉพาะกลุ่ม ผ่านการออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์มากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียมแบบ “One Floor One Unit” หรือบ้านที่มีฟังก์ชันหลากหลาย รองรับการอยู่อาศัยและการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ เช่น ระบบสมาร์ทโฮมและพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

ทั้งนี้ ในปี 2568 คาดว่าจะยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และการเลือกพัฒนาในทำเลที่ตอบโจทย์ดีมานด์เฉพาะกลุ่ม อุตสาหกรรมอสังหาฯ  ตลาดบ้านหรูและคอนโดมิเนียมในบางเซ็กเมนต์ที่ยังสามารถเป็นตัวชูโรง ทำให้ยังคงมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและความต้องการของผู้ซื้อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6ม.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อยแทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาททิศทางขึ้นอยู่กับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ควรรอติดตามมุมมองของ ธปท. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและทิศทางนโยบายการเงิน ในวันนี้และทิศทางราคาทองคำ สกุลเงินหลักทั้งเงินยูโร เงินเยน รวมถึงเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6ม.ค.2568ที่ระดับ  34.49 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  34.46 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อได้ ตามโมเมนตัมการอ่อนค่าที่มีกำลังมากขึ้น

ทว่าทิศทางเงินบาทจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน (Two-Way Volatility) นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางราคาทองคำ รวมถึงเงินหยวนจีน (CNY) ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของจีน ทว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอนและอาจสร้างความผันผวนให้กับเงินบาทได้ในช่วงนี้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility โดยทิศทางเงินดอลลาร์จะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างไร ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ด้วยเช่นกัน

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.00-35.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 34.41-34.56 บาทต่อดอลลาร์)

กดดันโดยจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.3 จุด (ดัชนี ต่ำกว่า ระดับ 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัวในภาคการผลิต) ออกมาดีกว่าคาดไว้พอสมควร

ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาด หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)

ทั้งนี้ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะยังตัวลงบ้าง แต่เงินบาทก็ถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่โซน 2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.60% ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดอาจไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ ตามที่เฟดได้ประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนธันวาคม

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากธีม US Exceptionalism จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ล้วนออกมาดีกว่าคาด ส่วนเงินบาท แม้จะถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายสินทรัพย์ไทย แต่เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวัง ความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน พร้อมจับตา ถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานการประชุม FOMC เดือนธันวาคม (FOMC Meeting Minutes)

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มจากยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

จนถึงยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการเติบโตของค่าจ้าง และอัตราการว่างงาน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงคืนวันศุกร์ราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนธันวาคม รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนมกราคม

โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ทั้งรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟดด้วยเช่นกัน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 57% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ ตามที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนธันวาคม

 ▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลที่สำคัญ ทั้ง อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนธันวาคม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 4 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้

ฝั่งเอเชีย – ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของจีนในเดือนธันวาคม อาทิ ดัชนี Caixin PMI ภาคการบริการ  อัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI โดยผู้เล่นในตลาดจะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้างในเดือนพฤศจิกายน เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOJ มีโอกาสราว 79% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ในเดือนธันวาคม อาจสูงขึ้นเล็กน้อยเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระดับ 1.41%

อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า อัตราเงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจปรับนโยบายการเงินของ ธปท. ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย แม้จะอยู่ใกล้ขอบล่าง 1%

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังคงอยู่แถวระดับ 2% ซึ่งจะเป็นการย้ำว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้เผชิญความเสี่ยงภาวะเงินฝืด

ทั้งนี้ เราแนะนำว่า ควรรอติดตามมุมมองของ ธปท. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและทิศทางนโยบายการเงิน ในงานสัมนา Monetary Policy Forum ในวันจันทร์ที่ 6 มกราคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.

โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาด รวมถึงนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ต่างมองว่า ธปท. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สำหรับ แนวโน้มเงินบาท นั้น หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following

เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทที่มีกำลังมากขึ้นนั้น อาจเพิ่มโอกาสให้ เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 34.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปจนถึงโซนแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ เงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวที่ระดับ 34.49-34.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 34.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงเช้าสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และตัวเลขดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ที่ปรับตัวขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัด โดยเงินบาทสามารถลดช่วงอ่อนค่าและฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วน หลังราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้น (หลังเผชิญแรงขายหนักในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.40-34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของไทย สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. 2567 และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สาวขอนแก่นสตาร์ ควง หนุ่มพิษณุโลก เฮปิดเลกแรกวอลเลย์บอลไทยลีก

ทีมนักตบสาว มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขอนแก่นสตาร์ ควง หนุ่มพิษณุโลก คว้าชัยส่งท้ายเลกแรก วอลเลย์บอลอาชีพ รายการ มาดามหลุยส์ วอลเลย์บอล ไทยแลนด์ ลีก

การแข่งขันวอลเลย์บอลอาชีพ รายการ มาดามหลุยส์ วอลเลย์บอล ไทยแลนด์ ลีก เลกที่ 1 สัปดาห์ที่ 7 แข่งขันที่ MCC HALL THE MALL โคราช จ.นครราชสีมา ในประเภททีมหญิง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขอนแก่นสตาร์ ที่นำโดย แก้วกัลยา กมุลทะลา ดาวตบทีมชาติไทย พร้อมด้วย กรรณิการ์ ธิปโชติ และ อนงค์พร พรหมรัด ตบเอาชนะ นครปฐม เอสเอสอาร์ยู ที่นำโดย ชนกนันท์ เเสบงบาล, อรกานต์ สิงห์ขันธุ์ และ อรทัย อินทรศรี 3-0 เซต 25-14, 25-12, 25-17 ส่งผลให้ สาวขอนแก่นสตาร์ ทำผลงาน ชนะ 5 นัด แพ้ 2 นัด มีเพิ่ม 15 แต้ม จบอันดับ 3 ของเลกที่ 1 ส่วน นครปฐม เอสเอสอาร์ยู มี 8 แต้มอยู่อันดับ 4 

ด้านทีมชาย พิษณุโลก วีซี ที่นำโดย ณรงค์ฤทธิ์ จันภิรมย์ มือเซตทีมชาติไทย, สุวิทย์ มหาสิริโยธิน และ ปัญญา บุตรสัมฤทธิ์ ตบเอาชนะ สโมสรนาวี 2024 วีซี ที่นำมาโดย เฉลิมเดช บุญรอด,อนุชัย ทองสิทธิ์ และ ชัชวาลย์ จันทร์ชื่น 3-0 เซต 25-17, 25-21, 25-19 ส่งผลให้หนุ่มพิษณุโลก ทำผลงาน ชนะ 3 นัดแพ้ 4 นัด มี 10 แต้มอยู่อันดับ 5 ส่วนหนุ่มนาวี ชนะ 1 นัด แพ้ 6 นัด มี 2 แต้มรั้งท้ายตารางจบแค่เลกแรก

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


เครียดจากงาน หรือ ซึมเศร้า? วิธีแยกอาการ Burnout และ Depression

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเครียดจากการทำงานและความกดดันในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจรู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง หรือไม่อยากทำอะไรเลย จนอาจสับสนว่าตนเองกำลังเผชิญกับ Burnout Syndrome หรือ ภาวะซึมเศร้า (Depression) ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและการดำเนินชีวิต

Burnout กับ ซึมเศร้า : แตกต่างกันอย่างไร?

ทั้ง Burnout Syndrome และ ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีอาการบางอย่างที่คล้ายกัน เช่น ความรู้สึกเหนื่อยล้า หดหู่ และหมดไฟ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองสภาวะนี้มีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  1. Burnout Syndrome (ภาวะหมดไฟจากการทำงาน)
  • สาเหตุ : เกิดจากความเครียดสะสมจากการทำงานหนัก ความกดดันจากภาระงาน และการขาดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน
  • อาการ : มักจะเกิดขึ้นเฉพาะในแง่ของการทำงาน เช่น รู้สึกหมดไฟจากการทำงาน อารมณ์หงุดหงิดง่าย รู้สึกห่างเหินจากเพื่อนร่วมงาน หรือรู้สึกว่าไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้
  • การฟื้นตัว : เมื่อได้หยุดพักและเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานหรือการใช้ชีวิตกลับมาสมดุล อาการจะดีขึ้น
  1. ภาวะซึมเศร้า (Depression)
  • สาเหตุ : อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือความเครียดเรื้อรังที่มีผลต่อสมองและอารมณ์
  • อาการ : ความรู้สึกหดหู่ ไม่มีความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบ รู้สึกตัวเองไร้ค่า ขาดแรงบันดาลใจ และอาจมีอาการทางกาย เช่น การนอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป และอาจมีความคิดฆ่าตัวตาย
  • การฟื้นตัว : การรักษาผ่านการบำบัดทางจิตใจ (เช่น CBT) หรือการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูภาวะซึมเศร้าได้

วิธีเช็กว่าเป็น Burnout หรือ ซึมเศร้า?

หลายครั้งที่อาการของ Burnout และ ซึมเศร้า อาจดูเหมือนกัน แต่มีลักษณะที่ต่างกันในรายละเอียด นี่คือวิธีเช็กเบื้องต้นว่าอาการที่คุณกำลังเผชิญอยู่เป็น Burnout หรือ ซึมเศร้า:

เช็กอาการ Burnout :

  1. รู้สึกเหนื่อยล้าเฉพาะกับงาน: คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงทำงานและหมดไฟในการทำงานมากขึ้น แต่ยังคงสามารถสนุกกับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยวหรือการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวได้
  2. อารมณ์แปรปรวนเฉพาะในที่ทำงาน: รู้สึกหงุดหงิด หรือเครียดเฉพาะในที่ทำงาน และอาจมีความรู้สึกไม่พอใจในภาระงานที่ทำ
  3. ความสัมพันธ์ในที่ทำงานเริ่มมีปัญหา: คุณรู้สึกห่างเหินจากเพื่อนร่วมงาน และเริ่มรู้สึกขัดแย้งภายในองค์กรที่ทำงาน
  4. อาการดีขึ้นเมื่อหยุดพัก: เมื่อคุณหยุดงาน หรือได้พักผ่อนเป็นเวลานาน อาการจะดีขึ้นและสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช็กอาการซึมเศร้า :

  1. รู้สึกหดหู่ตลอดเวลา : คุณรู้สึกหดหู่ อ่อนล้า และไม่มีความสุขแม้จะทำกิจกรรมที่เคยชอบ
  2. ขาดแรงบันดาลใจและความสนใจ : ไม่อยากทำกิจกรรมอะไรเลย รวมถึงการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
  3. มีความคิดลบและรู้สึกไร้ค่า : คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือรู้สึกผิดทุกเรื่อง อาจมีความคิดฆ่าตัวตาย
  4. มีอาการทางกาย : อาการนอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป ปวดศีรษะ หรือรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา แม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมที่หนักหน่วง

การแยกแยะระหว่าง Burnout Syndrome และ ภาวะซึมเศร้า เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของคุณ หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้า หมดไฟ หรือท้อแท้ การรับฟังร่างกายและอารมณ์ของตัวเองอย่างใส่ใจ พร้อมกับการหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ สามารถช่วยให้คุณฟื้นฟูและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและสมดุลอีกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘แคสเปอร์สกี้’ ตรวจจับไฟล์อันตรายได้สูงถึง 467,000 ไฟล์ต่อวัน

ภัยคุกคามบนไซเบอร์ระบาดไม่หยุด “แคสเปอร์สกี้” เผยตรวจจับไฟล์อันตรายได้สูงถึง 467,000 ไฟล์ต่อวัน เติบโตเพิ่มขึ้น 14%

แคสเปอร์สกี้ รายงานว่า ในปี 2024 ระบบตรวจจับภัยคุกคามของแคสเปอร์สกี้ตรวจพบไฟล์อันตรายโดยเฉลี่ย 467,000 ไฟล์ต่อวัน เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปี 2023

โดย “วินโดวส์” ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ โดยคิดเป็นสัดส่วน 93% ของมัลแวร์ทั้งหมดที่ตรวจพบในแต่ละวัน

นอกจากนี้ กลุ่มมัลแวร์ที่แพร่กระจายผ่านสคริปต์ต่างๆ และเอกสาร MS Office รูปแบบที่แตกต่างกัน ยังเป็นภัยคุกคามอันดับสูง มีสัดส่วน 6% ของไฟล์อันตรายทั้งหมดที่ตรวจพบในแต่ละวัน

รายงาน Kaspersky Security Bulletin (KSB) ระบุว่า ตรวจพบมัลแวร์บนวินโดวส์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้น 19% ระหว่างปี 2023 ถึง 2024

มัลแวร์ที่แพร่หลายมากที่สุดคือโทรจัน (Trojan) ซึ่งเป็นโปรแกรมอันตรายที่ปลอมตัวเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมาย โดยเพิ่มขึ้น 33% ระหว่างปี 2023 ถึง 2024

นอกจากนี้ ยังมีจำนวนโทรจันดรอปเปอร์ (Trojan-dropper) เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า หรือ คิดเป็น 150% โทรจันดรอปเปอร์เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อส่งมัลแวร์อื่นๆ ไปยังคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ของเหยื่อโดยที่เหยื่อไม่ทันสังเกตเห็น

วลาดิเมียร์ คุสคอฟ หัวหน้าฝ่ายวิจัยแอนตี้มัลแวร์ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า จำนวนภัยคุกคามเกิดใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากผู้ไม่หวังดีได้พัฒนามัลแวร์ เทคนิคและวิธีการใหม่ๆ เพื่อโจมตีผู้ใช้และองค์กรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และมีการสังเกตพบแนวโน้มอันตราย

เช่น การโจมตีซัพพลายเชน การโจมตีบนแพ็คเกจโอเพ่นซอร์ส (เช่น กรณี XZ) แคมเปญอันตรายและฟิชชิงจำนวนมากที่กำหนดเป้าหมายโจมตีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย มัลแวร์ธนาคารก็เพิ่มขึ้น และยังพบแนวโน้มการใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างมัลแวร์ใหม่ๆ และเอื้อประโยชน์ในการโจมตีแบบฟิชชิง

คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

  • ไม่ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ไม่คลิกลิงก์ จากแหล่งที่ไม่รู้จักหรือโฆษณาออนไลน์ที่น่าสงสัย
  • ใช้การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย (2FA) เสมอหากทำได้ สร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งและไม่ซ้ำใครโดยใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ผสมกัน ตัวเลข และเครื่องหมายวรรคตอน ใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่าน (password manager) ที่เชื่อถือได้เพื่อช่วยจำรหัสผ่าน
  • ติดตั้งการอัปเดตเสมอ การอัปเดตจะมีการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยที่สำคัญ
  • เพิกเฉยต่อข้อความที่ขอให้ปิดการใช้งานระบบความปลอดภัยสำหรับซอฟต์แวร์สำนักงานหรือซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์
  • ใช้โซลูชันความปลอดภัยที่แข็งแกร่งที่เหมาะสมกับประเภทระบบและอุปกรณ์ 

คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้องค์กร

  • อัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้อยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีแทรกซึมเครือข่ายโดยใช้ประโยชน์จากช่องโหว่
  • ไม่เปิดเผยข้อมูลบริการเดสก์ท็อประยะไกล (เช่น RDP) บนเครือข่ายสาธารณะ เว้นแต่จำเป็นจริงๆ และควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งสำหรับบริการเหล่านี้เสมอ
  • ใช้โซลูชันเพื่อดูข้อมูลทั้งหมดบนเครือข่ายองค์กรของบริษัทได้อย่างครอบคลุม อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้วิเคราะห์สามารถค้นหา กำหนดลำดับความสำคัญ สืบสวน และกำจัดภัยคุกคามที่ซับซ้อนและการโจมตีแบบ APT ได้อย่างรวดเร็ว
  • ใช้ข้อมูล Threat Intelligence ล่าสุด เพื่อดูข้อมูล TTP จริงที่ผู้ก่อภัยคุกคามใช้
  • สำรองข้อมูลองค์กรเป็นประจำ ควรแยกข้อมูลสำรองออกจากเครือข่าย ตรวจสอบว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลสำรองได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉินหากจำเป็น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


9 วลี แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ สั้นๆ ง่ายๆ ใช้ได้จริง!

ประโยคแสดงความคิดเห็น ภาษาอังกฤษ

“เรียนรู้การแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมตัวอย่างประโยคและคำแปล”

การพูดแสดงความคิดเห็น

การพูดแสดงความคิดเห็น คือ การพูดเพื่อแสดงความรู้สึกหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล มีความสอดคล้องกับเรื่องที่พูด ในการพูดแสดงความคิดเห็น อธิบายเหตุผล ข้อเท็จจริง ผู้พูดอาจพูดแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม หรือเรื่องอื่นๆ ก็ได้ ทั้งนี้เมื่อแสดงความคิดเห็นไปแล้วควรทาให้ผู้ฟัง เห็นด้วยหรือคล้อยตาม

วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำ ตัวอย่าง ประโยค แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เพื่อนๆ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันค่ะ

9 วลี แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ

Actually… (แอค’ ชวลลี) จริงๆ แล้ว…

  • The hotel looks expensive, but actually it’s cheap.
    (เดอะ โฮเทล ลุค อิคซฺเพน’ซิฟว บัท แอค’ ชวลลี อิทส ชีพ)
    โรงแรมดูแพง แต่จริงๆแล้วมันถูก
  • I didn’t like him at first, but in the end I was actually in love with him.
    (ไอ ดิค’เดินทฺ ไลคฺ ฮิม แอท เฟิร์ท บัท ดิ เอนดฺ ไอ วอช แอค’ ชวลลี อิน ลัฟว วิท ฮิม)
    ตอนแรกฉันไม่ชอบเขาเลยนะ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็รักกับเขาอะ

Frankly… (แฟรงคฺ’ลี) บอกตรงๆ นะ…

  • Can I speak frankly with you?
    (แคน ไอ สปีค แฟรงคฺ’ลี วิท ยู)
    ฉันขอพูดตรงๆ กับคุณได้ไหม
  • Quite frankly, I think this whole situation is ridiculous.
    (ไควทฺ แฟรงคฺ’ลี, ไอ ธิงคฺ ธีส โฮล ซิช’ชุเอ’เชิน อีส รีดิค’คิวเลิส)
    บอกตรงๆ นะ ฉันคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้ไร้สาระ

I guess… (ไอ เกส) ฉันว่า…

  • I guessed (that) she was your sister.
    (ไอ เกส แธท ชี วอส ยัวร์ซิส’เทอะ)
    ฉันเดา (ว่า) เธอเป็นน้องสาวของคุณ
  • I guessed the total amount to be about ฿ 50,000.
    (ไอ เกส เดอะ โท’เทิล อะเมานทฺ’ ทู บี อะเบาทฺ’ ฟิฟ’ที เธา’เซินดฺ)
    ฉันเดาว่ายอดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท

In my opinion,… (อิน มาย โอพิน’เยิน) ในความคิดของฉัน…

  • In my opinion, you should take the exam again.
    (อิน มาย โอพิน’เยิน ยู ชูด เทค ดิ อิกแซม’)
    ฉันคิดว่าคุณควรสอบอีกครั้ง
  • In my opinion, he is not fit for the work.
    (อิน มาย โอพิน’เยิน ฮี อีส นอท ฟิท ฟอร์ เดอะ เวิร์ค)
    ในความคิดของฉัน เขาไม่เหมาะกับงานนี้

I’m sure that… (ไอม ชัวร์ แธด) ฉันมั่นใจว่า…

  • I’m sure (that) I left my keys on the table.
    (แอม ชัวร์ (แธท) ไอ เลฟทฺ มาย คี ออน เดอะ เท’เบิล)
    ฉันแน่ใจ (ว่า) ฉันทิ้งกุญแจไว้บนโต๊ะ
  • I feel absolutely sure (that) you’ve made the right decision.
    (ไอ ฟีล แอบ’ โซลูทลี่ ชัวร์ (แธท) ยู เมด เดอะ ไรท์ ดิซิส’เชิน)
    ฉันรู้สึกมั่นใจอย่างยิ่ง (ว่า) คุณตัดสินใจถูกแล้ว

To be honest… (ทู บี ออน’นิสทฺ) ถ้าจะให้พูดตรงๆ ละก็…

  • To be honest (with you), I don’t think it will be possible.
    (ทู บี ออน’นิสทฺ (วิทยู), ไอ ดอน-เทอะ ธิง อิท วิล บี พอส’ซะเบิล)
    ถ้าจะให้พูดตรงๆ ละก็… (กับคุณ) ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้

I see your point but… (ไอ ซี ยัวร์ พอยทฺ บัท) ฉันเข้าใจประเด็นของคุณ แต่…

  • I see your point, but I don’t think your plan is realistic.
    (ไอ ซี ยัวร์ พอยทฺ บัท ไอ ดอน ธิง ยัวร์ แพลน อิส รีอะลิส’ทิค)
    ฉันเข้าใจประเด็นของคุณ แต่ไม่คิดว่าแผนของคุณจะเป็นจริงได้

I see what you are saying but… (ไอ ซี วอท ยู อาร์ เซ’อิง บัท) ฉันเข้าใจที่คุณพูด แต่…

That’s partly true but… (แธทซฺ พาร์ท’ลี ทรู บัท) มันก็จริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่…

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


ผลไม้ที่ต้องปอกเปลือก ควรกินหลังปอกเปลือกภายในเวลาเท่าไหร่

สงสัยหรือไม่ว่า ผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนรับประทาน เราต้องกินหลังปอกเปลือกแล้วภายในเวลาเท่าไหร่ และเพราะอะไรกันนะ

การบริโภคผลไม้สดเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพและช่วยเติมเต็มสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม ผลไม้บางชนิดต้องปอกเปลือกก่อนรับประทาน เช่น ส้ม กล้วย มะม่วง และแตงโม เพื่อความสะอาดและปลอดภัยในการบริโภค แต่การปล่อยผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วไว้นานเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพและประโยชน์ทางโภชนาการของผลไม้เหล่านั้นได้

ควรกินผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วภายในเวลาเท่าไหร่?

โดยทั่วไป ควรกินผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วภายใน 2 ชั่วโมง หากเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง และภายใน 24 ชั่วโมง หากเก็บในตู้เย็นในภาชนะที่ปิดสนิท การปฏิบัตินี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคและการสูญเสียสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินซี

เพราะอะไรการกินผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วจึงมีข้อจำกัดด้านเวลา?

  1. การปนเปื้อนของเชื้อโรค
    • การปอกเปลือกผลไม้ทำให้เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มสัมผัสกับอากาศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือเชื้อรา หากปล่อยไว้นานเกินไป
  2. การสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ
    • ผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิ้ลหรือกล้วย จะเกิดกระบวนการออกซิเดชันเมื่อสัมผัสกับอากาศ ทำให้สีของผลไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี เสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
  3. การเปลี่ยนแปลงในรสชาติและเนื้อสัมผัส
    • ผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วมักสูญเสียความกรอบหรือความสดใหม่เมื่อสัมผัสกับความชื้นและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง

Advertisement

วิธีการเก็บรักษาผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วให้สดได้นานขึ้น

  • ใช้ฟิล์มห่ออาหารหรือภาชนะปิดสนิท: เพื่อป้องกันการสัมผัสกับอากาศและชะลอการเกิดออกซิเดชัน
  • เก็บในตู้เย็น: อุณหภูมิต่ำช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
  • ใช้มะนาวหรือน้ำมะนาว: หยดลงบนผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้ว เช่น แอปเปิ้ลหรือกล้วย เพื่อชะลอการเปลี่ยนสีจากกระบวนการออกซิเดชัน

สรุป

เพื่อรักษาคุณภาพ รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ที่ต้องปอกเปลือก ควรกินผลไม้เหล่านั้นภายในเวลาที่เหมาะสมและใช้วิธีเก็บรักษาที่ถูกต้อง หากทำได้เช่นนี้ คุณจะได้รับประโยชน์จากผลไม้สดอย่างเต็มที่และปลอดภัยต่อสุขภาพในทุกครั้งที่บริโภค!

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,150.0043,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,795.0042,372.2043,750.00
ทองรูปพรรณ 90%2,515.5038,134.98n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,236.0033,897.76n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,258.0019,071.28n/a
ทองรูปพรรณ 40%978.0014,826.48n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,896.0043,903.36n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/01/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.9535.9536.4535.9535.9535.9535.9535.9535.9535.95
แก๊สโซฮอล์ 9135.5835.5836.0835.5835.5835.5835.5835.5835.5835.58
แก๊สโซฮอล์ E2033.8433.8434.3433.8433.8433.8433.8433.8433.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.5933.5933.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.5449.8449.8449.8444.54
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า