สาระน่ารู้ประจำวันที่ 06 ตุลาคม 2568

อสังหาฯอุตสาหกรรมโตต่อเนื่อง JLL ปิดดีลขายโรงงานให้ AIMIRT

อสังหาฯอุตสาหกรรม “โรงงาน-คลังสินค้า”โตต่อเนื่องล่าสุด JLL ประกาศปิดดีลใหญ่ขายโรงงานพรีซิชั่น โกลบอล ให้ AIMIRT ไปต่อยอดธุรกิจ สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพไทย

กฤช ปิ่มหทัยวุฒิ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าหน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุน JLL ประเทศไทย กล่าวว่า ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์หลายประเภททั่วโลกยังอยู่ในภาวะระมัดระวัง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรมของไทยกลับคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีระบบสาธารณูปโภคพร้อมสรรพ และอยู่ใกล้แหล่งซัพพลายเชนหลัก ปัจจัยเหล่านี้หนุนให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักลงทุนจากทั่วโลก ท่ามกลางกระแสการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

หนึ่งในแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า คือ กลยุทธ์ “การขายและเช่ากลับ”  ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนสินทรัพย์ถาวรเป็นทุนหมุนเวียนได้ทันที ขณะเดียวกันยังคงใช้พื้นที่ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นทางเลือกที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำจากค่าเช่า

ล่าสุด JLL ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จในการปิดดีลขายและเช่ากลับโรงงานของ บริษัท พรีซิชั่น โกลบอล ผู้ผลิตหัววาล์วสเปรย์รายใหญ่ระดับโลก บนพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE จังหวัดระยอง โดยผู้ซื้อคือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ AIMIRT ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม

“กลยุทธ์ขายและเช่ากลับเป็นแนวทางบริหารสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ทั้งสองฝ่ายผู้ขายได้รับเงินทุนไปใช้ลงทุนต่อ โดยไม่สะดุดการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันผู้ซื้อได้สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ตั้งแต่วันแรก”

จากมุมของผู้ขาย พรีซิชั่น โกลบอล มองดีลนี้เป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน เพื่อนำเงินทุนไปลงทุนในนวัตกรรมและขยายธุรกิจทั่วโลก โดยมีประเทศไทยเป็นฐานที่แข็งแกร่งดีลนี้สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย

“การมีความคล่องตัวทางการเงินมากขึ้น จะช่วยให้เราพัฒนาและขยายบริการได้รวดเร็วขึ้น”เธียรีย์ บวน ซีอีโอ พรีซิชั่น โกลบอล

ด้าน AIMIRT มองว่าสินทรัพย์จากดีลนี้ช่วยเพิ่มคุณภาพพอร์ตการลงทุนของกองทรัสต์ โดยเฉพาะการได้ผู้เช่าระดับโลกเข้ามาอยู่ในพอร์ตตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งทำให้การลงทุนมีความมั่นคงและสร้างผลตอบแทนระยะยาวพร้อมสร้างผลตอบแทนมั่นคง และโอกาสเติบโตในตลาดอุตสาหกรรมไทยที่แข็งแกร่ง

แนวโน้มนี้กำลังสะท้อนภาพใหม่ของตลาดอสังหาฯ อุตสาหกรรมไทย ที่ไม่ได้เป็นเพียง “ที่ดินสำหรับโรงงาน” แต่เป็น “สินทรัพย์ลงทุน” ที่ดึงดูดเงินทุนระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง นักลงทุนต่างมองหาสินทรัพย์ที่สร้างรายได้มั่นคง ความเสี่ยงต่ำ และมีศักยภาพในการเติบโต  ซึ่งอสังหาฯ ภาคอุตสาหกรรมไทย ตอบโจทย์นี้ได้อย่างครบถ้วน

กฤช  กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนหลายประการ ประกอบกับตลาดทุนที่มีภาวะตึงตัวแม้ดอกเบี้ยจะเข้าสู่ช่วงขาลง การขายและเช่ากลับจะเป็นรูปแบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งสำหรับบริษัทผู้ประกอบการและกลุ่มนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยการขายและเช่ากลับเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถแปลงสินทรัพย์เป็นทุนและหันไปทุ่มเททรัพยากรให้กับธุรกิจหลักของตน ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่พร้อมลงทุนได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาวจากสินทรัพย์ที่เข้าซื้อ


“อสังหาริมทรัพย์ในภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ได้รับความสนใจสูงทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติเราเชื่อว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป หนุนด้วยหลายปัจจัย ได้แก่ การที่ทำเลที่ได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ประกอบกับการมีระบบสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่งที่รวมถึงท่าเรือน้ำลึกต่างๆ และการเชื่อมโยงกับตลาดหลักๆ
ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค “

นอกจากนี้ ภาครัฐฯยังมีนโยบายสนับสนุนด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุน ในขณะเดียวกัน แนวคิด China+1ที่ว่าด้วยกลยุทธ์ของบริษัทข้ามชาติที่ต้องการกระจายฐานการผลิตและความเสี่ยงทางธุรกิจ

โดยลดการพึ่งพาประเทศจีนเพียงแห่งเดียวและมองหาประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็นฐานการผลิตหรือดำเนินงานแห่งที่สองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสการมีบริษัทข้ามชาติเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะเสริมสร้างให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ประเภทอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


 Q4 ASW จับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล9 เดือนกวาด17,474 ล้าน ทะลุ 90% ปรับแผนลุยโปรเจ็กต์ใหม่ภูเก็ต รับไฮซีซั่น

  • ASW ตอบรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและช่วงไฮซีซั่น โดยมุ่งเปิดโครงการใหม่ในจังหวัดภูเก็ตเพื่อรองรับกำลังซื้อจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ
  • เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ “เดอะ ไทเทิล บาลโคนี ในยาง” มูลค่า 3,800 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการใหม่ใกล้หาดกมลา
  • การเปิดโครงการใหม่เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการในภูเก็ตที่ได้รับการตอบรับดีเยี่ยม เช่น โครงการ “วีวี่” (ViVi) ที่สามารถปิดการขายได้ภายในวันเดียว
  • บริษัทมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายรวมทั้งปีของบริษัทให้บรรลุเป้าหมาย 19,500 ล้านบาท

ท่ามกลางความท้าทายปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน  ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างใช้กลยุทธ์ ในช่วงโค้งท้ายปี เจาะกลุ่มกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพื่อลดผลกระทบความเข้มงวดการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน พร้อมจับตาท่าทีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลเพื่อสนับสนุนผลประกอบการไตรมาส4นี้ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้  

 เช่นเดียวกับ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW  กล่าวว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังต้องจับตาทิศทางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์แม้เผชิญความท้าทายด้านกำลังซื้อ แต่มีแรงหนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัย

ขณะที่การท่องเที่ยวส่งสัญญาณบวกต่อเนื่องโดยเฉพาะภูเก็ต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต ระบุว่าปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมช่วง 7 เดือนแรกกว่า 5.58 ล้านคน ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวหลักมาจากรัสเซีย จีน และอินเดีย อีกทั้งสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ยังคาดการณ์ว่ารายได้การท่องเที่ยวตลอดทั้งปีนี้อาจสูงถึง 550,000 ล้านบาท หรือโตราว 10% จากปีก่อน ตอกย้ำว่าภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังคงรักษาการเติบโตด้านยอดขายได้อย่างสม่ำเสมอ โดยในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2568) บริษัทสามารถทำยอดพรีเซลได้ถึง 17,474 ล้านบาท คิดเป็น 90% จากเป้าหมายทั้งปีที่ 19,500 ล้านบาท และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% ซึ่งโครงการที่ทำยอดขายโดดเด่น คือโครงการเปิดใหม่ในช่วง Q3/2568 อย่างเคฟ แอลลี่ แจ้งวัฒนะ (KAVE Ally Chaengwattana) โครงการแคมปัสคอนโดตรงข้าม ม.ราชภัฏพระนคร ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย มูลค่า 1,000 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มนักศึกษา คนทำงาน และผู้ที่ซื้อเพื่อลงทุน

รวมถึงโครงการ Leisure Residences ในเมืองท่องเที่ยวภูเก็ต ภายใต้การพัฒนาของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE บริษัทย่อยในเครือ ซึ่งรับการตอบรับเป็นอย่างดีตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย โดยโครงการเดอะ ไทเทิล วิลล่า คิรารา (THE TITLE Villa Kirara) โครงการวิลล่าหรูระดับแฟล็กชิปภายในโครงการมิกซ์ยูส “The TITLE Park” บนทำเลบางเทา-เชิงทะเล มูลค่า 1,500 ล้านบาท ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อ ส.ค.

ที่ผ่านมาก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจนมียอดจองเป็นจำนวนมาก และล่าสุด THE TITLE ได้ตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาโครงการย่านบางเทา เปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมน้องใหม่กับโครงการ “วีวี่” (ViVi) A Stylish Condominium มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพห่างจากหาดบางเทาเพียง 700 เมตร ถือเป็นการเข้ามาพัฒนาโครงการในเซกเมนต์ใหม่ในราคาคุ้มค่าเพียง 3 ล้านบาทต้นๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเปิดขายเมื่อช่วงปลาย ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าและเหล่าเอเจนท์อย่างล้นหลาม จนสามารถปิดการขายได้ในวันเดียว สะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าต่างชาติที่มีต่อแบรนด์ของบริษัท

 สำหรับการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ASW มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการควบคุมและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การบริหารจัดการพอร์ตโครงการพร้อมอยู่ และการเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนปี 2568 จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 22,000 ล้านบาท ตาม Strategic Location ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดภูเก็ตซึ่งมีดีมานด์จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง และต้องการที่พักอาศัยระยะยาว (Long-Stay)

รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะสั้นที่จะเดินทางเข้าประเทศในช่วงไฮซีซั่น Q4/2568 ถึง Q1/2569 โดยเตรียมเปิดตัวเดอะ ไทเทิล บาลโคนี ในยาง (THE TITLE Balcony Naiyang) โครงการ Leisure Condominium มูลค่า 3,800 ล้านบาท อีกหนึ่งโครงการไฮไลท์ที่จะช่วยขับเคลื่อนยอดขายในช่วงปลายปีนี้ รวมถึงเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ใกล้หาดกมลา ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศที่เหมาะแก่การพักผ่อน

ทั้งสำหรับครอบครัวและผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย โดยยังถือเป็น โลเคชั่นศักยภาพที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ รีสอร์ทหรู และวิลล่าระดับไฮเอนด์ จึงตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุน โดยติดตามรายละเอียดได้ในเร็วๆ นี้

 “ไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ประกอบการจะจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย ดึงดูดผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งยังเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศจำนวนมาก ASW จึงเตรียมทั้งโครงการพร้อมอยู่ และเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในภูเก็ตเพิ่มเติมจากแผนที่วางไว้ เนื่องจากกลุ่ม Leisure Residences ในภูเก็ตเป็นโครงการที่มีกระแสตอบรับดีมาตลอดตั้งแต่ต้นปี เรามั่นใจว่าภูเก็ตจะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายทั้งปีของ ASW ให้สำเร็จตามเป้าหมาย 19,500 ล้านบาท” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

สำหรับบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 80 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA), แบรนด์ ดิ อาเบอร์ (THE ARBOR), แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมถึงแบรนด์ภายใต้ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ มูลค่าโครงการกว่า 132,851 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 25 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 19 โครงการ และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 32,779  ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้6ต.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในระยะสั้นดอลลาร์พอได้แรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่า พร้อมรอความชัดเจนว่าภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6ต.ค.2568 ที่ระดับ  32.38 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.40 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.42 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และการทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ (XAUUSD)

 ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลง ทะลุโซนระดับ 149.5 เยนต่อดอลลาร์ ตอบรับผลการเลือกหัวหน้าพรรค LDP คนใหม่ ซึ่งอาจกลายมาเป็นนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น

โดย Sanae Takaichi ได้รับชัยชนะ ซึ่งหากได้รับการโหวตเป็นนายกฯ คนใหม่ (และนายกฯ หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) ผู้เล่นในตลาดก็ประเมินว่า Sanae Takaichi อาจจะสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง ควบคู่กับอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ไม่ต่างจากนโยบาย Abenomics ซึ่งอาจทำให้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

ยังไม่สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างที่ตลาดประเมินในช่วงก่อนหน้า สะท้อนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ ของ BOJ เหลือราว 45% หลังรับรู้ผลการคัดเลือกหัวหน้าพรรค LDP ดังกล่าว 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง หลังรัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown อีกทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับออกมาแย่กว่าคาด

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และภาวะ US Government Shutdown พร้อมรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังคงอยู่ในภาวะ Data Blindness หรือขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown ที่ทำให้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญถูกเลื่อนออกไป

ทำให้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell และรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 83% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสราว 58% ในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 จบรอบการลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนตุลาคม

ฝั่งยุโรป – แม้จะมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญไม่มากนัก ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนตุลาคม และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านพัฒนาการสถานการณ์การเมืองของญี่ปุ่น อย่าง การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งอาจจะเป็น Sanae Takaichi จากพรรค LDP รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ อัตราการเติบโตของค่าจ้างในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP)

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทยในเดือนกันยายน จะยังคง “ติดลบ” ที่ระดับ -0.74% (-0.04%m/m) กดดันโดยการปรับตัวลงของราคาเนื้อสัตว์ และการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะเดียวกัน แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน อยู่แถวระดับ 0.80%

ทว่า อัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องจะไม่ใช่ปัจจัยและเหตุผลสำคัญต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเรามองว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งนี้ กนง. อาจตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.50% แต่ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

โดย กนง. อาจรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามข้อมูลอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 เสียก่อน และที่สำคัญ ในการประชุม กนง. ครั้งก่อน ได้มีการเน้นย้ำถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีอย่างจำกัด

ทำให้ เรามองว่า การเลือกที่จะคงดอกเบี้ยไปก่อน อาจเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจกว่าในขณะนี้ อนึ่ง เรายอมรับว่า กนง. ก็อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมครั้งนี้ ได้เช่นกัน แต่ไม่ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ย ตามที่เราประเมิน ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังว่า กนง. จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.00% ได้ในปีหน้า 

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ ทว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้อ่อนกำลังลง หลังเงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (แนวต้านถัดไป 32.65 บาทต่อดอลลาร์) ตามแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด

ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันจากภาวะ US Government Shutdown และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาแย่กว่าคาด ซึ่งเรามองว่า เงินดอลลาร์ (รวมถึงเงินบาท) อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งอาจต้องเห็นความชัดเจนว่า ภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงบ้าง จากพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นล่าสุด ที่อาจได้นายกฯ คนใหม่ คือ Sanae Takaichi ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายหรือต้องการให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

หากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ หากประเมินจากสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดล่าสุด เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้มีมุมมองที่ชัดเจนต่อแนวโน้มเงินบาท หรือ อาจมีสถานะถือครองเป็น Slightly Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) จากที่ช่วงก่อนหน้า ผู้เล่นในตลาดมีสถานะ Long THB สูงพอสมควร ทำให้เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน ทว่า พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นล่าสุด อาจกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงในระยะสั้น หนุนเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทำไม “หมากรุก” ถึงถูกจัดว่าเป็นกีฬา ทั้งที่ไม่ได้ใช้แรงกายในการแข่งขัน?

แม้หมากรุกจะเป็นเกมกระดานที่ดูเหมือนใช้เพียงความคิด ไม่ต้องออกแรงหรือเคลื่อนไหวเหมือนกีฬาประเภทอื่น

แต่รู้หรือไม่ว่า “หมากรุก” ถูกยอมรับว่า “เป็นกีฬา” โดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) และยังมีการแข่งขันระดับโลกเหมือนฟุตบอลหรือเทนนิส

นั่นเพราะสิ่งที่หมากรุกต้องใช้ไม่ใช่พละกำลัง แต่คือสมอง กลยุทธ์ และความอึดทางจิตใจในระดับนักกีฬาอาชีพ

การแข่งขันจริงจัง มีกติกาชัดเจน

หมากรุกไม่ใช่เกมแห่งโชค แต่เป็นการวัดฝีมือระหว่างผู้เล่นที่ต้องใช้การวางแผนลึกซึ้งและตัดสินใจอย่างแม่นยำ

ทุกการเดินมีผลต่อผลลัพธ์ของเกม กติกาเป็นสากลและใช้เหมือนกันทั่วโลก ทำให้สามารถตัดสินแพ้–ชนะได้อย่างชัดเจน จึงเข้าข่าย “กีฬาแข่งขัน” อย่างเต็มรูปแบบ

มีระบบจัดอันดับและทัวร์นาเมนต์ทั่วโลก

หมากรุกมีโครงสร้างการแข่งขันระดับนานาชาติ ตั้งแต่ลีกอาชีพในแต่ละประเทศ ไปจนถึงรายการใหญ่อย่าง World Chess Championship และ Chess Olympiad พร้อมระบบคะแนนสะสม ELO Rating ที่ใช้วัดระดับฝีมือของนักหมากรุกทั่วโลก คล้ายกับการจัดอันดับนักเทนนิสหรือฟุตบอลโลก

ต้องใช้สมาธิและความอึดทางร่างกาย

แม้ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมาก แต่การนั่งแข่งขันหมากรุกระดับอาชีพอาจกินเวลานานหลายชั่วโมง ผู้เล่นต้องควบคุมร่างกายให้สงบ มีสมาธิสูงสุด และทนต่อความกดดันได้ดี

งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าผู้เล่นหมากรุกระดับโลกใช้พลังงานมากพอๆ กับนักกีฬาบางประเภท เช่น กอล์ฟหรือยิงธนู เพราะสมองทำงานอย่างเข้มข้นตลอดเวลา

นับว่าเป็น “กีฬา”

ในปี 1999 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ประกาศให้หมากรุกเป็น กีฬาอย่างไม่เป็นทางการ (International Recognized Sport) หมายถึงเป็นกีฬาที่ได้รับการยอมรับจาก IOC แต่ยังไม่ถูกบรรจุในโอลิมปิก และนับแต่นั้นมา หมากรุกก็กลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มีการจัดแข่งชิงเหรียญและถ้วยรางวัลในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป

“หมากรุก” จึงไม่ใช่เพียงเกมกระดานธรรมดา แต่เป็นกีฬาที่วัดความแข็งแกร่งของสมอง ความนิ่งของจิตใจ และการวางกลยุทธ์อย่างมืออาชีพ เป็นสนามประลองของนักคิดที่ต้องมีทั้งไหวพริบ สมาธิ และความอึดไม่แพ้นักกีฬาประเภทใดในโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


หูแว่ว- มีภาพหลอน ระวังป่วย ‘จิตเภท’ เสี่ยงอันตรายทั้งตัวเองและผู้อื่น

  • โรคจิตเภท เป็นภาวะป่วยทางจิตเวชที่มีอาการสำคัญคือหูแว่ว เห็นภาพหลอน และมีความเชื่อหลงผิด ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ
  • สาเหตุหลักเกิดจากพันธุกรรมและการใช้สารเสพติด ซึ่งการใช้สารเสพติดเป็นเวลานานสามารถทำลายสมองและทำให้เกิดอาการหลอนถาวรได้
  • ผู้ป่วยจิตเภทมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อตนเองเนื่องจากไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และอาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นจากอาการหวาดระแวง

นายแพทย์ธนานันต์ นุ่มแสง แพทย์จิตเวช โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นหนึ่งในโรทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในสังคมไทย และมักแสดงออกอย่างเด่นชัด เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการหลอน หรือมีความเชื่อหลงผิด อาการที่สำคัญและเป็นแกนหลักคือ หูแว่ว ภาพหลอน และประสาทหลอนต่าง ๆ อาการเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนในครอบครัว หรือคนในสังคมได้

โดยทั่วไปอาจกล่าวได้ว่า เกิดจากความกดดันและความเครียดสะสมจนระเบิดอารมณ์ออกมา ในช่วงจิตใจเปาะบางที่สุดจนไม่สามารถบังคับตัวเองได้ แต่บางครั้งโรคจิตเภทอาจมีประเด็นที่ซับซ้อนกว่านั้น ยกตัวอย่าง คนไร้บ้าน (Homeless) คือบุคคลที่ไม่มีที่อยู่และไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ

สาเหตุของการเกิดโรคจิตเภท

สาเหตุของการเกิดโรคจิตเภทส่วนใหญ่เกี่ยวข้องทั้งด้านพันธุกรรมและการใช้สารเสพติด

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม (กรรมพันธุ์) มีความเกี่ยวข้องกับญาติสายตรง เช่น พ่อ แม่ หรือ ปู่ เป็นโรคนี้ โอกาสที่จะเป็นโรคจะสูงขึ้น 2-3 เท่าของคนทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันสาเหตุที่มาจากกรรมพันธุ์อาจลดน้อยลง เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคจิตเภทส่วนใหญ่จะไม่ได้แต่งงานหรือมีครอบครัว
  • การใช้สารเสพติด (สาเหตุที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน) สารเสพติดบางตัวสามารถทำให้เกิดอาการ หูแว่ว ภาพหลอนได้ และจำนวนผู้ที่ใช้สารเสพติดและมีอาการหลอนเหล่านี้มีจำนวนเพิมสูงขึ้นในปัจจุบัน หากใช้ติดกันเป็นระยะเวลานานจะสร้างความเสียหายต่อสมอง ในจุดที่ไม่สามารถกลับมาได้ เช่น ในระยะเวลา 1-2 ปี หรือใช้ในปริมาณมาก สมองจะถูกทำลายถาวร (ส่วนใหญ่คือการใช้ 2 ปีขึ้นไป) อาการเหล่านั้นก็จะกลายเป็นโรคจิตเภท 

“ชนิดของสารที่ทำให้เกิดอาการหลอนแตกต่างกันไปตามยุคสมัย ในอดีตมักเป็นแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ซึ่งทำให้เกิดอาการหลอนได้ง่าย แต่ในปัจจุบันมีสารอื่น ๆ หลายรูปแบบ เช่น เคตามีน, แก๊สหัวเราะ, และกัญชาสารบางตัว เช่น กัญชาและแก๊สหัวเราะ อาจไม่ได้ทำให้เกิดอาการหลอนแบบอาการจิตเภทโดยตรง และสามารถทำให้เกิดอารมณ์ที่แปรปรวนได้ ในบางกรณีหากสภาพจิตใจไม่คงที่และควบคุมไม่ได้ จะสร้างความรุนแรงในสังคมได้ง่าย ไม่ว่าะเป็นทะเลาะวิวาทบนท้องถนนที่นำไปสู่การยิงกันหรือทำร้ายกัน”

อาการโรคจิตเภท

ผู้ป่วยโรคจิตเภทส่วนใหญ่จะอยู่ในโลกของตัวเอง หรืออยู่อีกมิติหนึ่งในินตนาการ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถูกผลักออกจากสังคม และครอบครัวรู้สึกว่าไม่สามารถดูแลได้ พฤติกรรมที่แสดงออกซึ่งเกิดจากอาการทางจิตและนำไปสู่โรคจิตเถท คือ

• การ เก็บของพะรุงพะรัง

• การทำสิ่งที่ ไม่เหมาะสม เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ ในที่สาธารณะ

• การดูแลตัวเองต่าง ๆ จะ หายไปหมด

• ผู้ป่วยจะไม่สนใจและไม่แคร์ต่อสภาพแวดล้อม

สมมุติตัวอย่าง ผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีใบหน้าสวย รูปลักษณ์ดีเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เดินแก้ผ้าอยู่ตามท้องถนนไม่อายสายตาใคร แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยเหมือนหลุดออกไปจากความเป็นจริง หากอาการแย่ลง อาจมีเสียงหรืออาการที่ทำให้หวาดระแวง จนอาจเกิดการทำร้ายคนอื่นได้

ความเสี่ยงและอันตรายจากผู้ป่วยจิตเภท

1. อันตรายต่อตัวเขาเอง ผู้ป่วยจะไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเขาเองในการกระทำต่างๆ

2. อันตรายต่อคนรอบข้าง พวกเขาเหล่านี้จะไม่คิดพิจารณาว่าสิ่งที่ทำจะสร้างความเดือดร้อนหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


หลับให้สบาย! ‘Soundcore Sleep A30’ หูฟังที่เป็นจุดจบของคนนอนยา

  • Soundcore Sleep A30 คือหูฟังสำหรับการนอนหลับรุ่นแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยี Smart ANC ตัดเสียงรบกวน และมีระบบปรับเสียงเพื่อกลบเสียงกรนของคนข้างๆ โดยอัตโนมัติ
  • ด้วยการออกแบบที่บางและนุ่มเป็นพิเศษ ทำให้หูฟังสวมใส่ได้อย่างสบายตลอดคืนโดยไม่เจ็บหู แม้สำหรับผู้ที่ชอบนอนในท่านอนตะแคง
  • นอกจากการสร้างความเงียบแล้ว หูฟังยังมีเสียงคลื่นสมองจาก AI ช่วยให้หลับลึกขึ้น ติดตามคุณภาพการนอนหลับ และได้รับรางวัลนวัตกรรม IFA Innovation Award 2025 การันตีคุณภาพ

เคยไหมที่อยากจะกดปุ่ม “Mute” ให้กับทั้งโลกในตอนกลางคืน? ในยุคที่ความเงียบกลายเป็นของหายาก การนอนหลับให้สนิทอาจเป็นภารกิจที่ท้าทายกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นเสียงแอร์ดังหึ่งๆ เสียงรถราจากท้องถนนที่ไม่เคยหลับใหล หรือแม้กระทั่งเสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่เคยน่าอภิรมย์อย่างเสียงกรนของคนข้างๆ หลายคนพยายามแก้ปัญหาด้วยที่อุดหูที่แสนจะอึดอัด หรือลองเปิดหูฟังไร้สายคู่ใจเพื่อฟังเสียงเพลงขับกล่อม แต่ก็ต้องตื่นมากลางดึกเพราะเจ็บหูเมื่อนอนตะแคง คำถามคือ เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยให้เราหลับได้ดีขึ้นจริงหรือ?

KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที จะพาไปรู้จัก Soundcore Sleep A30 หูฟังที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อการฟังเพลง แต่ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจเดียว นั่นคือการพาทุกคนดำดิ่งสู่ห้วงนิทราที่สงบสุขที่สุด ในฐานะ “Sleep-Tech” ที่มาพร้อมคอนเซปต์ “เงียบสงบ หลับสบาย” และประกาศตัวเป็นหูฟังสำหรับการนอนหลับรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ พร้อมฟีเจอร์เด็ดๆ ที่จะทำให้คนนอนยากต้องหันมามอง

ยิ่งกว่าตัดเสียงรบกวน คือการสร้าง “สภาวะไร้เสียง”

หัวใจสำคัญของ Soundcore Sleep A30 คือเทคโนโลยี Smart ANC (Active Noise Cancelling) ที่ออกแบบมาเพื่อการนอนหลับโดยเฉพาะ ลดทอนเสียงรบกวนรอบข้างลงได้มากถึง 30 เดซิเบล ไม่ว่าจะเป็นเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์ ตู้เย็น หรือเสียงรบกวนความถี่ต่ำที่คอยกวนใจคุณในยามค่ำคืน ความอัจฉริยะของหูฟังนี้คือการปรับรูปแบบการตัดเสียงให้เข้ากับสรีระของช่องหูแต่ละคนโดยอัตโนมัติ เมื่อทำงานร่วมกับการออกแบบที่สวมใส่ได้แนบสนิท (Passive Noise Cancelling) ก็ยิ่งเหมือนการสร้างเกราะป้องกันเสียงรบกวนที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ห้องนอนของคุณเงียบสงบลงอย่างรู้สึกได้

จบศึกข้างเตียง จัดการเสียงกรนขั้นเด็ดขาด

สำหรับใครที่ต้องนอนร่วมเตียงกับ “นักดนตรีจำเป็น” ที่บรรเลงเพลงกรนทุกค่ำคืน การสะกิดหรือหนีไปนอนโซฟาอาจไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนอีกต่อไป Soundcore Sleep A30 มาพร้อมกับนวัตกรรมสุดล้ำที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือระบบตรวจจับและปรับเสียงกลบเสียงกรนอัตโนมัติ โดยตัวกล่องชาร์จจะทำหน้าที่ฟังรูปแบบของเสียงกรนตลอดทั้งคืน แล้วส่งสัญญาณไปยังหูฟังให้สร้างเสียงกลบ (Masking Sound) ที่มีคลื่นความถี่สอดรับกับเสียงกรนนั้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์คือเสียงกรนที่เคยดังสนั่นจะถูกทำให้กลมกลืนและเบาลงจนไม่รบกวนการนอนของคุณอีกต่อไป

ให้ AI กล่อมคุณนอน

บางครั้งศัตรูตัวฉกาจของการนอนหลับก็ไม่ใช่เสียงจากภายนอก แต่เป็น “ความคิด” ที่วิ่งวนอยู่ในหัวไม่ยอมหยุด Soundcore เข้าใจปัญหานี้ดี จึงได้ใส่ฟีเจอร์เสียงคลื่นสมอง (Brainwave Sounds) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาให้ในแอปพลิเคชัน Soundcore โดยใช้หลักการของ Binaural Beats ซึ่งเป็นการปล่อยคลื่นเสียงความถี่แตกต่างกันเล็กน้อยเข้าหูแต่ละข้าง เพื่อกระตุ้นให้สมองเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายและสงบลง โดยเราเลือกฟังเสียงต่างๆ ได้ตามชอบ ตั้งแต่เสียงฝนตกเบาๆ ไปจนถึงเสียงบรรยากาศที่ช่วยให้จิตใจสงบ พร้อมจะพาคุณดำดิ่งสู่การหลับลึกอย่างแท้จริง

ออกแบบมาเพื่อชาวนอนตะแคงโดยเฉพาะ

หนึ่งในปัญหาคลาสสิกของคนใส่หูฟังนอนคือความเจ็บปวดเมื่อนอนตะแคงทับหูฟัง Soundcore Sleep A30 ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายข้อจำกัดนั้น ด้วยดีไซน์ที่บางกว่ารุ่นก่อนถึง 7 เปอร์เซ็นต์ และเลือกใช้วัสดุที่นุ่มเป็นพิเศษเพื่อลดแรงกดจากหมอน ทำให้ไม่ว่าจะพลิกตัวท่าไหน หรือนอนตะแคงเป็นเวลานาน ก็ยังคงความสบายไว้ได้ตลอดคืนจนแทบไม่รู้สึกว่ากำลังสวมใส่อุปกรณ์ใดๆ อยู่ บวกกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 9 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และสำรองพลังงานในเคสได้อีกรวมสูงสุด 45 ชั่วโมง ก็เพียงพอที่จะดูแลการนอนของคุณไปได้ตลอดทั้งคืนและอีกหลายคืนถัดไป

การันตีด้วยความสำเร็จระดับโลก

ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ Soundcore Sleep A30 ได้สร้างปรากฏการณ์บนแพลตฟอร์มระดมทุน Kickstarter ด้วยการระดมทุนไปได้มากกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผู้สนับสนุนกว่า 18,000 คนทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่ล้นหลามจากผู้บริโภคที่มีปัญหานอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลนวัตกรรม IFA Innovation Award 2025 และเสียงชื่นชมจากสื่อชั้นนำระดับโลกอย่าง Forbes, CHIP และ COMPUTER BILD ที่ยกให้เป็นนวัตกรรมพลิกวงการเทคโนโลยีเพื่อการนอนหลับ

ราคาและการวางจำหน่าย

Soundcore Sleep A30 วางจำหน่ายแล้วในประเทศไทยในราคา 6,499 บาท (https://s.shopee.co.th/1VqKbenj3) มีให้เลือก 2 สีคือ Classic White และ Mist Green นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีหูฟังไม่ได้หยุดอยู่แค่เพื่อความบันเทิง แต่ยังพัฒนาไปสู่การเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและการพักผ่อนได้อย่างแท้จริง สำหรับใครที่ทนทุกข์กับค่ำคืนที่แสนยาวนาน นี่อาจเป็นจุดจบของปัญหาการนอนของคุณก็เป็นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


20 ประโยคภาษาอังกฤษ รู้ไว้ก่อนขึ้นเครื่องไปเที่ยวต่างแดน

ช่วงใกล้เปิดประเทศแบบนี้ ทุกคนคงจะได้วัคซีนครบกันแล้ว และที่สำคัญใครหลายคนคงแอบวางแผนไปเที่ยวต่างแดนกันแล้วใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าจะเที่ยวให้สนุกแบบไม่มีสะดุด สกิลภาษาอังกฤษก็ต้องมา โดยเฉพาะความรู้เรื่อง ประโยคภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยให้เราได้สื่อสารกับชาวต่างชาติหรือรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในต่างประเทศได้นั่นเอง วันนี้เราจึงจัดเต็ม 20 ประโยคภาษาอังกฤษ เป็นการ เรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ที่ต้องรู้ไว้ก่อนขึ้นเครื่องไปเที่ยวต่างแดนมาฝากทุกคนกัน

  1. At the Airport (สนามบิน)
  • Excuse me, where is the row and number of check-in desk of (airline name) airline?

ขอโทษค่ะ / ครับ เคาน์เตอร์เช็กอินสายการบิน (ชื่อสายการบิน) อยู่แถวที่เท่าไหร่ หมายเลขอะไร

  • Hello, I’m flying / traveling to (city, country) with (airline name) today.

สวัสดีค่ะ / ครับ ฉันมีบิน / เดินทางไปที่ (เมือง, ประเทศ) วันนี้

ตัวอย่าง: Hello, I’m flying to Ho Chi Minh, Vietnam with Vietnam Airlines today.

สวัสดีค่ะ ฉันมีบินไปที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามกับสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์วันนี้ค่ะ

  • Here’s my passport and E-ticket.

นี่คือหนังสือเดินทางของฉันและตั๋วเครื่องบินออนไลน์ค่ะ / ครับ

  • I would like a window / middle / aisle / seat.

ฉันขอเลือกที่นั่งเป็นที่นั่งริมหน้าต่าง / ที่นั่งตรงกลาง / ที่นั่งติดทางเดินค่ะ / ครับ

  • Do I need to take my laptop / notebook / tablet out of the bag?

ฉันจำเป็นต้องเอาแล็ปท็อป / โน้ตบุ๊ก / แท็บเลต ออกจากกระเป๋าไหมคะ / ครับ

  1. Hotel / Accommodation (โรงแรม)
  • Hi, my name is (your name). I have a reservation / booking for tonight.

สวัสดีค่ะ / ครับ ฉันชื่อ (ชื่อของคุณ) ฉันได้จองห้องพักไว้สำหรับคืนนี้

ตัวอย่าง: Hi, my name is Paul. I have a reservation for tonight.

สวัสดีครับ ผมชื่อพอล ผมได้จองห้องพักไว้สำหรับคืนนี้

  • I have a question. Is breakfast included in the room price?

ฉันมีคำถามค่ะ / ครับ มื้อเช้านี้รวมอยู่ในราคาห้องพักแล้วหรือยังคะ / ครับ

  • I would like a room with twin / double bed (with extra bed) for my room.

ฉันขอห้องเตียงคู่ / เตียงเดี่ยว (พร้อมเตียงเสริม) สำหรับห้องของฉันด้วยนะคะ / ครับ

  • What time can we check in / What time do we need to check out?

เราสามารถเช็กอินได้ตอนกี่โมง / เราจะต้องเช็กเอาท์ตอนกี่โมง

  • I have to go outside, where can I leave my luggage before check-in time?

ฉันจะต้องออกไปข้างนอกก่อน ฉันสามารถฝากกระเป๋าสัมภาระก่อนเวลาเช็กอินไว้ที่ไหนได้บ้างคะ / ครับ

  1. Directions (สอบถามเส้นทาง)
  • I think I get lost. How do I get to (place)?

ฉันคิดว่า ฉันหลงทาง ฉันจะไปที่ (สถานที่) ได้อย่างไรคะ / ครับ

ตัวอย่าง: I think I get lost. How do I get to the national library?

ผมคิดว่า ผมหลงทางน่ะ ฉันจะไปที่หอสมุดแห่งชาติได้อย่างไร

  • Could you help me please? Now I’m looking for (place).

รบกวนคุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม ตอนนี้ฉันกำลังหา (สถานที่) อยู่ค่ะ / ครับ

ตัวอย่าง: Could you help me please? Now I’m looking for a coffee shop nearby.

รบกวนคุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ ตอนนี้ฉันกำลังหาร้านกาแฟใกล้ ๆ แถวนี้อยู่ค่ะ

  • Do you know what’s the best / fastest way to go to (place) from here?

คุณรู้ไหมคะ / ครับ ว่า ทางไหนคือทางที่ดีที่สุด / เร็วที่สุดในการเดินทางไป (สถานที่) จากที่นี่

ตัวอย่าง: What’s the fastest way to go to White Beach from here?

คุณรู้ไหมครับว่า ทางไหนคือทางเร็วที่สุดในการเดินทางไปชายหาดขาวจากที่นี่

  • Where is the nearest (place)?

(สถานที่) ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนคะ / ครับ

ตัวอย่าง: Where is the nearest bank / supermarket / gas station / hotel?

ธนาคาร / ซุปเปอร์มาร์เก็ต / ปั๊มน้ำมัน ที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนคะ / ครับ

  • How far is it? / How close is it from here?

มันอยู่ไกลแค่ไหน / มันอยู่ใกล้แค่ไหนคะ / ครับจากที่นี่

  1. Restaurant (ร้านอาหาร)
  • I have booked a table for (number of seat) at (time) under (your name).

ฉันจองโต๊ะอาหารไว้สำหรับ (จำนวนที่นั่ง) คน ตอน (เวลา) ในชื่อ (ชื่อของคุณ)

ตัวอย่าง: I have booked a table for three at 6 P.M. under Billy.

ผมได้จองโต๊ะอาหารไว้สำหรับสามคน ตอน 6 โมงเย็นในชื่อบิลลี่ครับ

  • Could I have a few minutes with menu, please?

ขอรบกวนดูเมนูอาหารสักครู่นะคะ / ครับ

  • I think we are ready to order. I would like to order / have (food/drink), please.

ฉันพร้อมสั่งอาหารแล้วค่ะ / ครับ ฉันขอสั่ง (เมนูอาหาร) ค่ะ / ครับ

  • Do you have any specials today? / What do you recommend?

ทางร้านมีเมนูพิเศษสำหรับวันนี้ไหม / คุณมีเมนูอะไรแนะนำบ้างคะ / ครับ

  • Could I have the check / bill, please?

รบกวนคิดเงินให้ด้วยค่ะ / ครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ผักเคล (Kale) ซูเปอร์ฟู้ดสุดฮิต มีประโยชน์ยังไง กินสดได้ไหม

ผักเคล (Kale) ประโยชน์ โภชนาการ และข้อควรระวัง กินยังไงให้อร่อยได้สุขภาพ

ผักเคล หรือ Kale คือ ผักใบเขียวตระกูลกะหล่ำที่มักถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” เพราะอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารพฤกษเคมีหลากชนิด กรอบ อร่อย และทำเมนูได้หลายแบบ เราจะสรุป ประโยชน์ของผักเคล โภชนาการ วิธีกินให้อร่อย รวมถึงข้อควรระวังสำคัญ

ผักเคล คืออะไร ต่างจากคะน้ายังไง

ผักเคล อยู่ในวงศ์กะหล่ำ (Brassicaceae) เช่นเดียวกับบรอกโคลีและคะน้า ลักษณะเด่นคือใบหยักหยิก ก้านแข็ง มีหลายสายพันธุ์ที่นิยม ได้แก่ Curly Kale (เคลใบหยิก สีเขียว) และ Lacinato หรือ “เคลไดโนเสาร์” ใบยาว สีเขียวเข้ม รสออกหวานกว่า เหมาะกับสลัด ส่วนเคลใบหยิกนิยมนำไปผัด นึ่ง หรือปั่นสมูทตี้

ผักเคล กินสดได้ไหม

ผักเคล (Kale) สามารถกินสดได้ และเป็นที่นิยมอย่างมากในการนำมากินแบบสดๆ เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดค่ะ โดยเฉพาะ วิตามิน และ สารต้านอนุมูลอิสระ ต่างๆ ที่จะไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน

ข้อดีของการกินผักเคลสด

  • ได้รับสารอาหารครบถ้วน: วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี จะไม่ถูกทำลายจากความร้อน
  • ง่ายและสะดวก: ประหยัดเวลาในการเตรียมอาหาร

โภชนาการเด่นของผักเคล (ต่อ 100 กรัม)

ผักเคลให้พลังงานต่ำแต่แน่นด้วยสารอาหาร ชูโรงด้วยวิตามินเอ ซี เค ไฟเบอร์ และลูทีน-ซีแซนทีนที่ดีต่อดวงตา

สารอาหารปริมาณโดยประมาณไฮไลต์
พลังงาน~43 กิโลแคลอรีแคลอรีต่ำ
ไฟเบอร์~4 กรัมช่วยอิ่มนาน ระบบขับถ่าย
วิตามินซี~90 มก.เสริมภูมิ สร้างคอลลาเจน
วิตามินเอ (จากเบต้าแคโรทีน)สูงบำรุงสายตา ผิว
วิตามินเคสูงมากเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด กระดูก
แคลเซียม/โพแทสเซียมเด่นกระดูก หัวใจ ความดัน
ลูทีน + ซีแซนทีนเด่นปกป้องจอประสาทตา

ผักเคล มีประโยชน์ยังไงบ้าง?

  • ไฟเบอร์สูง ช่วยให้อิ่มนาน สนับสนุนการขับถ่าย และอาจช่วยจัดการคอเลสเตอรอล
  • สารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี อี ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความเครียดออกซิเดชัน ลดการอักเสบ
  • บำรุงสายตา ลูทีน-ซีแซนทีนช่วยปกป้องจอประสาทตา ชะลอความเสื่อมตามวัย
  • สนับสนุนหัวใจและความดัน ด้วยไฟเบอร์และโพแทสเซียม
  • กระดูกและการแข็งตัวของเลือด วิตามินเคและแคลเซียมมีบทบาทสำคัญ

ข้อควรระวัง

แม้ ผักเคล จะดีต่อสุขภาพ แต่บางกลุ่มควรระมัดระวัง

  • ผู้ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟาริน) ควรรักษาปริมาณวิตามินเคให้สม่ำเสมอ ไม่ควรขึ้นๆ ลงๆ เอง
  • โรคไต/จำกัดโพแทสเซียม ผักเคลมีโพแทสเซียม ควรปรึกษาแพทย์เรื่องปริมาณ
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ/ขาดไอโอดีน เคลดิบมีสารกอยโตรเจน ควรผ่านความร้อนเพื่อลดผลกระทบ และไม่บริโภคมากเกินไป

กินผักเคลยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด

กินได้ทั้งดิบและสุก การทำสุกช่วยทานได้มากขึ้นและย่อยง่ายขึ้น ส่วนการนึ่ง/ลวกไอน้ำช่วยถนอมสารกลุ่มกลูโคซิโนเลตได้ดี เคล็ดลับง่ายๆ

  • จับคู่ไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันอะโวคาโด เพื่อช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน (เอ อี เค)
  • ไอเดียเมนู สลัดเคล (มาสเสจใบด้วยน้ำมันเล็กน้อย), สมูทตี้, ซุป/สตูว์, เคลชิปอบกรอบ, ผัดน้ำมันมะกอกกับกระเทียม กินคู่ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว ปลา หรือเนื้อไม่ติดมัน

สรุป

ผักเคล เป็นผักใบเขียวโภชนาการแน่น เหมาะกับคนที่อยากเพิ่มไฟเบอร์ วิตามินเอ ซี เค และสารต้านอนุมูลอิสระในมื้ออาหาร เลือกวิธีปรุงที่ชอบ สลับดิบ-สุก และคุมปริมาณให้เหมาะสม หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนปรับอาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผักเคลเต็มที่อย่างปลอดภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a60,000.0060,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,879.0058,805.6460,900.00
ทองรูปพรรณ 90%3,491.1052,925.08n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,103.2047,044.51n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,745.5526,462.54n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,357.6520,581.97n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,019.6960,938.50n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.1532.1532.6532.1532.1532.1532.1532.1532.15
แก๊สโซฮอล์ 9131.7831.7832.2831.7831.7831.7831.7831.7831.78
แก๊สโซฮอล์ E2029.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.94
แก๊สโซฮอล์ E8527.8927.8927.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.3449.8449.8440.34
เบนซิน 9540.4449.8140.9440.5940.44
ดีเซล31.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.44
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า