สาระน่ารู้ประจำวันที่ 07 พฤษภาคม 2568

แรงสั่นสะเทือนเปลี่ยนเกม! ‘คอนโดโลว์ไรส์’ฟื้นตัวแรง

“คอนโดโลว์ไรส์” ฟื้นตัวแรงหลังแผ่นดินไหวอสังหาฯ เปลี่ยนเกม!รับ แกรนด์ ยูนิตี้ ปักหมุด 6 ทำเลฮอต ลุยตลาดกลาง-บนรับอานิสงส์ ‘ปลอดภัย-เป็นส่วนตัว-จับต้องได้’ตอบโจทย์

เหตุแผ่นดินไหวที่รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคและนักลงทุนหันกลับมาทบทวนมุมมองใหม่ต่อที่อยู่อาศัยแนวดิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่ม “คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์” หรืออาคารพักอาศัยไม่เกิน 8 ชั้น ซึ่งกำลังกลับมาได้รับความนิยมอย่างชัดเจน

ไม่ใช่เพียงเพราะความสูงอาคารที่สร้างความรู้สึกมั่นคงในจิตใจ แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติของคอนโดโลว์ไรส์ที่ตอบโจทย์ยุคหลังโควิด ทั้งด้านความเป็นส่วนตัว ความหนาแน่นต่ำ การเข้าถึงง่าย และทำเลที่มักตั้งอยู่ใกล้โครงข่ายคมนาคมชั้นใน

ชู 6 โครงการบนทำเลศักยภาพทั่วกรุง

บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY มองเห็นทิศทางความเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว พร้อมเร่งเดินหน้าแคมเปญ “GRAND UNITY ALL SAFE” ด้วยการชู 6 โครงการคอนโดโลว์ไรส์พร้อมอยู่ในย่านยอดนิยมของกรุงเทพฯ ทั้งฝั่งตะวันออก กลาง และฝั่งธนบุรี

นายกำพล ปุญโสณี ประธานบริหาร GRAND UNITY ระบุว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัย” และ “ความคุ้มค่า” มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคอนโดฯ โลว์ไรส์ที่ตั้งอยู่ในซอยสงบหรือถนนสายรองแต่สามารถเชื่อมต่อถนนใหญ่หรือระบบรถไฟฟ้าได้สะดวก ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีทั้งคนที่ซื้ออยู่เองและนักลงทุนปล่อยเช่า

“เราเห็นดีมานด์เพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานรุ่นใหม่ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับโครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่มาก อยู่สบาย ไม่แออัด และอยู่ในราคาระดับเข้าถึงได้ โดยไม่ต้องแลกกับคุณภาพชีวิตหรือเวลาในการเดินทาง”

“ครบ-จบ-จริง” ตอบโจทย์ยุคคนรัดเข็มขัด 

เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังรัดตัว GRAND UNITY จัดโปรโมชัน “ALL SAFE” ด้วยข้อเสนอแบบจัดเต็ม ทั้งส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท* ฟรีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายวันโอน และค่าส่วนกลางนานถึง 2 ปี

กลยุทธ์นี้ถูกวางมาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความพร้อมแต่ยังลังเล โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสินทรัพย์ที่ “พร้อมอยู่ – พร้อมปล่อย – พร้อมเก็บผลตอบแทน” ทันที

6 โครงการ 6 สไตล์ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์

โปรเจกต์ในแคมเปญนี้กระจายอยู่ในหลายโซนของกรุงเทพฯ และมีระดับราคาให้เลือกตั้งแต่ต้นล้านไปจนถึงระดับบน ได้แก่

บลู สุขุมวิท 105: โลว์ไรส์ 3 นาทีถึง MRT ศรีลาซาล เริ่ม 1.69 ล้านบาท

บลู สุขุมวิท 89: ใกล้ BTS อ่อนนุช ตอบโจทย์คนเมือง เริ่ม 2.79 ล้านบาท

บลู พหลโยธิน 35: สไตล์รีสอร์ต ใกล้รัชโยธิน เริ่ม 2.39 ล้านบาท

เซียล่า เจริญนคร: ติดท่าดินแดง ใกล้เยาวราช เริ่ม 3.19 ล้านบาท

คาร่า อารีย์ – พระราม 6: โลว์ไรส์หรู ใกล้อารีย์ เริ่ม 9.89 ล้านบาท

เดอะ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ ราชดำริ: ใจกลางเมือง ตรงข้ามสวนลุม เริ่ม 10.9 ล้านบาท

คอนโดโลว์ไรส์ “Safe Asset” 

ด้วยความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และทิศทางดอกเบี้ย ตลาดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์จึงถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Asset) ประเภทหนึ่งในสายตาของนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเน้นการถือครองระยะยาว และรับผลตอบแทนจากค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง

จากเทรนด์ที่เกิดขึ้นและการขยับตัวอย่างรวดเร็วของผู้ประกอบการอย่าง GRAND UNITY จึงไม่เกินความจริงนัก หากจะบอกว่า “ยุคของคอนโดฯ โลว์ไรส์ กำลังหวนคืนมา..อีกครั้ง”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“แผ่นดินไหว” ที่ดินกลางเมือง “มิกซ์ยูส-คอนโดลักชัวรี” ไม่สิ้นมนต์

บิ๊กทุน-บิ๊กอสังหาฯ ลุยต่อ เปิดหน้าดินขึ้นโครงการหรู ตุนกระสุน 3-5ปี ข้างหน้า หลัง แผ่นดินไหว สะเทือนกรุงเทพ ฯ ที่ดินกลางเมือง “มิกซ์ยูส-คอนโดลักชัวรี” ไม่สิ้นมนต์ ราคาที่ดินขยับต่อเนื่อง

แม้กรุงเทพมหานครได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุแผ่นดินไหว ในทางกลับกันพบว่าที่ดินทำเลทองย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือCBDแนวรถไฟฟ้า ราคาที่ดินมีแนวโน้มขยับต่อเนื่อง จากความนิยมของคนเมืองโดยทำเล ย่าน หลังสวน-วิทยุ -เพลินจิต-ชิดลม  ราคาซื้อขายตารางวาละ 4 ล้านบาท

จากการลงทุนของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำมีอยู่อย่างต่อเนื่อง หลังจาก “โครงการ สินธร วิลเลจ หลังสวน” ได้วางรากฐาน มาตั้งแต่ 12 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน โดยพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสรูปแบบลิสโอลด์บนที่ดินแปลงใหญ่รวม 56 ไร่ โดยบริษัท สยามสินธร จำกัด

สร้างปรากฏการณ์ฉุดให้พื้นที่โดยรอบขยายตัวและเติบโตพร้อมกันเป็นวงกว้าง  ตั้งแต่ ถนนหลังสวน วิทยุ  สารสิน ชิดลม เพลินจิต  ราชประสงค์ ราชดำริ พระราม4 ฯลฯ ที่ดินราคาสูงอย่างต่อเนื่อง  “สืบพงษ์ เกียรติวิศาลชัย” รองกรรมการผู้จัดการ “สยามสินธร” ระบุว่าช่วง 10 ปี จนถึงปัจจุบันราคาที่ดินทำเลหลังสวน แตะ 4 ล้านบาทต่อตารางวานับตั้งแต่บมจ.แสนสิริซื้อที่ดินบนถนนสารสินและมีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีก  

ปัจจุบัน “สินธร วิลเลจ” มีโครงการคอนโดมิเนียมรอปิดการขายอีกไม่กี่หน่วยภายในปีนี้ รวมถึง มีเป้าหมายขยายโครงการมิกซ์ยูสในทำเลศักยภาพต่อเนื่อง  นอกจากความเป็นเมืองสีเขียวแล้ว ที่ผ่านมาแม้จะเกิดแผ่นดินไหว แต่สำหรับที่นี่แล้วไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะการออกแบบโครงสร้างของอาคารที่มีมาตรฐานสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด และได้บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เป็นมืออาชีพ

ขณะการขยับตัวของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ทั้งไทยและต่างชาติ “ฐานเศรษฐกิจ” สำรวจพบว่า มีความเคลื่อนไหวไม่ขาดสาย เนื่องจากมีที่ดินรอพัฒนาในมืออยู่ก่อนแล้วและยังเดินหน้าโครงการตามแผน เพราะมีเป้าหมายว่า กว่าโครงการ จะดำเนินการตามขั้นตอนและแล้วเสร็จ อีกประมาณ  3- 5 ปีข้างหน้าอาจเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจ รวมตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาพลิกฟื้นที่ดี ผู้ประกอบการมีกระสุนตุนในมือ

ล่าสุดทำเลบนถนนวิทยุเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นเมื่อคนในตระกูลธนาคารกรุงเทพ “ชาลี โสภณพนิช” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ซิตี้ เรียลตี้ จำกัด ได้ฤกษ์ เปิดหน้าดินพัฒนาโครงการร่วมกับ พันธมิตร นักลงทุนฮองกง “ทิม แบล็คเบิร์น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไวร์ พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด  

หลังจากได้รับอนุมัติการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ช่วงไตรมาสแรกปี 2568 และเริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี  บนที่ดิน  ฟรีโฮลด์ 7.9 ไร่ (12,652 ตร.ม.) ซึ่งเป็นโครงการไฮไรส์ จำนวน 2 อาคาร สูง 52 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต และ 71 ชั้น จำนวน 239 ยูนิต ล้อมรอบด้วยวิวสวนลุมพินีและสวนเบญจกิติ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงแรมห้าดาว โรงเรียนนานาชาติ สถานทูตสำคัญคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปี2572

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ บมจ.แสนสิริ เขย่าวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย ทำนิวไฮซื้อ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นตัวแปรที่ผลักดันที่ดินในย่านหลังสวน วิทยุ ราคาแตะที่ 4 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพร้อมอาคารสำนักงาน เนื้อที่ 1 ไร่ บนทำเลทองถนนสารสิน ติดสวนลุมพินีเขตปทุมวัน  ราคาตารางวาละ 3.9 ล้านบาท หรือไร่ละ 1,560 ล้านบาท โดยปิดดีลเมื่อเดือนเมษายน 2563 ช่วงจังหวะที่ประเทศเกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19

โดย “อุทัย อุทัยแสงสุข” กรรมการผู้จัดการใหญ่ “แสนสิริ” ประกาศแผนพัฒนา โครงการคอนโดมิเนียม ซูเปอร์ลักชัวรี คาดว่าตารางเมตรละ 1 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นทำเล CBD ของย่านสวนลุมพินี เพราะไม่มีที่ดินแปลงใดบดบังทัศนียภาพ

ปัจจุบันอยู่ระหว่างวางแผนกำหนดให้เป็นโครงการเรือธงของแสนสิริในอนาคต  หลังประสบความสำเร็จกับโครงการ 98 Wireless (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) บนถนนวิทยุมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการอัลตร้าลักชัวรี ทำเลชิดลม มียอดจองโครงการล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่เริ่มโครงการและอีกโครงการตั้งอยู่ทำเลสุขุมวิท51

 ไม่พูดถึงไม่ได้ “สโคปหลังสวน”  ใกล้สถานีบีทีเอส ชิดลมคอนโดมิเนียมสุดหรู “เพนต์เฮาส์” ทั้งโครงการแห่งแรกของไทย สร้างสถิติใหม่ราคาขาย-เช่าต่อตารางเมตร สูงอันดับต้นๆ ในตลาดอสังหา ริมทรัพย์ ไทย ประกาศขายต่อห้องสูงถึง ตารางเมตรละ 1.2 ล้านบาท ปล่อยเช่า 2,500 บาท/ตารางเมตรและมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อเนื่อง เพราะเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ที่หาได้ยากยิ่ง

 “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด สะท้อนว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะในเซกเมนต์อัลตร้าลักชัวรี ที่กลุ่มกำลังซื้อสูง

 ทั้งนี้ “SCOPE” เป็นบริษัทร่วมทุน กับ บมจ. เอสซี แอสเสท ของตระกูลชินวัติ  ประมูลที่ดินมาในราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา เนื้อที่  880 ตารางวา เมื่อปลายปี 2560  ซึ่งเป็นราคาที่ดิน ทำเลกลางเมืองแตะหลัก 3 ล้านบาทต่อตารางวาแปลงแรกของไทยและทำให้ที่ดินทุกผืนขยับไปที่ 3 ล้านบาทต่อตารางวาทั้งเวิ้งในเวลาอันรวดเร็ว 

ก่อนที่จะถูกแสนสิริ ล้มแชมป์ในปี 2563   และทำให้ราคาที่ดินทะยานต่อ ขณะราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างปัจจุบัน “ยงยุทธ์” ประเมินว่าราคา 5 ล้านบาทต่อตารางวา สำหรับทำเลนี้ เพราะที่ดินฟรีโอลด์หาไม่ได้แล้ว

ไม่ห่างกันมากนัก โครงการ “เซ็นทรัลเอ็มบาสซี 2” หรือส่วนต่อขยาย บริเวณด้านหลังของ  ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี 1 ซึ่งเดิมเป็นที่ดินของสถานทูตอังกฤษ  ล่าสุดพัฒนาเป็น โครงการมิกซ์ยูสโดย บริษัท เซ็นทรัล แอนด์ ฮ่องกงแลนด์ จำกัดและ บริษัท เตียง จิราธิวัฒน์ จำกัด

ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการจัดทำ EIAใหม่อีกครั้ง  เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ภายในและขยายขนาดโครงการบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ มีความสูง 53 ชั้น รวมทั้งชั้นห้องเครื่อง 3 ชั้น และชั้นใต้ดิน 6 ชั้น ซึ่งเป็นศูนย์รวม ทั้งสรรพสินค้า พาณิชยกรรม ห้องโถงสำนักงาน สถานศึกษา ภัตตาคาร ที่อยู่อาศัยรวม (ให้เช่าระยะยาว) และที่จอดรถและพัฒนาเชื่อมต่อกับ CENTRAL EMBASSY PARK (ตึกปัจจุบัน) ที่ชั้นใต้ดิน B5 – B2 และชั้นที่ 1 – ชั้นที่ 7 ที่คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี2572

พลาดไม่ได้ สำหรับ โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของ “วันแบง ค็อก” โครงการที่พัฒนาโดยกิจการร่วมทุนระหว่างบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้) บนเนื้อที่ 108 ไร่ มูลค่าการลงทุนโครงการ 1.2 แสนล้านบาท พื้นที่รวม 1.83 ล้านตารางเมตร บน ถนน วิทยุ –พระราม4 ของตระกูลสิริวัฒนภักดี ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25ตุลาคมปีที่ผ่านมาและทยอยเปิดพื้นที่ให้บริการต่อเนื่อง ที่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลง แลนด์มาร์คใหม่ของกรุงเทพมหานคร

โครงการตรงข้าม โครงการ วัน แบงค็อก จะเห็น โครงการ  “เดอะแกรนด์ เช็นเตอร์พอยต์ ลุมพินี” ของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH  โครงการมิกซ์ยูส ที่มีทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน ร้านค้าร้านอาหาร ช้อปปิ้งขนาดย่อม ที่พร้อมเปิดให้บริการ โดยที่ดินแปลงนี้ เดิมทีเป็นที่ตั้งของโรงงานท่อผ้าเก่า หรือ โรงงาน “ประณีตอุตสาหกรรม” ที่ ยกเลิกกิจการไปนาน เมื่อนำมาพัฒนาเป็นโรงแรมหรูจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมาก

เช่นเดียวกับ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มิกซ์ยูส มูลค่า4.6หมื่นล้านบาท ทำเลบนหัวมุม ถนนสีลม-พระราม 4 บนที่ดิน 23 ไร่ที่เปิดโครงการไปบ้างแล้วและเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการต่อเนื่องรวมถึงโครงการที่พักอาศัยสุดหรู 

อีกทำเล สีลม-พระราม4 “อาคารศรีเฟื่องฟุ้ง”ทุบทิ้งและก่อสร้างขึ้นใหม่ ดำเนินโครงการโดยบมจ. เอสซีแอสเสท ซึ่งมีแผนพัฒนาเป็นโครงการหรูที่น่าจับตายิ่ง

โดยสรุปที่ดิน ย่านศูนย์กลางธุรกิจ นอกจากไม่เคย “หลับ” แล้วยังไม่มีวันตาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น !!!

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 7พ.ค. “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.66 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.55-32.90 บาท/ดอลลาร์การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินอาจมีทิศทาง Sideways ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 7พ.ค.2568ที่ระดับ  32.66 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาท จนทะลุโซนแนวรับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้เป็นแนวรับทั้งสัปดาห์นี้ นั้น เหนือความคาดหมายของเราไปมาก

โดยเรามองว่า ปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าวนั้น มาจากทั้ง การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ที่ยังหนุนการรีบาวด์ขึ้นแรงของราคาทองคำ ซึ่งได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน การแข็งค่าขึ้นเร็ว แรง ของเงินบาท ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนจำเป็นต้องปรับสถานะถือครอง

 โดยเฉพาะฝั่งที่มีสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) อาจเจอการ Stop Loss ได้ ซึ่งภาพดังกล่าวก็ดูจะสอดคล้องกับแรงซื้อบอนด์ระยะสั้นจากบรรดานักลงทุนต่างชาติในวันก่อนหน้าที่สูงเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟดนั้น การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินอาจมีทิศทาง Sideways ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ ที่มีไม่มากนัก (มีเพียงยอดค้าปลีกของยูโรโซนที่น่าสนใจ) ทว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไรเพิ่มเติม จนย่อตัวลงต่อเนื่อง

โดยเราคงมองว่า เงินบาทยังมีความอ่อนไหว (Beta) กับการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ ราว 0.3-0.5 (หากราคาทองคำย่อตัวลง -1% อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ราว -0.3% ถึง -0.5%) ทว่า การย่อตัวลงของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังบรรยากาศในตลาดการเงินก็ยังอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ซึ่งจะช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว เข้ากับธีม Because of You (Trade Uncertainty) Gold Shines (BUGS) นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจใช้จังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ได้

ทั้งนี้ เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาสะท้อนว่า  เงินบาท (USDTHB) อาจมีกรอบการแกว่งตัว +/-1 SD ราว +0.33%/-0.18% ในช่วงหลังตลาดรับรู้การประชุมดังกล่าว 30 นาที

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ช่วง Press Conference ของประธานเฟด ก็อาจเป็นอีกช่วงเวลาที่ตลาดการเงินอาจผันผวนสูงขึ้นได้เช่นกัน โดยในกรณีที่ ประธานเฟดไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากนัก และย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ก็อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้บ้าง

 แต่หากประธานเฟดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ้าง และไม่ปิดโอกาสที่เฟดจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดอาจตีความว่า เฟดยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ซึ่งภาพดังกล่าว อาจกดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ให้ย่อตัวลงได้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.55-32.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.56-32.71 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันที่ผ่านมา

โดยการแข็งค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อาทิ ฝั่งผู้นำเข้า หลังเงินบาทได้แข็งค่าเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์

ขณะเดียวกันโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ก็มีส่วนช่วยลดทอนการแข็งค่าของเงินบาท ทั้งในส่วนของโฟลว์ธุรกรรมน้ำมัน และราคาทองคำ โดยเฉพาะในส่วนของราคาทองคำนั้น จังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมา

ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงบ้าง แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบปรับสถานะถือครองเพิ่มเติม เพื่อรอจับตาผลการประชุม FOMC ของเฟดที่จะถึงนี้

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันบ้าง จากความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นแรงกว่า +17% ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากช่วงที่เผชิญแรงขายหนักก่อนหน้า ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.77%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงบ้าง -0.18% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางหลัก (Fed และ BOE) ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็มีส่วนทำให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกจะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของตลาดหุ้นยุโรปในช่วงก่อนหน้าออกมาบ้าง

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.32%

ทั้งนี้ การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง ในปีนี้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหว Sideways แม้ว่าจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดเลือกจะถือทองคำ และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟดที่จะถึงนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.1-99.8 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ  ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้

ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่โซน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรจากบรรดาผู้เล่นในตลาดกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่ระดับ 3,393 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC ของเฟด ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 1.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันที่ 8 พฤษภาคม นี้

โดยเรามองว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจให้ชัดเจนเสียก่อน

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางนโยบายการเงินของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่าการคาดการณ์ของเฟดใน Dot Plot ล่าสุด ในการประชุมเดือนมีนาคม

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม เพื่อประกอบการประเมินภาพเศรษฐกิจยูโรโซน

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.74-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ…โดยเงินบาทอ่อนค่ากลับมาเล็กน้อย (หลังจากที่แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนที่ 32.62 เมื่อวานนี้) ตามแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลกรับข่าวความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และจีนจะเริ่มการเจรจาการค้าได้ภายในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย และเงินหยวนที่มีปัจจัยลบจากการที่ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยและ RRR ลงเพื่อประคองทิศทางเศรษฐกิจจีนที่เผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้า ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ได้รับอานิสงส์จากแรงคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชันในช่วงก่อนผลการประชุมเฟดในคืนนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้าสำคัญ และค่าเงินหยวนหลัง PBOC ลดดอกเบี้ย และ RRR สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย รวมถึงผลการประชุมเฟดและสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“โค้ชเช” นำทีม 14 จอมเตะไทย ลุยศึกยุวชนเทควันโดชิงแชมป์โลก 2025 ที่ยูเออี

สมาคมเทควันโดไทย ส่ง 14 จอมเตะรุ่นจิ๋ว ลุยศึกฟูไจราห์ เวิลด์ คาเด็ต แชมเปี้ยนชิพ 2025 ที่ยูเออี โดยมี “โค้ชเช” คุมทัพหวังพัฒนาสู่ทีมเยาวชน

สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ส่งนักกีฬาเทควันโดรุ่นยุวชนเข้าร่วมการแข่งขัน ฟูไจราห์ เวิลด์ เทควันโด คาเด็ต แชมเปี้ยนชิพ 2025 ระหว่างวันที่ 10–14 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองฟูไจราห์ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

โดยทัพนักกีฬาไทยชุดนี้ นำทีมโดย “โค้ชเช” ชัชชัย ชเว หัวหน้าผู้ฝึกสอน พร้อมด้วยทีมงานโค้ชอย่าง “โค้ชปาร์ค” ปาร์ค ฮี คัง“โค้ชชิต” วิชิต สิทธิกัณฑ์ และ “โค้ชต้อ” พีระเทพ ศิลาอ่อน ร่วมดูแลฝึกซ้อมและติดตามนักกีฬาอย่างใกล้ชิด

ทีมออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK337 ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นจากผู้ปกครองและเพื่อนนักกีฬาที่มาส่งและให้กำลังใจ

โค้ชเชเปิดเผยว่า การเดินทางไปแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแค่หวังเหรียญรางวัล แต่ยังต้องการเห็นพัฒนาการของนักกีฬารุ่นยุวชนเพื่อนำไปสู่การผลักดันสู่ทีมเยาวชนต่อไป

รายชื่อนักกีฬาทั้ง 14 คน มีดังนี้:

  1. ด.ช.ปารมี ชมภูวงศ์ (รุ่น 33 กก.)
  2. ด.ช.จิรพงศ์ จีนงี่ (รุ่น 37 กก.)
  3. ด.ช.อนาวิล พรหมชนะ (รุ่น 41 กก.)
  4. ด.ช.สุวภัทร เรื่องพิศาล (รุ่น 45 กก.)
  5. ด.ช.พศวัต ไทยอุดม (รุ่น 49 กก.)
  6. ด.ช.ธนภัทร นิธิศบวรภัค (รุ่น 53 กก.)
  7. ด.ช.มัณฑนากรณ์ ศรีสนอง (รุ่น 57 กก.)
  8. ด.ญ.ไปรยา เติมจิตรอารีย์ (ไม่เกิน 29 กก.)
  9. ด.ญ.ธิภานันท์ เอี่ยมสะอาด (รุ่น 33 กก.)
  10. ด.ญ.ฉัตรปวีณ์ พรชัยธรรมคุณ (รุ่น 37 กก.)
  11. ด.ญ.ณลดา เพชรชนะ (รุ่น 41 กก.)
  12. ด.ญ.จิรปรียา ชินราช (รุ่น 44 กก.)
  13. ด.ญ.วิลาสิณี ด้วงทองอยู่ (รุ่น 47 กก.)
  14. ด.ญ.อึนโพรี โชล (รุ่น 55 กก.)

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


5 พฤติกรรมเสี่ยง “ร้อนใน” ที่หลายคนอาจไม่ระวัง

มีช่วงเวลาอยู่บางครั้งบางคราวที่มีอาหารไทยแสนอร่อยหลายเมนูที่เราอาจจะทำได้แค่มองตาปริบๆ แต่ไม่สามารถตักเข้าลิ้มรสชาติในปากของเราได้ เพราะมีเจ้าแผลร้อนในเล็กๆ แต่แสบเอาเรื่องอยู่ในปาก ตามกระพุ้งแก้ม เหงือก หรือแม้กระทั้งโคนลิ้นนั่นเอง บางคนก็เป็นร้อนในบ่อยๆ ซ้ำๆ จนรู้สึก ‘เจ็บบ่อยๆ ค่อยๆ ชิน’ แต่บางคนก็แทบจะไม่เคยเป็นร้อนในเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก

แต่เรื่องนี้จะเกี่ยวกับโชคอย่างเดียวคงไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของเราด้วยว่าทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นร้อนในมากขึ้นหรือไม่ ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองเช็กดูได้ตามด้านล่างเลย

พฤติกรรมเสี่ยงร้อนใน

  1. พักผ่อนไม่เพียงพอ

เชื่อกันว่าการนอนน้อย นอนดึก หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุหลักๆ ของอาการร้อนใน เพราะเมื่อระบบการทำงานในร่างกายของเราเริ่มรวน ไม่เหมือนเดิม ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นในช่วงแรกๆ รวมถึงการเป็นร้อนในด้วย ที่เป็นสัญญาณเตือนว่า ‘เราควรเอาใจใส่กับร่างกายให้มากกว่านี้’

  1. เครียด วิตกกังวลมากเกินไป

มีงานวิจัยรายงานว่า การเกิดแผลร้อนในมีความสัมพันธ์กับอาชีพ และระดับความวิตกกังวล ดังนั้นใครที่อยู่ในช่วงที่เครียดจากการทำงานหนัก ทำรายงาน อ่านหนังสือสอบ หรือเครียดจากปัญหาส่วนตัว อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลร้อนในมากกว่าคนปกติทั่วไปได้

  1. รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน

ตามตำรับแพทย์แผนจีน ระบุว่าอาการของแผนร้อนในเกิดจากการขาดความสมดุลของหยิน และหยาง ในร่างกายของเรา ซึ่งมีอยู่ 2 ปัจจัยหลักๆ หรือ อาหาร และอากาศ หากเราทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นร้อน (หยาง) มากเกินไป เช่น อาหารทอด อาหารรสเผ็ด อาหารรสจัดจ้าน เข้มข้น รวมไปถึงผลไม้บางชนิด เช่น ขนุน ทุเรียน เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วงสุก ฯลฯ และการดื่มน้ำ (ที่มีฟ?เย็น หรือเป็นหยิน) ไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายขาดความสมดุล จึงทำให้เกิดร้อนในได้

  1. ใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

การใช้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาอะเลนโดรเนตที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน หรือยาอื่นๆ อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นร้อนในได้

  1. ขาดสารอาหาร

หากคุณเป็นคนที่ไม่ใส่ใจในการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน คุณอาจจะขาดสารอาหารบางประเภท ที่อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเป็นแผลร้อนในมากขึ้น เช่น ขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก วิตามินบี (โดยเฉพาะวิตามินบี 12) เป็นต้น

ตามปกติแล้ว หากเป็นแผลร้อนในเล็กๆ จะสามารถค่อยๆ หายได้เอง แต่หากต้องการให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น หรือมีแผลขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และแสบมาก รบกวนการทานอาหารในแต่ละครั้ง สามารถลองบ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง ใช้ยาป้ายที่รักษาแผลร้อนในโดยเฉพาะ หรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสม ในกรณีที่พบว่าแผลร้อนในมีอาการผิดปกติ เช่น รูปทรงของแผลแปลกไป หรือแผลไม่ดีขึ้นภายใน 1 อาทิตย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รูปแบบวิธีปฏิเสธ ภาษาอังกฤษแบบคนชิค แบบไม่ต้องพูดว่า No

ในหลาย ๆ ครั้งที่เรานั้นได้รับคำเชิญหรือคำร้องขอจากคนอื่น ๆ หรือมีการมีบทสนทนาร่วม บางครั้งเราก็ตอบตกลงไป แต่บางครั้งเราก็ต้องอยากที่อยากจากตอบปฏิเสธ หรือ Say No ไป แต่ด้วยสถานการ์ต่าง ๆ อาจจะทำให้เรานั้นคิดคำศัพท์หรือนึกคำที่เราจะปฏิเสธแบบสุภาพไม่ออก เพราะบางครั้งบางสถานการณ์แค่คำว่า No ก็อาจจะไม่เข้าหรือไม่เหมาะกับสถานการณ์นั้น ๆ แต่ในบทความนี้ที่ Engduo Thailand จะพาไปดูว่านอกจากคำว่า No แล้ว เราสามารถที่จะพูดคำหรือประโยคอื่น ๆ ที่ใช้ในการปฏิเสธได้อีกหรือไม่

การพูดปฏิเสธกรณีที่มีคนชวนเราไปไหนมาไหน แต่เราไม่สะดวก

  • That sounds great, but… 

ฟังดูดีนะ แต่ว่า…(ตามด้วยเหตุผล)

  • I wish I could come, but unfortunately… 

ฉันหวังว่าจะไปได้ แต่น่าเสียดายที่…(ตามด้วยเหตุผล)

  • I really appreciate the invitation, but… 

ฉันรู้สึกซาบซึ้งที่ได้รับคำเชิญนั้น แต่ว่า…(ตามด้วยเหตุผล)

  • I wish I could come, but unfortunately, I won’t be able to be there. Have a great party.

ฉันหวังว่าฉันจะไปได้ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถไปได้ ขอให้สนุกนะ

  • I’m honored that you would ask me, but my answer is no.

ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ ที่คุณเอ่ยปากชวน แต่ว่าฉันคงต้องขอปฏิเสธ

การพูดปฏิเสธกรณีที่มีคนต้องการเสนออะไรให้เรา แต่เราไม่ต้องการ

  • Thank you for the offer, but…

ขอบคุณสำหรับข้อเสนอ แต่ว่า…(ตามด้วยเหตุผล)

  • I appreciate the offer, but…

ฉันรู้สึกทราบซึ้งกับข้อเสนอ แต่ว่า…(ตามด้วยเหตุผล)

  • That would be great, but… 

มันก็จะดีมากเลยนะ แต่ว่า…(ตามด้วยเหตุผล)

  • Thank you for asking, but that isn’t going to work out for me. 

ขอบคุณที่ถามนะ แต่มันคงไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่

  • Thank you so much for your support. but I’m sorry I can’t accept your offer this time.

ขอบคุณมากที่คอยสนับสนุน แต่ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่สามารถรับข้อเสนอของคุณในครั้งนี้ได้

  • I appreciate you asking me, but I can’t do it.

ขอบคุณมากที่ถาม แต่ฉันไม่สะดวกทำจริง ๆ 

การพูดปฏิเสธกรณีที่มีคนขอร้องให้ช่วย แต่เราไม่สะดวก

  • I wish I could help you, but… 

ฉันหวังว่าฉันจะช่วยเธอได้ แต่…(ตามด้วยเหตุผล)

  •  I would love to help you, but…

ฉันอยากที่จะช่วยมาก ๆ เลย แต่…(ตามด้วยเหตุผล)

  • Unfortunately now is not a good time for me, I have to…

น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสะดวกของฉัน ฉันต้อง…

ประโยคตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นว่าเราจะไม่ปฏิเสธไปตรงๆ เนื่องจากอาจทำให้เกิดความข้องใจระหว่างกัน หรือเกิดความขุ่นเคืองในใจ เราอาจใช้การปฏิเสธแบบนุ่มนวลและตามด้วยเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องปฏิเสธ จึงจะเป็นวิธีปฏิเสธที่ดีกว่าการพูดว่า No เฉยๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ไม่เคยได้พัก! พบโจรไซเบอร์โจมตีธุรกิจแบบ ‘ออฟไลน์’ พุ่ง 15%

“แคสเปอร์สกี้” รายงานสถานการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์ในอาเซียน พบมีการโจมตีแบบออฟไลน์ที่พุ่งเป้าไปที่ธุรกิจต่างๆ เพิ่มขึ้น 15%

แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) รายงานว่า ทุกวันนี้องค์กรธุรกิจต่างๆ ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายออนไลน์มากขึ้น ทว่าในอีกทางหนึ่งส่งผลให้การโจมตีผ่านวิธีการ “ออฟไลน์” ได้รับความนิยมมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นภัยคุกคามที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแต่ก็อันตรายไม่แพ้กัน

ในปี 2024 ตรวจพบและป้องกันการโจมตีด้วยมัลแวร์บนอุปกรณ์ (on-device malware) มีเป้าหมายเป็นองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ได้เกือบ 50 ล้านครั้ง

ตัวเลขที่น่าตกใจนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต่าง ๆ จะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันการโจมตีจากไดรฟ์ยูเอสบีและอุปกรณ์แบบถอดออกได้

ภัยคุกคามบนอุปกรณ์แพร่กระจายโดยวิธีออฟไลน์ผ่านการใช้อุปกรณ์ทางกายภาพ เช่น ไดรฟ์ยูเอสบี ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก หรือสื่อแบบถอดได้อื่นๆ เพื่อส่งซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายไปยังระบบเป้าหมาย ซึ่งแตกต่างจากการโจมตีทางไซเบอร์แบบเดิมที่อาศัยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การโจมตีเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจที่ผู้ใช้มีต่ออุปกรณ์ทางกายภาพ

เซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2024 ผู้เชี่ยวชาญของเราได้ค้นพบกรณีที่น่ากังวล คือไดรฟ์ยูเอสบีซึ่งพัฒนาโดยหน่วยงานของรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับจัดเก็บและถ่ายโอนไฟล์อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ละเอียดอ่อนนั้นถูกบุกรุก

โค้ดที่เป็นอันตรายถูกแทรกเข้าไปในซอฟต์แวร์การจัดการการเข้าถึง ทำให้สามารถขโมยไฟล์ที่เป็นความลับจากพาร์ติชั่นที่ปลอดภัยของไดรฟ์ได้ นอกจากนี้ โค้ดดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นเวิร์มยูเอสบีโดยแพร่กระจายการติดเชื้อไปยังไดรฟ์อื่นๆ ที่มีประเภทเดียวกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงลักษณะที่ซับซ้อนของภัยคุกคามนี้

โดยรวมแล้ว โซลูชันของแคสเปอร์สกี้สำหรับธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถบล็อกภัยคุกคามบนอุปกรณ์หรือการโจมตีออฟไลน์รวม 49,234,759 รายการในช่วงเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับจำนวนเกือบ 43 ล้านครั้งในปี 2023

สิงคโปร์มีการโจมตีออฟไลน์เพิ่มขึ้นสูงสุดระหว่างปี 2023 ถึง 2024 (88%) รองลงมาคือมาเลเซีย (47%) เวียดนาม (25%) ไทย (20%) และฟิลิปปินส์ (16%) มีเพียงอินโดนีเซียเท่านั้นที่บันทึกการลดลงเล็กน้อยของภัยคุกคามบนอุปกรณ์คือลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

เราพบเหตุการณ์จริงเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ขั้นสูงที่ใช้ไดรฟ์ยูเอสบีและไดรฟ์แบบถอดได้ที่ดูไม่เป็นอันตรายเพื่อแพร่ระบาดไปทั่วทั้งบริษัท ในขณะที่การโจมตีด้วยมัลแวร์แบบออฟไลน์ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจและองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเฝ้าระวังและดำเนินการเชิงรุกด้านความปลอดภัยไซเบอร์ องค์กรต่างๆ สามารถป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นนี้ได้โดยการทำความเข้าใจความเสี่ยงและนำการป้องกันที่แข็งแกร่งมาใช้

นักวิจัยของแคสเปอร์สกี้แนะนำให้บุคคลและองค์กรต่างๆ ปฏิบัติดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีโดยใช้วิธีออฟไลน์

  • จัดการให้กับทีม SOC เข้าถึงข้อมูลภัยคุกคามล่าสุด
  • ยกระดับทักษะของทีมความปลอดภัยไซเบอร์
  • นำโซลูชันความปลอดภัยระดับองค์กรมาใช้ซึ่งจะตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงในระดับเครือข่ายได้ในระยะเริ่มต้น
  • ใช้โซลูชันแบบรวมศูนย์และอัตโนมัติเพื่อปกป้องทรัพย์สินทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม
  • ฝึกอบรมสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยและสอนทักษะในทางปฏิบัติให้กับทีม จากการโจมตีที่กำหนดเป้าหมายจำนวนมากเริ่มต้นด้วยการฟิชชิงหรือเทคนิคทางวิศวกรรมสังคมอื่นๆ
  • อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์โดยเร็วที่สุดและทำเป็นประจำ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ประโยชน์ของเม็ดบัว ที่ดีต่อสุขภาพ พร้อมข้อควรระวัง

ดอกบัว เป็นดอกไม้ที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน ดังจะเห็นได้จากการใช้ดอกบัวทั้งในงานมงคลและงานอวมงคล ตลอดจนการแปรูปส่วนต่างๆ ของบัวมาเป็นอาหารและใช้เพื่อสรรพคุณทางยา  รากบัวสามารถนำไปทำเป็นเครื่องดื่มและยาสมุนไพร ใบบัวก็นำมาใช้ประกอบอาหาร ใยของก้านบัวก็ยังนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างการทอผ้าใยบัว และไม่เว้นแม้แต่ เม็ดบัว ที่ก็เป็นหนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพ เรียกได้ว่า บัว เป็นดอกไม้ที่มีทั้งความงามและมากไปด้วยประโยชน์ใช้สอยอย่างแท้จริง บทความนี้ Hello คุณหมอ จึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับเม็ดบัวมาฝากกันค่ะ

คุณค่าทางสารอาหารของเม็ดบัว

เม็ดบัว หรือ เมล็ดบัว คือส่วนของเมล็ดที่อยู่ข้างในฝักของบัวหลวง จัดเป็นธัญพืชชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้ธัญพืชตระกูลถั่ว แต่ในขณะที่ธัญพืชประเภทถั่วอย่าง อัลมอนด์หรือพีแคน จะมีสารอาหารประเภทกรดไขมันดีอย่าง กรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูง เม็ดบัวกลับให้สารอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนมากกว่าสารอาหารจำพวกกรดไขมัน และมากไปกว่านั้นเม็ดบัวยังเป็นอาหารที่ให้แคลอรีต่ำ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรืออยู่ในช่วงที่ต้องควบคุมอาหาร

การกินเม็ดบัวสด (ไม่ผ่านการปรุงสุก) 1 ออนซ์ (หรือประมาณ 28 กรัม) จะได้รับคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้

  • พลังงาน 25.2 แคลอรี
  • โปรตีน 1.17 กรัม
  • ไขมัน 0.15 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 4.5 กรัม

นอกจากนี้ในเม็ดบัวยังอัดแน่นไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินเอ วิตามินอี ไฟเบอร์ แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี และเม็ดบัวยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน และมีสรรพคุณช่วยต้านการอักเสบได้อย่างดีอีกด้วย

โดยเม็ดบัวสามารถกินได้ทั้งแบบสด หรือนำไปผัดใส่ในอาหารเมนูต่างๆ รวมทั้งยังสามารถนำมาต้มทั้งแบบเป็นน้ำซุปหรือต้อมกินเป็นของหวานก็ได้เช่นกัน ซึ่งสูตรอาหารที่ใช้เม็ดบัวเป็นส่วนผสมนั้นมีอยู่มากมาย สามารถเลือกทำได้ตามความชอบ

ประโยชน์ของเม็ดบัว

  • ดีต่อการลดน้ำหนักเพราะเม็ดบัวเป็นธัญพืชที่ให้ไฟเบอร์สูง จึงช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานมากขึ้น ช่วยลดความอยากอาหารในมื้อต่อๆ ไปให้ลดลง ทำให้ไม่กินตามใจปากจนแคลอรีเกินพิกัด มากไปกว่านั้นเม็ดบัวยังจัดว่าเป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำ ซึ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการควบคุมปริมาณแคลอรีประจำวัน การกินเม็ดบัวเป็นของว่างจะช่วยให้รู้สึกอยู่ท้อง ไม่หิวบ่อย และไม่ทำให้แคลอรีพุ่งสูงด้วย
  • ต่อต้านริ้วรอยในเม็ดบัวมีเอนไซม์ที่มีประโยชน์ในการต่อต้านริ้วรอยแห่งวัยที่ชื่อว่า แอล-ไอโซแอสปาทิล เมทิลทรานสเฟอเรส (L-isoaspartyl methyltransferase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สรรพคุณในการรักษาและซ่อมแซมโปรตีนที่ถูกทำลาย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์เพื่อผิวพรรณจึงมีการใช้สารสกัดจากเม็ดบัวเพื่อสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณและริ้วรอย
  • ดีต่อสุขภาพหัวใจแมกนีเซียมที่อยู่ในเม็ดบัวเป็นสารอาหารที่ประโยชน์และช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพหัวใจ เพราะแมกนีเซียมจะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณของออกซิเจนและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและสารอาหาร ช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนไปยังหัวใจและส่วนต่างๆ ในร่างกายได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากร่างกายมีสารแมกนีเซียมในระดับที่ต่ำก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือด หรือโรคหัวใจ
  • ดีต่อผู้ป่วยเบาหวานผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นที่จะต้องมีการใส่ใจกับระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ หากระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอาจมีผลต่อสุขภาพได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวานคือต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เม็ดบัวมีแคลอรีต่ำและมีไฟเบอร์สูงจึงช่วยควบคุมให้ระดับของกลูโคสในเลือดอยู่ในระดับปกติ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง อีกด้วย
  • ช่วยป้องกันมะเร็งเม็ดบัวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์ ไทอามีน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ต้านการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย และยังมีส่วนช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเรื้อรังอย่างโรคมะเร็งด้วย
  • ช่วยให้หลับสบายเม็ดบัวมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย หากระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี ก็จะช่วยให้ร่างกายและสมองรู้สึกผ่อนคลาย ไม่กระสับกระส่าย สามารถนอนหลับได้ดีขึ้น ดังนั้น หากมีอาการนอนไม่หลับบ่อยๆ ลองรับประทานเม็ดบัวเป็นของว่างก่อนเข้านอน อาจช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้น

ข้อควรระวังในการบริโภคเม็ดบัว

แม้จะเต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ไม่ควรมองข้าม ดังนี้

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ธัญพืช หรือแพ้เม็ดบัว ที่ถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแพ้กำเริบ
  • แม้ว่าเม็ดบัวจะมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ แต่ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะและอยู่ระหว่างการรับประทานยาเพื่อป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรปรึกษากับคุณหมอก่อนรับประทานเม็ดบัว เพราะสารประกอบในเม็ดบัวอาจมีผลต่อปฏิกิริยาของยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/05/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,350.0052,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,391.0051,407.5653,250.00
ทองรูปพรรณ 90%3,051.9046,266.80n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,712.8041,126.05n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,526.0023,133.40n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,187.0017,992.65n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,514.0053,272.08n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/05/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4448.8449.8448.8441.44
เบนซิน 9541.1448.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า