ไซโน เร่งขยายคลัง Free Zone แหลมฉบัง ดันพื้นที่ทะลุ 3.3 หมื่น ตร.ม.

ไซโน โลจิสติกส์ เร่งขยายFree Zone แหลมฉบัง ปูพรมลงทุนคลังปลอดอากรใหม่รับดีมานด์ส่งออก – ยานยนต์ พร้อมเปิดไตรมาส 4 ปีนี้ ดันพื้นที่ทะลุ 3.3 หมื่น ตร.ม.
ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) ตอกย้ำบทบาทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร เดินหน้าขยายพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) เพิ่มอีกเกือบ 6,000 ตารางเมตร ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี หนุนดีมานด์จากลูกค้าเดิมในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมรองรับผู้เช่ารายใหม่ คาดเปิดดำเนินการภายในต.ค. 2568 และมั่นใจปล่อยเช่าครบพื้นที่ภายในปี 2569
“เรามองเห็นความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า-ส่งออกที่ต้องการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี” นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO
ปัจจุบันพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากรของ SINO มีอยู่กว่า 23,000 ตารางเมตร เมื่อรวมคลังหลังใหม่ พื้นที่รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 33,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นคลังสินค้าทั่วไป 10,000 ตารางเมตร และ คลัง Free Zone อีก 23,000 ตารางเมตร รองรับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในโครงสร้างรายได้ของบริษัท
ลูกค้าเดิมจองแล้ว 40% เจรจาเพิ่มอีก 8 ราย
อาคารคลังหลังใหม่ได้รับการตอบรับดีตั้งแต่ยังไม่เปิดดำเนินงาน โดยมีลูกค้าเดิมจากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์จองพื้นที่ไว้แล้วราว 40% และยังมีลูกค้ารายใหม่อีก 8 รายที่อยู่ระหว่างเจรจา SINO คาดว่าจะสามารถปล่อยเช่าเต็มพื้นที่ได้ภายในปี 2569
หนุนกลยุทธ์ One-Stop Logistics
การขยายคลังครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SINO ในการยกระดับสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร (Integrated Logistics) โดยเฉพาะการให้บริการพื้นที่จัดเก็บที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งเรือ รถ และราง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของแหลมฉบัง
“การที่ผู้ผลิตหลายรายย้ายฐานการผลิตมายังไทย เป็นโอกาสของธุรกิจคลังสินค้า ซึ่ง SINO พร้อมรองรับดีมานด์ที่กำลังจะตามมา”
SINO เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องในภาคตะวันออก รับอานิสงส์เศรษฐกิจฐานการผลิตที่ขยายตัว ทั้งจากนโยบายกระจายความเสี่ยงของซัพพลายเชน และความต้องการบริการคลังปลอดอากรที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และโลจิสติกส์สมัยใหม่
บริษัทตั้งเป้าขยายฐานรายได้กลุ่มบริการคลังและโลจิสติกส์ให้มีบทบาทเพิ่มขึ้นจากระดับ 5% ในปัจจุบัน พร้อมเร่งเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตระยะยาวใน EEC และตลาดโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เปิดตัว แอทโมซ แคนวาส ระยอง คอนโดใหม่ใจกลางเมือง ติดเซ็นทรัล

แอสเซทไวส์เผยโฉมโครงการล่าสุด “แอทโมซ แคนวาส ระยอง” คอนโดสไตล์รีสอร์ต พร้อมส่วนกลางกว่า 40 ฟังก์ชัน ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง – เปิดให้ชมจริงครั้งแรก 6 ก.ค.นี้
แอสเซทไวส์เตรียมเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบรีสอร์ตในเมืองอุตสาหกรรม ด้วยการเปิดชมส่วนกลางจริงครั้งแรกของโครงการใหม่ “Atmoz Canvas Rayong” วันที่ 6 ก.ค.นี้ โดดเด่นด้วยดีไซน์โมเดิร์นคลาสสิค และฟังก์ชันการใช้งานครบครัน บนทำเลศักยภาพใจกลางระยอง ห่างจากเซ็นทรัลเพียงไม่กี่ก้าว ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท
โครงการเป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 674 ยูนิต ภายใต้แนวคิด “Paint Your Livin’ – แต่งแต้มความสุขให้ชีวิต” ซึ่งเน้นการผสานงานศิลป์เข้ากับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างลงตัว ไม่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังออกแบบให้เป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ ผ่านส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3,000 ตารางเมตร ที่กระจายครบทุกอาคาร
มากกว่าที่อยู่อาศัย…คือพื้นที่ใช้ชีวิต
ภายในโครงการถูกจัดฟังก์ชันออกเป็น 4 โหมดหลัก ครอบคลุมการใช้ชีวิตอย่างรอบด้าน ได้แก่
- Work Mode: พื้นที่สำหรับการทำงานที่สงบและสร้างสรรค์
- Play & Social Mode: โซนกิจกรรมและพบปะ
- Relaxation Mode: พื้นที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ
- Active Mode: ฟิตเนสและสระว่ายน้ำแบบ Lap Pool ถึง 2 สระ
- นอกจากนี้ยังมีระบบ Smart Access และเทคโนโลยี IoT เสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายทุกการใช้ชีวิต
Atmoz Canvas Rayong ตั้งอยู่บนถนนทางหลวงหมายเลข 36 ซึ่งเชื่อมต่อเส้นทางหลักของภาคตะวันออก ใกล้นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น มาบตาพุด, IRPC และ WHA บ้านค่าย รวมถึงโรงพยาบาลและสถานศึกษาชั้นนำ เช่น รพ.ระยอง และโรงเรียนนานาชาติ SISB ทางแอสเซทไวส์จัดโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้จองในวันเปิดชมโครงการ 6 ก.ค.นี้ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมภายในงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 7ก.ค.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจถูกกดดันให้อ่อนค่าได้ในระยะสั้น หากทางการสหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทย กรอบในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 7ก.ค.2568 ที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.33-32.40 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน หรือ Sideways ของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ในเร็ววันนี้
หลังครบกำหนดพักมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 9 กรกฎาคม ทั้งนี้ เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ตามการทยอยปรับตัวลดลงของราคาทองคำเข้าใกล้โซนแนวรับระยะสั้นอีกครั้ง
สัปดาห์ที่ผ่านมา มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้น
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น การประกาศอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อบรรดาประเทศคู่ค้า หลังครบกำหนดการพักมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ซึ่งในสัปดาห์นี้ ทางการสหรัฐฯ อาจมีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่จะเรียกเก็บกับบรรดาประเทศคู่ค้า หลังครบกำหนด 90 วัน พักมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
ส่วนในฝั่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง (NFIB Small Business Optimism) เดือนมิถุนายน โดยเฉพาะในส่วนของแนวโน้มการจ้างงานในภาคธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากการจ้างงานส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ นั้นมาจากภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินภาวะและแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมถึงรอจับตา รายงานการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)
ในการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเริ่มกลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซน
อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนมิถุนายน และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากสหรัฐฯ ปรับเปลี่ยนอัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บกับสินค้าจากบรรดาประเทศในสหภาพยุโรป
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ตลอดทั้งสัปดาห์ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชีย
โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.60% และ 2.75% ตามลำดับ ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ทยอยกลับสู่เป้าหมายของธนาคารกลาง
ขณะที่ ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.25% และ 2.50% เพื่อรอประเมินสถานการณ์โดยเฉพาะนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งภายในสัปดาห์นี้ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ อาจทยอยประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่จะเรียกเก็บจากบรรดาประเทศคู่ค้า หลังครบกำหนดพักมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองไทย ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ หรือ การยุบสภา เพื่อเลือกตั้งในช่วงปลายปี
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น แนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และการประกาศอัตราภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังครบกำหนดพักมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนมิถุนายน
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ชะลอลง เปิดโอกาสให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ ซึ่งเรามองว่า ในระยะสั้น เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลง หากทางการสหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทย จากระดับปัจจุบันที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 10% (Universal Tariffs)
เรามองว่า ทางการสหรัฐฯ อาจเลือกที่จะประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ในลักษณะ 10%, 20% (เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากเวียดนามล่าสุด) และ 30% (ซึ่งเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากจีน) และหากประเมินจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามล่าสุด
เรามองว่า สินค้าไทยก็เสี่ยงเผชิญอัตราภาษีนำเข้าในระดับ 20% เช่นกัน (30%-40% สำหรับสินค้าเสี่ยงมีการสวมสิทธิ์ หรือ Transshipment) ซึ่งหากเทียบเคียงกับช่วงสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ไทยเผชิญอัตราภาษีที่สูงถึง 36%
กดดันให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงในช่วง 2%-3% ภายในระยะสั้น ทำให้ เรามองว่า หากไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่สูงเกิน 10% ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก แม้อาจไม่ได้อ่อนค่าหนักเท่ากับช่วงการประกาศ Reciprocal Tariffs ก็ตาม
อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ในกรณีที่ตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
โดยเงินบาท (USDTHB) ยังมีโซนแนวต้านแถว 32.65-32.75 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวรับจะอยู่แถว 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้ หนุนโดยการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ที่อาจเผชิญการเรียกเก็บภาษีนำเข้าใหม่ในอัตราที่สูงขึ้นจาก Universal Tariffs 10% ทั้งนี้ ทิศทางเงินดอลลาร์จะยังคงขึ้นกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและประเด็นเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ไตเติ้ล-เจน” คว้าแชมป์ซูเปอร์ 300 แรกในชีวิต “อันนา-มูนา” ซิว 2 รายการติด แบดมินตันแคนาดา โอเพ่น 2025

รุษฐนภัค-เฌอย์ณิชา คว้าแชมป์ โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น 2025 ปลดล็อกแชมป์เวิลด์ทัวร์ระดับ ซูเปอร์ 300 ครั้งแรก ขณะที่ อันนา-มูนา ฟอร์มแรงต่อเนื่อง ซิวแชมป์ที่สองติด ต่อจาก ยูเอส โอเพ่น สัปดาห์ก่อน
การแข่งขันแบดมินตันรายการ โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น 2025 รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.92 ล้านบาท) ที่เมือง มาร์คแฮม ประเทศ แคนาดา เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2568 เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งมีนักกีฬาไทยผ่านเข้าสู่รอบชิง 2 คู่
ประเภทคู่ผสม:
“ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ (มือ 16 โลก) พบกับ เพลสลี่ย์ สมิธ และ เจนนี่ ไก จากสหรัฐอเมริกา (มือ 34 โลก)
เกมแรก ไตเติ้ล-เจน เปิดเกมบุกและเดินแต้มหนีห่างจนเอาชนะ 21-14 ส่วนเกมสองแม้คู่สหรัฐฯ จะฮึดขึ้นนำช่วงพักครึ่ง แต่ไตเติ้ล-เจน เร่งเครื่องกลับมาปิดแมตช์ได้ที่ 21-17 คว้าแชมป์ไปแบบสุดยอด 2-0 เกม
นับเป็นแชมป์เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 รายการแรกของทั้งคู่ และเป็นแชมป์เวิลด์ทัวร์รายการที่ 2 ต่อจาก เกาสง มาสเตอร์ 2024 (ซูเปอร์ 100) ที่ไต้หวัน โดยได้รับเงินรางวัลรวม 18,960 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 616,200 บาท)
ขณะที่คู่รองแชมป์จากสหรัฐฯ ได้รับเงิน 9,120 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 296,400 บาท)
ประเภทหญิงคู่:
“อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ (มือ 17 โลก) ดวลกับ คาโฮ โอซาวะ กับ ไม ทานาเบะ จากญี่ปุ่น (มือ 100 โลก)
เกมแรกสาวไทยบุกต่อเนื่องชนะ 21-12 ส่วนเกมสองแม้จะสูสีในช่วงปลายแต่ อันนา-มูนา ปิดแมตช์ได้ที่ 21-18 คว้าแชมป์ไปแบบไม่เสียเซต
นี่คือแชมป์รายการที่ 2 ติดต่อกันของทั้งคู่ หลังเพิ่งคว้าแชมป์ โยเน็กซ์ ยูเอส โอเพ่น 2025 เมื่อสัปดาห์ก่อน และเป็นแชมป์เวิลด์ทัวร์รายการที่ 7 ในชีวิต พร้อมรับเงินรางวัล 18,960 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 616,200 บาท)
ผลงานสุดร้อนแรงของทั้งสองคู่นี้สะท้อนถึงการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง ภายใต้การดูแลของ “โค้ชส้ม” สราลีย์ ทุ่งทองคำ แม้จะมีช่วงฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่สามารถคืนฟอร์มระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับโปรแกรมลงสนามแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ต่อไปของทัพนักแบดมินตันไทยนำทีมโดย “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ , “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ,”หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ ,”เม” ศุภนิดา เกตุทอง , คู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน จะพาเหรดเดินทางไปร่วมชิงชัยในศึกใหญ่ “ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2025” รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 950,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,400,000 บาท ระหว่างวันที่ 15-20 ก.ค. 68 ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
โปรแกรมต่อไปของทีมแบดมินตันไทย:
นักกีฬาไทยนำโดย “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์, “เมย์” รัชนก อินทนนท์, “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์, “เม” ศุภนิดา เกตุทอง และคู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน เตรียมลุยศึกใหญ่ ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 950,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30.4 ล้านบาท) ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 15–20 กรกฎาคม 2568
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ภัยมิจฉาชีพออนไลน์พุ่ง! เฉลี่ยคนไทยถูกหลอกวันละกว่า 3,000 เคส

อาชญากรรมไซเบอร์พุ่งไม่หยุด มิจฉาชีพเปลี่ยนกลยุทธ์หลอกลงทุน หลอกโอนเงิน ขู่ผ่านโทรศัพท์ เฉลี่ยพบการแข้งความเสียหายกว่า 3,000 ครั้งต่อวัน
แมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน Whoscall เผยว่า ปัจจุบันปัญหามิจฉาชีพออนไลน์ยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) ซึ่งระบุว่า
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 27 มิถุนายน 2568 มีผู้เสียหายโทรแจ้งเหตุผ่านศูนย์รวมกว่า 1.85 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยมากกว่า 3,000 ครั้งต่อวัน
สามารถ อายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพได้แล้วกว่า 739,000 บัญชี ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่กำลังลุกลามในสังคมไทยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
พบด้วยว่า ภัยคุกคามออนไลน์มีพัฒนาการและวิธีการหลอกลวงที่ซับซ้อนมากขึ้น ที่ได้รับความนิยมอาทิ
- การหลอกให้ลงทุนผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Messenger และ LINE
- การหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล
- การข่มขู่ทางโทรศัพท์จนผู้รับสายเกิดความกลัวและยอมโอนเงิน
- การหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษหรือรายได้เสริม
จากข้อมูลในช่วงเดียวกัน พบว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นสูงถึงกว่า 21,849,222 บาท สถานการณ์เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ประชาชนรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ล่าสุด Whoscall ยกระดับมาตรการป้องกันภัยมิจฉาชีพในโลกดิจิทัล ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด “SOS ขอความช่วยเหลือ” ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างครอบคลุมและทันท่วงที สามารถช่วยเหลือผู้ใช้งานที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน ผ่านขั้นตอนสำคัญต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนในแอปเดียว
ครอบคลุม 2 ขั้นตอนหลักในการจัดการสถานการณ์เมื่อผู้ใช้งานตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ ได้แก่ การติดต่อธนาคารเพื่ออายัดบัญชี และ การแจ้งความออนไลน์หรือติดต่อศูนย์ AOC (สายด่วน 1441)
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
วลีภาษาอังกฤษ ที่พบบ่อย หนุ่มสาววัยทำงานไม่รู้มี Out!

ในปัจจุบันภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานมากขึ้น ในเฉพาะที่ทำงานที่เราจำเป็นต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน หรือ ลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ นอกจากประโยคพื้นฐานแล้ว การรู้จัก วลีภาษาอังกฤษ ก็สามารถทำให้เราดูเป็นมือโปรมากขึ้น และทำให้พูดคุยดูมีระดับ เป็นธรรมชาติมากขึ้น เพื่อการนี้เราเลยอยากมาแชร์ วลีภาษาอังกฤษ 20 คำที่ใช้บ่อย ที่หนุ่มสาวออฟฟิศต้องรู้ ใคร ๆ ที่กำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ก็สามารถจำนำไปใช้ได้
ความสำคัญของการรู้คำวลีในที่ทำงาน
ความสำคัญของภาษาอังกฤษในที่ทำงานไม่ได้มีแค่การพูดให้ถูกหลักไวยากรณ์และคำศัพท์ แต่ยังรวมถึงการรู้คำวลีที่พบบ่อยในที่ทำงาน เราที่ เรียนภาษาอังกฤษ มาก็สามารถนำไปปรับใช้กับเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวต่างชาติได้ หรือ แม้แต่คนในองค์กรที่นิยมสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ เพราะการใช้วลีสำหรับเจ้าของภาษาคือความเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างลึกซึ้ง และช่วยให้มีสกิลพูดที่มีชั้นเชิงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การสปีคในออฟฟิศ ไม่มีเอ้าท์ ใช้ได้ตลอด
20 คำ วลีภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในการสื่อสารเพื่อการทำงาน
- Call it a day = ขอเรียกว่าวัน
พอแค่นี้ก่อน หรือ เลิกงานและกลับบ้าน (หยุดทำสิ่งทีทำอยู่ ไว้กลับมาทำใหม่)
- Learn the ropes = เรียนรู้เชือก
เรียนรู้งานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ หรือ เรียนรู้วิธีทำ (บางสิ่ง)
- Think outside the box = คิดนอกกล่อง
คิดนอกกรอบ ออกจากกรอบเพื่อริเริ่มความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากสิ่งเดิม
- Cut corners = ตัดมุมทิ้ง
ทำสิ่งที่ง่ายที่สุด ลดความซับซ้อนเพื่อให้เสร็จเร็วที่สุด (ทำแบบขอไปที)
- Climb the career ladder = ปีนบันไดอาชีพ
การพยายามขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่า ก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ
- Get your feet under the table = วางเท้าไว้ใต้โต๊ะ
คงความรู้สึกมั่นใจในการงาน หรือ สถานการณ์ใหม่ ๆ เอาไว้
- Work your fingers to the bone = ปั่นงานจนนิ้วหงิกไปถึงกระดูก
ทำงานหนักมากกว่าปกติ หรือ ทำงานตัวเป็นเกลียว
- A win-win situation = สถานการณ์ที่ชนะกันทั้งสองฝ่าย
สถานการณ์ที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
- Sleep on it = นอนทับมันไปก่อน
ขอเก็บไปคิด พิจารณาก่อน
- Hot potato = มันฝรั่งร้อนกรุ่น
ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยากจะจัดการ
- Cut to the chase = ตัดเข้าฉากไล่ล่า
เข้าประเด็น ตัดเข้าใจความสำคัญโดยเน้นเนื้อหา ไม่เน้นอารัมภบท
โดยมีต้นกำเนิดมาจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เพื่อดึงความสนใจจากผู้ชม
- Cool as a cucumber = เย็นเหมือนแตงกวา
เป็นคนใจเย็น มีสติ ประครองสติต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เหมือนแตงกวาที่เป็นผักฤทธิ์เย็น
- Go back to the drawing board ️= กลับไปที่กระดานวาดภาพ
เริ่มต้นใหม่อีกครั้งหลังจากที่แผนหรือแนวคิดไม่สำเร็จ หรือ ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ (เปรียบเหมือนกับไปร่างภาพใหม่อีกครั้ง)
- Kill two birds with one stone = ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว (ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว)
การลงมือทำอะไรเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับผลประโยชน์สองอย่าง
- In the same boat = ลงเรือลำเดียวกัน
อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือ กำลังเจอปัญหาเดียวกัน
- Read between the lines = อ่านระหว่างบรรทัด
คำพูด หรือ ลายลักษณ์อักษรทางอ้อมที่ไม่ได้พูด หรือ สื่อออกมาโดยตรง
- Go the extra mile = ไปได้ไกลกว่าที่คิด
ทำเต็มที่ ทุ่มสุดตัวจนเป็นที่น่าพอใจ
- Pull the plug = ดึงปลั๊กออก
หยุดทำทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ตอนนั้นในทันที
- Hit the nail on the head = ตอกตะปูลงหัวพอดี
พูดได้ตรงประเด็น ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม
- From the ground up = จากพื้นดิน… สู่
= จากเริ่มต้นจาก 0 จนจบ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยปัจจัยเสี่ยงผู้หญิงไทย “ป่วยมะเร็งปอด” top 2 ของโลก

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยคนไทยป่วยมะเร็วปอดวันละ 57 ราย พบมากไทยมีผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ติดอันดับ 2 ของโลก จี้รัฐเร่งผลักดันนโยบายให้ครอบคลุม ตรวคัดกรองโรคให้ผู้ป่วยทุกคนเข้าถึงการรักษา
เรืออากาศเอกนายแพทย์สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์เร่งด่วนของโรคมะเร็งปอดในประเทศไทย บนเวทีเสวนาที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก โดยอ้างอิงข้อมูลระหว่างปี 2562 – 2564 ชี้ให้เห็นว่า มะเร็งปอดยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในผู้ป่วยมะเร็ง และคาดการณ์ว่าในปี 2568 นี้ จะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดสูงถึง 41 คนต่อวัน และมีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 57 ราย
สถานการณ์ดังกล่าวได้ผลักดันให้ภาครัฐ สมาคมแพทย์ และภาคีด้านสุขภาพ ต้องผนึกกำลังกันอย่างจริงจัง เพื่อเร่งผลักดันกลไกนโยบายในการเพิ่มการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาและการคัดกรองให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ศ.ดร.นพ. ศรายุทธ ลูเซียน กีเตอร์ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมะเร็งปอดพบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้ชาย และอันดับ 4 ในผู้หญิง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบโรคในระยะลุกลาม (ระยะที่ 4) ซึ่งทำให้โอกาสหายขาดลดลง และต้องเข้าสู่การรักษาแบบประคับประคอง
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งปอด
- การสูบบุหรี่
- มลพิษทางอากาศ (PM2.5)
- พันธุกรรม
โดยผู้ป่วยมะเร็งปอดมีแนวโน้มพบได้ในผู้ป่วยอายุน้อยลงเรื่อย ๆ และประเทศไทยยังมีผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งปอดสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
ในบางประเทศมีแนวทางคัดกรองกลุ่มผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธุกรรม แต่เกิดจากการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน สะท้อนว่าแนวทางการคัดกรองจำเป็นต้องปรับให้สอดคล้องกับบริบทและข้อมูลเชิงพื้นที่

ปัจจุบันความก้าวหน้าในการรักษามะเร็งปอดมีความก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง การฉายรังสีแบบแม่นยำ และการใช้ยามุ่งเป้า แต่การเข้าถึงนวัตกรรมเหล่านี้ยังคงมีข้อจำกัด สำหรับระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทย
ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนเกณฑ์ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness Threshold) ที่ใช้พิจารณายาและนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคที่มีความรุนแรงสูง เช่น มะเร็งปอด ซึ่งการพิจารณาปรับเกณฑ์นี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยังรักษาความสมดุลของงบประมาณระบบสุขภาพโดยรวม
นงานเสวนาวันงดสูบบุหรี่โลก ยังมีการเสนอแนวทางบริหารจัดการ เช่น การจัดซื้อรวม การตั้งงบประมาณเฉพาะด้าน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยานวัตกรรม ซึ่งจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินการรักษาได้โดยไม่เพิ่มภาระทางการเงิน
การส่งเสริมให้เกิด ‘Stage Shift’ หรือการตรวจพบโรคในระยะแรกเริ่ม แทนระยะลุกลาม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาหาย ลดต้นทุนในระยะยาว และทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มุ่งสู่ระบบสุขภาพที่ครอบคลุมและยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดของการคัดกรองคือ ‘Stage Shift’ หรือการย้ายระยะของโรค หากการคัดกรองจะทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกตรวจพบในระยะที่ 1 แทนที่จะเป็นระยะที่ 4 สามารถเปลี่ยน ‘Mode of Death’ หรือวิธีการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากมะเร็งปอดไปเป็นการเสียชีวิตตามวัยชราภาพได้
ด้าน นพ. จักรกริช โง้วศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด เป็นค่าใช้จ่ายสำคัญของระบบสุขภาพ ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ชัดเจน เช่น อัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น หรือภาวะแทรกซ้อนที่ลดลง
ทั้งนี้ ภาครัฐไม่ได้เน้นเฉพาะการรักษาเมื่อป่วย แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการคัดกรองระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในภาพรวมได้ในระยะยาว
การแก้ปัญหามะเร็งปอดอย่างยั่งยืน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการกำหนดแนวทางที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน ทั้งในด้านการเข้าถึงนวัตกรรม เทคโนโลยี และการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สุขภาพอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
รู้จักสรรพคุณ “บัว” สมุนไพรมหัศจรรย์ มีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่ดอกยันราก

รู้จักสรรพคุณ “บัว” สมุนไพรมหัศจรรย์ ตามตำราแพทย์ไทย จีน อินเดีย ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่ดอกยันราก
ดอกบัว เป็นดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยมาช้านาน มีชื่ออื่นๆ มากมาย เช่น โกกระณต บัว บัวอุบล บัวฉัตรขาว บัวฉัตรชมพู บัวฉัตรสีชมพู บุณฑริก ปุณฑริก ปทุม ปัทมา สัตตบงกช สัตตบุษย์ เป็นต้น
โดยดอกบัวมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งยังได้รับความนิยมในการนำไปบูชาพระมากกว่าดอกไม้ชนิดอื่น เพราะสามารถคงความงามไว้ได้นาน
นอกจากความสวยงามแล้ว บัวยังถือเป็นสมุนไพรที่เปี่ยมด้วยคุณค่า ทั้งในด้านโภชนาการและการแพทย์แผนไทย จีน รวมถึงอินเดีย โดยทุกส่วนของบัว ตั้งแต่กลีบ เกสร ใบ สายบัว ไหลบัว เมล็ด ดีบัว และราก ต่างก็มีสรรพคุณเฉพาะตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

กลีบบัว
- บำรุงหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด
- ช่วยให้ผ่อนคลาย หลับสบาย เมื่อดื่มในรูปแบบชาสมุนไพร
- ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์จากความเสื่อม
- บำรุงสมอง ป้องกันภาวะสมองเสื่อม
- ลดไข้ แก้ร้อนใน กลีบบัวมีรสหอมเย็น
- ประกอบอาหาร เช่น เมี่ยงกลีบบัว ยำดอกไม้ กลีบบัวทอด
- ใช้ในยาไทย เช่น ยาหอม ยาแก้เวียนศีรษะ
- ใช้ในเครื่องสำอาง ช่วยบำรุงผิวจากสารสกัดเกสรบัว

เกสรบัว
- บำรุงหัวใจ ทำเป็นยาหอม บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด สงบประสาท
- ขับเสมหะ
- ตำราจีน ใช้แก้ปัสสาวะบ่อย แก้ตกขาว ประจำเดือนผิดปกติ และท้องเสีย
ใบบัว
- ใช้ห่ออาหาร เช่น ข้าวห่อใบบัว
- ใบแก่ ช่วยบำรุงโลหิต แก้ไข้ และแก้ริดสีดวงจมูก
- ใบอ่อนกินสด แกล้มน้ำพริก หรือชงแทนน้ำชา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้น
สายบัว (ก้านดอกบัว)
- ประกอบอาหาร เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ มีรสชาติดี
- ลดอาการเกร็งลำไส้
- บรรเทาท้องผูก
- ขับปัสสาวะ ดับพิษร้อน
- คลายเครียด บำรุงเลือด หัวใจ และกระดูกฟัน
- ช่วยให้นอนหลับสบาย
- ต้านมะเร็ง
ไหลบัว หรือ หลดบัว
- มีเส้นใยอาหารสูง
- บำรุงหัวใจ
- แก้อ่อนเพลีย แก้ท้องผูก แก้กระหาย
- บำรุงปอด
- ลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด
เมล็ดบัว (เม็ดบัว)
- ธัญพืชพลังงานต่ำ อุดมโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก ไฟเบอร์สูง อยู่ท้อง
- ชะลอวัย มีเอนไซม์ที่ซ่อมแซมโปรตีนและกระตุ้นคอลลาเจน
- ดีต่อหัวใจ เพราะแมกนีเซียมช่วยการไหลเวียนเลือด
- ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถบริโภคได้เพราะแคลอรีต่ำ
- ต้านมะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
ข้อควรระวัง:
- ผู้แพ้ธัญพืชหรือเม็ดบัวควรหลีกเลี่ยง
- ผู้มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคเม็ดบัว
ดีบัว (จุดอ่อนกลางเมล็ดบัว)
- บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ช่วยขยายหลอดเลือด
- ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับ
- บำรุงสายตา ปอด และไต
- ลดกระหายหลังอาเจียนเป็นเลือด
รากบัว
- ให้คาร์โบไฮเดรตและใยอาหาร ไม่มีไขมัน
- GI ต่ำ เหมาะกับผู้ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล
- อุดมด้วยโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส
- ส่งเสริมการขับถ่าย บำรุงหัวใจ
- ดีต่อสตรีมีครรภ์ เพราะมีโฟเลตและโคลีน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,950.00 | 51,050.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,294.00 | 49,937.04 | 51,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,964.60 | 44,943.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,635.20 | 39,949.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,482.30 | 22,471.67 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,152.90 | 17,477.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,413.47 | 51,748.21 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |