อสังหาฯ ภูเก็ตร้อนระอุ!คอนโดทะลักหวั่นโอเวอร์ซัพพลาย

คลื่นลงทุน-ท่องเที่ยว ดันอสังหาฯ ภูเก็ตระอุ!คอนโดทะลักหวั่นโอเวอร์ซัพพลายหลังกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ของผู้ประกอบการอสังหาฯแห่ทำตลาดที่อยู่อาศัยรองรับต่างชาติ
เมื่อ “ภูเก็ต” ไม่ได้เป็นแค่จุดหมายของนักท่องเที่ยวแต่กำลังกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ของตลาดที่อยู่อาศัยระดับประเทศ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนชัดจากตัวเลขก็คือ “ดีมานด์” และ “ซัพพลาย” ของอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต กำลังวิ่งแข่งกันอย่างรุนแรงทุกค่ายต่างเร่งเครื่อง ในจังหวะที่โลกกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด และไทยกลับมาเป็น Top of Mind ของนักลงทุนและผู้ซื้อจากต่างชาติอีกครั้ง
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในภูเก็ตพุ่งสูงถึง 10,613 หน่วย เพิ่มขึ้นกว่า 79.5% YoY และยังมียอดขายใหม่ถึง 7,468 หน่วย เพิ่มขึ้นถึง 72.1% นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขของการฟื้นตัว แต่คือสัญญาณของ “การเร่งเปิดโครงการเพื่อรองรับตลาดนักลงทุนและกลุ่มต่างชาติ” อย่างชัดเจนที่น่าสนใจคือ โครงการ คอนโดมิเนียม ครองส่วนแบ่งตลาดด้วยจำนวน 15,511 หน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 126,622 ล้านบาท หรือคิดเป็น กว่า 91% ของมูลค่าที่อยู่อาศัยทั้งหมดในจังหวัดภูเก็ต ขณะที่บ้านจัดสรรมีเพียง 2,116 หน่วยเท่านั้น
หาดบางเทา-สุรินทร์ New Capital
จากการสำรวจ 5 ทำเลที่ขายได้ดีที่สุด พบว่า “หาดบางเทา-หาดสุรินทร์” มาแรงอันดับ 1 ด้วยยอดขาย 3,428 หน่วย มูลค่าเกือบ 4 หมื่นล้านบาท และยังขึ้นแท่นอันดับ 1 ของทำเลที่มี สต๊อกเหลือขายสูงสุดที่ 4,466 หน่วย ด้วย ทำไมโซนนี้จึงเป็นที่สนใจ? คำตอบคือ เป็นทำเลที่รวมเอา “ไลฟ์สไตล์ระดับโลก” ไมว่าะเป็นโรงแรมหรู วิลล่าระดับพรีเมียม และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ เช่น สนามกอล์ฟ บีชคลับ หรือโรงเรียนนานาชาติ ทำให้กลุ่มซื้อเพื่ออยู่เองและเพื่อปล่อยเช่ามารวมตัวกันที่นี่อย่างหนาแน่น

ราไวย์-กะตะ ทำเลใหม่ที่น่าจับตา
แม้จะเป็นโซนที่เคยเงียบ แต่ตอนนี้ ราไวย์และกะตะ กลายเป็นทำเลที่น่าจับตา โดย ราไวย์ มียอดขายใหม่ 790 หน่วย มูลค่า 5,611 ล้านบาท ขณะที่กะตะ-กะรน ก็ไม่แพ้กัน ด้วยยอดขาย 707 หน่วย มูลค่ากว่า 4,300 ล้านบาททั้งสองโซนกำลังได้อานิสงส์จากความนิยมของวิลล่าและโครงการใกล้ชายหาดที่ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้เกษียณจากยุโรปที่ย้ายฐานมาพำนักในไทย
ตลาดแข่งเดือดหวั่นโอเวอร์ซัพพลาย
แม้ตลาดจะดูดี แต่ก็ยังมี “โจทย์” ให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องตีให้แตก เพราะตัวเลข ที่อยู่อาศัยเหลือขาย 10,159 หน่วย มูลค่า 77,078 ล้านบาท นั้น เตือนว่า “ซัพพลาย” กำลังเร่งแซง “ดีมานด์” ได้ง่าย ๆ ถ้าขาดการวางแผน ขณะที่ตลาดบางเทา-สุรินทร์ แม้ยอดขายจะแรง แต่หากซัพพลายยังเพิ่มขึ้นเร็วโดยไม่มีแรงดูดซับเพียงพอ อาจเข้าสู่จุด “โอเวอร์ซัพพลาย” ! ด้วยภาพรวมนี้ ชัดเจนว่า “ภูเก็ต” ไม่ได้เป็นแค่แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก แต่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตาในเอเชีย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯรับมือปัจจัยลบทุบตลาด! หั่นราคา อัดส่วนลด เร่งระบายสต็อก

อสังหาฯ พลิกกลยุทธ์รับมือปัจจัยลบทุบตลาด! หั่นราคา อัดส่วนลด เร่งระบายสต็อกรับมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง ปลดล็อกมาตรการควบคุมสินเชื่อแอลทีวี
สัญญาณชะลอตัวภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สุญญากาศเชิงนโยบาย กดทับอารมณ์ซื้อ หลายโครงการเริ่มเกิดอาการ “หน่วง” แม้ขณะนี้จะมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง เหลือเพียง 0.01% ตั้งแต่ 22 เม.ย.-30 มิ.ย.2569 ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปลดล็อกมาตรการควบคุมสินเชื่อแอลทีวี (LTV : Loan-to-Value) เกณฑ์สำคัญในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือ 3 มีผลเมื่อ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา เสมือนเติมออกซิเจนให้ตลาดที่กำลังขาดอากาศหายใจ
ณัฐกิตติ์ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดและนวัตกรรม บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมมีทิศทางดีขึ้น ขณะที่บ้าน “ชะลอตัว” แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมได้รับผลกระทบเชิงจิตวิทยาพอสมควร
“ช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังสถานการณ์คลี่คลาย แต่ความเชื่อมั่นและความมั่นใจลูกค้ายังไม่ฟื้นกลับมาเหมือนเดิม เพราะยังมีความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ และการปรับลดเกรดความน่าเชื่อถือของบริษัทหลายแห่งทำให้เกิด Rejection สินเชื่อบ้านราคา 10 ล้านบาทมากกว่า 10%”
สังเกตได้จากจำนวนคนเข้ามาเยี่ยมโครงการ “ลดลง” จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในห้างสรรพสินค้า ล่าสุดแคมเปญใหญ่ SC DAYs โปรแรง แซงแดด ดีลแรงสุดแห่งปี วันที่ 16-21 พ.ค. ที่สยามพารากอน รับมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ที่ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยในราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท เหลือ 0.01% จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่กำลังมองหาบ้านและคอนโดมิเนียม คาดทำยอดขายได้ 1,500 ล้านบาท
แคมเปญ “SC DAYs” รวมที่อยู่อาศัยมากกว่า 81 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม พร้อมโปรโมชันแรง “ลดแลกแจกแถม” ดีลพิเศษในงาน ตั้งเป้าหมายยอดขาย 1,500 ล้านบาท คาดโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้งหมดภายในเดือน มิ.ย.
“เราเน้นโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าเร่งโอน โดยเฉพาะโปรแรงแซงแดด ฟรีส่วนกลางสูงสุด 10 ปี ช่วยจ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 5 ปีแรก ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน ลุ้นชอปปิงฟรีสยามพารากอน 1 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนยอดรับรู้รายได้ไตรมาส 2 ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสต็อก มูลค่ารวม 60,000 ล้านบาท”
ขณะที่กนกอร หลิมกำเนิด หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวสูง กล่าวเสริมว่า คอนโดมิเนียม ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ราว 17,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2568-2570 และไตรมาส 3 จะเปิดตัวโครงการโคบบ์ ลาดพร้าว-สุทธิสาร คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ มูลค่า 1,800 มูลค่า ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแหลือง ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท
มงกุฎ เตโชฬาร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ เผยว่า แนวโน้มไตรมาส 3-4 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ “ชะลอตัว” การแข่งขันรุนแรงถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเป้าหมายยอดรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ 23,000 ล้านบาท เป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์แนวราบอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท จากปัจจุบันซึ่งบริษัทมียอดขายแนวราบกว่า 6,000 ล้านบาท
ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายในส่วนของแนวราบได้ถึง 1,900 ล้านบาท เป็นผลมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการ LTV และการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง ส่งผลบวกกับตลาดอสังหาฯค่อนข้างมาก จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขาย โครงการแนวราบได้ 26,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวแนวราบรวม 12 โครงการ มูลค่ารวม 18,830 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 2 มีแผนเปิดตัว 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,460 ล้านบาท ปลายเดือนพ.ค. จะเปิด 2 โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 203 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท และบางกอก บูเลอวาร์ด บรมฯ-สาย 4 บ้านหรู 95 ยูนิต เริ่มต้น 10.9 ล้านบาท
อีก 2 โครงการ จะเปิดขายในเดือนมิ.ย. ได้แก่ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ วิลล่าหรู 3 ชั้น ซีรีย์ใหม่ 38 ยูนิต ราคา 30-60 ล้านบาท และ แมทเทอร์ งามวงศ์วาน ทาวน์โฮม 3 ชั้นแบรนด์ใหม่สไตล์โมเดิร์น 44 ยูนิต ราคากว่า 5 ล้านบาท
รับอานิสงส์ดอกเบี้ยนโยบายลง
พชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี ถือเป็นหนึ่งในข่าวดีกับทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการ จากก่อนหน้านี้ ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กู้ได้เต็ม 100% และภาครัฐออกมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นตลาด
จับกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่และลงทุน
โดยแอสเซทไวส์ ได้จัดแคมเปญมอบส่วนลด พร้อมช่วยลดภาระการผ่อนชำระนาน 2 ปี ช่วยให้คนไทยเข้าถึงโครงการคอนโดมิเนียมได้ง่ายขึ้น ผ่านแคมเปญ “AssetWise พร้อม Move พร้อม Match” นำแบรนด์ Kave แคมปัสคอนโดสำหรับคนรุ่นใหม่ใกล้มหาวิทยาลัย แบรนด์ Atmoz คอนโดสไตล์รีสอร์ท และแบรนด์ Modiz คอนโดสไตล์โมเดิร์นใกล้รถไฟฟ้า รวม 18 โครงการ ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่อีอีซี โดยให้ส่วนลดสูงสุด 1.5 ล้านบาท ผ่อนนาน 2 ปี เป็นต้น สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุน แอสเซทไวส์ มีบริการฝากขาย ฝากเช่าผ่าน Asset A Plus ช่วยจับคู่นักลงทุนและผู้ที่ต้องการเช่าคอนโดมิเนียมในหลากหลายทำเล
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้8พ.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่าลงยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ส่วนเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบ Sideways หรือแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จากทั้งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึง ธีมเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8 พ.ค.2568ที่ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง หลังจากที่ทยอยอ่อนค่าในช่วงคืนที่ผ่านมา หากราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาท อาจชะลอลงแถวโซนแนวรับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบ Sideways หรือแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จากทั้งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน
รวมถึง ธีมเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย (Higher for Longer) ที่อาจเริ่มกลับเข้ามา ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรและลดสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง)
ทว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็จะเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ทั้ง Soft & Hard Data) ที่ออกมาสดใสและดีกว่าคาด นอกจากนี้ เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ
อนึ่ง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและการตอบรับต่อการเปิดกอง Thai ESGX อาจช่วยหนุนเงินบาทบ้าง ผ่านแรงซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า แรงซื้อบอนด์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงบ้าง และมีโอกาสที่จะเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรสถานะถือครองบอนด์ รวมถึงสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ออกมาบ้าง
โดยรวมเราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านจะยังอยู่แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับอาจขยับขึ้นมาบ้างสู่ระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.50 บาทต่อดอลลาร์)
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.75-33.00 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.66-32.93 บาทต่อดอลลาร์) ตามการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด และ
ประเมินความเสี่ยงของการเกิดภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัว ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง) เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันประธานเฟด Jerome Powell ก็ย้ำจุดยืน Wait and See ไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ให้ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ท่ามกลางความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ซึ่งทั้งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและแนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดหวัง ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังราคาทองคำก็สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นใกล้ระดับก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด ในช่วงเช้าของวันนี้
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากความหวังว่า ทางการสหรัฐฯ อาจผ่อนปรนมาตรการ ควบคุมการส่งออก Semiconductor ส่งผลให้บรรดาหุ้นในธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวสูงขึ้น อาทิ Nvidia +3.1% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.43%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.54% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ Sanofi -4.3% จากความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายของ FDA สหรัฐฯ
ทว่า รายงานผลประกอบการของ Novo Nordisk +1.3% ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวและตลาดหุ้นยุโรปบ้าง นอกจากนี้ รายงานยอดค้าปลีกของยูโรโซนล่าสุดที่ พลิกกลับมาหดตัว -0.1%m/m ก็มีส่วนกดดันบรรดาหุ้นกลุ่มค้าปลีกของยุโรป
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศของตลาดการเงินจะเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ้าง หลังในการประชุมเฟดล่าสุด เฟดได้ระบุว่า ความเสี่ยงของการเกิดภาวะ Stagflation ได้เพิ่มสูงขึ้น
แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันยังคงสดใสอยู่ และแม้ว่า ประธานเฟดจะย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย แต่ผู้เล่นในตลาดต่างคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ซึ่งภาพดังกล่าวก็ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.27%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หนุนโดยภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และท่าทีของประธานเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 99.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.3-99.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทว่าราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากการทยอยเข้าซื้อของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอจังหวะ Buy on Dip หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 3,391 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ใกล้เคียงระดับก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 18.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเราประเมินว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 4.25% ตามที่ตลาดและบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้ประเมินไว้ ท่ามกลางความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจอังกฤษและอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาวะตลาดแรงงาน ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) โดยเรามองว่า BNM อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.00% ก่อนได้ เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้ชัดเจนก่อน เหมือนกับการตัดสินใจของเฟดล่าสุด
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) เพื่อประเมินถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
โดยหากอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังคงสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออยู่แถวระดับเป้าหมาย 2% ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังว่า BOJ จะสามารถทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่าเข้าใกล้ระดับ 32.90 ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 32.73-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.42 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.71 บาทต่อดอลลาร์
โดยเงินบาทอ่อนค่าไปใกล้ ๆ แนว 32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงแรกตามแรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ หลังการประชุมเฟด ซึ่งมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ไว้ที่กรอบเดิม 4.25-4.50% โดยแม้เฟดจะยอมรับว่า อัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังคงส่งสัญญาณ Wait and See เพื่อรอประเมินภาพที่ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงอ่อนค่าและทยอยฟื้นตัวกลับมาตามแรงหนุนของราคาทองคำในตลาดโลกที่กลับไปยืนเหนือแนว 3,400 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.70-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมเฟด ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้าสำคัญ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย และผลการประชุม BOE และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘อาหารเป็นพิษ’ ทำท้องเสีย-คลื่นไส้ เมนูไหนบ้างต้องระวัง

‘อาหารเป็นพิษ’ ทำท้องเสีย-คลื่นไส้ เช็กเมนูไหนบ้างต้องระวัง พร้อมเผยสาเหตุและวิธีรักษาเบื้องต้นด้วยตนเอง
“อาหารเป็นพิษ” เกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือสารพิษในอาหาร โดยการปนเปื้อนอาจเกิดจากกระบวนการผลิต การเก็บรักษา หรือการปรุงอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาหารบางชนิดมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ เช่น อาหารทะเล เนื้อสัตว์ นม และไข่ที่ไม่ได้ผ่านการปรุงให้สุกอย่างเหมาะสม
อาการของอาหารเป็นพิษ
อาการที่เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนมีหลายประเภท ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการเหล่านั้น แต่โดยทั่วไปสามารถสังเกตอาการดังนี้:
- มีไข้ ร่วมกับการปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง
- ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อย เกินวันละ 3 ครั้ง
- ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว หรือเหนื่อยล้า
- สูญเสียน้ำ เช่น อ่อนเพลีย กระหายน้ำมากกว่าปกติ
วิธีการดูแลตนเองเมื่อเกิดอาหารเป็นพิษ
ส่วนใหญ่แล้วอาการอาหารเป็นพิษมักจะหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการรุนแรง แต่สามารถดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการได้ตามนี้
- ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
- รับประทานยาแก้คลื่นไส้ ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
- งดอาหารเผ็ด-เปรี้ยวจัด และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนม ผลไม้สด และอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารหมักดอง
- รับประทานอาหารปรุงสุก และเลือกทานอาหารเหลวที่ย่อยง่าย เช่น ซุป น้ำข้าวต้ม
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนให้มากขึ้น งดการทำกิจกรรมหนัก
- หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ท้องร่วงรุนแรง หรือ มีไข้สูง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
หมายเหตุ: เมื่อมีอาการท้องเสีย ควรเลือกดื่ม เกลือแร่สำหรับท้องเสีย (ORS) ซึ่งแตกต่างจากเกลือแร่สำหรับนักกีฬา
เมนูอาหารที่เสี่ยงต่อการเป็นอาหารเป็นพิษ
บางเมนูอาหารมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการปนเปื้อนจากเชื้อโรคหรือสารพิษ เนื่องจากวิธีการเก็บรักษาและการปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ เมนูที่ควรระวังมีดังนี้:
- อาหารที่มีกะทิ เช่น แกงต่างๆ หรือขนมหวานที่ใส่กะทิ ซึ่งมักจะบูดง่ายหากเก็บไว้นาน
- ส้มตำและยำต่างๆ บางร้านอาจใช้ปลาร้า หรือถั่วลิสงขึ้นรา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือท้องเสีย
- ขนมจีนน้ำยาต่างๆ เส้นขนมจีนมักทำจากแป้งและบูดง่าย รวมถึงน้ำยากะทิที่เก็บได้ไม่นาน
- อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย หรือปลาที่ไม่สด หรือไม่ได้รับการปรุงให้สุกเต็มที่ มักจะมีความเสี่ยงจากแบคทีเรียหรือพยาธิ
- สลัดผักสด แม้จะดีต่อสุขภาพ แต่หากไม่ได้ล้างให้สะอาด หรือเก็บรักษาไม่ดี อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน
- น้ำและน้ำแข็ง ควรระวังการใช้น้ำแข็งที่ไม่สะอาด ซึ่งอาจมีเศษฝุ่นหรือเชื้อโรคติดมาจากกระบวนการผลิตน้ำแข็ง
เคล็ดลับป้องกันอาหารเป็นพิษ
ในช่วงที่อากาศร้อนและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางอาหาร ควรปฏิบัติตามหลักการ “สุก ร้อน สะอาด” และ ล้างมือให้สะอาด ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากเชื้อโรคที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสหรือการปรุงอาหารที่ไม่สะอาด
หากเกิดอาการอาหารเป็นพิษและไม่สามารถรับมือได้เอง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ตลาดแรงงานไทยในยุค AI: ทางรอดอยู่ที่การพัฒนาคน

ตลาดแรงงานไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการเร่งตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้ข้อมูล (Data) ที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกภาคเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
งานวิจัยจาก McKinsey & Company คาดว่า Generative AI จะสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 2.6-4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 88-149.6 ล้านล้านบาท) โดยอุตสาหกรรมที่ได้อานิสงส์สูงสุด ได้แก่ ธนาคาร เทคโนโลยีขั้นสูง และชีววิทยาศาสตร์

ภาคธนาคารเพียงอุตสาหกรรมเดียวมีศักยภาพเพิ่มรายได้อีก 2-3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 6.8-11.56 ล้านล้านบาท) ขณะที่ภาคค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อีก 4-6.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 13.6-22.44 ล้านล้านบาท)
ในประเทศไทย รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาแรงงาน AI จำนวน 50,000 คนใน 5 ปี ผ่านการขับเคลื่อนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) เพื่อรองรับการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมครั้งสำคัญ ขณะที่รายงาน 2024 Work Trend Index ของ Microsoft และ LinkedIn พบว่า 92% ของพนักงานไทยใช้งาน AI ในการทำงานแล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 75% อย่างไรก็ตาม 81% ของผู้ใช้งาน AI ในไทยยังคงนำเครื่องมือ AI ส่วนตัวมาใช้ในงาน (Bring Your Own AI) สะท้อนปัญหาการขาดแคลนกลยุทธ์การใช้ AI ในระดับองค์กรและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูล

ข้อมูลจาก World Economic Forum ยังตอกย้ำถึงแนวโน้มเร่งตัวนี้ โดยระบุว่า จำนวนผู้ที่เพิ่มทักษะด้าน AI ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 177% ตั้งแต่ปี 2018 แม้แต่ในสายงานที่ไม่ใช่เทคโนโลยี เช่น การตลาด การขาย และสุขภาพ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับทักษะด้าน AI มากยิ่งขึ้น
Generative AI: คลื่นดิจิทัลลูกใหม่ที่ทรงพลัง
นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) มองว่า Generative AI เป็น “Digital Transformation ระลอกใหม่” ที่กำลังแปรเปลี่ยนโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว ด้วยความง่ายในการใช้งานผ่านการสั่งการด้วยภาษาธรรมดา ทำให้คนจำนวนมหาศาลสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านโค้ดดิ้งเหมือนในอดีต
“Generative AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเป็นเครื่องมือสร้างความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข่งขันสูงขึ้นทุกวัน” นางสาวมณีรัตน์กล่าว พร้อมเสริมว่า องค์กรที่มองเห็นโอกาสนี้จะสามารถใช้ Generative AI เป็นตัวเร่งสร้างนวัตกรรมและเป็น Disruptor ในอุตสาหกรรมตนเอง แทนที่จะเป็นฝ่ายถูก Disrupt
ในทางปฏิบัติ องค์กรไทยหลายแห่งเริ่มนำ Generative AI มาใช้แล้วในหลากหลายงาน เช่น งานที่ทำซ้ำๆ เช่น การบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ การจัดการระบบโลจิสติกส์ และการขาย แม้การนำ AI มาใช้จะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก แต่ก็ทำให้บทบาทและความรับผิดชอบของพนักงานเปลี่ยนแปลงไปด้วย”
นางสาวมณีรัตน์เน้นย้ำว่า “อนาคตของการทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ ‘คน’ ที่ต้องพัฒนาให้พร้อมเติบโตไปกับเทคโนโลยี”
กลยุทธ์สำคัญ: พัฒนาคนและกำกับดูแลข้อมูล
เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องดำเนินการสองด้านควบคู่กัน คือ การพัฒนาทักษะคน (Upskill-Reskill) และการวางกรอบกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance)
ข้อมูลจาก PwC ประเทศไทย ชี้ว่า AI Agent หรือ ตัวแทน AI ซึ่งทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติ ทั้งการประมวลผลข้อมูล การตัดสินใจ และการโต้ตอบ กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ในภาคธุรกิจไทย เช่น การเงิน ค้าปลีก และโลจิสติกส์
ตัวอย่างการใช้เช่น: บริการทางการเงิน: วิเคราะห์ข้อมูล, ตรวจสอบธุรกรรม , ค้าปลีก/อีคอมเมิร์ซ: วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า, บริหารสินค้าคงคลัง และ โลจิสติกส์: วางแผนเส้นทาง, ติดตามการจัดส่ง
ดร.ภิรตา ภักดีสัตยพงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย ชี้ว่า AI Agent สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตในองค์กรได้กว่า 50% แต่ในทางกลับกัน ก็อาจทำให้ตำแหน่งงานบางประเภท โดยเฉพาะงานซ้ำซากและทักษะต่ำ ถูกลดบทบาทลง ดังนั้น การวางกลยุทธ์รับมืออย่างรอบคอบจึงมีความจำเป็น เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพและการดูแลแรงงานในองค์กร
กรณีศึกษา Sea (ประเทศไทย): ปั้นพนักงานยุค AI
Sea (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในองค์กรที่เดินหน้ายกระดับทักษะพนักงานรับยุค AI โดยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และอนุมัติให้พนักงานใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือประจำวันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาทำงานจำเจ เพิ่มเวลาโฟกัสงานอิมแพคสูง
Sea (ประเทศไทย) ยังสนับสนุนการอบรมใช้งาน AI อย่างถูกต้องและปลอดภัย พร้อมกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมาย พนักงานมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ไปจนถึงการตัดสินใจว่าจะนำผลลัพธ์ไปใช้ต่อยอดอย่างไร เฉกเช่นเดียวกับการประเมินข้อมูล (Data) ในยุคก่อนหน้า
นางสาวมณีรัตน์ เน้นย้ำว่า “Generative AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยทุ่นแรง ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดยังคงเป็นมนุษย์ที่รู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณ”
ทางรอดในยุค AI
“ความสามารถในการอยู่รอดและเติบโตในยุค AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการสร้างทักษะที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หากภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ร่วมมือกันพัฒนาทักษะ AI ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไทยจะสามารถขยายการเข้าถึงเครื่องมือและความรู้ด้าน AI ลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี และเตรียมแรงงานให้พร้อมย้ายไปสู่งานที่มีมูลค่าสูงขึ้น
นอกจากนี้ ธุรกิจไทยควรมีการกำหนดเป้าหมายการใช้ AI อย่างชัดเจน ออกแบบการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI Agent และลงทุนอย่างจริงจังในการยกระดับทักษะพนักงาน พร้อมสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจภายในองค์กร” นางสาวมณีรัตน์กล่าวปิดท้าย
ในที่สุด การพัฒนาทักษะ AI อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมจะเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย บนเวทีเศรษฐกิจโลกในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ภาษาอังกฤษแบบไทย ๆ อย่าเอาไปใช้ เดี๋ยวฝรั่ง งง!?

ภาษาอังกฤษง่าย ใคร ๆ ก็พูดตามได้ แต่คุณแน่ใจไหมว่าสิ่งที่คุณพูดอยู่นั้นถูกต้องแล้วจริง ๆ !? เพราะคนไทยหลายคนมักจะเข้าใจผิด เพราะได้ยินภาษาอังกฤษแล้วเอามาใช้โดยไม่รู้ว่าถูกต้องตามหลักภาษาจริงหรือไม่ แล้วยิ่งถ้าเอาไปพูดกับต่างชาติแล้วบอกเลยว่างงแน่นอน! วันนี้เราจึงมาเสนอ ภาษาอังกฤษแบบไทย ๆ ที่เมื่อรู้แล้วก็อย่านำไปใช้ เพราะเดี๋ยวฝรั่งจะงง พร้อมกับคำที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และเจ้าของภาษามาฝากกัน
- ประโยคผิดแกรมมาหรือไม่ถูกต้อง
- I do a mistake. = ฉันทำพลาด X
ถ้าแปลประโยคนี้ตรงตัวก็ต้องเป็น “I do a mistake.” ฉันทำพลาด ที่ใช้คำว่า do (verb) หรือกริยาที่แปลว่า “ทำ” ซึ่งผิดโดยสิ้นเชิง! เพราะประโยคนี้เขาไม่ใช้คำว่า do กัน ซึ่งประโยคที่ถูกต้องจะต้องเป็นคำว่า “I make a mistake” อย่าจำกันผิดเชียว
- I prefer something than …. = ฉันชอบ …. มากกว่า X
การใช้คำว่า “prefer” ในการบอกความชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่งเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่เราบางคนชอบไปจำสลับกับการใช้การเปรียบเปรยในภาษาอังกฤษโดยการใช้คำว่า than เข้ามา ดังนั้นประโยคที่ถูกต้องคือ “I prefer (something) to (something).” หลัง prefer จะต้องตามด้วย to ในบริบทนี้เพียงเท่านั้น แม้ than จะหมายถึง “กว่า” ในการเปรียบเทียบก็ตาม
ตัวอย่าง I prefer chocolate cake to fruit cake. = ฉันชอบเค้กช็อกโกแลตมากกว่าเค้กผลไม้
- ประโยคใช้ผิดความหมาย
- I’m boring. = ฉันรู้สึกเบื่อ X
เป็นคำที่คนมักจะจำสับสนกันเป็นส่วนใหญ่ที่คิดว่า “I’m boring” แปลว่า รู้สึกเบื่อ แต่จริง ๆ แล้วแปลว่า “ฉันเป็นคนน่าเบื่อ” ประโยคที่ถูกต้องเป็น “I’m bored.” bored ที่มาจาก bore = หน่าย กริยาที่ถูกทำให้เป็นรูปของ Passive Voice ด้วยการเติม D เข้าไป เพราะมีสิ่งที่ทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกเบื่อ ไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็เบื่อ จึงเป็นที่มาของรูปแบบการถูกกระทำ
ตัวอย่าง I am bored with his old jokes = ฉันเบื่อกับมุขเก่า ๆ ฝืด ๆ ของเขาแล้ว
- Don’t be serious. = อย่าเครียดไปเลย X
คำว่า “อย่าเครียด” ในภาษาอังกฤษเขาไม่ใช้คำว่า “Don’t be serious.” กันนะ เพราะคนไทยมักจะเข้าใจกันไปว่าคำว่า ซีเรียสจะแปลไปในทางเครียดเสียมากกว่า ถ้าใช้คำว่า อย่าเครียด ขอแนะนำให้ใช้คำว่า Don’t think too much.= อย่าคิดมาก / Don’t worry about it, Don’t be concerned = อย่ากังวลเลย / It’ll be alright. = เดี๋ยวก็ดีเอง อะไรทำนองนี้ดีกว่า ถ้า Don’t be serious. จะหมายถึง อย่าจริงจังหน่อยเลย มากกว่า
- ศัพท์ที่ไม่มีในภาษาอังกฤษ
- Hiso = ไฮโซ X
คำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษแน่นอน แต่ที่แน่ ๆ พื้นฐานของคำนี้มาจากคำว่า “high society” ที่แปลว่า สังคมชั้นสูง ดังนั้นเราต้องใช้คำในการเรียกคนที่มีเงิน กินหรู ดูดีใช้ของแพงว่า “classy” จึงจะถูกต้อง ถ้าใช้คำว่า รวย หรือ rich ก็จะไม่ได้ให้ความไฮโซ แต่จะบอกถึงความรวยแค่นั้น
ตัวอย่าง This shop only serves for classy clients. = ร้านนี้จะให้บริการเฉพาะลูกค้าไฮโซเท่านั้น
- Minimal = มินิมอลสไตล์ X
“มินิมอล” ที่เราใช้เรียกแฟชั่นที่ดูเรียบง่าย พื้น ๆ ถ้าไปพูดกับต่างชาติบอกเลยว่า โป๊ะ เพราะคำว่า “minimal” เป็น คำคุณศัพท์ (adjective) ที่แปลว่า น้อยหรือเล็กที่สุด ถ้าจะพูดถึงสไตล์เสื้อผ้าที่มินิมอลให้ใช้คำว่า “minimalist” ที่หมายถึงความเรียบง่ายในแง่ของศิลปะ ก็จะได้คำว่า “minimalist fashion” ที่แปลว่า แฟชั่นสไตล์มินิมอลนั่นเอง
ตัวอย่าง Minimalist fashion is all about keeping things simple. = แฟชั่นมินิมอลคือการคงให้ทุกอย่างเรียบง่ายเข้าไว้
- ศัพท์ที่เข้าใจผิดหรือจำสลับกับคำอื่น
- Tissue = ทิชชู่ X
คำว่า “ทิชชู่” ในภาษาอังกฤษตามจริงแล้วมีหลายคำมาก ซึ่งต้องใช้ให้ถูกบริบท ไม่งั้นจะต่างชาติจะเกิดความงงได้ ซึ่งจะมี napkin = กระดาษหรือผ้าเช็ดปากบนโต๊ะอาหาร (แผ่นสี่เหลี่ยม) / toilet paper, toilet roll = กระดาษชำระแบบม้วน / paper towel = กระดาษซับมันอาหาร / facial tissue = กระดาษเช็ดหน้า / wet wipe = ทิชชู่เปียก
- Fast Food = อาหารขยะ X
คนไทยอาจจะคิดว่า “fast food” หรือ “ฟาสต์ฟู้ด” คืออาหารจำพวกอาหารขยะ แต่จริง ๆ คำนี้หมายความว่า อาหารจานด่วนที่หาได้ทั่วไป รวดเร็วและไม่แพง คล้าย ๆ ตามสั่งบ้านเรา ถ้าอาหารขยะที่มีสารอาหารน้อย ไขมันและแป้งเยอะอย่างเฟรนช์ฟรายส์ พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ เป็นต้น จะต้องใช้คำว่า “junk food” ที่มาจากคำว่า junk ที่แปลว่า “ขยะ” นั่นเอง
ตัวอย่าง She is fat because eats a lot of junk food and doesn’t get enough exercise. = เธออ้วนเพราะเธอกินอาหารขยะเยอะมากและออกกำลังกายไม่เพียงพอ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“มัทฉะ” มีกี่ประเภท แบ่งเกรดอย่างไร เลือกมัทฉะแบบไหนตอบโจทย์

หากคุณเคยคิดจะซื้อผงมัทฉะมาชงดื่มเองที่บ้าน คุณคงจะสังเกตเห็นว่าผงมัทฉะแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะจริงๆ แล้ว ผงชาเขียวมัทฉะมีหลากหลายเกรดด้วยกัน มัทฉะแต่ละเกรดจะมีรสชาติ สี เนื้อสัมผัส และวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน
การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกรดของมัทฉะแต่ละชนิดและคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน จะช่วยให้คุณเลือกมัทฉะที่เหมาะกับการใช้งานของคุณได้มากที่สุด ไม่ว่าคุณจะต้องการนำไปชงดื่ม ทำขนม หรือใช้ในรูปแบบอื่นๆ
มัทฉะมีกี่ประเภท แบ่งเกรดอย่างไรบ้าง
ผงชาเขียวมัทฉะสามารถแบ่งออกเป็น 3 เกรดหลัก ได้แก่
- มัทฉะเกรดพิธีกรรม (Ceremonial Grade)
- มัทฉะเกรดประจำวัน (Daily Grade)
- มัทฉะเกรดอาหาร (Culinary Grade)
การจัดเกรดของผงชาเขียวมัทฉะนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- แหล่งปลูกชาเขียว: สภาพแวดล้อมและดินมีความสำคัญต่อคุณภาพของใบชา
- วิธีการปลูกเลี้ยง: การดูแลรักษาต้นชาเขียว เช่น การพรางแสง การให้น้ำ และการใส่ปุ๋ย
- ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยว: ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวใบชาส่งผลต่อรสชาติและคุณภาพของชา
- กระบวนการผลิต: ขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การเก็บเกี่ยว การคัดเลือกใบชา การอบแห้ง และการบดละเอียด
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อสี เนื้อสัมผัส องค์ประกอบทางโภชนาการ รสชาติ การใช้งาน และคุณภาพโดยรวมของผงชาเขียวมัทฉะ
นอกจาก 3 เกรดหลักแล้ว ยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็นเกรดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น
- มัทฉะเกรดพิธีกรรมแบบออร์แกนิก
- มัทฉะเกรดพรีเมี่ยมสำหรับดื่มประจำวัน
- มัทฉะเกรดบาริสต้า
- มัทฉะเกรดเชฟ
- มัทฉะเกรดวัตถุดิบอาหาร
1.มัทฉะเกรดพิธีกรรม ถือเป็นมัทฉะที่มีคุณภาพสูงสุดและได้รับการยกย่องมากที่สุด โดยผลิตจากใบชาเขียวที่อ่อนที่สุดและเก็บเกี่ยวในช่วงแรกของฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ใบชาเหล่านี้จะถูกเก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างพิถีพิถันและนำไปบดละเอียดด้วยหินบดจนได้ผงละเอียดสีเขียวสดใส
วิธีการดื่มและใช้งานมัทฉะเกรดพิธีกรรม
มัทฉะเกรดพิธีกรรม มักถูกนำมาใช้ชงดื่มแบบดั้งเดิม โดยการตีผงมัทฉะกับน้ำร้อนโดยไม่เติมน้ำตาลหรือนม เพื่อให้ได้รสชาติที่บริสุทธิ์และสัมผัสถึงคุณภาพของมัทฉะอย่างแท้จริง
นอกจากการชงดื่มแบบดั้งเดิมแล้ว มัทฉะเกรดพิธีกรรมยังสามารถนำไปใช้ได้ดังนี้:
- มัทฉะลาเต้: หลายคนชอบนำมัทฉะเกรดพิธีกรรมมาทำมัทฉะลาเต้ เพราะให้รสชาติที่หอมหวานและนุ่มนวล
- การอบขนม: สามารถนำไปใช้ในการอบขนมได้ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากรสชาติของมัทฉะเกรดพิธีกรรมนั้นละเอียดอ่อน หากใช้ในปริมาณมากหรือผสมกับวัตถุดิบอื่นที่มีรสชาติเข้มข้น อาจทำให้รสชาติของมัทฉะหายไป
- ข้อควรระวัง: เนื่องจากมัทฉะเกรดพิธีกรรมมีราคาค่อนข้างสูง จึงไม่เหมาะสำหรับการนำไปใช้ทำอาหารในปริมาณมาก
2.มัทฉะเกรดประจำวัน หรือที่เรียกว่า มัทฉะเกรดพรีเมียม และ มัทฉะเกรดดั้งเดิมนั้น ถือเป็นมัทฉะที่มีคุณภาพสูงเป็นอันดับสอง รองจากมัทฉะเกรดพิธีกรรม รสชาติของมัทฉะเกรดนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความหวานและความขม ไม่หวานเกินไปและไม่ขมเกินไป ทำให้ดื่มได้ง่ายและเป็นที่นิยม
คุณสมบัติเด่นของมัทฉะเกรดประจำวัน:
- รสชาติกลมกล่อม: มีรสชาติที่สมดุลระหว่างความหวานและความขม
- กลิ่นหอมสดชื่น: มีกลิ่นหอมที่สะอาดและสดชื่น
- เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม: มีเนื้อสัมผัสที่เรียบลื่น
- สีเขียวสดใส: มีสีเขียวที่สว่างและน่าดึงดูด
3.มัทฉะเกรดอาหาร หรือที่เรียกว่า มัทฉะเกรดครัว และ มัทฉะเกรดเชฟ ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหาร เครื่องดื่ม การอบขนม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยมักจะมีรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
คุณสมบัติเด่นของมัทฉะเกรดอาหาร:
- รสชาติเข้มข้น: มีรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
- เหมาะสำหรับการปรุงอาหาร: สามารถนำไปใช้ในการปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น การอบขนม การทำซอส การโรยหน้าอาหาร
คุณสมบัติเฉพาะของมัทฉะเกรดอาหาร
ปริมาณแคทซินที่สูงขึ้นในมัทฉะเกรดอาหารส่งผลต่อรสชาติ ทำให้มีรสชาติที่ฝาด เข้มข้น และมีรสขมติดปลายลิ้น โดยมีรสหวานน้อยลง ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการนำไปใช้ในการอบขนมและการปรุงอาหาร คุณอาจสังเกตเห็นว่าสีของมัทฉะเกรดอาหารนั้นไม่สดใสเหมือนกับมัทฉะเกรดประจำวันหรือมัทฉะเกรดพิธีกรรม แต่จะมีสีเขียวที่อ่อนกว่า
นอกจากนี้มัทฉะเกรดอาหารยังถูกบดด้วยหินบดในระยะเวลาที่สั้นกว่าและด้วยความเร็วสูง ทำให้มีขนาดอนุภาคที่ใหญ่กว่า ส่งผลให้มีเนื้อสัมผัสที่หยาบกว่า ซึ่งเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ในสูตรอาหารต่างๆ มีหลายคนที่เข้าใจผิดว่ามัทฉะเกรดอาหารเป็นมัทฉะที่มีคุณภาพต่ำ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ มัทฉะเกรดอาหารนั้นถูกปลูก เลี้ยง เก็บเกี่ยว และแปรรูปโดยเฉพาะเพื่อใช้ในการปรุงอาหารและการอบขนม
วิธีทดสอบคุณภาพมัทฉะด้วย “การทดสอบด้วยนิ้ว”
การทดสอบด้วยนิ้ว เป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน เพื่อประเมินคุณภาพของผงมัทฉะของคุณ วิธีการทำก็คือ
- เตรียมอุปกรณ์: กระดาษสีขาว และผงมัทฉะที่ต้องการทดสอบ
- เทผงมัทฉะ: เทผงมัทฉะลงบนกระดาษสีขาวเล็กน้อย
- กดและลาก: ใช้ปลายนิ้วกดลงบนผงมัทฉะ แล้วลากนิ้วของคุณไปบนกระดาษ
ผลลัพธ์ที่ได้:
- มัทฉะคุณภาพสูง: ผงมัทฉะจะมีเนื้อสัมผัสที่เนียนละเอียด เมื่อใช้ปลายนิ้วกดและลาก จะเกิดเป็นเส้นที่ยาวและต่อเนื่อง
- มัทฉะคุณภาพต่ำ: ผงมัทฉะจะมีเนื้อสัมผัสที่หยาบกว่า เมื่อใช้ปลายนิ้วกดและลาก เส้นที่เกิดขึ้นจะสั้นและขาดๆ หายๆ
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น:
ผงมัทฉะที่มีคุณภาพสูงนั้นผ่านกระบวนการบดที่ละเอียด ทำให้มีอนุภาคที่ละเอียดและเรียบเนียน เมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงความนุ่มลื่น และเมื่อนำไปใช้จะให้สีและรสชาติที่สม่ำเสมอ
วิธีเปรียบเทียบคุณภาพของผงมัทฉะชนิดต่างๆ
ลองทำการทดสอบด้วยนิ้วดูสิ เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพของผงมัทฉะชนิดต่างๆ ที่คุณมี
วิธีทำ:
- เตรียมอุปกรณ์: กระดาษสีขาว และผงมัทฉะชนิดต่างๆ ที่ต้องการเปรียบเทียบ
- เทผงมัทฉะ: เทผงมัทฉะแต่ละชนิดลงบนกระดาษสีขาวเป็นกองๆ เล็กๆ
- ลากเส้น: ใช้ปลายนิ้วกดลงบนผงมัทฉะแต่ละกอง แล้วลากนิ้วไปบนกระดาษ โดยทำความสะอาดนิ้วก่อนที่จะลากบนผงมัทฉะกองถัดไป
ผลลัพธ์ที่ได้:
- มัทฉะคุณภาพสูง: จะให้เส้นที่ยาวและต่อเนื่อง เนื่องจากมีเนื้อสัมผัสที่เนียนละเอียด
- มัทฉะคุณภาพต่ำ: จะให้เส้นที่สั้นและขาดๆ หายๆ เนื่องจากมีเนื้อสัมผัสที่หยาบกว่า
ทำไมต้องทำแบบนี้:
ผงมัทฉะที่มีคุณภาพสูงนั้นผ่านกระบวนการบดที่ละเอียด ทำให้มีอนุภาคที่ละเอียดและเรียบเนียน เมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงความนุ่มลื่น และเมื่อนำไปใช้จะให้สีและรสชาติที่สม่ำเสมอ
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
- เปรียบเทียบปริมาณเท่ากัน: เพื่อให้ผลลัพธ์การทดสอบมีความแม่นยำ ควรใช้ผงมัทฉะในปริมาณที่เท่ากันในการทดสอบแต่ละครั้ง
- ใช้แรงกดเท่ากัน: ควรใช้แรงกดที่เท่ากันในการลากนิ้วบนผงมัทฉะทุกชนิด
- สังเกตสีและกลิ่น: นอกจากการทดสอบด้วยนิ้วแล้ว ยังสามารถสังเกตสีและกลิ่นของผงมัทฉะแต่ละชนิดได้อีกด้วย มัทฉะคุณภาพสูงมักจะมีสีเขียวสดใสและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
มัทฉะเกรดไหนดีต่อสุขภาพกว่ากัน
มัทฉะทั้ง 3 เกรดมีสารอาหารพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน แต่ มัทฉะเกรดพิธีกรรม ซึ่งผลิตจากใบชาที่เก็บเกี่ยวในช่วงแรกจะมีปริมาณ L-theanine และ คาเฟอีน สูงกว่ามาก ในขณะที่มัทฉะเกรดประจำวัน และมัทฉะเกรดอาหารซึ่งผลิตจากใบชาที่เก็บเกี่ยวในช่วงหลัง มักจะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ และแคทซินสูงกว่า
เลือกมัทฉะเกรดไหนดี คำถามที่จะช่วยคุณตัดสินใจ
การเลือกซื้อผงชาเขียวมัทฉะนั้นขึ้นอยู่กับความชอบและวัตถุประสงค์ในการใช้งานของคุณ การถามตัวเองถึงคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
- คุณต้องการดื่มมัทฉะแบบดั้งเดิมทุกเช้าหรือไม่? หากคุณต้องการดื่มมัทฉะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมทุกวัน การเลือกมัทฉะเกรดพิธีกรรมจะเหมาะสมที่สุด เพราะมัทฉะเกรดนี้มีรสชาติที่นุ่มนวลและหอมหวาน
- คุณชอบดื่มมัทฉะลาเต้ หรือใส่ในเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือไม่? หากคุณชอบดื่มมัทฉะลาเต้หรือใส่ในเครื่องดื่มอื่นๆ มัทฉะเกรดประจำวันจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าและเหมาะสำหรับการผสมกับส่วนผสมอื่นๆ
- คุณต้องการนำมัทฉะไปใช้ในการทำอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ หรือไม่? หากคุณต้องการนำมัทฉะไปใช้ในการอบขนม ทำสมูทตี้ หรือปรุงอาหารอื่นๆ มัทฉะเกรดอาหารจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีรสชาติที่เข้มข้นและสามารถเข้ากันได้ดีกับรสชาติอื่นๆ
- คุณต้องการนำมัทฉะไปใช้ในหลายๆ วิธีหรือไม่? หากคุณต้องการนำมัทฉะไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ คุณอาจต้องมีมัทฉะหลายเกรด เพื่อให้ได้รสชาติและคุณภาพที่แตกต่างกันไปตามการใช้งาน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/05/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,450.00 | 52,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,397.00 | 51,498.52 | 53,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,057.30 | 46,348.67 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,717.60 | 41,198.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,529.00 | 23,174.33 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,189.00 | 18,024.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,520.00 | 53,366.34 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/05/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |