วินัยการเงิน-เชื่อมั่น-ชิงโอกาสกลยุทธ์’ศุภาลัย’ฝ่าวิกฤติโลก

จากวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 วิกฤติโควิด-19 กระทั่งวิกฤติระลอกใหญ่ในปัจจุบัน “ศุภาลัย” ฝ่าฟันทุกวิกฤติด้วยกลยุทธ์ “วินัยทางการเงิน” สร้างความเชื่อมั่น พร้อมชิงโอกาส
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ฉายภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์และการปรับตัวที่สะท้อนแนวคิดลึกซึ้งที่ถูกพิสูจน์มาแล้วกว่า 32 ปีที่ผ่านมาของ “ศุภาลัย” บนเวที Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) ซึ่งได้ร่วมถ่ายทอดกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติในหัวข้อ “The Unshakable Business”
ไตรเตชะ กล่าวว่า ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย “GDP ไม่โต กำลังซื้อถดถอย สถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2568 ถูกมองว่า…ยากที่สุดในรอบ 20 ปี”
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจาก 2 แกนหลักเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ GDP Growth ยังไม่ฟื้น แม้จะผ่านโควิดมาแล้วกว่า 2 ปี แต่การเติบโตยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับวิกฤติปี 2540 ที่แม้ติดลบลึก! แต่กลับพลิกบวกได้รวดเร็ว ขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนยังพุ่ง สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 90% ของ GDP ขณะที่ดอกเบี้ยแม้ไม่สูงเกินไป แต่ภาระต่อครัวเรือนกลับกดดันกำลังซื้ออย่างชัดเจน
“ดอกเบี้ยไม่แพง แต่ความสามารถซื้อของผู้บริโภคต่ำกว่าช่วงโควิด นี่คือปัญหาใหญ่ที่ภาคอสังหาฯ ต้องรับมือ”
ฝ่าวิกฤติต่อเนื่อง และหนักเท่าเดิม
สำหรับ ศุภาลัย วิกฤติเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการอสังหาฯ ไทย
“ตอนนั้นธุรกิจเราต้องหยุดจริงๆ และเป็นอสังหาฯ ที่เป็นจุดเริ่มวิกฤติ”
ครั้งนี้สถานการณ์ต่างกัน ทั้งซัพพลายคอนโดมิเนียมล้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ภาระหนี้พุ่ง และการแข่งขันรุนแรง “วันนี้อาจยังไม่หนักเท่าวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 แต่ก็ใกล้เคียงเข้าไปทุกที”
ตลาดคอนโดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เคยเปิดพีคสุดถึง 120,000 ยูนิตในปี 2560 วันนี้เหลือเพียง 60,000 ยูนิต และอาจไม่กลับไปแตะระดับเดิมอีก
วินัยทางการเงิน หัวใจองค์กรที่ “ไม่สั่นไหว”
ไตรเตชะ ย้ำว่า สิ่งที่พา “ศุภาลัย” มายืนถึงวันนี้ได้ คือ วินัยทางการเงิน ที่ไม่ได้สร้างขึ้นแค่ในภาวะวิกฤติ แต่เป็น “ภูมิคุ้มกัน” ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง “วินัยการเงินสร้างไม่ได้ในวันนี้ แต่ต้องสะสมมา 5-10 ปี และใช้อย่างถูกวิธี”
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือปี 2560 ซึ่งตลาดคอนโดบูมสุดขีด เปิดตัวถึง 120,000 ยูนิต ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ศุภาลัยกลับเลือก “หยุดซื้อที่ดินใหม่” เพราะมองเห็นสัญญาณเก็งกำไร ศุภาลัยไม่วิ่งตามตลาดที่กำลังร้อนแรง เพราะรู้ว่าความร้อนแรงนั้นไม่ยั่งยืน
ความเชื่อมั่นลูกค้าต้นทุนที่ไม่มีใครลอกเลียนได้
อสังหาฯ เป็นธุรกิจที่ใช้เงินก้อนใหญ่ของลูกค้า การซื้อจึงไม่ใช่แค่ “การตัดสินใจ” แต่คือ “การวางใจ” ให้บริษัทดูแลชีวิตในระยะยาว
“ถ้าขาดความเชื่อมั่น ลูกค้าไม่กล้าซื้อ เพราะเขาไม่ได้ซื้อแค่บ้าน แต่ซื้อความมั่นใจ”
กลยุทธ์ของศุภาลัยคือ “ไม่ทิ้งลูกค้าไว้ข้างหลัง” ไม่ว่าจะในช่วงเวลาปกติหรือยามวิกฤติ บริษัทเน้นการส่งมอบตรงเวลา คุณภาพไม่ลด และดูแลบริการหลังการขายเสมอ ผลลัพธ์ คือ ยอดขายจากการบอกต่อของลูกค้าสูงถึง 15-20%! และลูกค้าส่วนใหญ่ดูโครงการแค่ของศุภาลัยเจ้าเดียวก่อนตัดสินใจ
เมื่อคนอื่นหยุด…ศุภาลัยลุย! ในวันที่ไร้คู่แข่ง
จังหวะเวลาในการลงทุน คือ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ศุภาลัยเลือก “เปิดคอนโด” ในปี 2567 ซึ่งถือเป็นช่วงที่ตลาดซบที่สุดในรอบ 15 ปี เพราะเชื่อว่านั่นคือจังหวะที่ดีที่สุด
“จากที่เคยมีการขอประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment) เดือนละ 15 โครงการ ตอนนี้เหลือ 2 แสดงว่าไม่มีใครเปิดใหม่ ถ้าเราเปิดได้ เราก็ได้ทั้งตลาด”
อย่างไรก็ดี ล่าสุด จากการสำรวจที่ดินใหม่กว่า 30 แปลง พบว่าไม่มีคู่แข่งสนใจซื้อเลยแม้แต่รายเดียว เป็นสัญญาณชัดเจนว่าซัพพลายในอนาคตจะลดลง และใครที่อยู่รอด จะเก็บผลผลิตจากโอกาสนี้ได้เต็มที่
ไตรเตชะ ยังมองเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ความมั่นใจในคอนโดสูงลดลง โอกาสใหม่จึงอยู่ที่ คอนโดโลว์ไรซ์ (Low-Rise) ที่ตอบโจทย์ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า
“ธุรกิจที่จะอยู่รอดได้ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ หาจุดแข็งตัวเอง และมองหาช่องว่างที่ยังไม่มีในตลาดจะสามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ สามารถเป็น Success story ได้”
ผู้นำที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่มีทุน…ต้องมีจริยธรรมธุรกิจ
สิ่งที่ศุภาลัยเชื่อมั่นคือ “เราอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีลูกค้า” และ “ลูกค้าไม่ใช่แค่ผู้ซื้อ แต่คือหุ้นส่วนทางความเชื่อใจ” ดังนั้น วัฒนธรรมองค์กรของศุภาลัยจึงยึดหลัก “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ไม่ว่าลูกค้า พนักงาน ซัพพลายเออร์ ทุกฝ่ายต้องเติบโตไปด้วยกัน
“ความผิดพลาดอาจเกิดได้ แต่อย่าให้เกิดจากความตั้งใจ และต้องรีบแก้ให้เร็วที่สุด”
วัฒนธรรมเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากแคมเปญ แต่ต้องฝังอยู่ใน DNA องค์กร และปรากฏผลในภาวะวิกฤติที่ผ่านมา เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้
ในยุคที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “ศุภาลัย” คือหนึ่งในไม่กี่รายที่ยังเติบโตได้ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนของเศรษฐกิจบทเรียนจากศุภาลัยจึงไม่ใช่แค่กรณีศึกษาธุรกิจอสังหาฯ เท่านั้น
แต่เป็น บทพิสูจน์ว่า “วินัย-ความเชื่อมั่น-ความพร้อม” คือกลยุทธ์ที่ยั่งยืนในทุกอุตสาหกรรม และยังใช้ได้เสมอ โดยเฉพาะในวันที่ทุกอย่างไม่แน่นอนที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘สิงห์ เอสเตท’ ปิดการขาย 2 โครงการหรู มูลค่ารวม 3,000 ล้าน

สิงห์ เอสเตท ปิด 2 โครงการศิรนินทร์ฯ -เซนท์เทอร์ฯระดับลักชัวรีทำเล “พัฒนาการ” มูลค่า3,000 ล้าน พร้อมปูพรมเดินหน้โครงการรวมมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาททั่วกรุงเทพฯ
ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)ประกาศความสำเร็จในการปิดการขาย 2 โครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีในย่านพัฒนาการ ได้แก่ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ” บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 28 ยูนิต และ “เซนท์เทอร์ พัฒนาการ” โฮมออฟฟิศ 3 ชั้นครึ่ง 4 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ตอกย้ำความต้องการในกลุ่มตลาดบน และศักยภาพของดีไซน์ที่ผสานไลฟ์สไตล์กับคุณภาพชีวิตระยะยาว
“เราเชื่อว่าการอยู่อาศัยที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่ แต่คือประสบการณ์ชีวิตที่ส่งต่อความสุข ความสะดวก และคุณค่าทางจิตใจให้ทุกครอบครัว”
พัฒนาการ จุดตัดของดีไซน์และศักยภาพ
ทั้ง2โครงการตั้งอยู่ในย่าน “พัฒนาการ” ซึ่งนับเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกที่ยังคงมีความสงบ ร่มรื่น และใกล้โครงข่ายถนนหลักและรถไฟฟ้าหลายสาย ทำให้เป็นย่านที่ถูกจับตามองในกลุ่มบ้านเดี่ยวและโฮมออฟฟิศระดับลักชัวรี
ภายใต้แนวคิด “Craft to Last” ที่สิงห์ เอสเตท ยึดถือ ไม่ได้หมายถึงแค่การออกแบบที่สวยงามในระยะสั้น แต่คือการ “หล่อหลอมคุณภาพที่ยั่งยืน” ผ่านวัสดุ ฟังก์ชัน และการบริการหลังการขาย เพื่อให้บ้านเป็นทรัพย์สินที่ส่งต่อคุณค่าระยะยาวจากรุ่นสู่รุ่น
เดินหน้าพัฒนาอีก 24,000 ล้านทั่วกรุงเทพฯ
ความสำเร็จของ 2 โครงการบนถนนพัฒนาการ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการขยายตัวครั้งใหม่ของสิงห์ เอสเตท โดยบริษัทเตรียมเดินหน้าอีก 8 โครงการรวมมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท กระจายตัวบนทำเลศักยภาพ เช่น
- โครงการ สมิทธ์ เกษตร-นวมินทร์ มูลค่า1,300 ล้านบาท
- โครงการฌอน ปัญญาอินทรา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์ Modern Tropical Contemporary มูลค่า 1,800 ล้านบาท
- โครงการดิ เอส สุขุมวิท 36มูลค่า5,900 ล้านบาท
- โครงการดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ มูลค่า4,000 ล้านบาท
- โครงการ สริน พรานนก-กาญจนา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่า4,300 ล้านบาท
โดยเฉพาะ โครงการ สริน พรานนก-กาญจนา ถือเป็น “การผสมผสานระหว่างสุนทรียะของเมดิเตอร์เรเนียน” และ “แนวคิด Universal Design” ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันสำหรับทุกวัยและครอบครัวหลายเจเนอเรชัน
“ตลาดลักชูรีไม่ใช่แค่แข่งกันเรื่องความหรู แต่คือการแข่งขันในเรื่อง ‘คุณค่าที่สัมผัสได้จริง’ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินความยั่งยืนของแบรนด์อสังหาฯ ในอนาคต”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทในเช้าวันนี้ 8ก.ค.อยู่ที่ระดับประมาณ 32.54-32.56 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทจะขยับแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงเช้าวันนี้ แต่ภาพรวมยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบค่อนข้างแคบ และต้องระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างวัน กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.54-32.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ที่8ก.ค. (8.57 น.) ใกล้เคียงกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า แม้เงินบาทจะขยับแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงเช้าวันนี้ แต่ภาพรวมยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบค่อนข้างแคบ และต้องระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างวัน
เนื่องจากตลาดยังคงอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์หลังปธน. โดนัลด์ ทรัมป์สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสูงขึ้นกับหลายประเทศคู่ค้า (รวมไทย) นอกจากนี้ การย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกและสัญญาณขายสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ อาจเป็นปัจจัยกดดันด้านอ่อนค่าเพิ่มเติมของค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ กับหลายๆ ประเทศคู่ค้า ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ผลการประชุม RBA และตัวเลขการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนมิ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประกบคู่เรียบร้อย! ส่องโปรแกรมรอบ 16 ทีม วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ยู-19 ปี

วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ที่เมืองโอซิเยก ประเทศโครเอเชีย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 2-13 กรกฎาคม 2568
โดยจากทั้งหมด 24 ทีม ในรอบแบ่งกลุ่ม คัดเอาอันดับ 1-4 ของทั้ง 4 กลุ่ม ผ่านเข้ามาเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งจะแข่งขันในรูปแบบแพ้ตกรอบทันที
ซึ่ง “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” ที่มีผลงานชนะ 1 และแพ้ 4 เก็บมาได้แค่ 4 คะแนน เพียงพอต่อการจบอันดับ 4 ของกลุ่ม ได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
โปรแกรมวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี รอบ 16 ทีม
วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2568
- โปแลนด์ พบ ไทย
- บัลแกเรีย พบ เม็กซิโก
- ไต้หวัน พบ ญี่ปุ่น
- จีน พบ เซอร์เบีย
- โครเอเชีย พบ ตุรกี
- บราซิล พบ เบลเยียม
- เยอรมนี พบ สหรัฐฯ
- อิตาลี พบ อาร์เจนตินา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ปวดไมเกรนไม่หาย ทำยังไงดี? ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

ไมเกรนไม่ใช่แค่ปวดหัวธรรมดา แต่เป็นภาวะทางระบบประสาทที่สามารถกระทบคุณภาพชีวิตได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่ออาการไม่บรรเทาแม้ได้รับการรักษา บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกสาเหตุ วิธีดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง และการป้องกันไมเกรนอย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุของไมเกรนเรื้อรังที่คุณอาจไม่รู้ความเครียด – ตัวกระตุ้นที่มักถูกมองข้าม
ความเครียดเรื้อรังส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาทอัตโนมัติ และกระตุ้นให้หลอดเลือดหดเกร็งจนเกิดอาการไมเกรน การจัดการอารมณ์และการพักผ่อนอย่างเพียงพอคือกุญแจสำคัญในการป้องกันไมเกรนเรื้อรัง
ความดันโลหิต – ตัวแปรสำคัญที่ควรตรวจเสมอ
ไมเกรนและความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่คิด ความดันสูงอาจทำให้หลอดเลือดในสมองตึงตัว ส่งผลให้อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น หากคุณเป็นไมเกรนบ่อย ควรวัดความดันสม่ำเสมอ
ไขมันในเลือดและปัญหาหลอดเลือด
ไขมันอุดตันในหลอดเลือดส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดไมเกรน การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจระดับไขมันและหลอดเลือดสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีรับมือไมเกรนเมื่อไม่หายขาด
อาการไมเกรนที่เกิดบ่อยและไม่หายขาดอาจต้องการการดูแลสุขภาพแบบเชิงลึกและต่อเนื่อง ลองพิจารณาแนวทางเหล่านี้ในการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัด
- นอนหลับให้เป็นเวลา
งานวิจัยพบว่าการนอนน้อยหรือเข้านอนไม่เป็นเวลาเพิ่มความเสี่ยงของไมเกรนอย่างมีนัยสำคัญ ควรนอนอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงต่อคืน และหลีกเลี่ยงการนอนดึกติดต่อกันหลายวัน
Tip: ใช้เทคนิค “Sleep Hygiene” เช่น ปิดหน้าจอก่อนนอน 1 ชม. และปรับห้องให้มืดและเงียบ - หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรน
อาหารที่มีสารกระตุ้นหลอดเลือด เช่น ช็อกโกแลต, เครื่องปรุงกลูตาเมต (MSG), เนื้อสัตว์แปรรูป, ไวน์แดง และชีสหมัก เป็นตัวกระตุ้นอาการไมเกรนในหลายคน
Tip: จดบันทึก “ไดอารี่ไมเกรน” ว่าในวันที่ปวดหัวกินอะไร เพื่อหาตัวกระตุ้นเฉพาะบุคคล - ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นสารเอ็นโดรฟิน ลดความเครียด และปรับสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิต การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ 30 นาที/ครั้ง สัปดาห์ละ 3–5 ครั้งจะช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้
2. จัดการความเครียดอย่างมีระบบ
- ฝึกการหายใจและสมาธิ (Mindfulness & Breathing)
เทคนิคการหายใจลึก (Deep Breathing) และการฝึกสมาธิ (เช่น MBSR – Mindfulness-Based Stress Reduction) ช่วยลดการทำงานของระบบประสาท Sympathetic ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและไมเกรน - กิจกรรมคลายเครียดเฉพาะตัว
ลองหากิจกรรมที่คุณทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เช่น ทำสวน อ่านหนังสือ หรือฟังเสียงธรรมชาติ งานวิจัยชี้ว่าแม้กิจกรรมง่ายๆ หากทำเป็นประจำก็ลดความถี่ของไมเกรนได้ - พิจารณาปรึกษานักจิตวิทยา
โดยเฉพาะผู้ที่มีความเครียดเรื้อรังหรือซึมเศร้าร่วมด้วย การบำบัดเชิงพฤติกรรม (CBT) ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถลดความรุนแรงของไมเกรนในระยะยาวได้
3. ติดตามและตรวจเช็กสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
- วัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ
ความดันโลหิตสูงโดยไม่รู้ตัวอาจเป็นสาเหตุของไมเกรนเรื้อรัง ควรวัดความดันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือใช้เครื่องวัดความดันดิจิทัลที่บ้าน - ตรวจระดับไขมันในเลือดและหลอดเลือดสมอง
การมีไขมันเลว (LDL) สูง หรือหลอดเลือดตีบแคบจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้มีโอกาสเกิดไมเกรนบ่อยขึ้น ควรตรวจเลือดปีละ 1 ครั้งโดยเฉพาะผู้มีอายุมากกว่า 35 ปี - ปรึกษาแพทย์เรื่องยา “ป้องกันไมเกรน”
หากอาการไม่ดีขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติ อาจพิจารณาใช้ยา เช่น- ยากลุ่ม Beta-blocker (ช่วยลดความดันและป้องกันการขยายหลอดเลือดสมอง)
- ยากลุ่ม Antidepressant บางชนิด
- ยาต้าน CGRP ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของไมเกรน (ต้องอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์)
- ยากลุ่ม Beta-blocker (ช่วยลดความดันและป้องกันการขยายหลอดเลือดสมอง)
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อจัดการไมเกรน
อาการไมเกรนไม่หายไม่ได้แปลว่าคุณต้องทนไปตลอดชีวิต หากคุณดูแลสุขภาพโดยการควบคุมความเครียด ตรวจเช็กความดันและไขมันในเลือดอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปรับพฤติกรรมประจำวันให้สมดุล ก็สามารถลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘การ์ทเนอร์’ เผย ‘AI Agents’ อาวุธลับ เปลี่ยนเกมการตัดสินใจธุรกิจ

- ภายในปี 2570 การตัดสินใจทางธุรกิจครึ่งหนึ่ง (50%) จะได้รับแรงหนุนจากการทำงานอัตโนมัติและเสริมประสิทธิภาพโดย AI Agents
- AI Agents ไม่ใช่โซลูชันที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องทำงานร่วมกับการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ การจัดการความเสี่ยง และการตัดสินใจของมนุษย์
- องค์กรที่ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง AI (AI Literacy) จะสามารถปลดล็อกศักยภาพของเทคโนโลยีและสร้างผลประกอบการได้สูงกว่า
- ภายในปี 2572 บอร์ดบริหารจะเริ่มใช้คำแนะนำจาก AI เพื่อทบทวนและท้าทายการตัดสินใจที่สำคัญทางธุรกิจของผู้บริหาร
“การ์ทเนอร์” เผยคาดการณ์ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (Data and Analytics) สำคัญๆ ของปี 2568 และปีต่อๆ ไป พบว่า การตัดสินใจทางธุรกิจครึ่งหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานอัตโนมัติจาก “AI Agents”
คาร์ลี่ ไอโดอีน รองประธานนักวิเคราะห์ การ์ทเนอร์ กล่าวว่า ในวันนี้กิจกรรมเกือบทุกอย่างตั้งแต่วิธีการทำงานไปจนถึงวิธีการตัดสินใจล้วนได้รับอิทธิพลจากปัญญาประดิษฐ์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
อย่างไรก็ดี AI ไม่สามารถตอบสนองหรือส่งมอบคุณค่าทั้งหลายได้เองตามลำพัง จำเป็นต้องทำงานสอดคล้องกับข้อมูล แนวทางการวิเคราะห์ และการกำกับดูแล เพื่อช่วยให้ตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างชาญฉลาดและสามารถปรับเปลี่ยนได้เหมาะสมกับองค์กร
ไม่มี ‘สูตรสำเร็จ’
การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรใช้หลักสมมติฐานเชิงกลยุทธ์ต่อไปนี้ เพื่อวางแผนอนาคตในอีก 2-3 ปีข้างหน้าดังนี้
ภายในปี 2570 ครึ่งหนึ่ง (50%) ของการตัดสินใจทางธุรกิจมาจากการทำงานอัตโนมัติและเสริมประสิทธิภาพด้วย AI Agents สำหรับ Decision Intelligence
Decision Intelligence เมื่อรวมเข้ากับข้อมูล การวิเคราะห์ และ AI จะสร้างกระบวนการตัดสินใจเพื่อสนับสนุนและทำให้การตัดสินใจที่ซับซ้อนเป็นอัตโนมัติ โดย AI Agents ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกับกระบวนการนี้ จัดการกับความซับซ้อน การวิเคราะห์ และการดึงแหล่งข้อมูลต่างๆ มาใช้
AI Agents สำหรับ Decision Intelligence ไม่ใช่สูตรสำเร็จและไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดไม่ได้ หากแต่ต้องใช้ร่วมกันกับการกำกับดูแลและการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการตัดสินใจของมนุษย์ยังต้องการความรู้ที่เหมาะสม รวมถึงความรู้ในด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์
ปูทาง ‘ทำเงิน’ ในอนาคต
ภายในปี 2570 องค์กรที่มุ่งเน้นให้ผู้บริหารเรียนรู้และเข้าใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI Literacy) จะมีผลประกอบการทางการเงินสูงกว่าองค์กรที่ไม่สนใจเรื่องนี้ถึง 20%
การปลดล็อกศักยภาพธุรกิจเต็มรูปแบบด้วยปัญญาประดิษฐ์ต้องสร้าง AI Literacy ให้แก่ผู้บริหาร พวกเขาต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโอกาส ความเสี่ยงและต้นทุน AI เพื่อตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต การลงทุนด้าน AI ที่ช่วยเร่งผลลัพธ์ขององค์กร
ภายในปี 2570 ผู้บริหารด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ 60% จะเผชิญกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ในการจัดการข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) เกิดความเสี่ยงต่อการกำกับดูแล AI ความแม่นยำ และการปฏิบัติตามข้อกำหนดของโมเดล
กล่าวได้ว่า การใช้ข้อมูลสังเคราะห์ หรือ Synthetic Data เพื่อฝึกโมเดล AI ขณะนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นส่วนตัวและการสร้างชุดข้อมูลที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนเกิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องให้แน่ใจว่าข้อมูลสังเคราะห์สามารถสื่อถึงสถานการณ์ที่เป็นจริงได้แม่นยำ ปรับขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลที่เติบโต และบูรณาการเข้ากับข้อมูลและระบบที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น
เพื่อจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ องค์กรต้องใช้การจัดการ Metadata ที่มีประสิทธิภาพ โดย Metadata จัดเตรียมบริบท เชื่อมโยง และกำกับดูแลที่จำเป็นเพื่อติดตาม ตรวจสอบ รวมถึงจัดการข้อมูลสังเคราะห์ได้อย่างมีความรับผิดชอบ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความถูกต้องแม่นยำของ AI และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
ใช้ AI ช่วยตัดสินใจ ‘เรื่องสำคัญ’
ภายในปี 2571 โครงการนำร่อง GenAI 30% ที่มุ่งสู่การผลิตขนาดใหญ่จะถูกสร้างขึ้นแทนที่การใช้งานผ่านแอปพลิเคชันสำเร็จรูป (Packaged Applications) เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มการควบคุม
การสร้างโมเดล GenAI ภายในองค์กรให้ความยืดหยุ่น การควบคุม และคุณค่าในระยะยาวที่เครื่องมือสำเร็จรูปหลายอย่างทำไม่ได้ และเมื่อความสามารถภายในเติบโตขึ้น
เรื่องนี้องค์กรควรนำกรอบการทำงานที่ชัดเจนมาใช้สำหรับการตัดสินใจว่าจะสร้างเองหรือจะซื้อ (Build Versus Buy Decisions) ที่ต้องพิจารณาปัจจัยด้านต้นทุน ระยะเวลาที่จะออกสู่ตลาด ชุดทักษะความรู้ที่มีอยู่ ความสามารถในการบูรณาการ การปฏิบัติตามข้อกำหนดและความเสี่ยง
ภายในปี 2570 องค์กรที่จัดลำดับความสำคัญของอรรถศาสตร์ (การศึกษาความหมายของคำหรือภาษา) หรือ Semantics ในชุดข้อมูล AI จะเพิ่มความแม่นยำของโมเดล GenAI ได้สูงสุด 80% และลดต้นทุนสูงสุด 60%
อรรถศาสตร์ที่ไม่ดี (Poor Semantics) หรือการศึกษาความหมายของภาษาที่ไม่ดีใน GenAI นำไปสู่การตีความผิดเพี้ยนมากขึ้น ต้องการโทเค็นและมีต้นทุนสูงขึ้น องค์กรที่ทบทวนการจัดการข้อมูลโดยมุ่งเน้นไปที่ Active Metadata ขับเคลื่อนความแม่นยำและประสิทธิภาพของโมเดลมากขึ้น จะมีความพร้อมด้านข้อมูลปัญญาประดิษฐ์สูงขึ้น (AI Data Readiness) และลดต้นทุนการคำนวณ
ภายในปี 2572 บอร์ดบริหารทั่วโลก 10% จะใช้คำแนะนำที่ได้รับจาก AI มาท้าทายการตัดสินใจที่มีความสำคัญต่อธุรกิจของผู้บริหาร
เมื่อ AI ฝังอยู่ในกลยุทธ์ของบอร์ดบริหาร ความต้องการการกำกับดูแลข้อมูลให้แข็งแกร่ง หรือ Data Governance ความชัดเจนกฎระเบียบ และการจัดการชื่อเสียงองค์กรจะมีความเข้มข้นขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำศัพท์ Neologisms คืออะไร ทำไมคนสมัยนี้ต้องรู้

ใครบางคนอาจเคยได้ยิน Neologism (นีโอโลจิสเซิม) คือ คำศัพท์ที่ได้รับความนิยมในคนสมัยนี้ แม้จะไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในสังคมเราไม่น้อย ทั้งในสังคมไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะสำหรับการ เรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก neologisms หรือ คำศัพท์ใหม่ที่เราไม่ควรพลาด ใครที่กำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ รับรองรู้แล้วไม่ตกเทรนด์แน่นอน
มาทำความรู้จักว่า Neologisms คืออะไร
“Neologism” มีคำศัพท์ที่มาจาก Neo, New = ใหม่ คำศัพท์หรือวลีใหม่ที่ถูกกำหนดขึ้นมาและเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ฮิตติดเทรนด์ในหมู่ผู้คน แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับและถูกบัญญัติขึ้นมาอย่างเป็นทางการในแง่การเขียน คำศัพท์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ใช้สำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ มาดูกันว่าคำศัพท์ใหม่ ๆ ที่กำลังฮิตและเหมาะสำหรับการ เรียนภาษาอังกฤษ ในยุคนี้มีอะไรกันบ้าง พร้อมกับความหมายและตัวอย่างสถานการณ์ว่าควรใช้ ณ ตอนไหน
ศัพท์ประเภทนี้ควรใช้กับสถานการณ์แบบใด
คำศัพท์ Neologisms ยอดนิยมที่ห้ามพลาด
- Metrosexual (เมโทรเซ็กชวล) = ผู้ชายที่ใช้ชีวิตในสังคมเมือง บุคคลที่ชอบเข้าสังคม
ผู้ชายที่มีความรักและดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าผมมากกว่าผู้ชายทั่วไป รวมถึงแฟชั่นที่แต่งตัวเหมือนไม่ใช่ชายแท้ ชายกลุ่มนี้อาจมีความชอบแบรนด์เนม ใช้น้ำหอม ช็อปปิ้งและออกกำลังกายที่ฟิตเนส แรงดึงดูดทางเพศต่อกลุ่มเควียร์ ตัวตนเพศไร้กรอบที่ไม่ได้ชอบแค่เพศใดเพศหนึ่ง
= “My metrosexual boyfriend has so many shirts until he needs more wardrobe space.”
แฟนหนุ่มเมโทรเซ็กชวลของฉันมีเสื้อเยอะมากจนต้องการพื้นที่ให้ตู้เสื้อผ้าใหม่แล้ว
- Hangry (ฮังกรี)= โมโหหิว
เป็นการผสมผสานของคำว่า Hungry = หิว และ Angry = โกรธ ที่โดยรวมแล้วแปลว่าโมโหหิวนั่นเอง
“People often get hangry when their blood sugar level is low.”
= ผู้คนมักจะโมโหหิว ยามน้ำตาลในเลือดตก
- FOMO อ่านว่าโฟโม (Fear of Missing Out): = กลัวจะพลาด
โฟโม หรือ เฟียออฟมิสซิงเอาท์ หมายถึง กลัวที่พลาดข่าวสาร หรือ ประเด็นร้อนต่าง ๆ มีความกระตือรือร้น แอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นเป็นอย่างมาก จนกลัวพลาดที่จะรับรู้บางสิ่งบางอย่างไป
“My classmate’s Instagram stories are making me feel FOMO because they are having a lot of fun.”
= สตอรี่เพื่อน ๆ ร่วมห้องของฉันบนไอจีกำลังทำให้ฉันอยากรู้อยากเห็นมาก ๆ เพราะพวกเขากำลังสนุกกันใหญ่เลย
- Glamping (แกลมปิง) = การเดินทางไปตั้งแคมป์แบบหรูหรา
การผสมคำระหว่าง Glamorous = ติดแกลม และ Camping = การตั้งแคมป์ เป็นที่มาของชื่อนี้ เป็นการตั้งแคมป์โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ต่างจากการตั้งแคมป์ทั่วไปที่นอนกลางแจ้งที่เน้นเพียงความเรียบง่ายและประหยัดเวลา
We decided to go glamping instead of staying in a traditional hotel this weekend .
= เราตัดสินใจแล้วที่จะไปแกลมปิ้งสุดสัปดาห์นี้แทนที่จะไปพักโรงแรมแบบธรรมดา ๆ
- Maskcne (มาสคเน่) = สิวที่เกิดจากการใส่หน้ากาก
คำนี้เข้ากับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสภาพอากาศมีฝุ่นควันและการระบาดของโลกโควิด-19 จึงทำให้เกิดคำนี้ ซึ่งมาจากคำว่า Mask = หน้ากากอนามัย และ Acne = สิว จึงเป็นที่มาของสิวที่เกิดจากการใส่แมสก์นั่นเอง
“Maskne can be caused by friction, sweat, and bacteria trapped between the mask and skin.”
= สิวจากหน้ากากสามารถเกิดได้จากการเสียดสี เหงื่อและแบคทีเรียที่ติดอยู่ระหว่างหน้ากากกับผิวหนัง
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
แค่กำมือเดียว คุณค่าดั่ง “โสมของคนจน” ขึ้นอยู่เต็มริมรั้วในชนบท แต่กลับมีไม่กี่คนที่รู้

ใบไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินซี ถือเป็นอาวุธลับเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แข็งแรงและต้านโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้นหม่อนเป็นพืชที่หลายคนคุ้นเคย บางคนอาจมองว่าเป็นแค่พืชที่ปลูกไว้เลี้ยงหนอนไหม ไม่น่าเอามาทำอาหารได้ แต่เมื่อรู้ถึงสรรพคุณอันน่าทึ่งต่อสุขภาพ หลายครอบครัวจึงเริ่มนำมันมาใส่ในเมนูอาหารประจำบ้าน
ไม่ใช่แค่ผลหม่อนเท่านั้นที่มีประโยชน์ แม้แต่ใบและลำต้นก็ล้วนดีต่อสุขภาพ ผลหม่อนมักนิยมนำมาดองเหล้าหรือทำเป็นน้ำเชื่อมดื่มชื่นใจ ส่วนใบก็เป็นอาหารของหนอนไหม
แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “ใบหม่อน” ยังถือเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในการช่วยป้องกันและบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
ใบหม่อนถือเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด และในศาสตร์การแพทย์แผนจีนยังนิยมใช้ใบหม่อนเป็นหนึ่งในวิธีรักษาโรคเบาหวาน
จากข้อมูลวิจัยพบว่า ใบหม่อนมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยสารสำคัญที่พบ ได้แก่ อัลคาลอยด์ (alkaloid) ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์บางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในร่างกาย และ โพลีแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) ที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเซลล์เบต้าในตับอ่อน ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายสามารถนำกลูโคสไปใช้ได้ดีขึ้น และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในที่สุด
นอกจากนี้ ยังพบสารบางชนิดในใบหม่อนที่สามารถชะลอกระบวนการย่อยคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นน้ำตาลเดี่ยว ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้น้อยลง จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ใบหม่อนจะมีประโยชน์ แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและการรักษา
ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
ตามรายงานของสื่อ Lao Động การรับประทานใบหม่อนเป็นผักถือว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบตาแคโรทีน และ กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) ที่พบในใบหม่อน ซึ่งช่วยป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้
อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
ใบหม่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Folium Mori Albae ซึ่งเป็นใบของต้นหม่อน (Morus alba L.) ในวงศ์ Moraceae
ในใบหม่อนมีสารอาหารหลากหลายชนิด เช่น
- เจลาติน
- แคโรทีน (Carotene)
- แทนนิน (Tannin)
- วิตามิน C, B1, B2
- โคลีน (Choline), อะดีนีน (Adenine), ไตรโกเนลลีน (Trigonelline)
- น้ำตาลชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ฟรุกโตส, ซูโครส, กลูโคส
- กรดโฟลิก, พิวรีนกลูตามิก, กลูตาไธโอน
- แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ทองแดง (Cu), สังกะสี (Zn) และ โบรอน (B)
ตามตำราแพทย์แผนจีน ใบหม่อนมีรสขมอมหวาน ออกฤทธิ์เย็น จัดอยู่ในหมวดสมุนไพรที่ออกฤทธิ์กับปอดและตับ มีสรรพคุณช่วยขับลมร้อน บรรเทาไอ ล้างพิษจากตับ และบำรุงสายตา
ใช้รักษาอาการ เช่น
- ไข้หวัดที่มีลมร้อน
- ปวดหัว
- ตาแดง
- หลอดลมอักเสบ
- ไอแห้ง
- คอแห้งกระหายน้ำ
ขนาดและวิธีใช้
ใช้ใบแห้งประมาณ 6–15 กรัม สามารถนำมาต้ม ชง หรือบดต้มก็ได้ ตามข้อมูลจาก สำนักข่าวสุขภาพและชีวิต (Sức khỏe & Đời sống) ของเวียดนาม

ช่วยบำรุงสายตา
ทั้งผลและใบของต้นหม่อนล้วนดีต่อสุขภาพ เมื่อนำมาชงเป็นชา จะให้วิตามินเอในปริมาณสูง ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสายตา ลดอาการเมื่อยล้าทางสายตา และป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา
ใบหม่อนถูกใช้เป็นสมุนไพรในแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน ทั้งในรูปแบบยารักษาโรค ชาสมุนไพร และส่วนประกอบในอาหาร
ดีต่อกระดูกและฟัน
ใบหม่อนมีแคลเซียมสูง จึงช่วยเสริมสร้างและคงความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ช่วยให้ร่างกายมีโครงสร้างที่มั่นคงและห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนในระยะยาว
ช่วยลดไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใบหม่อนทำหน้าที่คล้ายกับพาราเซตามอลตามธรรมชาติ ช่วยลดไข้และฟื้นฟูร่างกายได้ดี โดยเป็นสมุนไพรที่มีราคาถูกและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ฆ่าเชื้อไวรัส บรรเทาอาการอักเสบของปอด ล้างพิษตับ และบำรุงสายตา
ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
ในใบหม่อนมีสารประกอบบางชนิดที่ช่วยปรับสมดุลระบบประสาท ส่งผลให้หลับง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
ลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
สำหรับผู้ที่มีปัญหาระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ใบหม่อนถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเมื่อรับประทานเป็นประจำ จะช่วยลดระดับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
รักษาโรคดีซ่านได้ดี
ใบหม่อนถูกใช้ในแพทย์แผนโบราณมาอย่างยาวนานในฐานะสมุนไพรบำบัดโรค นอกจากนี้ยังนิยมนำมาชงเป็นชาและปรุงอาหารหลากหลายเมนู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบหม่อนช่วยรักษาโรคดีซ่าน อาการจากความร้อนชื้น เช่น ไข้ร้อน ปวดศีรษะ
ใบหม่อนยังช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ ช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะเข้มข้น น้ำตาแดง รวมถึงมีฤทธิ์เย็น ช่วยล้างพิษ และบำรุงตับ สามารถรักษาอาการตับทำงานผิดปกติจากความร้อนสะสม และช่วยปกป้องตับได้ในระดับหนึ่ง
ต้านการอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากสรรพคุณที่กล่าวมา ใบหม่อนยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการบวม แดง และระคายเคืองบนผิวหนังได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,150.00 | 51,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,307.00 | 50,134.12 | 52,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,976.30 | 45,120.71 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,645.60 | 40,107.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,488.15 | 22,560.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,157.45 | 17,546.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,426.94 | 51,952.41 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |