สาระน่ารู้ประจำวันที่ 08 ตุลาคม 2568

บ้านหรูโอกาสทองหรือความเสี่ยงกับดักต้นทุนกลายเป็นระเบิดเวลา

  • ตลาดบ้านหรูเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีความต้องการจำกัดและมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ต้นทุนกลายเป็นทุนจม
  • ทำเลที่ตั้งคือหัวใจสำคัญ โดยเน้นความเป็นส่วนตัว ความสงบ และใกล้ชิดธรรมชาติ มากกว่าการอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก
  • ผู้ซื้อบ้านหรูมองหาคุณค่าที่มากกว่าความสวยงาม เช่น โครงสร้างที่แข็งแรงทนทาน นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย และการออกแบบที่สะท้อนสถานะและตัวตน

KKP วิเคราะห์เจาะลึกสมรภูมิบ้านหรูระดับ 25–100 ล้านบาท ที่แม้จะดูหรูหรามีมาร์จิ้นเย้ายวน แต่แท้จริงแล้วคือเกมที่ต้องใช้ความเข้าใจเชิงลึก ทำเลที่ใช่ และกลยุทธ์ที่เฉียบคม เพราะการก้าวพลาดเพียงครั้ง อาจหมายถึงการ “จุดระเบิด” บนงบการเงินของผู้พัฒนาเอง

“บ้านหรูไม่ใช่สินค้าสำหรับทุกคน และนักพัฒนาทุกคนก็ไม่ควรลงสนามนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจว่า ‘หรู’ สำหรับใคร”

ในขณะที่ตลาดแมสเริ่มอิ่มตัว การแข่งขันในบ้านระดับกลางทวีความรุนแรง ผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายรายจึงเริ่มมองไปยัง “ปลายพีระมิด” ของตลาด ที่มีบ้านหรูราคาตั้งแต่ 25–100 ล้านบาทเป็นเดิมพัน

ดูเผิน ๆ อาจเหมือนโอกาสทอง เพราะกลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีกำลังซื้อมั่นคง และมาร์จิ้นต่อยูนิตสูงกว่าตลาดทั่วไปหลายเท่า

แต่ KKP กลับมองว่า นี่อาจเป็น “ดินแดนลวงตา” ที่เต็มไปด้วยกับดัก

ตลาดเฉพาะ…ที่แคบกว่าที่คิด

ยอดขายบ้านหรูในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเฉลี่ยเพียง 700–800 ยูนิตต่อปีแม้จะมูลค่าสูง แต่เป็นตลาดที่แคบ และมีดีมานด์เฉพาะเจาะจงสูงมาก

“ถ้าก้าวพลาดแม้เพียงหนึ่งก้าว ทั้งต้นทุนจะกลายเป็นทุนจม และแบรนด์อาจเสียหายแบบฟื้นตัวยาก”

เมื่อเจาะลึกตามระดับราคา พบว่าความต้องการหดแคบลงเรื่อย ๆ ตามระดับความหรู

  • 25–50 ล้านบาท สัดส่วน 7.9% ของยอดขายบ้านเดี่ยว
  • 50–75 ล้านบาท เหลือเพียง 1.5%
  • 75–100 ล้านบาทหดเหลือ 0.4%
  • 100 ล้านบาทขึ้นไป มีแค่ 0.3% ของทั้งตลาด

แปลว่า หากพัฒนาผิดช่วงราคา โครงการอาจ “ติดลมบน” ไปในทางที่ไม่อยากให้เกิด

ทำเลที่ใช่ คือหัวใจของเกม

สำหรับบ้านหรู “ทำเลดี” ไม่ได้แปลว่าใกล้รถไฟฟ้าหรือห้างใหญ่เสมอไปแต่หมายถึงทำเลที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง อยู่ในโซนเงียบสงบ ใกล้ธรรมชาติ โรงเรียนนานาชาติ เช่นพัฒนาการ กรุงเทพกรีฑา บางนา พุทธมณฑล ในทางกลับกัน บางทำเลแม้ยอดขายจะสูง แต่กลับมีบ้านเหลือขายจำนวนมาก ซึ่งสะท้อน “การแข่งขันที่อัดแน่น” และสัญญาณล้นตลาด

“ยอดขายดีอาจไม่ใช่สัญญาณดีเสมอไป ถ้าหมู่บ้านข้าง ๆ ก็ยังลดราคากระหน่ำ”

บ้านหรูต้อง “เข้าใจลึก” กว่าการออกแบบสวย

ผู้ซื้อบ้านหรูมองมากกว่าความงามภายนอกพวกเขาต้องการ “คุณค่า” ที่แฝงอยู่ในทุกดีเทล ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบกันภัยพิบัติ เช่น โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว
  • วัสดุกันน้ำและเชื้อรา
  • ความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบ
  • พื้นที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ
  • ที่สำคัญคือต้องมี “เรื่องเล่า” ที่สะท้อนตัวตนของโครงการและแบรนด์

“บ้านหรูไม่ใช่แค่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย แต่คือการสะท้อนตัวตน และสถานะของผู้ซื้อ”

พลุฉลอง…หรือระเบิดเวลา?

KKP เตือนชัดว่า การเข้าสู่ตลาดบ้านหรูแบบไม่วางกลยุทธ์ อาจไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่คือความประมาท
เพราะการขายไม่ออกอาจไม่ใช่แค่ขาดรายได้ แต่คือการดึงเงินทุนลงเหวพร้อมชื่อเสียงของผู้พัฒนา

“บ้านหรูเป็นเหมือนไฟที่สวยงาม แต่หากเล่นผิด มันจะเผาโครงการทั้งโครงการให้มอดไหม้”

ในทางกลับกัน ถ้าเข้าใจตลาดจริง เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้เฉียบคม และเลือกทำเลที่ใช่บ้านหรูก็สามารถกลายเป็น “พลุฉลองชัย” ที่เปล่งประกายในยุคที่ตลาดทั่วไปยังชะลอตัว

ปี 2568–2569 จะเป็นปีที่เกมบ้านหรูเริ่มเดือดแต่ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ตามเทรนด์เก่งแต่คือนักพัฒนาที่ “เข้าใจลึกกว่าใคร” และ “กล้าตัดสินใจแบบมีข้อมูล”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เอกชนจี้รัฐเร่งปั๊มเศรษฐกิจโค้งท้าย ห่วงหนี้ครัวเรือนรุม-กำลังซื้อตก ต้องโหมมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง

  • ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี เพื่อรับมือกับภาวะกำลังซื้อที่ถดถอยอย่างหนัก
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการบริโภคภายในประเทศ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเปราะบางและไม่ทั่วถึง
  • ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนคือการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาหนี้สิน การดูแลค่าเงินบาท และการหาตลาดใหม่เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก

เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทำให้ยังต้องจับตาความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด แม้จะมีสัญญาณบวกจากการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างโครงการคนละครึ่งออกมา แต่แรงกดดันจากทั้ง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความผันผวนของ อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนก็ยังเป็นตัวถ่วงสำคัญ

หลายสำนักยังคงมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่าง เปราะบางและไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศ และการบริโภคภายในประเทศที่ยังไม่กลับมาแข็งแกร่งอย่างที่ควรจะเป็น คำถามสำคัญที่กำลังถูกจับตา รัฐบาลจะมีมาตรการรับมืออย่างไร เพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงความเสี่ยงนี้ไปได้ และจะสามารถจุดพลุให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากภาวะเงินเฟ้อที่ติดลบหรือต่ำกว่ากรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ 1-3 % กำลังสะท้อนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลือของปีว่า มีกำลังซื้อถดถอยจากปัญหาหนี้ครัวเรือน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย และเงินบาทแข็งค่า ทำให้การนำเข้าพลังงานที่เป็นหมวดใหญ่ลดลง นำไปสู่สถานการณ์ที่ประชาชนในภาพรวมรู้สึกว่าเงินไม่สะพัด ไม่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะต่างจังหวัดจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณชี้วัดตามมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ว่าจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำในช่วง 4 เดือน ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. และส.อ.ท. เสนอ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง หรือแพจเกจท่องเที่ยวที่อาจจะเกิดขึ้นนระยะข้างหน้า สิ่งดังกล่าวเหล่านี้จะเป็นเครื่องชี้วัดว่าหลังจากที่ทำมาตรการ หากเงินเฟ้อดีขึ้นจากติดลบขยับขึ้นมาเป็น 0-1% หรือสูงกว่าศูนย์ได้ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นที่เห็นผล

“เวลานี้รัฐบาลและทีมงานเศรษฐกิจน่าจะทราบถึงสัญญาณดังกล่าวแล้ว ดังนั้ ก็จะต้องหามาตรการเพื่อมากระตุ้น โดยเชื่อว่าหากสามารถกระตุ้นได้ดีตัวชี้วัดก็จะแสดงให้เห็นว่า ตัวเลขเงินเฟ้อขยับขึ้นมาใกล้ศูนย์ได้ ก็ถือว่ามาตรการเกิดผ แต่ถ้าสามารถขยับขึ้นมาที่ระดับ 0-1% ก็ถือว่ายื่งประสบความสำเร็จ”

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สะท้อนว่า การใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ณ เวลานี้ได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งในโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังถือเป็นงานหนัก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากนักที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ หากรัฐบาลได้นำผลการหารือร่วมระหว่างผู้บริหารของ ส.อ.ท. กับนายกรัฐมนตรี และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงดำเนินการตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา หากสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงเชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และกำลังซื้อได้

“จุดต่ำสุดข้างต้นที่มองว่าเป็นความท้าทายคือ การใช้กำลังการผลิตของหลายอุตสาหกรรมในไทย จากที่สำรวจดูมีมากกว่า 20 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มได้รับผลกระทบการใช้กำลังผลิตที่ต่ำลง จากปัญหาการชะลอการสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐอเมริกา หลังมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอีก 19% ซึ่งขณะนี้ส.อ.ท.ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการหาตลาดใหม่เพื่อลดผลกระทบตลาดสหรัฐ และช่วยเพิ่มยอดขาย”

ขณะที่ในปี 2569 ผู้ประกอบการคงทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ไม่ได้ ต้องปรับตัวในหลายด้าน เช่น เน้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดคาร์บอนในการผลิต หาพันธมิตรทางการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออก กลาง รวมถึงการเร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ห่วงภาคการส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐฯ และตลาดอื่น ๆ จะชะลอตัวลง หลังสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% ซึ่งจะส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังช่วง 8 เดือนแรก การส่งออกไทยไปสหรัฐและตลาดอื่น ๆ ในภาพรวมยังขยายตัวได้ เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการขึ้นภาษีของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ (เริ่มบังคับใช้ 7 ส.ค. 68) และเวลานี้คู่ค้ายังมีสต๊อกสินค้าจำนวนมาก เฉลี่ยยังใช้ได้อีกประมาณ 3 เดือน ทำให้ชะลอการนำเข้า

“สิ่งที่คาดหวังจากรัฐบาลนับจากนี้ ต่อเนื่องไปถึงปีหน้าคือ การแก้ไขปัญหาเงินบาท อย่าให้แข็งค่ามากกว่าในภูมิภา การแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน เรื่องของหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน หนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อประคับประคองให้เขาผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปให้ได้ และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากปรับลดลงได้อีกจะช่วยเรื่องสภาพคล่องได้มาก เพราะยุคนี้ธุรกิจทำกำไรยาก หากผลิตสินค้าขายแล้วยังไม่พอจ่ายดอกเบี้ยก็ลำบาก”

3 ความท้าทายดึงเศรษฐกิจพ้นกับดัก

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ให้ความเห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ผู้ประกอบการ SMEs กำลังเผชิญกับ “กับดักทางเศรษฐกิจ” ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้สินที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ 3 ความท้าทายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเข้ามาดำเนินการอย่างเข้มข้น ได้แก่ 1. การแก้กับดักหนี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีหนี้ครัวเรือนที่ด้อยคุณภาพ ควบคู่ไปกับปัญหาหนี้เสียและหนี้นอกระบบที่มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยต้องมีการกำหนดเจ้าภาพที่ชัดเจน, การจัดตั้งผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางและ การจัดการหนี้ไฮบริดควบคู่กันไป

จากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า SMEs 45% มีลักษณะเป็น “หนี้แบบไฮบริด” ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบควบคู่กันไป ดังนั้นจึงต้องแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งสองส่วนไปพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นจะจะมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นหนี้เสียใหม่ได้ในที่สุด นอกจากนี้ต้องดำเนินการฟื้นฟูและพัฒนาเพื่อการกลับเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีขีดความสามารถในการกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ได้อีกครั้งอย่างมั่นคง

2. การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนผ่านการยกระดับขีดความสามารถ โดยสมาพันธ์ฯ สนับสนุนแนวทางที่ต้องการให้การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเป็น “ระยะสั้น แต่ได้ยาว” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งการที่เศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นให้เกิดผลยาวนานได้นั้น อาจจะต้องมีการปรับกระบวนการ ในการ “สร้างแรงจูงใจ” เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ระบบ มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลไกต่าง ๆ ของภาครัฐได้อย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้

อย่างไรก็ดี การกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวจะไม่นำมาซึ่งความยั่งยืน หากไม่มีการทรานส์ฟอร์มก้าวไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ ซึ่งรวมถึง AI (ปัญญาประดิษฐ์), Digital Technology รวมถึงการนำ นวัตกรรมและความสร้างสรรค์ เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน หากผู้ประกอบการไม่ปรับตัวจะขาดความยั่งยืน นอกจากนี้ การทำเรื่องเหล่านี้ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance) ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ SMEs มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงต้องดำเนินไปควบคู่ไปกับการยกระดับเพิ่มขีดความสามารถ

3. การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการใช้ประโยชน์ FTA รัฐบาลต้องเร่ง “เจรจา FTA” (ข้อตกลงการค้าเสรี) และดำเนินการเพื่อให้ผู้ประกอบการในทุก ๆ ขนาด สามารถเข้าถึงและเข้าใจ ตลอดจนใช้ประโยชน์จาก FTA ในทุกฉบับได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการขยาย FTA ไปยังประเทศอื่น ๆ หรือในกลุ่มอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมีเป้าหมายในการที่จะขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการ การดำเนินการในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการขยายตลาดนี้ จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ปลายปีนี้

SME ยังมีปัญหาเข้าถึงแหล่งเงินทุน

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ยังพบว่าการเข้าถึงสินเชื่อของ SME โดยเฉพาะ Micro SME ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งคลี่คลาย โดยเฉพาะสินเชื่อรายละราว 90,000-150,000 บาท ที่ยังเป็นจุดเปราะบางของระบบการเงิน

ทั้งนี้ แม้เอสเอ็มอีหลายรายจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ แต่สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังมองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ “รีเจคเรท” เพิ่มขึ้นจากระดับปกติราว 10% เป็น 15-18% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังไม่คลี่คลาย และถือเป็นความท้าทายสำคัญของไตรมาส 4 ปีนี้

ดังนั้น เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ บสย.ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการค้ำประกันสินเชื่อภายใต้ PGS11 ที่ยังมีวงเงินเหลืออยู่ราว 5,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อแก่เอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการประมูลงานภาครัฐ ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนขนาดใหญ่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปี

“รัฐบาลเองมีท่าที “โปรแอคทีฟ” มากขึ้นในการออกแบบโครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีที่เข้าถึงแหล่งทุนยาก ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มสภาพคล่องให้หมุนเวียนต่อเนื่องในระบบ”

นายสิทธิกร ยังฝากถึงรัฐบาลให้ช่วยดูแลเรื่องสภาพคล่องของเอสเอ็มอีทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่ามาตรการค้ำประกันสินเชื่อยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ภาครัฐเริ่มเปิดโอกาสให้ บสย. เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อในระบบ Non-Bank และ นาโนไฟแนนซ์ ได้ ซึ่งจะทำให้มีพันธมิตรทางการเงินรายใหม่เข้ามาเสริมกำลัง และช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงมากขึ้นในปีหน้า

สำหรับปี 2569 บสย.เตรียมวางบทบาทตัวเองให้เป็น “SME Gateway” เพื่อเปิดทางให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้สะดวกขึ้น พร้อมใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อช่วยเหลือรายที่ขาดคนค้ำ โดยจะเน้นช่วยเหลือใน 6 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ กลุ่มไมโครเอสเอ็มอีหรือพ่อค้าแม่ค้า สินเชื่อรายละ 50,000-90,000 บาท, กลุ่มเอสเอ็มอีทั่วไป, กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ, กลุ่มที่ต้องการปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ, กลุ่มผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์พลังงานสะอาด (Transformation Loan) และกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อเพื่อจัดหารถกระบะหรือรถยนต์เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8ต.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีลักษณะอยู่ในกรอบ Sideways หากนักลงทุนทยอยขายสินทรัพย์ไทยอาจเห็นเงินบาทอ่อนค่า /อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ส่วนในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมกนง.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8ต.ค.2568 ที่ระดับ  32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.53 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) และอาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนหรือไม่

 เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว อาจยิ่งกดดันเงินบาทเพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง อาจไม่ได้ง่ายนัก เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาด

อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านดังกล่าว อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้

นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะรอลุ้น ผลการประชุม กนง. ไปก่อนได้ ทำให้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจมีลักษณะอยู่ในกรอบ Sideways

โดยหาก กนง. คงดอกเบี้ย ตามที่เราประเมินไว้ แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมในอนาคต เปิดทางการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม หรือต้นปีหน้า (Dovish Hold) ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ไทยรวมถึงอัตราดอกเบี้ย THOR มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย

ส่วนการเคลื่อนไหวของเงินบาทนั้น จะขึ้นกับฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะเลือกขายสินทรัพย์ไทยไปก่อนหรือไม่ โดยหากนักลงทุนต่างชาติเลือกที่จะทยอยขายสินทรัพย์ไทยไปก่อน ก็อาจเป็นความเสี่ยงด้านอ่อนค่าต่อเงินบาทบ้าง

 ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทจะยังคงจำกัดอยู่ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด และยังไร้ปัจจัยกดดันที่ชัดเจน จากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ อย่าง แนวโน้มเงินดอลลาร์

ในทางกลับกัน หาก กนง. ลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ เรามองว่า ภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้แล้ว ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงต้องติดตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ว่าจะเลือกขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยไปก่อนหรือไม่

ในขณะที่ หาก กนง. ลดดอกเบี้ยตามคาด แต่กลับไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคต (Hawkish Cut) ซึ่งมีโอกาสเกิดต่ำ เรากังวลว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยไปก่อน กดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง

และในกรณีสุดท้าย หาก กนง. เซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps สู่ระดับ 1.00% พร้อมระบุโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งมีนักวิเคราะห์ต่างชาติประเมินถึงโอกาสเกิดภาพดังกล่าวบ้าง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อ

พร้อมผู้เล่นในตลาดที่จะเริ่มคาดหวังว่า กนง. อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ต่ำกว่าระดับ 1.00% ที่ประเมินล่าสุด ซึ่งภาพดังกล่าว อาจยังพอหนุนให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยได้บ้าง ทำให้สุดท้าย เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจน จากการเร่งลดดอกเบี้ยดังกล่าว กลับกัน เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งสอดคล้องกับสถิติในอดีต ในช่วงที่ กนง. มีการเร่งลดดอกเบี้ย หรือ มีการลดดอกเบี้ยสวนทางกับคาดการณ์ของตลาด

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.43-32.55 บาทต่อดอลลาร์) โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ในช่วงเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์

ส่งผลให้การอ่อนค่าของเงินบาทถูกจำกัดลง แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ยังคงเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ ที่น่าสนใจ คือ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ (XAUUSD)

โดยราคาทองคำยังคงสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางประเด็นการเมืองทั้งในฝั่งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นการเมืองดังกล่าวก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักอีกครั้ง

ดังจะเห็นได้จากการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวในหลายประเทศ อนึ่ง การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้ เราเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด (การไล่ราคาซื้อทองคำอาจชะลอลง) เนื่องจากราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นสู่โซนแนวต้านจิตวิทยา 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งแรงขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท จากการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรหุ้นธีม AI/Semiconductor โดยเฉพาะ Oracle -2.5% หลังมีกระแสข่าวว่า ผลกำไรของบริษัทในส่วนของธุรกิจ Cloud Computing (ในส่วนการเช่า GPU-server) แต่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ กลับไม่ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.38% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.67%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวลดลง -0.17% ตามแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML -2.5% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป พอได้แรงหนุนบ้าง จากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งเผชิญแรงขายหนัก โดยเฉพาะ LVMH +3.6% จากความกังวลสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสในวันก่อน

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่โซน 4.13% ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทว่า การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness เนื่องจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

อย่าง Nonfarm Payrolls ถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown เรามองว่า ในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways แต่จะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง

เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้อ่อนค่าลงทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ที่อาจทยอยลดสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น)

รวมถึงลดสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) เช่น ปรับลดสถานะ Long EUR (มองเงินยูโรแข็งค่าขึ้น) ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.3-98.7 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลประเด็นเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักอีกครั้ง หนุนให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะหลบความเสี่ยงในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำ กอปรภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 4,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

ส่วนในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเรามองว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งนี้ กนง. อาจตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.50% (สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่มองว่า กนง. จะมีมติลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.25%) แต่ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

โดย กนง. อาจรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามข้อมูลอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 เสียก่อน

และที่สำคัญ ในการประชุม กนง. ครั้งก่อน ได้มีการเน้นย้ำถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีอย่างจำกัด ทำให้ เรามองว่า การเลือกที่จะคงดอกเบี้ยไปก่อน อาจเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจกว่าในขณะนี้

อนึ่ง เรายอมรับว่า กนง. ก็อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมครั้งนี้ ได้เช่นกัน แต่ไม่ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ย ตามที่เราประเมิน ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังว่า กนง. จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.00% ได้ในปีหน้า 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส หลังนายกฯ ประกาศลาออก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.47-32.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.32 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ

 โดยเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดรอติดตามผลการประชุมและสัญญาณดอกเบี้ยนโยบายของไทยจากกนง. ในช่วงบ่ายวันนี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนต่อเนื่องจากปัจจัยเฉพาะที่กดดันให้เงินเยนและยูโรอ่อนค่าลง

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก  บันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 16-17 ก.ย. และสถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐฯ  
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โกลเด้นแม็กซิมัม! “ซาอุฯ” จัดสนุกเกอร์รายการใหญ่เพิ่ม “ลูกสีทอง” 20 แต้ม

กลายเป็นที่ฮือฮาทันกับการแข่งขันสนุกเกอร์ ริยาดห์ ซีซัน แชมเปียนชิพ 2025 ที่ บูเลวาร์ด ซิตี้, ประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคม 2568

ซึ่งรายการนี้ถือว่ามีความแตกต่างจากรายการทั่วไปโดยจะมีลูกสีทอง (โกลเดนบอล) ที่มีโบนัสเงินรางวัลพิเศษสูงถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 32 ล้านบาท) เพื่อเพิ่มระดับความท้าทาย และเพิ่มโอกาสในการทำคะแนนสูงสุดให้สูงกว่า 147 แต้ม (แม็กซิมัมเบรก)

รายละเอียดของการทำ โกลเด้นแม็กซิมัม (167 แต้ม)

  • แทงลูกแดง 15 ลูก สลับกับลูกสีดำ 15 ครั้ง
  • แทงลูกสีทอง (20 แต้ม) : หลังจากแทงลูกดำลูกสุดท้ายแล้ว ผู้เล่นจะต้องแทงลูกสีทอง ซึ่งให้คะแนน 20 แต้ม
  • เคลียร์ลูกสีที่เหลือ : หลังจากแทงลูกสีทองแล้ว ผู้เล่นจะต้องเคลียร์ลูกสีที่เหลือให้หมด (เหลือง, เขียว, น้ำตาล, ฟ้า, ชมพู, ดำ) เพื่อให้ครบตามจำนวนคะแนน

สำหรับ ลูกสีทอง ดังกล่าวจะวางอยู่ติดชิ่งบนหลังลูกสีน้ำตาล ซึ่งลูกดังกล่าวจะสามารถเล่นได้ก็ต่อเมื่อทำ 147 แต้ม (แม็กซิมัมเบรก) ได้ก่อน จากนั้นจึงจะเริ่มนำลูกสีทองมาตั้งตรงจุด อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถทำ 147 แต้มได้สำเร็จ ลูกสึทอง ก็จะไม่ถูกนำมาตั้งบนโต๊ะในเฟรมนั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“ปวดหลังส่วนล่าง” อาการยอดฮิต รวมสาเหตุและวิธีแก้ให้ดีขึ้น

ปวดหลังส่วนล่างคืออะไร? เปิด 5 สาเหตุยอดฮิต พร้อมวิธีแก้และบรรเทาอาการให้หายขาด

อาการ ปวดหลังส่วนล่าง คือความรู้สึกเจ็บหรือตึงบริเวณเอวและกระเบนเหน็บ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากทั้งในวัยทำงานและผู้สูงอายุ ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นอาการชั่วคราว หรือพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ โดยอาการปวดหลังล่างอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดร้าวลงขา ชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง

5 สาเหตุยอดฮิตที่ทำให้ปวดหลังล่าง

อาการปวดหลังส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และการใช้งานร่างกายที่ไม่ถูกต้อง ลองตรวจสอบว่าคุณกำลังมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่หรือไม่:

1. นั่งนานหรือท่าทางไม่ถูกต้อง

การนั่งทำงานนาน ๆ โดยไม่ขยับร่างกาย การนั่งหลังงอ หรือการใช้เก้าอี้ที่ไม่เหมาะสม ไม่มีพนักพิงรองรับหลังอย่างเพียงพอ เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักและเกิดอาการปวดตึงได้ง่าย

2. ยกของหนักผิดวิธี

การใช้แรงหลังมากกว่าขาในการยกของหนักจะทำให้กล้ามเนื้อและหมอนรองกระดูกถูกกดทับอย่างรุนแรง ซึ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเฉียบพลัน และอาจนำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนได้

3. หมอนรองกระดูกเสื่อมหรือเคลื่อน

ปัญหานี้พบมากในคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ เมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพหรือเคลื่อนออกมา จะไปกดทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวลงขา หรือมีอาการชาร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

4. กล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานเกิน

การออกกำลังกายหนักเกินไป การเล่นกีฬา หรือการยกเวทโดยไม่วอร์มอัพและยืดเหยียดร่างกายอย่างเพียงพอ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บและเกิดอาการปวดตึงที่หลังส่วนล่างได้

5. โรคหรือภาวะอื่น ๆ

อาการปวดหลังอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น ๆ เช่น โรคข้อเสื่อม กระดูกสันหลังคด หรือโรคเกี่ยวกับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน นอกจากนี้ การตั้งครรภ์ ก็เป็นอีกภาวะที่ทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนและทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน

วิธีแก้และบรรเทาอาการปวดหลังล่างที่ทำได้เอง

การบรรเทาอาการปวดหลังล่างสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันร่วมกับการดูแลร่างกายอย่างเหมาะสม

  • ปรับท่าทางการนั่งและยืน: เลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับหลังส่วนล่าง และฝึกยืนหรือนั่งหลังตรง ไม่ควรงอหลังเป็นเวลานานเกินไป
  • การออกกำลังกายและยืดเหยียด: การฝึกโยคะท่าที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อหลัง เช่น ท่าแมว–วัว (Cat-Cow) หรือ ท่าสะพาน (Bridge) รวมทั้งการยืดกล้ามเนื้อเอวและต้นขาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี
  • ประคบร้อน–เย็น: ใช้เจลร้อนหรือถุงน้ำร้อนช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึง หากอาการปวดเกิดจากการบาดเจ็บใหม่ (เฉียบพลัน) ควรประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรนอนบนที่นอนที่ไม่นิ่มหรือยวบเกินไป ลองเปลี่ยนท่านอนให้นอนหงายพร้อมหนุนหมอนรองใต้เข่า หรือนอนตะแคงงอเข่าเล็กน้อย เพื่อลดแรงกดทับที่หลัง

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อไหร่?

อาการปวดหลังล่างที่เกิดขึ้นชั่วคราวมักสามารถหายได้เองจากการปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง แต่หากอาการปวดเรื้อรังเกิน 2–3 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดร้าวลงขา ชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาอย่างถูกวิธีทันที

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Spotify ผนึก ChatGPT เปลี่ยนทุกคำสั่งผู้ใช้ให้กลายเป็นการฟังแบบเฉพาะตัว

  • Spotify ร่วมมือกับ ChatGPT ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งการด้วยข้อความเพื่อสร้างเพลย์ลิสต์และค้นหาเพลงแบบเฉพาะตัว
  • ผู้ใช้สามารถขอเพลงตามอารมณ์ กิจกรรม หรือแนวเพลงที่ชอบ และ ChatGPT จะสร้างเพลย์ลิสต์จาก Spotify ให้ฟังได้ทันทีภายในหน้าแชท
  • ฟีเจอร์นี้เชื่อมต่อกับบัญชี Spotify ของผู้ใช้โดยตรง และพร้อมให้บริการสำหรับผู้ใช้ ChatGPT ทั้งแบบฟรีและเสียเงินบนเว็บและมือถือ

สเตน การ์มาร์ค (Sten Garmark)  รองประธานอาวุโส ฝ่ายประสบการณ์ผู้บริโภคทั่วโลก (SVP, Global Head of Consumer Experience) แห่ง Spotify  กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ Spotify คือการอยู่เคียงข้างคุณทุกที่ทุกเวลา การนำ Spotify เข้ามาอยู่ใน ChatGPT ครั้งนี้ คือการสร้างวิธีใหม่ที่ทรงพลังให้แฟน ๆ ได้เชื่อมต่อกับศิลปินและครีเอเตอร์ที่พวกเขารัก ผ่านการสนทนาได้ทุกเมื่อที่แรงบันดาลใจเกิดขึ้น

ฟีเจอร์ใหม่นี้ทำให้การค้นหาเพลงเป็นเรื่องที่ง่ายมากกว่าที่เคย ทุกคำถามที่พิมพ์สามารถพาไปค้นพบเพลงใหม่ ๆ หรือย้อนกลับไปฟังเพลงโปรดในอดีตได้อีกครั้ง หรือแม้แต่ต่อยอดการสนทนาใน ChatGPT ด้วยเพลย์ลิสต์ที่เข้ากับบรรยากาศได้อย่างลงตัว

ไม่ว่าจะเป็น “ช่วยสร้างเพลย์ลิสต์ไว้ฟังตอนขับรถเที่ยวหน่อย” หรือ “แนะนำศิลปินอินดี้ไทยที่ฉันชอบฟังหน่อยสิ” ChatGPT จะสร้างเพลย์ลิสต์แนะนำที่เฉพาะตัวจาก Spotify ที่สามารถกดฟังได้ทันที

วิธีการใช้งาน:

1. เริ่มต้นสนทนาใน ChatGPT แล้วพิมพ์คำที่มี “Spotify” อยู่ในคำสั่ง ครั้งแรกที่ทำ ระบบจะขึ้นแจ้งให้เชื่อมต่อบัญชี Spotify ของผู้ใช้ขึ้นมา

2.จากนั้นสามารถถามเกี่ยวกับเพลง ศิลปิน อัลบั้ม เพลย์ลิสต์ หรือพอดแคสต์ได้เลย ChatGPT จะเปิดแอป Spotify ภายในหน้าสนทนาและใช้บริบทที่เกี่ยวข้องเพื่อแนะนำหรือเล่นตามที่ต้องการ  และยังสามารถขอเพลงตามอารมณ์ ธีม หรือหัวข้อที่สนใจได้ด้วย และ Spotify จะคัดสรรเพลงเฉพาะตัวให้คุณอย่างราบรื่นในระหว่างการสนทนา

3. เปิดแอป Spotify ได้ทันที  เมื่อเลือกเพลงหรือพอดแคสต์ ระบบจะเปิดตรงเข้าสู่แอป Spotify ให้ฟังและชมได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากหน้าสนทนา

รายละเอียดเพิ่มเติม:

1. ฟีเจอร์นี้พร้อมให้บริการสำหรับผู้ใช้งาน ChatGPT ทั้งรูปแบบ Free, Plus และ Pro ในกว่า 145 ประเทศ ทั้งบนเว็บและมือถือ (iOS และ Android)

2. การอัปเดตครั้งนี้ขยายการเข้าถึงของ Spotify ไปไกลกว่า 2,000 อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ พร้อมนำประสบการณ์การสตรีมเข้าสู่โลกของการสนทนาด้วยพลังของ AI

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


Prefix Suffix เทคนิคจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ขั้นเทพ!

Prefix Suffix คำศัพท์

“ เดาศัพท์ ให้ดูเซียน ช่วยให้คุณจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ง่ายมากขึ้น”

Prefix Suffix คือ อะไร?

Prefixes Suffixes มีประโยชน์อย่างยิ่งในการเรียนภาษาอังกฤษ หรือในการสอบภาษาอังกฤษ Prefixes Suffixes จะช่วยให้คุณจดจำคำศัพท์และช่วยให้คุณสามารถคาดเดาความหมายของคำศัพท์นั้นได้อย่างยอดเยี่ยม

Prefix แปลว่า อุปสรรค

เมื่อนำ Prefix ไว้ด้านหน้าคำศัพท์ใด ทำให้ความหมายของคำนั้นเปลี่ยนไป เช่น เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม, เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง, หรือช่วยบอกตำแหน่ง, เวลา, และจำนวนก็ได้

ตัวอย่าง

1. เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม , ความหมายเชิงปฎิเสธ (a-, im-, in-, ir- , un-, dis-) เช่น amoral, impossible , inconvenient , irreparable , unfair , dislike
2. ความหมายเกี่ยวกับสถานที่ , ตำแหน่ง (super- , sub- , inter-) เช่น superstructure , subway , international
3. ความหมายเกี่ยวกับเวลา (pre- , fore- , post-) เช่น prehistory , foretell , post-war
4. ความหมายเกี่ยวกับจำนวน (mono- , bi- ,tri- , multi-) เช่น monopoly , bicycle , triangle , multimedia

Prefix a-

meaning : not, without (แปลว่า ไม่)

  • amoral (adj) ไร้ศีลธรรม
  • anonymous (adj) นิรนาม, ไม่เปิดเผย
  • atypical (adj) ผิดแบบ, ผิดพวก, ผิดปกติ
  • achromatic (adj) ไม่มีสี
  • asymmetrical (adj) ไม่สมดุล, ไม่สมมาตร, ไม่ได้ส่วนสัด
  • asymmetry (n.)ไม่สมส่วนกัน

Prefix annu-, enni-

meaning : year (แปลว่า ปี)

  • annual (adj.) ประจำปี
  • anniversary (n.) วันครบรอบปี
  • biannual (adj.) สองครั้งต่อปี
  • annals (n.) บันทึกเหตุการณ์ประจำปี
  • millennium (n.) วันครบรอบพันปี‍ ‍

Sufflix แปลว่า ปัจจัย

เมื่อนำ Sufflix วางไว้ด้านหลังคำศัพท์ แล้วทำให้ความหมายชัดเจนขึ้น และส่วนใหญ่จะทำให้หน้าที่ของคำเปลี่ยนไปด้วย เช่น เปลี่ยนกริยาเป็นคำนาม, เปลี่ยนคำนามเป็นคำคุณศัพท์ เป็นต้น

ตัวอย่าง

1. Noun suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นคำนาม ( -ee, -er/-or , -ness , -sion/tion) เช่น employee , singer, director , happiness , expression , collection
2. Adjective suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นคุณศัพท์ (-able/-ible , -ful , -less , -ly , -ous) เช่น comfortable , horrible , beautiful , hopeless , daily , fabulous
3. Verb suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นคำกริยา (-ate , -en ,-ify , -ise/-ize) เช่น passionate , soften , identify , realise , categorize
4. Adverb suffixes คือ suffixes ที่เติมแล้วเปลี่ยนให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (-ly, -ward(s), -wise) เช่น quickly , forwards , lengthwise

Suffix -ful

meaning : full of (เต็มไปด้วย)

  • hopeful มีความหวัง
  • useful มีประโยชน์
  • careful ระมัดระวัง
  • painful เจ็บปวด
  • thoughtful รอบคอบ
  • mindful ให้ความสนใจ
  • powerful มีพลัง
  • restful ผ่อนคลาย

Suffix -less

meaning : without (แปลว่า ปราศจาก)

  • hopeless สิ้นหวัง
  • useless ไร้ประโยชน์
  • careless ไม่ใส่ใจ
  • painless ไม่เจ็บปวด
  • thoughtless สะเพร่า
  • mindless ไม่สนใจ
  • powerless อ่อนแอ
  • restless ร้อนใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


4 เคล็ดลับง่าย ๆ วิธีลดความขมของมะระ ให้กลายเป็นเมนูอร่อย!

เคล็ดลับง่าย ๆ ในครัว! 4 วิธีลด ความขมของมะระ ให้ทานง่าย อร่อยถูกปาก

มะระ เป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่รสขมจัดคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่กล้าลองทำเมนูมะระ แต่ความจริงแล้ว รสขมของมะระ สามารถลดลงได้ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ในครัว ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถปรุงเมนูมะระได้อร่อย ทานง่าย และถูกปากทุกคนในครอบครัว

ความขมของมะระเกิดจากสารที่ชื่อว่า โมโมดิซิน (Momordicin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็เป็นตัวการหลักที่ทำให้มะระมีรสขม วิธีการลดความขมของมะระจึงเน้นไปที่การกำจัดหรือลดปริมาณสารนี้ออกไป

วิธีลดความขมของมะระ รับรองความขมหายวับ

1. การเตรียมมะระ: คว้านไส้ขาวออกให้หมด

ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการลดความขมคือการเตรียมมะระให้ถูกต้อง โดยคุณควรเลือกมะระที่ยังไม่แก่จัด (หนามไม่แข็งกระด้าง) เพราะจะขมน้อยกว่ามะระแก่

จากนั้นให้ผ่ามะระตามยาว แล้วใช้ช้อนหรือมีด คว้านไส้สีขาวและเยื่อบุภายในออกให้หมดจด เพราะเยื่อสีขาวเหล่านี้คือส่วนที่มีสารโมโมดิซินสะสมอยู่มากที่สุด เมื่อคว้านเสร็จแล้วจึงหั่นมะระเป็นชิ้นตามต้องการสำหรับการปรุงอาหาร

2. เทคนิคการ “ขยำกับเกลือ” (สำหรับเมนูผัด/ยำ)

วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเกลือมีคุณสมบัติในการดึงน้ำขม (ยาง) ออกจากเนื้อมะระ ให้คลุกมะระที่หั่นแล้วกับ เกลือป่น (ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ต่อมะระ 1 ลูก)

ใช้มือ ขยำหรือนวดมะระเบา ๆ ประมาณ 5 นาที (ระวังอย่าขยำแรงจนเนื้อมะระช้ำ) แล้วพักทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที สุดท้ายนำมะระไปล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง (2-3 รอบ) เพื่อล้างทั้งเกลือและความขมที่ออกมากับน้ำ

3. การ “ต้ม/ลวกในน้ำเกลือ” (สำหรับเมนูต้ม/แกงจืด)

การต้มในน้ำเกลือจะช่วยลดความขมได้ดีสำหรับเมนูแกงจืดหรือต้มต่าง ๆ ให้ตั้งน้ำให้เดือด แล้วเติมเกลือลงไป (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ น้ำ 1 ลิตร)

นำมะระที่คว้านไส้แล้วใส่ลงไป ลวกในน้ำเดือดเพียง 1-2 นาที แล้วตักขึ้น หรือถ้าทำแกงจืดมะระยัดไส้ ให้ต้มในน้ำเดือดปุด ๆ โดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ เพราะการเปิดฝาจะช่วยให้ความขมระเหยออกไปได้ง่ายขึ้น

4. เคล็ดลับเพิ่มเติมในการลดความขมและการปรุงรส

คุณสามารถใช้ น้ำตาล เข้ามาช่วยได้ โดยการเพิ่มน้ำตาลลงไปเล็กน้อยในระหว่างการปรุงอาหารจะช่วยกลบรสขมได้ดี โดยเฉพาะในเมนูผัด นอกจากนี้ ในเมนูต้มจืด การเติม กระดูกหมู หรือ ถั่วลิสง จะช่วยให้ความหวานจากส่วนผสมเหล่านี้กลบความขมของมะระได้ดีขึ้น

สำหรับแกงจืดมะระยัดไส้ ควรหลีกเลี่ยงการคนบ่อย ๆ และไม่ควรเปิดฝาหม้อตั้งแต่เริ่มต้น (ถ้าเน้นให้ขมน้อยมาก ๆ อาจจะเปิดฝาตอนต้มได้) เพราะการเปิดปิดอาจทำให้ความขมไม่ระเหยออกไปอย่างที่ควรจะเป็น

สรุป: กุญแจสำคัญคือการกำจัดไส้ขาว

ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีขยำเกลือหรือการต้มในน้ำเกลือ สิ่งสำคัญคือการ คว้านไส้ขาวออกให้หมด เป็นอันดับแรก เมื่อคุณได้มะระที่มีความขมน้อยลงแล้ว ก็สามารถนำไปปรุงเป็นเมนูอร่อยได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมะระผัดไข่ หรือแกงจืดมะระยัดไส้ ที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a61,600.0061,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,982.0060,367.1262,500.00
ทองรูปพรรณ 90%3,583.8054,330.41n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,185.6048,293.70n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,791.9027,165.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,393.7021,128.49n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,126.4262,556.53n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.1532.1532.6532.1532.1532.1532.1532.1532.15
แก๊สโซฮอล์ 9131.7831.7832.2831.7831.7831.7831.7831.7831.78
แก๊สโซฮอล์ E2029.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.94
แก๊สโซฮอล์ E8527.8927.8927.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.3449.8449.8440.34
เบนซิน 9540.4449.8140.9440.5940.44
ดีเซล31.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.44
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า