สาระน่ารู้ประจำวันที่ 09 ธันวาคม 2567

พลิก” สวนลอยฟ้าชั้น2 ”อาคารจอดรถ D ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จัดงาน รับลมหนาว 

DAD ชวนเที่ยวงาน “D Garden Food & Music”พลิก” สวนลอยฟ้าชั้น 2”  อาคารจอดรถ D ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จัดงาน รับลมหนาว ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 

ก้าวเข้าสู่เทศกาล ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะจัดกิจกรรมส่งท้ายปี จัดงาน “D Garden Food & Music”  บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ DAD Asset Development (DAD)ชวนเลือกชิมเลือกซื้ออาหาร ฟังเพลงชิลๆ ในบรรยากาศสบายรับลมหนาว

ทุกวันศุกร์ที่ 13ธันวาคม  20ธันวาคม และ 27 ธันวาคม 2567 เวลา 17.00-21.00 น. พิเศษ โดยปีนี้ จัดขึ้นที่ “สวนลอยฟ้า ชั้น 2”  อาคารจอดรถ D ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ  ผู้เข้าชมงานจอดรถฟรีตั้งแต่เวลา 16.00 3 22.00 น. หรือเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ทางออกที่ 3

 โดยในแต่ละสัปดาห์ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสกับบรรยากาศ สุข สนุก ทุกสัปดาห์ ชิลกับดนตรีสดบนสวนลอยฟ้า โดย DAD ยกคาราวานอาหาร ขนม และเครื่องดื่มร้านเด็ดมากกว่า 15 ร้านค้า พร้อมลุ้นรับรางวัลพิเศษทุกสัปดาห์

ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ DAD Asset Developmentผู้บริหารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม  ๒๕๕๐  เปิดเผยว่า   กล่าวว่า  งาน “D Garden Food & Music” จะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความสุขในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ให้ประชาชนมาเที่ยวผ่อนคลายแบบสบายๆ กับครอบครัว และเพื่อนฝูง โดย DAD ได้เปิดพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ย่านแจ้งวัฒนะเป็นสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนได้ในทุกวัน

ที่ผ่านมาDADได้เปิดให้บริการอาคารจอดรถ D ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567  เป็นอาคาร 11 ชั้น จอดรถยนต์ได้มากถึง 1,600 คัน

รองรับข้าราชการผู้มาติดต่อหน่วยงานในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ประชาชนทั่วไป และผู้ที่ต้องการจอดรถเพื่อเดินทางต่อไปด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู (Park and Ride) ตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนถนนแจ้งวัฒนะ

เนื่องจากอาคารจอดรถ D นอกจากจะเป็นอาคารจอดรถยนต์แล้ว ยังเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายการจราจรจากระบบขนส่งสาธารณะสู่ระบบ EV Shuttle Bus ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ธพส. จึงได้ก่อสร้างอาคารจอดรถ D  ให้มีทางเดินภายในอาคาร (Sky Walk) ระยะทาง 205 เมตร บริเวณชั้น 2 สำหรับเดินระหว่างสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู  

ปัจจุบันแล้วเสร็จและพร้อมเปิดเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสีชมพูได้ทันที โดย ธพส.  ได้ส่งหนังสือไปยังบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (กลุ่มบีทีเอส) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพื่อขอให้เปิดทางเชื่อมระยะทาง 1 เมตร กับสถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK 12) คาดว่าบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด จะเปิดทางเชื่อมเมื่อเดือนมกราคม 2567ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากแนวความคิดที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับพื้นที่ศูนย์ราชการฯ อีกจำนวน 40 ไร่ เพื่อยกระดับศูนย์ราชการฯ ให้เป็นมากกว่าสถานที่ทำงานหรือสถานที่ราชการ แต่เป็นพื้นที่ปอดแห่งใหม่ของกรุงเทพฯล่าสุด จึงได้จัดสรรพื้นที่ของอาคารจอดรถและซ่อมบำรุง (Depot)  ตกแต่งเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า 2 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 8,662 ตารางเมตร หรือราว 5.4 ไร่ ใหญ่ที่สุดบนถนนแจ้งวัฒนะ และย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ สวนลอยฟ้าแห่งแรกตั้งอยู่บนดาดฟ้าชั้น 11 อาคารจอดรถ Depot ขนาดพื้นที่กว่า 2,789 ตารางเมตร และแห่งที่สองอยู่บนดาดฟ้าที่จอดรถอาคาร A ขนาดพื้นที่ 5,872 ตารางเมตร เชื่อมต่อกับชั้น 2 ของอาคารจอดรถ Depot  และเพิ่มเพิ่มความสะดวกของผู้ใช้บริการ DAD  ยังได้สร้างทางเดิน Skywalk ระยะทาง 213 เมตร  เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพู  สถานีศูนย์ราชการ  และเพิ่มความร่มรื่นด้วยการจัดให้มีพื้นที่สวนสาธารณะด้านหน้าอาคารอีก 1,701 ตารางเมตร  บริเวณด้านหน้าของอาคาร 

โดยทั้งหมดที่ DAD พัฒนา จะเปิดกว้างให้ประชาชนทั่วไป ผู้มาใช้บริการและผู้ที่ทำงานในศูนย์ราชการฯ ได้เข้ามาใช้บริการได้   ซึ่งบริเวณชั้น 2 ของอาคารจอดรถ Depot  เตรียมจัดวางเป็นพื้นที่สันทนาการ แบ่งเป็นสโมสรหรือคลับเฮ้าส์ สำหรับนัดพบปะพูดคุยสังสรรค์  ลานสำหรับจัดกิจกรรม และอีกส่วนหนึ่งจะจัดเป็นศูนย์การเรียนรู้ 

โดยได้ประสานกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD เพื่อมาให้บริการ  ซึ่งเร็วๆนี้จะดำเนินการลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ MOU ร่วมกัน

สำหรับอาคารจอดรถ Depot ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าศูนย์ราชการ เป็นอาคาร 11 ชั้น รองรับรถยนต์ได้ 1,632 คัน มีจุดหัวชาร์จรถ EV รองรับได้จำนวน 30 คัน  ด้านล่างของอาคารมีรถ EV Shuttle Bus จอดให้บริการรับ-ส่ง ผู้มาใช้ติดต่อศูนย์ราชการฯ และผู้ใช้บริการต่างๆ  การออกแบบก่อสร้างเป็นอาคารประหยัดพลังงาน 

โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 324 แผง ผลิตไฟฟ้าได้ 74,163.60 กิโลวัตต์ต่อเดือน ประหยัดพลังงานได้ 11.03% ต่อเดือน  ซึ่งสวนสาธารณะลอยฟ้า และอาคารจอดรถ Depot ได้เปิดให้บริการในปี 2567

“สิ่งที่ DAD มุ่งมั่นดำเนินการมาโดยตลอด เพื่อให้ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนย่านหลักสี่ แจ้งวัฒนะ จึงผลักดันสองเรื่องสำคัญมาโดยตลอด คือการจัดการจราจร เพื่อลดความแออัด และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากเราจะใช้นวัตกรรมในการสร้างอาคารที่ลดการใช้พลังงาน การจัดการน้ำเสียให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ การจัดการน้ำฝนให้นำไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดปี”

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดการเพิ่มพื้นที่สีเขียว DAD ยังเตรียมปรับปรุง (Renovate) พื้นที่บริเวณ อาคาร B  เพื่อเพิ่มความร่มรื่นและลดความแออัดจากจำนวนอาคารและประชาชนที่จะเข้ามาทำงานและติดต่อหน่วยงานราชการ โดยเตรียมปรับพื้นที่เพิ่มการปลูกต้นไม้รอบอาคารและเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะบริเวณอาคาร B และทางเชื่อมต่อกับอาคาร C 

โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและการจัดการระบบการจราจร ได้แก่ การสร้างอุโมงค์ทางลอดขนาด 4 ช่องทางการจราจร และทางเชื่อมต่ออาคารระหว่างอาคาร B กับ อาคาร C  โดยเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ จะมีพื้นที่สีเขียวรวมทั้งสิ้นกว่ากว่า 145 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 449 ไร่ นับเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เทรนด์ ปี68 คนเลือกซื้อบ้าน เน้น เทคโนโลยี -สุขภาพ -รักษ์โลก ชี้มิกซ์ยูสมาแรง

เทอร์ร่า  ชี้เทรนด์ ปี68 คนเลือกซื้อที่อยู่อาศัย 3 ด้านคือบ้านที่มีเทคโนโลยี เช่น ระบบไฟตามช่วงเวลา ระบบดูแลสุขภาพ เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม กระจกอัจฉริยะปรับแสงรวมถึงบ้านรักษ์โลก ปี 68 มิกซ์ยูสมาแรง

บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด ได้จัดงานสัมมนา TERRAHiNT BRAND SERIES พร้อมทั้งเปิดเผยผลการวิจัย the most powerful brand in real estate 2024 and consumer inside : The season of luxury and decide for well-being ซึ่งมาจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,500 คน โดยส่วนใหญ่ 80% อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีก 20% อยู่ในต่างจังหวัด

น ส.สุมิตรา วงศ์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เปิดเผยผลการวิจัยว่า จากแบบสอบถามพบว่าส่วนใหญ่ให้ความหมายของคำว่า Luxury ที่นอกเหนือจากความหรูหราความร่ำรวยสู่บริบทใหม่ที่บ่งบอกถึงคุณภาพความสมบูรณ์แบบความโดดเด่นและความพิถีพิถันความสะดวกสบายโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มลาตายและทัศนคติ 4 กลุ่ม คือ  
 

1.กลุ่ม High-End Image ให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์ การใช้ชีวิตที่หรูหรา 

2.กลุ่ม Connoisseur ให้ความสำคัญกับความพิเศษสมบูรณ์แบบที่บ่งบอกถึงความสำเร็จผ่านกลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ 3.กลุ่มควอลิตี้ Luxury ให้ความสำคัญกับความเรียบหรูเรียบง่ายและคุณภาพที่ยั่งยืนเน้นสินค้าคุณภาพสูง 4.กลุ่ม Chic innovator เน้นการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของตัวเอง ชอบสินค้าแบรนด์เนมหรูหรา สินค้าหายากและเทคโนโลยีใหม่

สำหรับแนวโน้มในการซื้อบ้านพบว่าจากผู้ตอบแบบ สอบถามทั้งหมดมี 36% ที่มีแผนจะซื้อบ้านภายใน 3 ปีซึ่งเป็นแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 66 ซึ่งมีผู้คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี 12% สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงและการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือเลื่อนการซื้อออกไปสอดคล้องกับ Consumer Confidence Index ที่พบว่าความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในปี 67 ลดลงซึ่งคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการซื้อสินค้ามูลค่าสูงอย่างเช่นอสังหาฯ รถยนต์

ในปีนี้ยังพบว่ากลุ่มเบบี้บูมมีแนวโน้มที่จะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปีเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะส่วนใหญ่กำลังมองหาบ้านใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของผู้สูงวัยโดยมีพื้นที่ระเบียงที่สามารถพักผ่อนภายใต้บรรยากาศที่สงบมีมุมส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติ สอดคล้องกับกลุ่มเจนเอ็กซ์ ที่มีสัญญาณความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกัน ยังต้องการพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมด้วย

สำหรับเทรนด์การพัฒนานวัตกรรมในปี 68 พบว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือบ้านที่มีเทคโนโลยี เช่น ระบบไฟตามช่วงเวลา ระบบดูแลสุขภาพ เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม กระจกอัจฉริยะปรับแสงรวมถึงบ้านรักษ์โลก ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 59% ต้องการที่จะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 5 ปีพบว่ามีพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปโดยหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราวของราคาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือการให้บริการหลังการขาย ระบบรักษาความปลอดภัย สังคมและสภาพแวดล้อมในโครงการ

เมื่อจำแนกจากจำนวนดังกล่าวพบว่า มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว 86% รองลงมาคือคอนโด 44% และทาวน์โฮม 24% โดยกลุ่มราคาจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ต่ำกว่าสามล้านบาท 37% กลุ่ม 3-5 ล้านบาทคิดเป็น 30% และกลุ่มราคา 5-7 ล้านบาทคิดเป็น 15% ส่วนกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาทขึ้นไปถึง 20 ล้านบาท มีสัดส่วนรวมทั้งหมด 17% โดยกลุ่มงบประมาณซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่า 10 ล้านบาท ขึ้นไปมองว่าพื้นที่รับประทานอาหารและห้องน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสะท้อนความหรูหรามากกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่กลุ่มที่มีงบประมาณมากกว่า 20 ล้านบาทให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่สวนภายในบ้าน 

น.ส.สุมิตรา กล่าว ภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า ปัจจุบันยอดขายที่อยู่อาศัยในตลาดยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าที่อยู่อาศัยในทุกเซกเมนต์จะมีการปรับตัวดีขึ้นหลังช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จำนวนยอดขายยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นมากลุ่มที่อาศัยทุกระดับทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในปี 67 ดังนั้นตลาดยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่มีเพียงกลุ่มที่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 80,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ที่มีการหดตัวลง

จากแนวโน้มดังกล่าวจะเห็นว่าเทรนด์การขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯ ยังคงเป็นไปในทิศทางบวก โดยคาดว่าคอนโดจะเป็นเซกเมนต์สำคัญที่กลับมาขยายตัวได้ดี หลังจากที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯ ขยายตัวเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าในปี 68 ที่จะถึงนี้กลุ่มคอนโดฯ ระดับราคา 85,000-150,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นเซกเมนต์ที่มีการขยายตัวได้ดีที่สุด ส่วนคอนโดฯ ระดับราคา 150,000 -200,000 บาทต่อ ตร.ม. เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นแต่อาจจะยังขยายตัวได้ไม่ดีเท่ากลุ่มแรก

โดยทำเลคอนโดคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้น คือ ในย่านบางนา และลาดกระบัง ซึ่งเป็นทำเลที่อยู่ใกล้สถาบันการศึกษาและนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากในลาดกระบังมีการขยายพื้นที่การศึกษา มีการเปิดคณะใหม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน มีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า แต่รถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นยังไม่เชื่อมต่อกันกับแอร์พอร์ตลิงก์ ขณะเดียวกัน การมาของรถไฟฟ้าทำให้ราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าปรับสูงขึ้น ดังนั้นทำเลที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จึงไปเกาะใกล้กับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ทิศทางดังกล่าวทำให้กลุ่มคอนโดฯ ระดับราคา 85,000-150,000 บาทต่อตร.ม. มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในปีหน้า

ทำเลคอนโดถัดมาที่คาดว่าจะมีการเปิดตัวใหม่และขยายตัวดีคือทำในรามคำแหง ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและใกล้ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ถัดมาคือทำเลในย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรามอินทราซึ่งเป็นทำเลที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า นอกจากนี้ ทำเลย่านรังสิต และคูคตก็เป็นอีกทำเลที่จะมีการขยายตัวของคอนโดฯ ได้ดีเนื่องจากอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเช่นกัน

ขณะที่ตลาดทาวน์โฮมในเซกเมนต์ระดับราคา 3 ล้านบาท เป็นเซกเมนต์ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลให้รีเจ็กต์เรตสูงมากในช่วงที่ผ่านมา ทาวน์โฮมระดับราคา 5-7 ล้านบาทขึ้นไปมีแนวโน้มการขยายตัวกลับมาดีขึ้น ส่วนทาวน์โฮมระดับราคา 10-15 ล้านบาท แม้ว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการขยายตัวได้ดีกับกลุ่มทาวน์โฮมระดับราคา 5-7 ล้านบาท

“สำหรับทาวน์โฮมระดับราคา 5-7 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวดีมากในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้เมืองสามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งงานได้สะดวก ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้เมืองมากขึ้น เนื่องจากการออกไปอยู่นอกเมืองไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับในการใช้ชีวิต ทำให้ความนิยมซื้อทาวน์โฮมในพื้นที่ใกล้เมือง อยู่ในย่านที่มีร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ได้รับความนิยมมาก”

น ส.สุมิตรา กล่าวว่า ทำเลที่มีโอกาสและมีแนวโน้มจะขยายตัวไปได้ต่อของกลุ่มที่อาศัยทาวน์โฮม ซึ่งจากการพิจารณาด้านยอดขายพบว่าทำเลในย่านบางแค เพชรเกษม บางนา บางบ่อ ลาดกระบัง  รามอินทรา มีนบุรี เนื่องจากกรมอุตสาหกรรมประเภทอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งการลงทุนใหม่มีการขยายการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในโซนตะวันออก ซึ่งการเข้ามาลงทุนดังกล่าวทำให้กลุ่มสินค้าเกือบทุกระดับมีการขยายตัวในโซนนี้

อย่างไรก็ตาม ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว private โซน ส่งผลให้กลุ่มบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมมีอัตราการขยายตัวที่ดีมาก แม้ว่าจะมีทำเลที่ตั้งโครงการห่างจากเมืองออกไป เช่น พื้นที่วงแหวนรอบนอก แนวถนนกาญจนาภิเษก ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะยอมใช้ระยะเวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นแต่ได้พื้นที่มากขึ้น ขณะที่ บ้านเดี่ยวต่ำกว่า 5 ล้านบาท ยังไม่พบว่ามีสัญญาณการขยายตัว ส่วนบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ระดับราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสในการขยายตัวอยู่ สังเกตได้จากอัตราการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีปริมาณไม่มากนัก ขณะที่อัตราการระบายออกได้อยู่ โดยทำเลที่ยังสามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง อันดับ 1 คือ ทำเลบางแค บางใหญ่ บางบัวทอง ศาลายา อันดับ 2 คือ ทำเลย่านเกษตรนวมินทร์ รามอินทรา อันดับ 3 คือ บางนา

ขณะที่ทิศทางตลาดอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนมองว่า ตลาดอสังหาฯ ไทยเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาในด้านยอดขายของบริษัทอสังหาฯ 15 อันดับแรกที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมากลับมียอดขายสวนทางกับภาวะตลาด ซึ่งภาวะดังกล่าวไม่สะท้อนความเป็นจริงของตลาดนั้น จริงๆ แล้วหากพิจารณาที่ยอดขายเพียงอย่างเดียวจะพบว่ามีการปรับตัวสูงขึ้น แต่หากพิจารณาที่สาเหตุของการเพิ่มขึ้นจะพบว่ามีสาเหตุมาจากผู้ประกอบการอสังหาฯ ยอมลดกำไรลงเพื่อให้มียอดขายที่เพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จากกำไรของบริษัทอสังหาฯ ในช่วงเก้าเดือนแรกมีการปรับตัวลดลงทุกบริษัท

โดยเฉลี่ยของบริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรลดลง ในขณะที่รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการหั่นกำไรของตัวเองเพื่อรักษายอดขาย จากเดิมที่กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 14% ปัจจุบันมีอัตรากำไรเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 9.3% สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการพยายามปั๊มยอดขายจากการลดกำไร ดังนั้น ภาพที่เห็นว่าเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ แต่ยอดขายของผู้ประกอบการยังคงขยายตัวได้อยู่นั้นเกิดจากการกระตุ้นดีมานด์จากการลดกำไรขายผ่านโปรโมชันต่างๆ ของผู้ประกอบการ
 


อย่างไรก็ตาม รูปแบบการดำเนินการต่างๆ ของผู้ประกอบการนั้นถือว่าถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีเนื่องจากเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการให้เหมาะสมกับทิศทางของตลาดและแมตช์กับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีการปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีผู้ประกอบการเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีนี้ยอดขายโดยรวมของธุรกิจอสังหาฯ จะยังคงต่ำกว่ายอดขายของปีที่ผ่านมา 5-8% หรือมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ในหลายรายมีการปรับลดประมาณการยอดขายลง ขณะที่บริษัทที่ยังคงเป้ายอดขายเดิมไว้มีอยู่น้อยราย และคาดว่าจะมีเพียง 3 หรือ 4 รายเท่านั้นที่จะมียอดขายถึงเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยสามในสี่รายนั้นประกอบด้วย บมจ.แสนสิริ เอพี และศุภาลัย ที่มีโอกาสจะทำยอดขายได้ตามเป้า

สำหรับตลาดอสังหาฯในต่างจังหวัดนั้นหากพิจารณาจังหวัดเศรษฐกิจหลักๆ แล้วมีเพียงจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาฯ สูงที่สุดในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ถัดมาคือจังหวัดนครราชสีมา ยังคงเป็นจังหวัดที่ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
 


มิกซ์ยูสเทรนด์อสังหาฯ ปี 68

น ส.สุมิตรา กล่าวว่า สำหรับตลาดในปี 68 เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะได้รับความนิยมคือโครงการประเภทิกซ์ยูส เนื่องจากผู้ประกอบการมีประสบการณ์จากการขายคอนโดฯ เพียงอย่างเดียว และประสบปัญหาการบริหารสภาพคล่อง หรือปัญหาการขาดสภาพคล่อง เนื่องจากการขายคอนโด เพียงอย่างเดียวหากไม่สามารถโอนให้ลูกค้าได้ผู้ประกอบการจะไม่มีกระแสเงินสดมากพอที่จะนำไปพัฒนาโครงการใหม่หรือต่อยอดการพัฒนาโครงการใหม่ใหม่ได้ ในขณะที่หากมีการปรับสมาคมในการเป็นโครงการประเภทมิกซ์ยูส ในช่วงที่ยังไม่สามารถโอนห้องชุดให้ลูกค้าได้ ผู้ประกอบการสามารถปรับพอร์ตโครงการเพื่อขายมาเป็นเช่าเพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้ยังมีกระแสเงินสดเข้ามาในบริษัทอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถนำพื้นที่เช่าหรือห้องเช่าไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ไม่จำเป็นต้องรอรายได้ก้อนใหญ่จากการขายเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างผู้ประกอบการที่มีการปรับพอร์ตสินค้าผู้ขายในโครงการมิกซ์ยูส เป็นสินค้าเช่า คือ บมจ.ออริจิน พร็อพเพอร์ตี้ โดยออริจินนั้นมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องแต่ Black มีจำนวนน้อยมาก โดยโครงการใหม่ๆ จะเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่สามารถสร้างรายได้จากค่าเช่า แล้วนำพอร์ตรายได้จากการเช่าไปยื่นกู้เพื่อนำกระแสเงินสดเข้าบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ลักษณะเช่นนี้เป็นการบริหารแคชโฟร์ของบริษัทอสังหาฯ อีกรูปแบบหนึ่ง

ทั้งนี้ เทรนด์การพัฒนาอสังหาฯ รูปแบบนี้จะทำให้ต่อไปผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่เคยพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวจะมีการปรับพอร์ตมาพัฒนาโครงการประเภทมิกซ์ยูสเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการได้มากกว่าการขายเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้โดยทฤษฎีแล้วโครงการมิกซ์ยูส แบ่งออกได้เป็นสองรูปแบบคือ 1.VERTICAL ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ที่สร้างมูลค่าให้ตัวอาคารเป็นหลัก โดยตัวอย่างรูปแบบโครงการดังกล่าวที่เห็นได้ชัดคือโครงการวัน One Bangkok 2.Horizontal ซึ่งเป็นรูปแบบโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้พื้นที่โครงการโดยรอบ ตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ย่านพระราม 9 และโครงการในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้พื้นที่เหมาะสำหรับโครงการพัฒนาเมือง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9ธ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.06 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าบ้าง ลุ้นทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าได้ รวมถึงราคาทองคำ ควรระวังความผันผวนจากเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9ธ.ค.2567 ที่ระดับ  34.06 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  34.07 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ทว่าโดยรวมก็เป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.90-34.10 บาทต่อดอลลาร์)

โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (Michelle Bowman และ Beth Hammack)ต่างออกมาสนับสนุนว่า เฟดควรเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน อีกทั้งเฟดอาจใกล้ถึงจุดพิจารณาชะลอการลดดอกเบี้ยได้ อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค

โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ก็ออกมาดีกว่าคาด แม้ว่าโดยรวมภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะออกมาผสมผสาน โดยยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 2.27 แสนราย สูงกว่าคาดเล็กน้อย

ทว่ายอดการจ้างงานจาก Household Survey กลับลดลงถึง 3.35 แสนราย ส่งผลให้อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) สูงขึ้นสู่ระดับ 4.246% (ในรายงานจะเห็นเป็น 4.2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากก่อนหน้า 4.1%)

อย่างไรก็ดี บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ หรือ เงินดอลลาร์อย่างชัดเจน จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วงวันพุธนี้ 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าหลุด 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ

ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ หลังราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงการปรับฐาน (Correction)

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรเตรียมรับมือความผันผวน ในช่วงตลาดรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึง การประชุม CEWC ของทางการจีน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้

โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดมีโอกาสราว 86% ในการเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.25%-4.50% ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้

หากอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ออกมาสูงกว่าคาด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ จนอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงิน

ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ ซึ่งจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า เงินบาท (USDTHB) อาจผันผวน +0.5%/-0.4% ได้ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ 

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราคาดว่า ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 3.00%

อย่างไรก็ดี ECB อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง เหมือนอย่างที่ผู้เล่นในตลาดกำลังคาดหวังอยู่ว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีกราว 5 ครั้ง ครั้งละ 25bps สู่ระดับ 1.75% ในปี 2025

พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของทั้ง BOE และ ECB โดยเฉพาะแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในปี 2025

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI, ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง ยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนพฤศจิกายน

นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุม Central Economic Work Conference (CEWC) ของทางการจีน ในช่วงวันอังคาร-วันพุธ อย่างใกล้ชิด ซึ่งการประชุม CEWC มักจะมีการประกาศเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจ

รวมถึงแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ทางฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคธุรกิจรายไตรมาส (BOJ Tankan Survey) ที่สำรวจโดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

ในส่วนนโยบายการเงิน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.35% จนกว่าทาง RBA จะมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มชะลอลงสู่กรอบเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่มีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้น หนุนโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

สำหรับแนวโน้มเงินบาทนั้น หากประเมินในเชิงเทคนิคัล โดยใช้กลยุทธ์ Trend-Following พบว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ตราบใดที่เงินบาท (USDTHB) ไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้างแถวโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง ซึ่งต้องรอลุ้นทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำ ที่จะผันผวนไปตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนจากเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจขึ้นกับผลการประชุม CEWC ของทางการจีน ว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมขนาดไหน

ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้เป็นปัจจัยหนุนเงินบาทได้ เนื่องจากเราคาดว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทย

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI เร่งตัวขึ้น ลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม หรือ ECB ลดดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.80-34.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.15 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.00-34.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 34.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทยังคงขยับแข็งค่าขึ้น ตามอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมามีทิศทางปะปนซึ่งสะท้อนว่า ยังคงมีสัญญาณเพียงพอสำหรับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด

โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 227,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. (มากกว่าตลาดคาดที่ 202,000 ตำแหน่ง) แต่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.2% ในเดือนพ.ย. จากระดับ 4.1% ในเดือนก.ย.-ต.ค.

ทั้งนี้ ตลาดปรับเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุม FOMC เดือนนี้ มาที่ 87% ภายหลังการเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากระดับประมาณ 72% ก่อนการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงาน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.95-34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก

รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. ของจีน ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของญี่ปุ่น และตัวเลขการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพ.ย.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แพทย์ศิริราชเตือน 5 จุดนวดอันตราย หากนวดแรง นวดผิดชีวิตเปลี่ยน

ปัจจุบันการนวดเป็นที่นิยมมาก เพจการแพทย์แผนไทยประยุกต์ศิริราช ได้มีการเปิดเผยคลิป 5 จุดนวด อันตราย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ในปัจจุบันการนวดได้รับความนิยมาก อ.ธนภักษ์ เชาวน์พีระพงศ์ สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ 5 จุดนวดอันตรายดังนี้

โดยทั่วไปการนวดจะเป็นการกดจุดต่างๆ ตามร่างกาย ซึ่งจุดต่างๆ ในร่างกายเราควรระมัดระวังเป็นพิเศษมีดังต่อไปนี้

1.ขมับ การต่อกันของกระดูกจะไม่แข็งแรงมาก กล้ามเนื้อที่คลุมบริเวณศีรษะไม่ได้หนามาก ถ้ากดด้วยความรุนแรงจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้

2.คอ จะมีหลอดเลือดแดงใหญ่ซึ่งส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง หากเรามีการกดลงบริเวณหลอดเลือดนั้นเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และอาจทำให้หมดสติ หรือเป็นลมได้

3.บริเวณรักแร้ จะมีเส้นประสาทเป็นจำนวนมากที่เลี้ยงบริเวณแขน หากเรากดรุนแรงอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของเส้นบริเวณนั้น จะส่งผลให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงที่แขนได้

4.บริเวณท้อง จะเป็นส่วนสำคัญภายในร่างกาย เพราะภายในช่องท้อง มีอวัยวะและหลอดเลือดต่างๆ หากเรากดด้วยความรุนแรงมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ และในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงในช่องท้องโป่งพอง ไม่ควรกดนวดที่ท้องเพราะหลอดเฃลือดอาจปริแตกได้

5.นวดบิดดัด การนวดในลักษณะบิดดัดต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะผิดปกติของกระดูก เช่นผู้ป่วยกระดูกพรุน หรือมะเร็งกระดูก หากเราบิดดัดด้วยความรุนแรง อาจจะทำให้กระดูกมีการแตกหักได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กระหึ่มเวทีโลก! “ทีมเทคบอลไทย” คว้า 4 ทอง 1 ทองแดง ศึกชิงแชมป์โลก 2024

การแข่งขัน เทคบอล ชิงแชมป์โลก 2024 ที่กรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 4-8 ธันวาคม 2567

ทีมชาติไทย ทำผลงานได้อย่างสุดยอด สามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้า 4 เหรียญทอง และ อีก 1 เหรียญทองแดง หลังจากแข่งขันครบทั้งหมด 4 วัน

โดยในประเภทหญิงเดี่ยว จุฑาทิพย์ กันทะธง พลิกเกมจากตกเป็นฝ่ายตามหลังแซงเอาชนะ ราฟาเอลล่า ฟอนเตส จอมเตะสาวบราซิล 2-1 หยิบเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ

ประเภทชายคู่ สรศักดิ์ เทาศิริ และ จีรติ จันทร์เลียง รวมพลังกันเอาชนะ คู่เทคบอลโปแลนด์ ไปได้สนุก 2-1 คว้าเหรียญทองมาครองเช่นกัน

ประเภทหญิงคู่ สุภาวดี วงศ์คำจันทร์ และ จุฑาทิพย์ กันทะธง โชว์ฟอร์มสวยเอาชนะคู่ฮังการี ไปได้แบบไม่ยากเย็น 2-0 เกม คว้าเหรียญทองที่ 3 ให้ทัพไทย

ประเภทคู่ผสม พักตร์พงษ์ เดชเจริญ และ สุภาวดี วงศ์คำจันทร์ ทำเอาลุ้นเหนื่อยหลังตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนพลิกแซงเอาชนะ คู่ฮังการี 2-1 หยิบเหรียญทองที่ 4 มาครองได้สำเร็จ

ปิดท้ายกันที่ในประเภทชายเดี่ยว บุญคุ้ม ทิพย์วงค์ ทำเต็มที่เอาชนะ อาเดรียน ดูส์ซัก จอมเตะจากโปแลนด์ ในการชิงอันดับ 3 หยิบเหรียญทองแดง มาครองได้ในท้ายที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไปรษณีย์ไทยผนึกAmazon-eBAY ลุยโซลูชันหนุนอีคอมเมิร์ซเชื่อมระหว่างประเทศ

ไปรษณีย์ไทยเดินหน้ากระตุ้นการเติบโตของอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ พร้อมเสริมโอกาสผู้ประกอบการไทย ลุยโซลูชันเพื่ออำนวยความสะดวกการทำธุรกิจบน 2 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้ง อเมซอน และอีเบย์ โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ หนุนบริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง อำนวยความสะดวกด้านศุลกากร

ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยมีแผนสร้างการเติบโตให้กับภาคธุรกิจผ่านช่องทางการค้าระหว่างประเทศ  ซึ่งนอกจากการใช้เครือข่ายขนส่งสินค้าไปยังปลายทางต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว ล่าสุดยังได้มีการดำเนินความร่วมมือกับ 2 แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อย่างอเมซอน (Amazon) และ อีเบย์ (eBAY) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายสินค้าออนไลน์กระจายสินค้าไปยังปลายทางได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ ได้เริ่มเปิดให้บริการใหม่ 2 ส่วนคือ บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) ซึ่งเป็นบริการสำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon.com ที่ต้องการส่งสินค้าเข้าคลังก่อนส่งไปปลายทางสหรัฐอเมริกา โดยที่ไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้รับรวบรวมสินค้าที่ผู้ขายสินค้าของ Amazon พร้อมขนส่งสินค้าจากประเทศไทย ดำเนินพิธีการศุลกากรและนำส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA ของสหรัฐอเมริกา เพื่อกระจายสินค้าของผู้ค้ารายย่อยและเอสเอ็มอีไทยไปยังตลาดดังกล่าว

“บริการขนส่งสินค้าเข้าคลังAmazon FBA มีจุดเด่นคือช่วยอำนวยความสะดวกแบบ One stop service มีราคาที่เป็นมิตรกับผู้ขายทุกระดับสามารถส่ง (Drop) สินค้าได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ รวมทั้งมีบริการรับฝาก ณ ที่อยู่ผู้ฝากส่ง (Pick Up Service) สามารถฝากส่งได้โดยไม่จำกัดน้ำหนัก อีกทั้งยังตรวจสอบสถานะได้แบบเรียลไทม์“

ซึ่งการเปิดบริการดังกล่าวจะทำให้ผู้ค้าขายชาวไทยบนแพลตฟอร์มเกิดความสะดวก และมีทางเลือกในการใช้บริการคลังสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดจำนวนธุรกิจที่มีแผนขยายสินค้าไปยังช่องทางต่างประเทศ – ขยายตลาดใหม่ให้กับภาคธุรกิจไทยมีโอกาสแข่งขันมากกว่าทำการค้าภายในประเทศ และลดการแข่งขันกับบางแพลตฟอร์ม รวมทั้งช่วยลดต้นทุนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการด้านคลังสินค้า

ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนอีกหนึ่งบริการคือ บริการจัดทำจ่าหน้าบริการระหว่างประเทศผ่าน eBay CpaSS ซึ่งเป็นบริการสำหรับผู้ขายสินค้า eBay ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ให้สามารถจัดการออร์เดอร์ – จัดส่งสินค้า (Fulfilment & Handling) ได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไปรษณีย์ไทยจะออกบริการช่วยจัดทำจ่าหน้าบริการระหว่างประเทศกับผู้ขายให้สามารถจัดเตรียมจ่าหน้าก่อนใช้ 5 บริการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศได้แก่  บริการ EMS World บริการ ePacket บริการลงทะเบียนระหว่างประเทศ บริการพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศทางอากาศ และบริการพัสดุย่อยทางอากาศ 

โดยจะดึงข้อมูลจากคำสั่งซื้อที่มีการชำระเงินแล้วมาสร้างจ่าหน้าโดยอัตโนมัติ พร้อมด้วยเลข Tracking Number ทำให้ผู้ขายมีเวลาไปจัดการหน้าร้าน ทำให้การเตรียมของก่อนจัดส่งมีความรวดเร็วมากขึ้นประหยัดเวลาในกระบวนการหลังบ้านได้มากกว่าเดิมและยังช่วยลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลของผู้ซื้อได้อีกด้วย

“โซลูชันนี้ยังมีจุดเด่นคือคิดราคาค่าบริการตามน้ำหนักจริง แตกต่างจากในตลาดที่คิดค่าบริการตามขนาดสิ่งของ และไม่มีการเก็บเงินเพิ่ม เช่น ค่าภาษีเชื้อเพลิง ทำให้ผู้ขายคำนวณต้นทุนการขายได้แม่นยำ พร้อมด้วยจุดให้บริการในการฝากส่งสินค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศซึ่งผู้ขายที่ใช้บริการนี้สามารถนำมาส่ง ณ ที่ทำการหรือบริการรับฝาก ณ ที่อยู่ผู้ฝากส่ง (Pick Up Service) ได้ทันที รวมทั้งมีรูปแบบการอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ตรงกับทุกความต้องการธุรกิจสามารถจัดส่งครอบคลุมทั่วโลกมากกว่า 95 ประเทศ 106 ปลายทาง”

ดนันท์ กล่าวเสริมว่า การค้าขายบนแพลตฟอร์มอเมซอนเป็นอีกโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเติบโตบนช่องทางการค้าต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอเมซอนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มประเทศชั้นนำ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย เยอรมนี อินเดีย กลุ่มประเทศเหล่านี้ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้านกำลังซื้อ จำนวนประชากรที่จะขยายตลาด และมีหมวดหมู่สินค้าที่เป็นที่ต้องการที่ผู้ประกอบการไทยยังสามารถเติบโตได้

ในขณะที่ eBay ก็มีความน่าสนใจในด้านจำนวนผู้ซื้อทั่วโลกที่มากกว่าระดับร้อยล้านราย การเข้าถึงสินค้าที่ง่ายผ่านบนเว็บไซต์ รวมทั้งความโดดเด่นจากระบบประมูลเพื่อให้มีโอกาสขายสินค้าได้ราคาสูงขึ้น  ทั้งนื้ การออกทั้ง 2 โซลูชันใหม่ของไปรษณีย์ไทยจะเป็นการช่วยในด้านความสะดวก การลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการทำการค้า การเข้าถึงที่ง่ายของเครือข่ายไปรษณีย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ รวม

ทั้งระบบการจัดการแบบครบวงจรโดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 นี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ประโยคขอบคุณภาษาอังกฤษมีมากมาย ไม่ใช่แค่ Thank you

รู้หรือไม่ ในการพูดขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ สามารถพูดได้หลากหลายแบบ ไม่ใช่แค่ Thank you นอกจากนี้การพูดขอบคุณที่แตกต่างออกไป สามารถบ่งบอกได้ถึงระดับความของคุณ ว่าคุณรู้สึกซาบซึ้งแค่ไหนต่อคู่สนทนา ในบทความนี้จะมีการนำเอาตัวอย่างการพูดขอบคุณในภาษาอังกฤษที่นอกเหนือจากการพูดแค่ Thank you ให้ลองฝึกกัน โดยเป็นมีทั้งในรูปแบบเป็นทางและแบบไม่เป็นทางการ

การพูดขอบคุณแบบเป็นกันเอง

เป็นการพูดขอบคุณแบบง่ายๆกับเพื่อน หรือคนใกล้ชิด สามารถพูดได้ดังนี้

  • You rock! – คุณเจ๋งมาก!  (มีความหมายว่า คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นการขอบคุณแบบกล่าวชมที่ให้ความช่วยเหลือ)
  • You are so sweet! – คุณช่างใจดีจริงๆ!
  • appreciate it! – ซาบซึ้งจริงๆ!
  • I’m forever indebted. – ฉันติดหนี้คุณตลอดไป
  • Thanks a ton! -ขอบคุณมาก!
  • Thanks a bunch! – ขอบคุณมาก!
  • Thanks a million! – ขอบคุณเป็นล้านครั้ง! (มีความหมายว่าขอบคุณมากๆ)
  • I’m beyond grateful. – ฉันรู้สึกขอบคุณเหลือเกิน
  • Thank you, I owe you one! – ขอบคุณนะ ฉันเป็นหนี้คุณ!
  • That’s so kind of you, thank you! – คุณใจดีมาก ขอบคุณนะ!

การพูดขอบคุณแบบสุภาพ

อาจใช้กรณีที่ต้องทำตัวให้สุภาพขึ้นมาหน่อย อย่างการพูดกับเพื่อนร่วมงาน หรือกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมมาก สามารถพูดได้ดังนี้

  • This means a lot to me, thank you. – มันมีความหมายกับฉันมาก ขอบคุณนะ
  • I’m really grateful, thank you. – ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ ขอบคุณนะ
  • I’m touched by your thoughtfulness, thank you. – ฉันซาบซึ้งกับการคิดถึงผู้อื่นเสมอของคุณ ขอบคุณนะ
  • Many thanks for your assistance. – ขอบคุณมากๆ สำหรับการช่วยเหลือของคุณ
  • I am so very thankful for your time. – ขอบคุณมากในการสละเวลาของคุณ
  • Thank you for your guidance. – ขอบคุณที่คำแนะนำ

การขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

ในกรณีที่มีคนช่วยเหลือคุณในสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต และคุณรู้สึกขอบคุณมากๆ สามารถพูดได้ดังนี้

  • Words can’t express how grateful I am for your kindness. – คำพูดไม่สามารถบอกได้ว่าฉันรู้สึกขอบคุณแค่ไหนในความมีน้ำใจของคุณ
  • I want you to know how much I value your support. – ฉันต้องการให้คุณรู้ว่าการสนับสนุนของคุณมีค่าสำหรับฉันมากแค่ไหน
  • How can I possibly thank you enough? – ฉันไม่รู้ว่าต้องขอบคุณแค่ไหนถึงจะพอ
  • Please accept my deepest gratitude. – โปรดรับการขอบคุณอย่างสุดซึ้งนี้
  • I couldn’t have made it without your help. – ฉันทำไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ
  • I don’t know what I would do without you. – ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรถ้าไม่มีคุณ
  • How can I repay you? – ฉันจะตอบแทนคุณได้อย่างไร?
  • I’ll never forget what you’ve done for me. – ฉันจะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำเพื่อฉัน

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


6 เครื่องดื่มเบิร์นไขมันหน้าท้อง ปราบพุงป่องให้แบนราบ ดื่มได้บ่อย ไม่มีอ้วน

ไม่เพียงการออกกำลังกายและการเลือกอาหารที่เหมาะสมแล้ว การเลือกดื่มเครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดไขมันหน้าท้อง สาว ๆ ที่อยามีหุ่นสวยสุขภาพดี ลองเลือก 6 เครื่องดื่มต่อไปนี้ ที่ช่วยเบิร์นไขมันหน้าท้อง ดื่มได้สบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแคลอรี่มาฝาก รับรองว่าทั้งอร่อยและดีต่อร่างกายแน่นอน

6 เครื่องดื่มต่อไปนี้ ที่ช่วยเบิร์นไขมันหน้าท้อง

1.ชาเขียว

ชาเขียวเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า คาเทชิน ซึ่งช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและการสลายไขมัน การดื่มชาเขียวอุ่น ๆ วันละ 2-3 แก้ว นอกจากจะช่วยลดไขมันหน้าท้องแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งอีกทางหนึ่งด้วย

2.นมถั่วเหลืองแท้

นมถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงและมีกรดอะมิโนที่จำเป็น ช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน อย่างไรก็ตามควรเลือกนมถั่วเหลืองที่ไม่มีน้ำตาลหรือปรุงแต่งรสชาติ เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี

3.น้ำสับปะรด

สับปะรดอุดมไปด้วยเอนไซม์ ที่ช่วยย่อยโปรตีน ลดอาการท้องอืด และกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย น้ำสับปะรดสดยังมีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน สามารถทำเป็นสูตรน้ำปั่นโดยใช้สับปะรดสดได้แบบไม่เติมน้ำตาลเพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ และดื่มทันทีเพื่อความสดชื่น

4.น้ำแตงโม

แตงโมเป็นผลไม้ที่มีปริมาณน้ำเยอะ แต่แคลอรีต่ำ ซึ่งอุดมไปด้วย อาร์จินีน ซึ่งช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ สามารถแช่เย็นก่อนดื่ม หรือนำมาปั่นเป็นสมูทตี้ โดยไม่เติมน้ำตาลเพื่อความสดชื่นในวันที่อากาศร้อน เป็นทางเลือกแทนการดื่มน้ำอัดลม หรือน้ำหวานแคลอรีสูง

5.น้ำเปล่า

น้ำเปล่าคือสิ่งจำเป็นที่ร่างกายขาดไม่ได้ การดื่มน้ำให้เพียงพอสามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งจะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น และช่วยลดความอยากอาหาร ควรดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว และพกขวดน้ำติดตัวเพื่อให้ดื่มได้ตลอดวัน

6.ชาเปปเปอร์มินท์

ชาเปปเปอร์มินท์ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดอาการท้องอืด และช่วยให้สาว ๆ รู้สึกสดชื่น การดื่มชาหลังมื้ออาหารยังช่วยลดการสะสมไขมันได้ โดยเลือกใช้ใบเปปเปอร์มินท์สดหรือชาเปปเปอร์มินท์ชนิดซองต้มในน้ำร้อน แบบไม่เติมน้ำตาล จิบอุ่น ๆ ระหว่างวัน จะช่วยลดความอยากของหวานได้อีกด้วย

การดูแลหุ่นสวยไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด หากสาว ๆ รู้จักการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม และเลือกดื่มเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่กับการออกกำลังกายร่วมด้วย รับลองว่าได้ทั้งหุ่นเป๊ะและสุขภาพดีแบบที่ต้องการ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/12/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a42,400.0042,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,746.0041,629.3643,000.00
ทองรูปพรรณ 90%2,471.4037,466.42n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,196.8033,303.49n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,236.0018,737.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%961.0014,568.76n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,846.0043,145.36n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/12/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.0536.0536.6536.0536.0536.0536.0536.0536.0536.05
แก๊สโซฮอล์ 9135.6835.6836.2835.6835.6835.6835.6835.6835.6835.68
แก๊สโซฮอล์ E2033.9433.9434.5433.9433.9433.9433.9433.9433.94
แก๊สโซฮอล์ E8533.6933.6933.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.6449.8449.8449.8444.64
เบนซิน 9544.3449.8144.8444.4944.34
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9431.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า