สาระน่ารู้ประจำวันที่ 09 มกราคม 2568

รับสร้างบ้านต่างจังหวัดเรดโอเชี่ยนแนะสร้างจุดขายชูเทคโนเพิ่มขีดแข่งขัน

  • ปริมาณและมูลค่า “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศปี 2567 (ไม่ใช่บ้านจัดสรร) ปรับตัวลดลงแรงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา!
  • จากมูลค่า 172,000 ล้านบาท ในปี 2566 ขณะที่ปี 2567 คาดมูลค่าลดลง 24% ราว 41,000 ล้านบาท เหลือ 131,000 ล้านบาท
  • เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือน ธนาคารเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น และ กำลังซื้อผู้บริโภคซบเซาเช่นเดียวกับ ตลาด“รับสร้างบ้าน”

ปริมาณและมูลค่า “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศปี 2567 (ไม่ใช่บ้านจัดสรร) ปรับตัวลดลงแรงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา! จากมูลค่า 172,000 ล้านบาท ในปี 2566 ขณะที่ปี 2567 คาดมูลค่าลดลง 24% ราว 41,000 ล้านบาท เหลือ 131,000 ล้านบาท เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือน ธนาคารเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น และ กำลังซื้อผู้บริโภคซบเซา

เช่นเดียวกับ ตลาด“รับสร้างบ้าน” (กลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน หรือ ศูนย์รับสร้างบ้าน) มูลค่าลดลงเช่นกัน ราว 20% จาก 18,000 ล้านบาทในปี 2566 เหลือ 14,500 ล้านบาท ในปี 2567 โดยตลาดที่ลดลงมากที่สุด แยกตามภูมิภาค 3 ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล, ภาคเหนือ และภาคใต้

โดยสมาชิกธุรกิจรับสร้างบ้านจากสมาคมไทยรับสร้างบ้าน และสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน มีส่วนแบ่งตลาด 9,800-10,000 ล้านบาท คิดเป็น 68% ของมูลค่าตลาดรับสร้างบ้าน และ 8% ของมูลค่าตลาดรวมบ้านสร้างเอง

ในปี 2568 คาดปริมาณและมูลค่า “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศ มีแนวโน้มทรงตัวหรือใกล้เคียง มูลค่าอยู่ที่ 120,000-130,000 ล้านบาทปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ้านสร้างเองยังไม่อาจฟื้นตัว ยังคงวนเวียนอยู่กับปัจจัยเดิมๆ กล่าวคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจประเทศที่ฟื้นตัวช้าหรือชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง 

“ในส่วนปัจจัยบวกที่อาจประคองไม่ให้ปริมาณบ้านสร้างเองลดลงไปมากกว่านี้ ได้แก่ ต้นทุนวัสดุและราคาบ้านที่ยังทรงตัว หรือ ราคาไม่สูงขึ้น”

ในส่วนของปริมาณและมูลค่าตลาด “รับสร้างบ้าน” ปี 2568 มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คาดมูลค่า 14,000-15,000 ล้านบาท โดยสมาชิก 2 สมาคมมีส่วนแบ่งตลาด 70% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย คิดเป็นมูลค่า 10,000-10,500 ล้านบาท

“ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านยังคงแข่งขันกันสูงมาก ทั้งตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด (Red Ocean) ดังนั้นหากผู้ประกอบการไม่มีการปรับตัวจะแข่งขันในธุรกิจนี้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ หรือต้องออกจากธุรกิจนี้ไป”

หากมองย้อนกลับไป 20 ปีก่อนผู้ประกอบการรับสร้างบ้านเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่นับรวมผู้รับเหมาทั่วไป โดยตลาดรวมรับสร้างบ้านมีมูลค่า 5,500-6,000 ล้านบาท ราคาค่าก่อสร้างบ้านโดยเฉลี่ย 7,000-9,000 บาท/ตารางเมตรภาพรวมแข่งขันรุนแรงมาก ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ เป็นเรดโอเชี่ยน ทำให้ผู้ประกอบการบางรายต้องปรับตัว เพื่อหนีการแข่งขันที่รุนแรงออกไปบุกเบิกตลาดต่างจังหวัดแทน ขณะนั้นถือเป็นตลาดเกิดใหม่ (ฺBlue Ocean) และเวลาต่อมาผู้ประกอบการรายอื่นในเขตกรุงเทพฯ ต่างก็เริ่มขยายสาขาออกไปในต่างจังหวัดบ้างเช่นกัน พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของรายใหม่ในทุกจังหวัดที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน

นิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้านและรองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากระทบกำลังซื้อ และความต้องการสร้างบ้าน ใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคลดลง สวนทางกับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายใหม่-รายเก่าที่เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ละจังหวัดมีผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 15-30 ราย ส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านมีการแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะตลาดหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา ขอนแก่น ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต ฯลฯ เป็นเรดโอเชี่ยน (Red Ocean) ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลในอดีตที่ผ่านมา

สิทธิพร สุวรรณสุต กรรมการกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวเสริมว่า แม้มูลค่ารวมตลาดรับสร้างบ้านจะสูงขึ้นเท่าตัว! เทียบ 20 ปีก่อน แต่เป็นการเติบโตในแง่ค่าก่อสร้างต่อหน่วยหรือมูลค่าต่อหน่วยสูงขึ้น เป็นผลจากต้นทุนวัสดุและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ในเชิงปริมาณกลับขยายตัวน้อยกว่า นับเป็นข้อจำกัดของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ เพราะไม่สามารถเพิ่มจำนวนหน่วยก่อสร้างต่อปีได้มากขึ้น

สาเหตุสำคัญมาจาก ขาดการพัฒนาองค์ความรู้และบริหารธุรกิจให้ทันสมัย ขาดการนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้พัฒนากระบวนการก่อสร้างและสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์อย่างจริงจังและชัดเจน

 “หากกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านต้องการจะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์จากมูลค่าตลาด บ้านสร้างเอง 120,000-130,000 ล้านบาทในปี 2568 และปีต่อ ๆ ไปให้ได้มากกว่า 8% บรรดาผู้ประกอบการและกลุ่มผู้นำธุรกิจควรหันมาให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ในกระบวนการก่อสร้างและสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของธุรกิจ ลบข้อจำกัดต่างๆ เปลี่ยนมาแข่งขันในเชิงคุณภาพมากกว่าด้านราคา ต้องสร้างจุดเด่น หรือจุดขายของตัวเองให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคยอมรับและไว้วางใจ”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ส่องบัญญัติ 7 ประการสู่ความสำเร็จ ‘บ้านเพื่อคนไทย’โอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ?

  • ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร
  • ประกาศการขับเคลื่อนและเป้าหมายการพัฒนาที่อยู่อาศัยสาธารณะจำนวน 100,000 หน่วย สำหรับประชาชนรายได้น้อยและกลุ่มเริ่มทำงาน (First Jobber) ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึงได้ (Affordable Housing)
  • การแจ้งเกิดโครงการนี้เพื่อแก้ไขปัญหากลุ่มประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบเดิมที่มีราคาสูงเกินกำลัง!

วิชัย วิรัตกพันธ์ นักวิชาการอิสระด้านที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมือง กล่าวว่า เมื่อประกาศโครงการออกมา สิ่งที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้คือการทำให้โครงการนี้สามารถเป็นจริงได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยการเปิดตัวและนำเสนอบ้านตัวอย่างในวันที่ 20 ม.ค.2568 นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดกลุ่มผู้สนใจเข้าใช้สิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการ

แต่จะทำอย่างไรให้โครงการนี้ไม่สะดุด?!! เหมือนโครงการบ้านประชาชนในอดีตที่ประสบความล้มเหลว นี่คือคำถามสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ในมุมมองของนักวิชาการอิสระด้านที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมือง ระบุว่า บัญญัติ 7 ประการที่ทำให้ “บ้านเพื่อคนไทย” ประสบความสำเร็จ และเป็นโมเดลต้นแบบในการสร้างที่อยู่อาศัยให้ยั่งยืน ประกอบด้วย 

1.สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจนว่า โครงการนี้เป็น “การให้เช่าที่อยู่อาศัยระยะยาว”  ผู้เข้าร่วมจะ “ไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน” ดังนั้น การสร้างความเข้าใจเรื่องการเช่าบ้านและระยะเวลาสัญญาเป็นสิ่งที่จำเป็น

“ผู้เข้าร่วมโครงการต้องเข้าใจว่าหากต้องการเช่าต่อจะต้องยอมรับเงื่อนไข เช่น ระยะเวลาเช่าที่ลดลงตามการใช้ไป (เช่น 5-10 ปี) และมูลค่าของสิทธิ์การเช่าอาจลดลงตามสภาพอาคารที่เสื่อมสภาพจากการใช้งาน จึงต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนตั้งแต่แรก มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาผู้เช่ามีความเข้าใจผิดและไม่พอใจในภายหลัง”

3.กำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้โครงการไม่กลายเป็นการแทรกแซงตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวม โดยรัฐบาลต้องมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำหรือกลางที่ไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยตามระบบตลาดได้ เช่น ผู้ที่ยังไม่เคยซื้อบ้าน หรือกลุ่ม First Jobber การกระจายรายได้และโอกาสให้กลุ่มนี้จะทำให้โครงการมีความยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยตรง การเปิดโอกาสให้กลุ่มที่ “ไม่มีโอกาส” เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมเป็นเป้าหมายหลักที่ไม่เพียงแค่ลดความเหลื่อมล้ำ แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

4.โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ควรมองในมิติของการสร้างชุมชน “ไม่ใช่” แค่การสร้างที่อยู่อาศัย เพราะสิ่งสำคัญที่มักถูกมองข้ามในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคือการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและเป็นมิตร นอกจากสร้างที่อยู่อาศัยแล้ว การพัฒนาระบบการบริหารจัดการชุมชนให้มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เช่น การจัดการพื้นที่ส่วนกลาง การรักษาความปลอดภัย และการดูแลบำรุงรักษาอาคารในระยะยาว หากไม่มีการบริหารจัดการชุมชนที่ดี เราจะเห็นได้จากหลายโครงการที่ไม่สามารถรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในระยะยาว

5.ความโปร่งใสและธรรมาภิบาลเป็นหัวใจสำคัญ การดำเนินโครงการนี้จะต้องโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อให้ประชาชน “มั่นใจ” ในระบบการจัดการและการตัดสินใจที่โปร่งใสในการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น ประเภทของที่อยู่อาศัย ราคาที่เหมาะสม มาตรฐานวัสดุก่อสร้างและการบริหารโครงการ คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการควรมีตัวแทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปตามหลักการของ “Social Enterprise” ซึ่งจะช่วยสร้างความ “คุ้มค่า” ให้กับทั้งผู้เช่าและภาครัฐ

6.อย่ารอแก้ไขกฎหมายเพื่อให้โครงการเกิด หนึ่งในข้อที่ควร “หลีกเลี่ยง” คือ “รอ” แก้ไขกฎหมายเพื่อให้โครงการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น รอแก้ไข “พระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ” เพื่อให้สามารถเช่าที่ดินได้ถึง 99 ปี ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถใช้เงื่อนไขกฎหมายปัจจุบันที่อนุญาตให้เช่าได้ 30 ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีก 30 ปี ซึ่งเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัยในระยะยาวสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มั่นคงในราคาที่สามารถเข้าถึงได้

และ 7.พิจารณาผลกระทบต่อการพัฒนาเมืองและตลาดที่อยู่อาศัย การพัฒนาโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาพรวมของการพัฒนาเมืองและผังเมือง หากเลือกทำเลที่ไม่สอดคล้องกับแนวการพัฒนาเมืองในภาพรวม อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว รวมถึงการกระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อาจทำให้การขายและการพัฒนาโครงการในพื้นที่อื่นๆ ชะลอตัวลง! ดังนั้นการพิจารณาทำเลและผลกระทบในภาพรวมจึงเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม

หาก โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ได้รับการวางแผนและบริหารจัดการอย่างรอบคอบ มีการคำนึงถึงทุกปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว จะสามารถเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มั่นคงอย่างแท้จริง 

อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากโครงการในอดีตเป็นเรื่องสำคัญ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมา จะเป็นการสร้างบ้านที่ยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่นโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” ที่ได้รับการชื่นชมไปทั่วโลก

เชื่อว่า ทุกฝ่ายคงไม่อยากเห็นโครงการนี้เป็น “อนุสรณ์แห่งความล้มเหลว” ดังเช่นโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นแบบอย่างของความล้มเหลวและสร้างปัญหาให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรต้องพิจารณารายละเอียดการดำเนินการและผลกระทบอย่างรอบคอบ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง โปร่งใส ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9 ม.ค “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.65 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเริ่มแกว่งตัว Sidewaysในช่วงระหว่างวันนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้างทั้งตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ และหากราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9 มกราคม 2568 ที่ระดับ  34.65 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเริ่มแกว่งตัว Sideways โดยมีโซนแนวต้านแรกแถว 34.70 บาทต่อดอลลาร์ และ

โซนแนวรับแรกในช่วง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงระหว่างวันนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบของผู้เล่นในตลาด หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงหนัก ในช่วงคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดอาจส่งผลให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสินทรัพย์ไทยได้บ้าง

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วยเช่นกัน เพราะหากราคาทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ก็อาจช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท แต่หากราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ก็จะยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น เรามองว่า ควรระวังความผันผวนของเงินหยวนจีน (CNY) ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน เนื่องจากในช่วงนี้ ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ยังคงเป็นปัจจัยกดดันเงินหยวนจีนและ

ตลาดการเงินจีน ทำให้หากเงินหยวนจีนจะชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง ต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน ว่าจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนได้หรือไม่

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น

ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 34.60-34.73 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดนั้น

เงินบาทได้อ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 34.70 บาทต่อดอลลาร์ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จนดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นทะลุโซน 109 จุด อีกครั้ง ท่ามกลางการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก

โดยเฉพาะเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ที่อาจใช้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economic Emergency Powers Act หรือ IEEPA) ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับประเทศต่างๆ

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี อังกฤษ ตามแรงกดดันจากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลอังกฤษ ก็ยิ่งเร่งแรงขายสินทรัพย์อังกฤษ ทั้งหุ้นและบอนด์เพิ่มเติม

 อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยังคงออกมาดีกว่าคาด

ทว่า ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP กลับปรับตัวลดลง แย่กว่าคาดพอสมควร อีกทั้ง เจ้าหน้าที่เฟด Christopher Waller (FOMC Voter) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ตามการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมา

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ที่ล่าสุดมีข่าวว่า ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economic Emergency Powers Act หรือ IEEPA) ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับประเทศต่างๆ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.16%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.19% กดดันโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วยุโรป ที่ส่งผลให้บรรดาหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ก็มีส่วนกดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นบริษัทยายักษใหญ่ Novo Nordisk +2.8% หลังนักวิเคราะห์ปรับคำแนะนำลงทุนเป็น “ซื้อ”

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.70% ตามความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ที่อาจทำให้เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน  Dot Plot

อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่คงมองว่า เฟดยังสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน และบรรยากาศระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ก็ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.68%-4.69%

เราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้ หากบอนด์ยีลด์มีการปรับตัวสูงขึ้นบ้าง เนื่องจากผลตอบแทนรวม (Total Return) ของการถือบอนด์ระยะยาวนั้น ยังมีความน่าสนใจอยู่ ตราบใดที่เฟดไม่ได้กลับมาขึ้นดอกเบี้ย และคาดการณ์ของเราที่มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ นั้นถูกต้อง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมเคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าลงหนักของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ท่ามกลางความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

ก่อนที่เงินดอลลาร์จะเผชิญแรงกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งมองว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่โซน 109 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.8-109.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,670-2,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมา ก็มีส่วนช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากทางฝั่งจีน ทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนธันวาคม เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

นอกจากนี้ ในฝั่งยุโรป รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤศจิกายน ก็จะอยู่ในความสนใจของผู้เล่นในตลาดด้วยเช่นกัน หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน และคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 4 ครั้ง หรือ มากกว่า 100bps ในปีนี้   

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ในช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ที่ 10 มกราคม เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ก่อนที่จะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วง 20.30 น. ของวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.61-34.63 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าในระหว่างวันสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ และเงินหยวนซึ่งอาจเผชิญแรงขายต่อเนื่องท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่อาจตึงเครียดมากขึ้นในประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

โดยเฉพาะภายหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากบันทึกประชุมเฟดซึ่งสะท้อนว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นตรงกันในเรื่องแนวโน้มการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อทิศทางเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากแนวนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.50-34.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก การตอบรับของตลาดต่อตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค. ของจีน รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“แม็กซิมัส” โค่นเต็งหนึ่งทะลุก่อนรองฯ หวดเอทีพีบางกอกโอเพ่น 2

แม็กซิมัส ภราพล โจนส์ ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ระเบิดฟอร์มเก่งโค่นเต็งหนึ่ง ซู หยู ซิ่ว จากไต้หวัน 2-0 เซต ผ่านเข้ารอบก่อนรองฯ เทนนิส เอทีพี ชาลเลนเจอร์ ทัวร์ ได้เป็นครั้งแรก

การแข่งขันเทนนิสชาย เอทีพี ชาลเลนเจอร์ ทัวร์ สัปดาห์ที่ 2 รายการ Bangkok Open 2 หรือ บางกอก โอเพ่น 2 ระดับ ชาลเลนเจอร์ 75 ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,444,000 บาท ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อ 8 ม.ค. 2568 เดินทางเข้าสู่การแข่งขันในรอบ 16 คน 

ประเภทชายเดี่ยว รอบสอง (16 คน) แม็กซิมัส ภราพล โจนส์ ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย อายุ 20 ปี มือ 775 ของโลก ความหวังของไทย พบกับงานหนัก เมื่อต้องดวล ซู หยู ซิ่ว นักเทนนิสไต้หวัน อายุ 25 ปี ที่เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 158 ของโลก เมื่อปี  2023 และปัจจุบันเป็นมือ 255 ของโลก ซึ่งถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 1 ของรายการนี้ด้วย

ผลการแข่งขัน ปรากฏว่า แม็กซิมัส ที่ลงสนามด้วยความมั่นใจ ใช้การหวดที่เฉียบขาด โค่นเต็งหนึ่งลงได้อย่างราบคาบ ในเวลาเพียง 69 นาที 2-0 เซต ด้วยสกอร์ 6-2, 6-1 โดยในแมตช์นี้ แม็กซิมัส เสิร์ฟเอซได้ 7 ครั้ง และไม่เสียดับเบิลฟอลต์เลย แม็กซิมัส ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ รายการเอทีพี ชาลเลนเจอร์ ทัวร์ ได้เป็นครั้งแรก จะพบกับ ริโอ โนกุจิ จากญี่ปุ่น ที่ในรอบสอง ชนะ โกร็องแต็ง เดนอลลี จากฝรั่งเศส 2-0 เซต 6-3, 6-3

ทั้งนี้ จากการผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ แม็กซิมัส ได้ตุนคะแนนไว้แล้ว 12 คะแนน และผลงานก่อนหน้าที่สร้างความมั่นใจให้ แม็กซิมัส คือการแข่งขันรอบแรกของรายการนี้ที่เจ้าตัวสามารถเอาชนะอดีตมือ 18 ของโลกอย่าง เบอนัวต์ แปร์ นักเทนนิสชาวฝรั่งเศส ได้สำเร็จ 2-1 เซต

ด้านการแข่งขันเทนนิสหญิง รายการ ITF World Tennis Tour Presented by SAT (2) หรือ ไอทีเอฟ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์ พรีเซนเต็ด บาย เอสเอที (2) ชิงเงินรางวัลรวม 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,066,400 บาท ที่จัดการแข่งขันพร้อมกัน ในประเภทหญิงเดี่ยว เป็นการแข่งขันรอบแรกวันที่สอง

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “ออมสิน” อัญชิสา ฉันทะ นักเทนนิสสาวไทยวัย 22 ปี เจ้าของเหรียญเงินหญิงเดี่ยว กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่เพิ่งกลับมาแข่งขันเทนนิสอาชีพเป็นครั้งแรก หลังจากพักการแข่งขันไปถึง 14 เดือน เนื่องจากเข้ารับการผ่าตัดรักษาไหล่ซ้าย ได้ไวลด์การ์ดหรือสิทธิพิเศษเข้าร่วมการแข่งขัน พบกับ คามิลล่า โรซาเตลโล จากอิตาลี มือ 330 ของโลก

ผลปรากฏว่า อัญชิสา สามารถเอาชนะในเซตแรกได้ก่อน แต่อีก 2 เซตถัดมาเป็นคู่แข่งขันที่ทำได้ดี จึงทำให้สาวไทยปราชัยไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เซต ด้วยสกอร์ 6-1, 4-6 และ 3-6 ตกรอบแรก ได้รับเงินรางวัลปลอบใจ จำนวน 557 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 19,183 บาท ในขณะที่ คามิลล่า โรซาเตลโล ผ่านเข้ารอบสอง ไปพบกับ เทสซาห์ อันเดรียนจาฟิตริโม จากฝรั่งเศส

ขณะที่ประเภทหญิงคู่ รอบแรก พัณณิน โควาพิทักษ์เทศ และ พัชรินทร์ ชีพชาญเดช สองนักเทนนิสไทย ช่วยกันหวดเอาชนะ เวียร่า ดีเพิ่ม ลูกครึ่งไทย-รัสเซีย และ ลัลดา กำหอม คู่นักหวดจากไทยเช่นกัน 2-0 เซต 6-2 และ 6-1 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปรอคู่แข่งขันต่อไป ซึ่งจะพบกับคู่ชนะระหว่าง อลิเซีย บาร์เน็ตต์ จากสหราชอาณาจักร กับ ปรัธนา กธมบาเร จากอินเดีย ซึ่งเป็นคู่เต็ง 4 และอีกคู่คือ อิเนส อิบบู จากแอลจีเรีย กับ ไนมา คาราโมโก จากสวิตเซอร์แลนด์

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


เข้านอนตอนท้องว่าง ส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ?

คุณอาจมีอาการหิวก่อนเข้านอนได้หลายสาเหตุ บางสาเหตุ เช่น การควบคุมน้ำหนัก เป็นการเลือกของคุณเอง ในขณะที่สาเหตุอื่นๆ เช่น การเข้าถึงอาหารไม่เพียงพอ อาจไม่ใช่ทางเลือกของคุณเสมอไป

โดยทั่วไปแล้วการหยุดรับประทานอาหารก่อนเข้านอนหลายชั่วโมงถือว่ามีสุขภาพดี หากคุณได้รับสารอาหารและแคลอรีเพียงพอตลอดทั้งวัน หากคุณรู้สึกหิวก่อนเข้านอนและกังวลว่าท้องว่างจะทำให้คุณนอนไม่หลับ คุณสามารถรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหลายชนิดในตอนกลางคืนได้ หากคุณไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างสม่ำเสมอ เราได้จัดเตรียมลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่อาจช่วยเหลือคุณไว้ให้

เข้านอนตอนท้องว่างส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

การเข้านอนในสภาพท้องว่างอาจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ หากคุณได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการในแต่ละวัน หรือกำลังปฏิบัติตามแผนการลดน้ำหนักที่ถูกสุขลักษณะ ในหลายกรณี ตารางการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะอาจทำให้คุณรู้สึกหิวก่อนเข้านอนได้ ต่อไปนี้เป็นสาเหตุบางประการที่ทำให้คุณรู้สึกหิวก่อนเข้านอน และวิธีการสังเกตว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่คุณควรใส่ใจหรือไม่

การปฏิบัติตามตารางอาหารเพื่อสุขภาพ

โดยทั่วไปตารางอาหารเพื่อสุขภาพจะประกอบด้วยมื้ออาหารหลัก 3 มื้อต่อวัน และมีของว่างเล็กน้อยระหว่างมื้อหากจำเป็น ดังนั้น ขึ้นอยู่กับเวลาที่คุณเข้านอน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน และจบมื้อเย็นก่อนเข้านอนหลายชั่วโมง อาจทำให้คุณรู้สึกหิวเล็กน้อยขณะที่กำลังจะหลับ

การลดปริมาณแคลอรี่

คุณอาจรู้สึกหิวและเข้านอนไม่ได้หากคุณตั้งใจลดปริมาณแคลอรี่เพื่อลดน้ำหนัก โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณยังคงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน แม้ว่าคุณจะกำลังปฏิบัติตามอาหารจำกัดชนิด เช่น คีโตหรือวีแกนก็ตาม ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าความหิวในเวลากลางคืนของคุณไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล บางโปรแกรมการอดอาหารแบบสลับสับเปลี่ยน (Intermittent Fasting) จะกำหนดเวลาที่คุณสามารถรับประทานอาหารได้ ซึ่งอาจส่งผลให้คุณรู้สึกหิวก่อนหรือระหว่างเวลาเข้านอน หากคุณเข้านอนในช่วงเวลาที่กำลังอดอาหาร

การนอนไม่เพียงพอ

คุณอาจรู้สึกหิวก่อนนอนเพราะไม่ได้นอนหลับเพียงพอ การนอนไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นความอยากอาหารและทำให้รู้สึกหิว นอกจากนี้ ฮอร์โมนเลปติน ซึ่งควบคุมความอยากอาหาร ก็อาจถูกกระตุ้นจากการนอนไม่เพียงพอ ทำให้คุณรู้สึกหิวแม้ว่าจะรับประทานอาหารไปแล้ว การนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละคืนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความรู้สึกหิวก่อนเข้านอน

การขาดสารอาหารหรือภาวะทุพโภชนาการ

การเข้านอนในสภาพท้องว่างอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่านั้น เช่น ภาวะทุพโภชนาการ การรู้สึกหิวในเวลากลางคืนเนื่องจากขาดสารอาหารและเข้าถึงอาหารได้ยากเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่แตกต่างออกไป

ภาวะทุพโภชนาการเป็นประเภทหนึ่งของภาวะ malnutrition และถูกนิยามว่าเป็นการบริโภคแคลอรี่น้อยกว่า 1,800 กิโลแคลอรี่ต่อวัน รวมถึงการขาดวิตามิน แร่ธาตุ และส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ ที่จำเป็นต่ออาหารที่สมดุล ภาวะทุพโภชนาการในระยะยาวอาจส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตช้าลง รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ ในทั้งเด็กและผู้ใหญ่

การเข้านอนในสภาพท้องว่างอาจทำให้คุณรู้สึกว่างเปล่าหรือไม่พึงพอใจ เนื่องจากคุณยังไม่ได้รับประทานอาหารจนอิ่ม แต่การเข้านอนในสภาพท้องว่างอาจมีสุขภาพดีกว่าการรับประทานอาหารใกล้เวลานอนมากเกินไป

มีผลข้างเคียงหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารก่อนนอน การรับประทานอาหารหลังอาหารเย็นหรือดึกอาจส่งผลให้เกิดการเพิ่มน้ำหนักและดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงขึ้น

คุณอาจมีอาการอาหารไม่ย่อยหรือหลับๆ ตื่นๆ หากคุณรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มใกล้เวลานอนมากเกินไป อีกทั้งการเผาผลาญของคุณจะช้าลงเมื่อร่างกายของคุณเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับ และโดยทั่วไปแล้วคุณไม่จำเป็นต้องได้รับแคลอรี่เพิ่มเติม

งานวิจัยหลายชิ้นได้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงของการรับประทานอาหารใกล้เวลานอนมากเกินไป

  • การศึกษาในปี 2013 พบว่าการรับประทานอาหารภายใน 4 ชั่วโมงก่อนนอนอาจส่งผลให้รับประทานแคลอรี่เพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน
  • การศึกษาในปี 2014 พบว่าการเพิ่มปริมาณแคลอรี่จากการรับประทานอาหารในช่วงเย็นและใกล้เวลานอนมากขึ้นอาจส่งผลให้รับประทานแคลอรี่เพิ่มขึ้นและน้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณรับประทานอาหารบ่อยครั้งขึ้นตลอดทั้งวัน
  • การศึกษาในปี 2017 พบว่าการรับประทานอาหารใกล้กับเวลาที่ร่างกายของคุณเริ่มผลิตเมลาโทนิน (ซึ่งเกิดขึ้นก่อนเวลานอนหลายชั่วโมง) อาจส่งผลให้เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การใช้ Although / Though / Even though / In spite of / Despite คืออะไร ใช้ยังไง และแตกต่างกันอย่างไร

เมื่อมีการนำประโยคสองถึงสามประโยคมารวมกันให้เป็นประโยคเดียว จะต้องมีคำมาเชื่อมประโยค ในภาษาไทยคือคำสันธาน แต่ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Conjunction ในที่นี้เราจะมาขยายความเกี่ยวกับคำเชื่อมประโยค คือ การใช้ Although, Though, Even though, In spite of และ Despite ซึ่งหลายคนอาจสับสนว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรและนำไปใช้อย่างไร โดยในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน พร้อมกับมีตัวอย่างประโยคประกอบเพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้นด้วย

ความหมายของ Although / Though / Even though / In spite of / Despite

          Although / Though / Even though / In spite of / Despite ทั้งหมด 5 คำนี้มีความหมายเหมือนกันคือ อย่างไรก็ตาม และเป็นคำเชื่อม (conjunction) แต่จะมีวิธีการใช้ และการสร้างประโยคแตกต่างกัน ดังนี้

1. Although ทำหน้าที่เป็นคำสันธาน (Conjunction) เพียงอย่างเดียว

จะใช้ในประโยคที่เชื่อมข้อความที่มีความขัดแย้งกัน หรือไม่เหมือนกัน ซึ่งในที่นี้จะแปลว่า แม้ว่า/แต่ มักจะพบเจอบ่อย ๆ ในภาษาเขียน สามารถวางไว้ได้ทั้งต้น หรือกลางประโยคเท่านั้น วางไว้ท้ายประโยคไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น

Although Mike has good grades, he doesn’t get the job.

ถึงแม้ว่าไมค์มีเกรดที่ดี เขาก็ยังไม่ได้งาน

ประโยคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประโยคคือ Mike has good grades (ไมค์มีเกรดที่ดี) และ He doesn’t get the job (เขายังไม่ได้งาน) โดยมี การใช้ Although มาเป็นตัวเชื่อมโยงประโยคทั้งสองให้เกี่ยวเนื่องกัน

2. Though ทำหน้าที่เป็นคำสันธาน (Conjunction) และกริยาวิเศษณ์ (Adverb)

จะใช้ในประโยคที่เชื่อมข้อความที่มีความขัดแย้งกันหรือไม่เหมือนกัน ซึ่งในที่นี้จะแปลว่า แม้ว่า/แต่ เช่นเดียวกันกับ Although สามารถวางไว้ได้ทั้งต้น กลาง หรือท้ายประโยคก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น

She doesn’t stop working, though she is sick.

เธอไม่ยอมหยุดงานถึงแม้ว่าเธอจะไม่สบาย

ประโยคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประโยคคือ She doesn’t stop working (เธอไม่ยอมหยุดงาน) และ She is sick (เธอไม่สบาย) โดยมี though มาเป็นตัวเชื่อมประโยค

3. even though ทำหน้าที่เป็นคำสันธาน (Conjunction) เพียงอย่างเดียว

จะใช้ในประโยคที่เชื่อมข้อความที่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งในที่นี้จะแปลว่า ถึงแม้ว่า/แม้ว่า สามารถวางไว้ได้ทั้งต้น หรือกลางประโยคเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น

Even though Siri is late, the teacher doesn’t say anything.

ถึงแม้ว่าสิริจะมาสาย คุณครูก็ไม่ได้ว่าอะไร

ประโยคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประโยคคือ Siri is late (สิริมาสาย) และ the teacher doesn’t say anything (คุณครูก็ไม่ได้ว่าอะไร) โดยมี Even though มาเป็นตัวเชื่อมประโยค

4. In spite of เป็นสำนวนในภาษาอังกฤษ (Idiom) ทำหน้าที่เป็นคำสันธาน (Conjunction)

จะใช้ในประโยคเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น แต่มีอีกสิ่งหนึ่งเข้ามารบกวน หรือเข้ามาขัดขวาง ซึ่งในที่นี้จะแปลว่า แม้ว่า หรือทั้ง ๆ ที่ ยกตัวอย่างเช่น

In spite of their crime records, they still got the job.

แม้จะมีประวัติทางอาชญากรรม พวกเขาก็ยังได้งาน

ประโยคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประโยคคือ their crime records (ประวัติทางอาชญากรรมของพวกเขา) และ they still got the job (พวกเขาก็ยังได้งาน) โดยมี In spite of มาเป็นตัวเชื่อมประโยค

5. Despite ทำหน้าที่เป็นคำสันธาน (Conjunction)

จะใช้ในประโยคเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น แต่มีอีกสิ่งหนึ่งเข้ามารบกวน หรือเข้ามาขัดขวาง ซึ่งในที่นี้จะแปลว่า แม้ว่า หรือทั้ง ๆ ที่ ยกตัวอย่างเช่น

Despite a few problems, I was able to finish the project.

แม้ว่าจะมีปัญหาบ้างเล็กน้อย ฉันก็สามารถทำโครงงานจนเสร็จสิ้นได้

ประโยคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประโยคคือ a few problems (ปัญหาบ้างเล็กน้อย) และ I was able to finish the project (ฉันก็สามารถทำโครงงานจนเสร็จสิ้นได้) โดยมี Despite มาเป็นตัวเชื่อมประโยค

วิธีใช้ Although / Though / Even though / In spite of / Despite

1. วิธีใช้ Although, Though และ Even though

โครงสร้างประโยค : Although / though / even though + subject + verb

 Although       

  • การใช้ Although ขึ้นต้นประโยค

Although Linda is 65 years old, she still exercises every day.

แม้ว่าลินดาจะอายุ 65 ปีแล้ว เธอก็ยังออกกำลังกายทุกวัน

  • การใช้ Although กลางประโยค

I bring an umbrella with me, although it doesn’t rain.

ฉันพกร่มติดตัวไปด้วยแม้ว่าฝนจะไม่ได้ตก

Although เป็นคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคหลัก (subordinating conjunction) ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ (dependent clause) เข้ากับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ (independent clause)

Though

  • การใช้ Though ขึ้นต้นประโยค

Though Ball doesn’t like English, he got an A.

แม้ว่าบอลจะไม่ชอบภาษาอังกฤษ แต่เขาก็ได้เกรดเอ

  • การใช้ though กลางประโยค

Lisa didn’t come to my home, though she said she would.

ลิซ่าไม่ได้มาบ้านของฉัน แม้เธอบอกไว้ว่าจะมา

Though เป็นคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคหลัก ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เข้ากับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์

Even though

  • การใช้ even though ขึ้นต้นประโยค

Even though Mile is rich, he live in a small house.

แม้ว่าไมค์จะเป็นคนรวย แต่เขาก็อาศัยในบ้านหลังเล็ก

  • การใช้ even though กลางประโยค

He is still hungry, even though he ate three sandwiches.

เขายังหิวอยู่ แม้ว่าเขาจะกินแซนด์วิชไปแล้วตั้ง 3 ชิ้น

even though เป็นคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคหลัก ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เข้ากับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์

2. วิธีใช้ In spite of และ Despite

โครงสร้างประโยค : In spite of / Despite + Noun หรือ V.ing

In spite of

  • การใช้ In spite of ตามด้วยคำนาม

Linda is very strong in spite of her age.

ลินดาร่างกายแข็งแรงมาก แม้ว่าจะมีอายุเยอะ

  • การใช้ In spite of ตามด้วยคำกริยาในรูป – ing

In spite of being a student, she sells a lot of book

แม้ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน เธอก็ขายหนังสือได้เยอะมาก

การขึ้นต้นประโยคด้วย In spite of เราจะต้องใช้จุลภาคหรือคอมม่า (,) คั่นหลังคำนาม แต่การใช้ in spite of กลางประโยค ไม่จำเป็นต้องใช้คอมม่าก็ได้ แต่ก็สามารถใช้ได้หากต้องการเน้นความขัดกันของประโยค หรือต้องการให้ประโยคอ่านง่ายขึ้น

Despite

  • การใช้ Despite ตามด้วยคำนาม

I still went to your party despite the rain.

ฉันยังคงไปปาร์ตี้ของคุณแม้ว่าฝนจะตก

  • การใช้ Despite ตามด้วยคำกริยาในรูป – ing

She sells a lot of book despite being a student.

เธอขายหนังสือได้เยอะมาก แม้ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน

การใช้ despite กลางประโยค ไม่จำเป็นต้องมีจุลภาคหรือคอมม่าอยู่ด้านหน้าก็ได้ เว้นแต่ต้องการจะเน้นความขัดแย้งให้เด่นชัดขึ้น หรือคั่นเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ส่อง 10 เทรนด์ HealthTech ปี 68 ปลดล็อกดูแลสุขภาพ-วงการแพทย์

การเกิดขึ้นของ Digital Healthcare หรือการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัล ในปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการแพทย์ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความสำคัญมากขึ้นต่อเนื่องหลังจากเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 รวมถึงการที่ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ใช้งานง่ายขึ้น ทำงานได้รวดเร็ว แม่นยำ ราคาถูกลง เหล่านี้เป็นสาเหตุเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพ หรือ HealthTech เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงในปี 2568

 “ฐานเศรษฐกิจ” จีงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีสุขภาพ (HealthTech)ที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญและสร้างการเปลี่ยนแปลงการให้วงการแพทย์ บริการสาธารณสุข และการดูแลสุขภาพในปี 2568

1. Generative AI : ผู้ช่วยเสมือนที่ช่วยลดภาระงาน

 Generative AI ได้กลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดการงานเอกสารและงานที่ซ้ำซ้อน เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนบันทึกทางการแพทย์ สรุปข้อมูลผู้ป่วย และสื่อสารระหว่างทีมแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยในโรคที่ซับซ้อน เช่น มะเร็ง เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

 2. AI ช่วยในการวินิจฉัยที่ซับซ้อน

 AI ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ลดงานเอกสาร แต่ยังช่วยในการวินิจฉัยโรคที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น โรคหัวใจหรือมะเร็ง โดยเทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ภาพการแพทย์ เช่น CT Scan และอัลตราซาวด์ ช่วยให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ใหม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

 3.ศัลยกรรมแบบแผลเล็ก : การปฏิวัติที่เงียบสงบ

 เทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ยังลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน การรวมข้อมูลจากเครื่องมือหลากหลาย เช่น X-ray แบบ 2 มิติ และ Ultrasound แบบ 3 มิติ ช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถควบคุมขั้นตอนการผ่าตัดได้ดีขึ้น

4. การดูแลในภาวะวิกฤตด้วยข้อมูลครบวงจร

 ในสถานการณ์วิกฤต การมีข้อมูลผู้ป่วยที่ครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ ระบบที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ ได้ช่วยให้ทีมแพทย์วินิจฉัยและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยยังช่วยแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉินล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 5. บ้าน : ห้องพักฟื้นแห่งอนาคต

 การดูแลสุขภาพที่บ้านได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี Remote Patient Monitoring ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามสถานะสุขภาพของผู้ป่วยได้แบบเรียลไทม์ ลดความจำเป็นในการนอนโรงพยาบาล และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย

6. Telehealth : การรักษาไร้พรมแดน

 การแพทย์ทางไกล (Telehealth) ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่ต้องเดินทาง เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายและความแออัดในโรงพยาบาล ตัวอย่างเช่น แพทย์สามารถให้คำปรึกษาผ่านวิดีโอคอลหรือช่วยวิเคราะห์ผลอัลตราซาวด์จากระยะไกล

7. เทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงลูกยุคใหม่

 การผสานเทคโนโลยีเข้ากับชีวิตประจำวันช่วยให้ผู้ปกครองสามารถติดตามสุขภาพของลูกหลานได้อย่างใกล้ชิด อุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น เครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพและอุปกรณ์สวมใส่ สามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจและรูปแบบการนอนของเด็ก

 8. AI เพื่อความยั่งยืนในระบบสุขภาพ

 ด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมสุขภาพที่สูงกว่าอุตสาหกรรมการบิน AI จึงถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดการใช้พลังงานและวัตถุดิบ การปรับเปลี่ยนโรงพยาบาลให้ใช้พลังงานสะอาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอนาคต

9. ลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน

 โรงพยาบาลเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการเลือกซัพพลายเออร์ที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน และใช้วัสดุที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้

 10. การเตรียมระบบสุขภาพให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก ระบบสุขภาพจึงต้องพัฒนาความพร้อมในการจัดการปัญหา เช่น โรคที่เกิดจากคลื่นความร้อน น้ำท่วม และไฟป่า รวมถึงการส่งเสริมพลังงานสะอาดในโรงพยาบาลและเพิ่มการฝึกอบรมบุคลากร

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อย่าตัดทิ้งให้เสียดายของ! จุดสีดำบนผักกาดขาวญี่ปุ่นไม่ใช่เชื้อรา

อีกหนึ่งผักรสชาติอร่อยประจำฤดูหนาวที่คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานเป็นอย่างมากคือ ผักกาดขาวญี่ปุ่นหรือ Hakusai (白菜) ซึ่งเป็นผักที่อร่อยสำหรับนำมาปรุงอาหารคลายหนาวหลากหลายเมนู ได้แก่ หม้อไฟร้อน ซุปต่างๆ และกิมจิ เป็นต้น อย่างไรก็ดี บางครั้งเมื่อเลือกซื้อผักกาดขาวญี่ปุ่นก็มักจะเห็นจุดสีดำ และทำให้คนญี่ปุ่นคิดว่าเป็นเชื้อราแล้วตัดส่วนดังกล่าวทิ้งไป มารู้กันว่าจุดสีดำดังกล่าวคืออะไรกันค่ะ

จุดสีดำบนผักกาดขาวคือเชื้อราใช่ไหม

จุดสีดำบนผักขาวญี่ปุ่นไม่ใช่เชื้อราแต่เป็นสารประกอบโพลีฟีนอลที่เกิดขึ้นจากสภาวะสิ่งแวดล้อมจากภายนอก เรียกว่าโรคเมล็ดงา (Sesame disease) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพ ไม่ได้เกิดจากเชื้อรา ด้วยเป็นสารประกอบโพลีฟีนอลที่ไม่ทำให้รสชาติของผักกาดขาวญี่ปุ่นเปลี่ยนไปจึงสามารถนำมารับประทานได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องตัดทิ้งไปให้ไร้ค่า

สาเหตุของการเกิดจุดสีดำในผักกาดขาวญี่ปุ่น

โดยทั่วไปผักกาดขาวที่มีขนาดใหญ่และมีใบอัดแน่นมักจะมีโอกาสเจอจุดสีดำได้มากกว่าผักกาดขาวขนาดเล็ก การเกิดจุดสีดำนั้นมาจากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ สภาวะอากาศ ดิน เวลาการเก็บเกี่ยว และวิธีการเก็บผักกาดญี่ปุ่นหลังจากการเก็บเกี่ยว หากมีฝนตกเยอะในระหว่างช่วงการปลูก ผักกาดขาวญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะเกิดจุดสีดำมากขึ้นเนื่องจากความชื้นจากน้ำฝนทำให้เซลล์ผักบวมตัวขึ้นและทำให้ผักกาดขาวปรับตัวโดยการสังเคราะห์สารโพลีฟีนอลขึ้นมา นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยที่มากเกินไปก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดจุดสีดำนี้ด้วย

วิธีการนำผักกาดขาวญี่ปุ่นที่มีจุดสีดำมารับประทาน

โดยทั่วไปหากผักกาดขาวญี่ปุ่นมีจุดสีดำมากเกินไปร้านค้ามักจะนำมาวางขายในราคาถูก หากซื้อมาและรู้สึกว่าไม่กล้ารับประทานเพราะมีจุดสีดำ คนญี่ปุ่นแนะนำให้นำผักกาดขาวญี่ปุ่นมาปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงหรือซอสที่มีสีคล้ำ เช่น ผัดกับซอสพริกเสฉวน ต้มเคี่ยวในซอสมะเขือเทศ และทำกิมจิ เป็นต้น

คุณค่าสารอาหารที่ทำให้คนญี่ปุ่นหลงรักผักกาดขาว

นอกจากรสชาติอร่อยที่นำมารับประทานได้ทั้งแบบปรุงอาหารและแบบดิบแล้ว ผักกาดขาวญี่ปุ่น 100 กรัมให้พลังงานเพียง 13 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงที่กำลังควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังมีคุณค่าสารอาหารที่สำคัญได้แก่ ไอโซไทโอไซยาเนต  (Isothiocyanate) ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เส้นใยอาหาร ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ส่งผลในการช่วยรักษาสภาพแวดล้อมในลำไส้ให้ดีช่วยป้องกันอาการท้องผูก และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยขับเกลือส่วนเกินออกจากร่างกายและช่วยลดความดันโลหิต

ไม่ใช่เฉพาะแต่ผักกาดขาวในญี่ปุ่นผักกาดขาวในไทยก็มีจุดสีดำเกิดขึ้นที่ใบเช่นกัน ผู้เขียนเองก็เข้าใจผิดตัดทิ้งมาตลอด แม้รูปลักษณ์จะไม่สวยงามแต่ก็ยังสามารถนำมารับประทานได้อย่างปลอดภัยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,500.0043,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,818.0042,720.8844,100.00
ทองรูปพรรณ 90%2,536.2038,448.79n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,254.4034,176.70n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,268.0019,222.88n/a
ทองรูปพรรณ 40%986.0014,947.76n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,920.0044,267.20n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/01/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.9535.9536.4535.9535.9535.9535.9535.9535.9535.95
แก๊สโซฮอล์ 9135.5835.5836.0835.5835.5835.5835.5835.5835.5835.58
แก๊สโซฮอล์ E2033.8433.8434.3433.8433.8433.8433.8433.8433.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.5933.5933.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.5449.8449.8449.8444.54
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า