แสนสิริ ยอดขายครึ่งปีแรกพุ่งแตะ 26,000 ล้าน เดินหน้ารุกไตรมาส 3

ท่ามกลางเศรษฐกิจท้าทายแสนสิริ ยอดขายครึ่งปีพุ่งแตะ 26,000 ล้าน พร้อมเดินเกมรุกเปิด 5 โครงการใหม่ไตรมาส 3 รับเทรนด์อสังหาฯ ฟื้นตัว
แม้สภาวะเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศจะยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ยังคงรักษาเส้นทางเติบโตได้อย่างมั่นคง โดยล่าสุดรายงาน”ยอดขายครึ่งปีแรก” (มกราคม – มิถุนายน 2568) แตะ 26,000 ล้านบาท คิดเป็น 50% จากเป้าทั้งปีที่วางไว้ 53,000 ล้านบาท
“แสนสิริ ยังคงรักษาระดับการเติบโตของยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง ครึ่งปีแรกทะลุเป้า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ แม้ตลาดจะเต็มไปด้วยความท้าทาย” วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน แสนสิริ
เบื้องหลังตัวเลขยอดขายที่น่าจับตาคือ “ปรากฏการณ์ Sold Out” จาก 13 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นทั้งในตลาดแนวราบและคอนโดมิเนียม ตอกย้ำจังหวะการตลาดที่แม่นยำ และการจับกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด
ไตรมาส 3 รุกเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า 15,300 ล้าน
เพื่อสานต่อโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง แสนสิริเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 5 แห่งในไตรมาส 3 มูลค่ารวมกว่า 15,300 ล้านบาท ได้แก่
- วาลเลส เฮาส์
- เซลฟ์ บาย แสนสิริ
- ไวด์เด็น บาย แสนสิริ
- เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9
- สราญสิริ จตุโชติ
โครงการเหล่านี้มุ่งขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง และการผ่อนคลายมาตรการ LTV เริ่มส่งผลเชิงบวกต่อกำลังซื้อ
Backlog แกร่ง หนุนรายได้ครึ่งปีหลัง
ขณะเดียวกัน แสนสิริ ยังมี Backlog หรือยอดขายรอโอนกว่า 20,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 50% พร้อมมีโครงการจ่อ Sold Out อีกกว่า 10 โครงการ
ไฮไลต์ ได้แก่PTY Residence สาย 1 คอนโดริมทะเลพัทยา มียอดขายทะลุ 3,300 ล้านบาท
เดมี พระราม 9 – เหม่งจ๋าย ปิดการขาย 18 ยูนิต ก่อนพรีเซลล์ สร้างยอดขายกว่า 500 ล้านบาท
ธุรกิจใหม่ Crafted by Sansiri บริการรับสร้างบ้านครบวงจร ทำรายได้ทะลุเป้าหลายร้อยล้าน เตรียม Grand Opening กันยายนนี้
อีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญคือการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยมีผู้จองซื้อเกินกว่า 50% ของวงเงินเสนอขาย
ปักหมุดทำเลศักยภาพ พร้อมส่งโมเดลลงทุนแนวราบ
ในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์โครงการพร้อมอยู่ในทำเลศักยภาพ เช่น กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต พร้อมแตกไลน์ “Investment Project” เพื่อรองรับลูกค้านักลงทุน เช่น โครงการ ณรินสิริ กรุงเทพกรีฑา ที่มีค่าเช่าเฉลี่ยระดับ 400,000 – 500,000 บาทต่อเดือน ให้ผลตอบแทนสูงถึง 9% ต่อปี
“เรามองเห็นโอกาสจากการลงทุนในแนวราบ และจะต่อยอดด้วยการพัฒนาโมเดล Sansiri Community รวมถึงบริการหลังการขายที่ดูแลแบบไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือในการรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืน”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“ระยอง” เมืองรองศักยภาพพุ่ง เป้าอสังหาฯ แห่งอนาคตเศรษฐกิจ EEC

“ระยอง” ผงาดเมืองรองศักยภาพ อนาคตเศรษฐกิจใหม่ EEC ด้วย สนามบินอู่ตะเภา-โครงสร้างพื้นฐาน หนุนกำลังซื้อโตแรงแซงกรุงเทพฯ
จากเมืองอุตสาหกรรม ที่เคยเป็นเพียง “ทางผ่าน” สู่เป้าหมายใหม่ของทุนอสังหาริมทรัพย์-ระยองกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเมืองรองไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้ร่มเงาอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อแรงส่งจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังกลายเป็นกลไกปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
พื้นที่จังหวัดระยอง โดยเฉพาะในโซน “อู่ตะเภา-บ้านฉาง” กำลังกลายเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพสูงสุดของประเทศ จากการขับเคลื่อนของโครงการ EEC ซึ่งส่งผลให้มีการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมือง และการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ที่ถูกวางตัวให้เป็น “Hub” ของธุรกิจ การท่องเที่ยว และการเดินทางระดับภูมิภาค
หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้เล่นหลักในจังหวัดระยอง และมองเห็น “คลื่นการเปลี่ยนแปลง” นี้อย่างลึกซึ้งคือ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR ที่กำลังเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ในจังหวัดระยอง โดยเฉพาะทำเลบ้านฉาง ซึ่งถูกจับตาว่าเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยยุคใหม่ใกล้เขตพัฒนาอุตสาหกรรม
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ระยองวันนี้ไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อน” เพราะ GDP จังหวัดทะลุ 1 ล้านล้านบาท แซงหน้ากรุงเทพมหานคร ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศในแง่รายได้ต่อหัว ด้วยกำลังซื้อเฉลี่ยต่อคนกว่า 1 ล้านบาทต่อปี
อ้างอิงข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า จังหวัดระยองมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) สูงถึง 1,083,867 ล้านบาท มีประชากรประมาณ 1,080,100 คน เป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่า 1,003,497 บาท/คน/ปี เทียบกับกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในอันดับ 2 ที่ 634,109 บาท/คน/ปี และชลบุรีในอันดับ 3 ที่ 598,448 บาทต่อคนต่อปี
“ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่ภาพรวมทางเศรษฐกิจ แต่สะท้อนพลังซื้อของประชากรระดับกลางถึงบน ที่พร้อมก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านระดับ 10-30 ล้านบาทได้” นายไพโรจน์กล่าว
ในฐานะผู้พัฒนาโครงการ ESTAR ได้เปิดโครงการแนวราบระดับ 5-15 ล้านบาทในพื้นที่บ้านฉางใกล้อู่ตะเภา ซึ่งถือเป็นแนวเส้นทางการพัฒนาใหม่ของ EEC โดยโครงการที่ผ่านมาได้รับการตอบรับดี ปิดการขายภายในไม่กี่เดือน สะท้อนถึงดีมานด์ที่มีศักยภาพสูงในพื้นที่
นายไพโรจน์ยังเปิดเผยว่า ข้อมูลภายในของบริษัทเผยว่า ESTAR มีแบ็คล็อกพร้อมโอนปีนี้ราว 1,075 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้แม้ระยองจะเป็นเพียง 65 ล้านบาท แต่ด้วยแผนขยายการพัฒนาเชิงรุกในทำเลบ้านฉาง โดยปรับเซ็กเมนต์เข้าสู่บ้านในระดับราคา 10-30 ล้านบาท เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของผู้บริโภคในจังหวัดนี้ บริษัทวางเป้าหมายชัดเจนว่าปีนี้จะทำยอดโอนรวมถึง 2,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนราว 20%
ข้อมูลจากผู้ประกอบการ ยังชี้ว่าราคาที่ดินในบ้านฉางปรับตัวขึ้นถึง 52% ภายในไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในประเทศช่วงเวลาเดียวกัน และคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากแผนเปิดเมืองการบินและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จะทยอยเปิดใช้งานในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ด้านศักยภาพเชิงโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดระยองยังโดดเด่นจากการพัฒนา “สนามบินอู่ตะเภา” ซึ่งจะถูกยกระดับเป็นเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าโครงการรวมกว่า 217,949.38 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,500 ไร่ ตั้งเป้ารองรับ
ผู้โดยสารได้ถึง 60 ล้านคนต่อปี พร้อมศูนย์ธุรกิจ การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่จะสร้างการจ้างงานได้กว่า 50,000 ตำแหน่ง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2572 สนามบินนี้จะกลายเป็นจุดเชื่อมโยงหลักของการเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความต้องการที่อยู่อาศัย การค้า และบริการในพื้นที่รอบข้าง โดยเฉพาะทำเล บ้านฉาง-บ่อวิน-อู่ตะเภา ซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่พัฒนาโครงการอย่างเข้มข้น
อีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนศักยภาพของระยอง คือโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สู่สนามบินอู่ตะเภาที่เตรียมเปิดเฟสใหม่ โรงแรม-ศูนย์การค้าระดับพรีเมียมที่ทยอยเกิดขึ้นตามมา ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

“เรามองว่าเมืองอุตสาหกรรมในอดีตอย่างระยองกำลังกลายเป็นเมืองอยู่อาศัยแห่งใหม่ของกลุ่มผู้บริหาร นักธุรกิจ ชาวต่างชาติ และครอบครัวรุ่นใหม่ที่ต้องการทั้งคุณภาพชีวิต ความปลอดภัย และดีไซน์ที่ไม่ธรรมดา” นายไพโรจน์กล่าว
ESTAR ยังได้ปรับกลยุทธ์พัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยใช้แนวคิด “เข้าใจ Insight ก่อนลงมือสร้าง” ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์รายได้ครัวเรือน ไลฟ์สไตล์คนมีฐานะ ไปจนถึงความต้องการเฉพาะทาง
เช่น บ้านที่มีห้องนอนชั้นล่าง พื้นที่เลี้ยงสัตว์ หรือแม้แต่บ้านในสนามกอล์ฟไม่เพียงแค่ตัวโครงการที่เติบโต แต่ราคาที่ดินในบ้านฉางก็พุ่งแรง โดยในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 พื้นที่นี้มีการปรับขึ้นราคาสูงสุดในประเทศถึง 52% ขณะที่ราคาประเมินเฉลี่ยขยับจาก 6 ล้าน เป็น 9 ล้านบาทต่อไร่ ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ในขณะที่ประเทศไทยยังต้องการโอกาสใหม่ของการเติบโตในอนาคต จังหวัดระยองกลับกลายเป็นหมุดหมายที่ไม่อาจมองข้าม จากเมืองอุตสาหกรรมสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภาคตะวันออก ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล กำลังซื้อที่แข็งแรง และศักยภาพของเมืองที่กำลังเปลี่ยนภาพตัวเองสู่เมืองน่าอยู่แห่งใหม่ของไทย ระยองอาจไม่ได้เป็นเพียง “เมืองรอง” อีกต่อไป หากแต่เป็นเมืองที่กำลังก้าวขึ้นมาอย่างมั่นคงในภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทยยุคถัดไป เป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่พร้อมเติบโตจากฐานอุตสาหกรรมมาหนุนการอยู่อาศัยคุณภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ก.ค.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวผันผวนสูงในสัปดาห์นี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอทยอยขายดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่า หรือในหลายสกุลเงินทยอยเพิ่มสัดส่วนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ก.ค.2568 ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในช่วงนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์
ขณะเดียวกันก็กดดันให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซนแนวรับ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะทยอยเข้าซื้อทองคำ (Buy on Dip) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ ที่อาจไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญซึ่งอาจส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูง (ทั้งในฝั่งอ่อนค่าและแข็งค่า)PlayNextMute
อีกทั้ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดล่าสุด ก็เริ่มทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และสอดคล้องกับมุมมองของเฟดใน Dot Plot ล่าสุด ทำให้การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เว้นแต่ว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าจะออกมาแข็งแกร่ง
โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้ง อย่าง แน่นอนในปีนี้ ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเงินดอลลาร์ ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ ทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging Ratio) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นในหลายสกุลเงิน
โดยเฉพาะสกุลเงินฝั่งเอเชีย ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทอาจติดอยู่แถวโซนแนวต้าน 32.65-32.75 บาทต่อดอลลาร์ ในระยะสั้น ทั้งนี้ เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าเข้าใกล้โซน 147 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับ ญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น
ขณะเดียวกันบรรดาผู้เล่นในตลาดก็ประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในปีนี้ หากญี่ปุ่นเผชิญภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงถึง 25% นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากการปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำ ทว่า เงินบาทยังคงไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ และการปรับสถานะถือครองของบรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระบุว่า จะไม่ขยายเส้นตายในการบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ได้ประกาศล่าสุด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.07%
ฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.41% แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินยุโรปอาจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare และหุ้นกลุ่มพลังงาน
อาทิ Shell +1.8% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ที่ได้อานิสงส์จากทั้งการปรับสถานะ Short น้ำมันของผู้เล่นในตลาด ความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจลดกำลังการผลิตน้ำมันลงจากคาดการณ์ก่อนหน้า และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ทะเลแดง หลังกลุ่ม Houthi กลับมาโจมตีเรือบรรทุกสินค้าอีกครั้ง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.40%
โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ทำให้เรามองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น และคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ
บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า (โซน 4.50% หรือสูงกว่านั้น อาจไม่ได้เห็นได้ง่ายนัก หากไม่มีความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เข้ามากดดันตลาดบอนด์ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องออกมาดีกว่าคาดชัดเจน)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงเช่นกัน ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หากญี่ปุ่นเผชิญอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 25%
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ลงบ้าง (Sell on Rally) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ
(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ปรับตัวลง ก่อนที่ราคาทองคำจะพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า และจังหวะอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ หนุนให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,310-3,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า หลังทางการสหรัฐฯ ได้ทยอยประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ทำให้บรรดาประเทศคู่ค้าอาจเร่งเจรจาการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญอัตราภาษีนำเข้าที่สูงดังกล่าว
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว
ส่วนทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของจีน ในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนได้ ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น
บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 2.75% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.25% ไปก่อน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบดมินตัน เจแปน โอเพ่น รอบแรกสุดมันส์ “วิว กุลวุฒิ” ชน “เหวิน ฮงหยาง”, “เมย์ รัชนก” ดวลเดือด “อัน เซยอง”

เตรียมระเบิดความมันส์! วงการแบดมินตันเตรียมจับตามองศึก “เจแปน โอเพ่น 2025” ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 จับสายการแข่งขันออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนักตบลูกขนไก่ไทยต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแรก
ในสัปดาห์หน้าการแข่งขันจะมีแบดมินตันรายการใหญ่ ในศึกเจแปน โอเพ่น 2025 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 950,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 31,350,000 บาท ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 15-20 ก.ค.68 นี้ โดยเมื่อช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 8 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ได้มีการจับสายการแข่งขันออกมาเป็นที่เรียบร้อย
ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 1 ของโลก พบกับ เวง ฮงหยาง มืออันดับ 11 ของโลกจากจีน
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 10 ของโลก พบกับ อัน เซยอง มืออันดับ 1 ของโลกจากเกาหลีใต้ , “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มืออันดับ 9 ของโลก พบกับ เฉิน ยู่เฟย มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลกจากจีน , “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 7 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลก พบกับ อูนานติ ฮูด้า มืออันดับ 37 ของโลกจากอินเดีย , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 15 ของโลก พบกับ ชิว ปินเชียน มืออันดับ 27 ของโลกจากไต้หวัน
ประเภทชายคู่ รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มืออันดับ 12 ของโลก พบกับ หวง ตี้ กับ หลิว หยาง คู่มืออันดับ 22 ของโลกจากจีน
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิลด์” สุกฤตา สุวะไชย คู่มืออันดับ 28 ของโลก พบกับ คาโฮะ โอซาวะ กับ ไม ทานาเบะ คู่มืออันดับ 72 ของโลกจากญี่ปุ่น
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือวางอันดับ 5 ของรายการ คู่มืออันดับ 5 ของโลก พบกับเพื่อนร่วมชาติอย่าง “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ คู่มืออันดับ 205 ของโลก ,”ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 15 ของโลก พบกับ โก๊ะ ซุนฮวด กับ เชวอน เจมี่ ไล คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลกจากมาเลเซีย
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
หายใจไม่อิ่ม สัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกอะไรบางอย่าง

อาการ หายใจไม่อิ่ม หรือที่บางคนเรียกว่า “หายใจไม่เต็มปอด” เป็นความรู้สึกอึดอัด คล้ายกับว่าหายใจเข้าไปได้ไม่พอ ไม่ว่าจะพยายามสูดลมหายใจลึกแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม อาการนี้ไม่ใช่โรค แต่เป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกเราว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุของอาการหายใจไม่อิ่มนั้นมีได้หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
สาเหตุทั่วไปของอาการหายใจไม่อิ่ม
- ความวิตกกังวลและความเครียด: นี่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด อาการแพนิค หรือความเครียดสะสมสามารถทำให้ระบบหายใจทำงานผิดปกติ ทำให้รู้สึกเหมือนหายใจไม่อิ่ม ทั้งที่ร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอ
- โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ:
- โรคหอบหืด: หลอดลมหดตัว ทำให้หายใจลำบาก มีเสียงหวีด
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD): เกิดจากถุงลมปอดและหลอดลมเสียหาย มักพบในผู้ที่สูบบุหรี่
- โรคปอดอักเสบ/ปอดบวม: การติดเชื้อในปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
- หลอดลมอักเสบ: การอักเสบของหลอดลม ทำให้มีเสมหะและหายใจลำบาก
- ภูมิแพ้: การได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร ทำให้ทางเดินหายใจบวมและตีบ
- โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด:
- ภาวะหัวใจล้มเหลว: หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้ของเหลวคั่งในปอด
- โรคหัวใจขาดเลือด/กล้ามเนื้อหัวใจตาย: การที่เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ อาจทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่อิ่ม
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ: การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการสูบฉีดเลือด
- ภาวะโลหิตจาง: ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยเกินไป ทำให้การนำส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง ร่างกายจึงพยายามหายใจเร็วขึ้นเพื่อชดเชย
- ภาวะกรดไหลย้อน: กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา ทำให้เกิดการระคายเคืองที่หลอดอาหารและอาจส่งผลต่อการหายใจ
- น้ำหนักเกิน/โรคอ้วน: ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าอกและช่องท้องอาจกดทับปอด ทำให้หายใจได้ไม่เต็มที่
- การตั้งครรภ์: มดลูกที่ขยายตัวอาจกดเบียดกระบังลม ทำให้คุณแม่รู้สึกหายใจไม่อิ่ม
- ยาบางชนิด: ยาบางประเภทอาจมีผลข้างเคียงทำให้รู้สึกหายใจไม่อิ่มได้
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
แม้ว่าบางครั้งอาการหายใจไม่อิ่มอาจเกิดจากความเครียดและหายไปเองได้ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที:
- อาการหายใจไม่อิ่มเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรง
- มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย
- มีอาการบวมที่ข้อเท้าหรือเท้า
- มีไข้ ไอ มีเสมหะ หรือหนาวสั่น
- ริมฝีปากหรือปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีเขียว/ม่วง
- รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม
- อาการหายใจไม่อิ่มรบกวนการนอนหลับหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
- มีประวัติโรคหัวใจหรือปอดอยู่แล้ว
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการหายใจไม่อิ่ม
- ตั้งสติและผ่อนคลาย: หากเกิดจากความวิตกกังวล ให้พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ
- อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก: เปิดหน้าต่าง หรือออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์
- นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย: อาจจะยกศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น: เช่น ควันบุหรี่ สารก่อภูมิแพ้
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ช่วยลดความเหนื่อยล้าของร่างกาย
อาการหายใจไม่อิ่ม เป็นสัญญาณสำคัญที่ร่างกายส่งมาเตือนเรา แม้บางครั้งอาจไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรละเลย หากมีอาการเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือรุนแรง ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณกลับมาหายใจได้อย่างเต็มปอดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
ชอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คีย์แคป (Keycap) คืออะไร? เลือกแบบไหนดี? ทำความเข้าใจก่อนอัปเกรดคีย์บอร์ดคู่ใจ

สำหรับผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการคีย์บอร์ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคีย์บอร์ด Mechanical แล้ว การเลือก คีย์แคป (Keycap) นั้นมีความสำคัญไม่แพ้การเลือกสวิตช์เลยทีเดียว เพราะคีย์แคปคือส่วนที่คุณสัมผัสโดยตรง และยังส่งผลต่อทั้งความรู้สึกในการพิมพ์ เสียง ไปจนถึงความสวยงามของคีย์บอร์ดอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับประเภทของคีย์แคปในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้คุณเลือกคีย์แคปที่ตอบโจทย์การใช้งานและสไตล์ของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความสำคัญของ Keycap ที่หลายคนมองข้าม
หลายคนอาจคิดว่า Keycap เป็นเพียงแค่ฝาครอบปุ่มกด แต่ในความเป็นจริงแล้ว คีย์แคปมีผลต่อประสบการณ์การใช้งานคีย์บอร์ดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น:
- สัมผัสในการพิมพ์: พื้นผิว, ความหนา, และรูปทรงของคีย์แคปส่งผลต่อความรู้สึกเมื่อปลายนิ้วสัมผัส
- เสียง: วัสดุและความหนาของคีย์แคปมีผลต่อโทนเสียงและแรงสะท้อนเมื่อกดปุ่ม
- ความทนทาน: คีย์แคปที่ทำจากวัสดุคุณภาพดีจะทนทานต่อการสึกหรอและเงาจากการใช้งาน
- ความสวยงามและเอกลักษณ์: มีลวดลาย สีสัน และชุดคีย์แคปให้เลือกมากมายตามสไตล์ส่วนตัว
ประเภทของ คีย์แคป แบ่งตามวัสดุยอดนิยม
วัสดุที่ใช้ในการผลิต คีย์แคป เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดคุณสมบัติหลายอย่าง โดยวัสดุที่นิยมใช้กันแพร่หลายมีดังนี้:
ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) Keycap
- คุณสมบัติ: เป็นวัสดุที่พบได้บ่อยที่สุดในคีย์บอร์ดทั่วไปและคีย์บอร์ดเกมมิ่งส่วนใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา ให้ผิวสัมผัสที่เรียบลื่น พิมพ์ง่าย และมีสีสันให้เลือกหลากหลาย
- ข้อดี: ผลิตง่าย ราคาไม่แพง ทำให้มีตัวเลือกและดีไซน์ที่หลากหลาย
- ข้อเสีย: มีแนวโน้มที่จะเกิดความมันเงา (shine) ได้ง่ายจากการใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสบ่อยๆ และอาจเหลืองได้เมื่อโดนแสง UV
PBT (Polybutylene Terephthalate) Keycap
- คุณสมบัติ: เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบคีย์บอร์ด Mechanical ด้วยคุณสมบัติที่ทนทานกว่า ABS มาก ให้ผิวสัมผัสที่สากเล็กน้อย ไม่เป็นเงาง่ายเหมือน ABS และทนทานต่อสารเคมี
- ข้อดี: ทนทานต่อการสึกหรอ ไม่ขึ้นเงาง่าย ไม่เหลืองเมื่อเวลาผ่านไป ให้เสียงที่ “thock” หรือ “clack” ที่ชัดเจนกว่า ABS
- ข้อเสีย: มีราคาสูงกว่า ABS และการผลิตค่อนข้างซับซ้อน ทำให้มีตัวเลือกดีไซน์และสีสันน้อยกว่า ABS เล็กน้อย
POM (Polyoxymethylene) Keycap
- คุณสมบัติ: เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ใช้ผลิต คีย์แคป แม้จะไม่แพร่หลายเท่า ABS และ PBT แต่ก็มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวลและลื่นกว่า PBT เล็กน้อย ทนทานต่อสารเคมีได้ดี
- ข้อดี: ให้สัมผัสการพิมพ์ที่นุ่มนวลและเสียงที่นุ่มนวลกว่า PBT ทนทานต่อการสึกหรอได้ดี
- ข้อเสีย: มีราคาสูง หายาก และมีตัวเลือกน้อยมากในตลาด
ประเภทของ คีย์แคป แบ่งตามวิธีการทำสัญลักษณ์ (Legends)
นอกจากวัสดุแล้ว วิธีการทำสัญลักษณ์บน คีย์แคป ก็ส่งผลต่อความทนทานของตัวอักษรและรูปลักษณ์เช่นกัน:
1. Pad Printing / Silk Screening
- วิธีการ: พิมพ์หมึกลงบนพื้นผิวของคีย์แคปโดยตรง คล้ายกับการพิมพ์สกรีนเสื้อ
- ข้อดี: ผลิตง่าย ราคาถูก มีสีสันหลากหลาย
- ข้อเสีย: ตัวอักษรมีโอกาสลบเลือนหรือจางหายไปได้ง่ายที่สุดเมื่อใช้งานไปนานๆ
2. Laser Etching / Laser Engraving
- วิธีการ: ใช้เลเซอร์ยิงลงบนพื้นผิวของคีย์แคปเพื่อทำให้เกิดร่องรอยเป็นตัวอักษร บางครั้งอาจมีการเติมสีลงในร่องที่ยิง
- ข้อดี: ทนทานกว่า Pad Printing เล็กน้อย
- ข้อเสีย: ตัวอักษรอาจไม่คมชัดเท่าวิธีอื่น และร่องที่เกิดจากการยิงเลเซอร์อาจเก็บสิ่งสกปรกได้
3. Dye-Sublimation (Dye-Sub)
- วิธีการ: ใช้ความร้อนสูงเพื่อถ่ายโอนสีย้อมเข้าไปในเนื้อพลาสติกของคีย์แคป ทำให้สีซึมลึกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อพลาสติก
- ข้อดี: ตัวอักษรทนทานถาวร ไม่มีวันลบเลือน (ตราบใดที่เนื้อพลาสติกยังอยู่) ให้สีสันที่สวยงาม คมชัด
- ข้อเสีย: จำกัดเฉพาะการพิมพ์บนคีย์แคปสีอ่อน และไม่สามารถพิมพ์สีขาวลงบนคีย์แคปสีเข้มได้
4. Double-Shot (Injection Molding)
- วิธีการ: เป็นวิธีที่ทนทานที่สุด โดยการฉีดพลาสติกสองชั้นเข้าด้วยกัน ชั้นแรกเป็นสีของตัวอักษร และชั้นที่สองเป็นสีของคีย์แคป ทำให้ตัวอักษรเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อพลาสติกอย่างแท้จริง
- ข้อดี: ตัวอักษรทนทานถาวร ไม่มีวันลบเลือนหรือจางหายไปเลยแม้แต่น้อย ให้ตัวอักษรที่คมชัดและสามารถรองรับไฟ Backlight ได้ดีเยี่ยม
- ข้อเสีย: กระบวนการผลิตซับซ้อนและมีราคาสูงกว่าวิธีอื่นๆ

ประเภทของ Keycap แบ่งตาม Profile (รูปทรง)
Profile ของ Keycap คือรูปทรงและความสูงของคีย์แคปแต่ละแถว ซึ่งส่งผลต่อหลักสรีรศาสตร์และประสบการณ์การพิมพ์อย่างมาก:
1. OEM Profile
- คุณสมบัติ: เป็นโปรไฟล์ที่พบได้บ่อยที่สุดในคีย์บอร์ดทั่วไป มีความสูงปานกลาง โดยคีย์แคปแต่ละแถวจะมีมุมและความสูงที่แตกต่างกันตามหลักสรีรศาสตร์
- ข้อดี: พิมพ์ง่าย คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ หาซื้อง่าย
- เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้ทั่วไป, การพิมพ์งาน
2. Cherry Profile
- คุณสมบัติ: มีความคล้ายคลึงกับ OEM แต่โดยรวมแล้วจะเตี้ยกว่าเล็กน้อย และมีความลาดชันที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้หลายคนรู้สึกว่าพิมพ์ได้สะดวกสบายและกระชับมือกว่า OEM
- ข้อดี: ergonomic ดีเยี่ยม, ให้เสียงที่ “แน่น” กว่า OEM, นิยมมากในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบ Mechanical Keyboard
- เหมาะสำหรับ: นักพิมพ์, นักเล่นเกม, ผู้ที่ต้องการความรู้สึกพรีเมียม
3. SA Profile
- คุณสมบัติ: เป็นโปรไฟล์ที่สูงและโค้งมน ให้ความรู้สึกแบบย้อนยุค (vintage) คล้ายกับคีย์บอร์ดสมัยเก่า
- ข้อดี: รูปลักษณ์โดดเด่น, เสียงที่ “thock” ดังเป็นเอกลักษณ์
- ข้อเสีย: สูงกว่าโปรไฟล์อื่นมาก อาจต้องปรับตัวในการพิมพ์, ราคาสูง
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ชอบความรู้สึกแบบ retro, ผู้ที่ต้องการเสียงเฉพาะตัว
4. DSA Profile
- คุณสมบัติ: เป็นโปรไฟล์ที่มีความสูงเท่ากันทุกแถว (uniform profile) และมีผิวหน้าแบบทรงกลมเว้าเล็กน้อย
- ข้อดี: สามารถวางคีย์แคปแถวไหนก็ได้โดยไม่ผิดรูปทรง ทำให้จัดเรียงเลย์เอาต์ได้อิสระ, เหมาะกับการพิมพ์แบบไม่วางนิ้วตายตัว
- ข้อเสีย: อาจไม่เหมาะกับผู้ที่คุ้นเคยกับโปรไฟล์แบบ Sculpted ที่มีส่วนโค้งรับกับนิ้ว
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดเรียง, ผู้ที่ชอบความสูงเท่ากันทุกปุ่ม
5. XDA Profile
- คุณสมบัติ: คล้ายกับ DSA แต่มีพื้นที่หน้าสัมผัสที่กว้างกว่าและมีความสูงที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย
- ข้อดี: สัมผัสในการพิมพ์ที่สบาย (สำหรับบางคน), รูปทรงทันสมัย, จัดเรียงเลย์เอาต์ได้อิสระ
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ชอบความสูงเท่ากันทุกปุ่มแต่ต้องการพื้นที่หน้าสัมผัสที่กว้างขึ้น
สรุปและคำแนะนำในการเลือก คีย์แคป
การเลือก คีย์แคป (Keycap) ที่ดีที่สุดสำหรับคุณขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและงบประมาณ หากคุณเป็นมือใหม่และต้องการคีย์แคปที่ทนทาน ไม่ต้องดูแลมาก แนะนำ PBT Double-Shot ในโปรไฟล์ Cherry หรือ OEM แต่หากคุณเป็นนักเล่นเกมที่เน้นความเร็วและคุ้นเคยกับคีย์บอร์ดทั่วไปอยู่แล้ว ABS OEM ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
สิ่งสำคัญคือการลองสัมผัสและทดลองพิมพ์ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับประสบการณ์การพิมพ์ที่ดีที่สุดจากคีย์บอร์ดคู่ใจของคุณ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก โดยไม่ต้องมีคำว่า “love” เสมอไป

สำหรับใครที่กำลังมีความรัก อยากบอกรักคนที่กำลังปลื้มปริ่มอยู่ในใจ คงจะไปเต็มด้วยว่าคำว่า “I love you.” แต่อันที่จริงแล้วคำบอกความรู้สึกในใจภาษาอังกฤษมีมากกว่าคำ ๆ นี้เสียอีก แถมแต่ละคำยังบ่งบอกความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งและมีความหมายเฉพาะกันอีกด้วย ดังนั้นมา เรียนภาษาอังกฤษ กับ สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก ไว้บอกความในใจกับคนพิเศษกัน
สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก มีหลากหลาย ไม่ใช่แค่ I Love U
สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก โดยไม่ต้องมีคำว่า “love” เสมอไป บางทีเราก็สามารถบอกประโยค หรือ คำอื่น ๆ ที่แสดงถึงความรักเหมือนกันได้ อีกทั้งบางคำยังมีคำหมายลึกซึ้งและดูมีชั้นเชิงในการแสดงความรักในรูปแบบต่าง ๆ บ่งบอกความรู้สึกที่มีตามลำดับกันไป มาดูกันว่า ชาวต่างชาตินิยมแสดงความรักแบบใดและมีประโยคอะไรที่โดนใจกันบ้างมา เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยสำนวนแสดงความรู้สึกเรื่องความรักไปพร้อมกันเลย
ต่างชาตินิยมแสดงความรักแบบใด
เดิมทีเราก็ใช้การสื่อสาร หรือ การบอกกล่าวเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง พร้อมมอบของขวัญให้กับคนพิเศษ แต่แต่ละชาติก็มีความนิยมในการแสดงความรักไม่เหมือนกัน เช่น ประเทศฝรั่งเศส จะมีการมอบการ์ดหรือจดหมายรักให้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ชาวเดนมาร์กแต่งกลอนตลก ๆ ให้กัน คนอิตาลีจะชวนกันไปเดินและอ่านกลอนให้กันและกันฟังในสวนที่สวยงาม และหากเป็นทางอเมริกาก็จะไม่มีของขวัญอะไรมากมาย จะเป็นข้อความสื่อแทนใจมากกว่า โดยมีสำนวนยอดฮิตที่นิยมบอกรักกันไปทั่วโลก ดังนี้
สำนวนรักหวานโดนใจ จนหวานใจต้านไม่อยู่
- “I have a crush on you.”
= ฉันแอบชอบเธออยู่
- “I feel lucky to have you.”
= ฉันรู้สึกโชคดีที่มีเธออยู่ด้วย
- “You mean the whole world to me.”
= เธอเปรียบเหมือนโลกทั้งใบของฉันเลย
- “I care deeply for you.”
= ฉันแคร์เธอ (อย่างลึกซึ้ง) มากเลยนะ
- “You mean more to me every single day.”
= เธอทำให้ทุก ๆ วันของฉันมีความหมาย
- “You are so precious to me.”
= เธอมีค่าสำหรับฉันมากเลยนะ
- “I never get tired of looking at you.”
= ฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยที่ต้องมองดูเธอเลย
- “No one makes me feel the way you do.”
= ไม่มีใครทำให้ฉันรู้สึกดีเหมือนที่เธอทำได้เลย
- “You’re my number one.”
= เธอน่ะเป็นที่หนึ่งในใจฉันเลยล่ะ
- “Thanks for bringing a smile to my face whenever I feel low.”
= ขอบคุณที่มอบรอยยิ้มให้กับฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันรู้สึกเศร้า
- “Nothing makes me happier than when you’re happy.”
= ไม่มีอะไรทำให้ฉันมีความสุขมากไปกว่าการได้เห็นเธอมีความสุขแล้ว
- “I feel the most like myself when we are together.”
= ฉันรู้สึกได้เป็นตัวเองมากที่สุด เมื่อเราได้อยู่ด้วยกัน
- “You make me want to be a better person.”
= เธอทำให้ฉันอยากจะเป็นคนที่ดีกว่านี้
- “You’re the one who makes me smile every day”
= เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันยิ้มได้ในทุก ๆ วัน
- “We do have a great chemistry between us.”
เรามีเคมีที่ตรงกัน (เข้ากันได้) มากเลยนะ
- “We are made for each other.”
= เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกัน
- “You are one of the best things that has happened to me.”
= เธอคือหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน
- “Whether bad or good time, I shall be there for you.”
= ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ใจ ฉันจะอยู่ตรงนั้นเพื่อเธอเสมอ
- “You’re my light at the end of the tunnel.”
= เธอคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของฉัน
- “I want to hold you close in my arms.”
= ฉันอยากจะกอดเธอไว้ใกล้ ๆ ในอ้อมแขนของฉัน
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ขิง คืออะไร? รู้จักสมุนไพรเผ็ดร้อนที่มีดีมากกว่าแค่ทำแกง

ขิง เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน หลายคนรู้จักในฐานะเครื่องปรุงในแกง พริกแกง หรือน้ำขิงร้อน ๆ แต่จริง ๆ แล้วขิงมีสรรพคุณทางยาเพียบ โดยเฉพาะเรื่องระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการคลื่นไส้ ไปจนถึงการช่วยลดอักเสบในร่างกาย
ลองมาทำความรู้จักขิงให้ลึกขึ้นอีกนิด แล้วจะรู้ว่าของดีบางอย่างก็อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
ขิงคืออะไร?
ขิง (Zingiber officinale) เป็นพืชล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน ซึ่งใช้เป็นทั้งอาหารและยา ลักษณะเด่นของขิงคือกลิ่นหอมฉุนและรสเผ็ดร้อนจากสารออกฤทธิ์ที่ชื่อว่า gingerol ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ให้ประโยชน์ทางยา
ในครัวไทย นิยมใช้ขิงสด ขิงแก่ หรือน้ำขิงในอาหารหลากหลาย เช่น ขิงผัดไข่ น้ำขิงร้อน ขิงดอง ไปจนถึงสมุนไพรในตำรับยาแผนไทย
ประโยชน์ของขิง
1. ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร
ขิงมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นน้ำย่อยและการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ช่วยให้ย่อยดีขึ้น เหมาะมากกับคนที่มักจุกเสียด แน่นท้อง หรือกินแล้วไม่ค่อยย่อย
2. บรรเทาอาการคลื่นไส้ – อาเจียน
มีงานวิจัยสนับสนุนว่าขิงสามารถลดอาการคลื่นไส้ในคนที่เมารถ ตั้งครรภ์ หรือแม้แต่ผู้ที่รับเคมีบำบัดได้อย่างปลอดภัย
3. ต้านการอักเสบ
สาร gingerol ในขิงมีฤทธิ์ต้านอักเสบ ช่วยลดอาการปวดข้อในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ หรือแม้แต่คนที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
4. ช่วยลดน้ำตาลในเลือดเล็กน้อย
บางงานวิจัยพบว่าขิงอาจมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานหรือเบาหวานชนิดที่ 2
5. เสริมภูมิคุ้มกัน – ลดหวัด
ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และลดอาการคัดจมูก จึงนิยมนำมาต้มน้ำดื่มเวลารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
ข้อควรระวัง
- ขิงสดมีฤทธิ์ร้อน อาจไม่เหมาะกับคนที่ธาตุร้อนมาก หรือมีแผลในกระเพาะ
- ควรระวังในผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- หากกินมากเกินไป (เช่นน้ำขิงหวานจัด) อาจได้พลังงานส่วนเกินโดยไม่รู้ตัว
วิธีนำขิงมาใช้ในชีวิตประจำวัน
- ขูดขิงสดลงในน้ำร้อน ดื่มเป็นชาขิง
- ใช้ขิงผัดอาหาร เช่น ขิงผัดไข่ ขิงผัดไก่
- ใส่ในซุป ต้มยำ หรือพะโล้เพื่อเพิ่มความเผ็ดอุ่น
- ใช้ขิงดองเป็นเครื่องเคียง (เช่นกับข้าวมันไก่)
สรุป
ขิงอาจดูเป็นเครื่องปรุงธรรมดาในครัว แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยคุณค่าทางยา ทั้งในแง่ของการย่อยอาหาร บรรเทาคลื่นไส้ ลดอักเสบ และดูแลภูมิคุ้มกัน เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะถ้าใช้ในปริมาณพอดีและต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,850.00 | 50,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,287.00 | 49,830.92 | 51,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,958.30 | 44,847.83 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,629.60 | 39,864.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,479.15 | 22,423.91 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,150.45 | 17,440.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,406.22 | 51,638.30 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |