เปิดแล้ว!JustCo OCCที่สุดของโค-เวิร์คกิ้ง สเปซย่านเพลินจิตใจกลางกรุงเทพฯ

JustCo OCC โค-เวิร์คกิ้ง สเปซ สมบูรณ์แบบเอื้อต่อการเติบโตและเชื่อมต่อทางธุรกิจย่านเพลินจิตใจกลางกรุงเทพฯ ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่กำลังมองหาพื้นที่ทำงานแบบ Hot desk สำนักงานสำเร็จรูปพร้อมใช้ ในอาคารสำนักงานลักชัวรี่ เกรดA+
JustCo เป็นผู้ให้บริการ Co-working Space และ hot desk ที่มีสาขาให้สมาชิกได้เข้าใช้บริการกว่า 40 แห่งทั่วโลก พื้นที่ Co-working Space และโต๊ะทำงานแบบไม่ประจำที่หรือ Hot Desk ในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจชั้นนำ และไม่ไกลจากรถไฟฟ้า BTS และ MRT ใจกลางเมือง
ล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่อยู่ที่ OCC ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญอย่าง ติดโรงแรมหรู สถานเอกอัครราชทูต ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่าง ๆ ได้ง่าย
JustCo OCC (One City Centre) เป็นพื้นที่ทำงานที่ถูกออกแบบแต่ละมุมอย่างพิถีพิถันเพื่อทุกการใช้งาน โดยสามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าผ่านกระจกบานใหญ่จากพื้นจรดเพดาน และแสงสีได้ทั่วกรุุงเทพ บน OCC อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย ซึ่งเป็น Coworking space แห่งใหม่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ ที่มี“จุดแข็ง”ด้านทำเลที่โดดเด่น ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญ มาพร้อมพื้นที่ทำงานที่ให้บรรยากาศและกลิ่นไอของโรงแรมหรู ทำให้ JustCo OCC คือที่สุดของ Coworking Space ที่สมบูรณ์แบบ เอื้อต่อการเติบโตและเชื่อมต่อทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
JustCo OCC นับเป็นสาขาที่ 6 ของ JustCo ในประเทศไทย เป็นการร่วมทุนระหว่าง JustCo, RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ของประเทศไทย และ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของญี่ปุ่นที่มีสาขาในประเทศไทย

JustCo สาขาใหม่แห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ขนาด 5,228 ตารางเมตร บนชั้น 37 ถึง 40 ของอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในประเทศไทย สามารถมองเห็นวิวแบบ 360 องศา และแสงสีทั่วกรุงเทพฯ และด้วยทำเลที่โดดเด่น ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่สำคัญ เช่น โรงแรมหรูที่ขึ้นชื่อสำหรับนักธุรกิจ, สถานเอกอัครราชทูต, ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร และสถานบันเทิง
ทำให้ JustCo OCC มีจุดแข็งที่โดดเด่นในการให้บริการสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและบุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการจัดการรับรองแขกบุคคลสำคัญ, การจัดการประชุม, หรือการเข้าพบบุคลากรคนสำคัญ เป็นต้น และจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีสะพานเชื่อมต่อตัวอาคารกับ รถไฟฟ้าสถานีเพลินจิต ซึ่งจะสร้างเสร็จภายในปลายปี 2566 นี้
พื้นที่นั่งทำงานเอนกประสงค์บริเวณ lounge ของ JustCo OCC สามารถมองเห็นวิวแบบ 360 องศา และแสงสีของกรุงเทพฯ เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาพื้นที่ทำงานแบบ Hot desk หรือสำนักงานสำเร็จรูปพร้อมใช้ ที่เอื้อต่อการรองรับคู่ค้าทางธุรกิจ
นอกเหนือจากทำเลที่โดดเด่นแล้ว JustCo OCC ยังเป็น Coworking space ที่ถูกตกแต่งอย่างมีระดับ และมีบรรยากาศและกลิ่นไอของโรงแรมหรูที่พร้อมใช้งานได้ทันทีและสามารถรองรับความหลากหลายของการทำงานในปัจจุบันผู้ใช้สามารถสนุกกับประสบการณ์ ‘work-from-hospo’ ที่ JustCo OCC ได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถเลือกโซนที่นั่งต่างๆได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น โซน lounge รับรองแขก หรือมุมเงียบสงบที่ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน ตลอดจนห้องประชุมที่สามารถประชุมผ่านวิดิทัศน์ ทั้งหมดนี้ช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องง่าย รวมถึงไม่ว่าคู่ค้าทางธุรกิจจะอยู่ที่ใดก็ตาม
นอกเหนือจากพื้นที่ทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายแล้ว JustCo OCC ยังมีร้าน SNAP Café บนชั้น 37 ด้วย เพิ่มสีสันในการทำงาน และพร้อมให้ทุกคนดื่มด่ำไปกับกาแฟที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันท่ามกลางหมู่เมฆที่รายล้อมและวิวที่มองเห็นเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ด้วยความร่วมมือของ JustCo OCC กับร้านคาเฟ่อย่าง SNAP นี้ เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ JustCo ที่จะร่วมทำงานกับผู้ประกอบการท้องถิ่นเพื่อร่วมส่งเสริมสวัสดิการในสถานที่ทำงานและประสิทธิภาพในการทำงานที่ดียิ่งขึ้นบรรยากาศของร้าน SNAP Café ที่ตั้งอยู่ใน JustCo OCC มีมุมเล็กๆที่ให้ผู้ประกอบการ หรือพนักงานสามารถพักผ่อนระหว่างการทำงานหรือพบกับคู่ค้าทางธุรกิจ
เมื่อกล่าวถึงตัวช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายใกล้ๆกับ JustCo OCC เช่น ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, บาร์บนชั้นดาดฟ้า, สปาและอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มสีสันและการใช้ชีวิตที่ลงตัวของเหล่าคนทำงานในออฟฟิศ เพียงก้าวออกจาก JustCo OCC ก็สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าในวันทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการแวะไปช้อปปิ้งในช่วงพักกลางวัน หรือเพลิดเพลินและผ่อนคลายกับสปาหลังเลิกงาน
JustCo OCC สาขาใหม่นี้ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายของ JustCo ที่มีอยู่แล้ว 5 แห่ง เพราะสมาชิกของจัสโคสามารถเข้าใช้พื้นที่ที่สาขาใดก็ได้ในกรุงเทพฯ ทั้งหมดนี้ เพื่อตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับธุรกิจในเครือข่ายของจัสโคอีกมากมาย รวมถึงการเข้าใช้สถานที่เพื่อทำธุรกิจกับลูกค้าคนสำคัญจากสาขาใดก็ได้ตามต้องการ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คลังสินค้าไทยฮอตแอดวานซ์ เอนเนอร์จีเช่าพื้นที่ในอีเอสอาร์ เอเชียแหลมฉบัง

อีเอสอาร์ เอเชีย รับอานิสงส์โลจิสติกส์ คลังสินค้าไทยฮอต!ประเดิมผู้เช่ารายแรกแอดวานซ์ เอนเนอร์จี บริษัทใน Nasdaqควักเงินลงทุน1.47 พันล้านตั้งโรงงานระดับแฟล็กชิพในโครงการอีเอสอาร์ เอเชียแหลมฉบังบนพื้นที่ 158,400 ตร.ม.ในโซนอีอีซี
นายเจฟฟรีย์ เชิน และนายสจ๊วต กิ๊บสัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารร่วม ESR กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญและเราก็ต้องการเป็นพันธมิตรที่ดีของลูกค้า นักลงทุน และชุมชน เพื่อช่วยสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย ให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ 5% ได้ นอกจากการขับเคลื่อนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานแล้วยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาชุมชน ซึ่งโครงการนิคมฯ ที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและความทันสมัยที่เราพัฒนาขึ้นบนพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างงานจำนวนมาก และช่วยดึงดูดผู้เช่าที่มีคุณภาพมายังพื้นที่อีกด้วย
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับและร่วมเป็นส่วนสนับสนุนแผนการเติบโตและขยายฐานการผลิตทั่วโลกของ Advanced Energy ผู้เช่ารายแรกโดยโครงการนี้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของ ESR ที่ต้องการรองรับการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งรวมถึง โลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ วิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต (life science) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง และจะประสบความสำเร็จไปไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพันธมิตรอย่างนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ”
ทวีศักดิ์ คำโสดา ผู้จัดการ อาวุโส แผนกการเช่าทรัพย์สิน เผยว่าในการขยายธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงส่งเสริมการเติบโตที่สำคัญของ ESR ในประเทศไทย แต่ยังช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของเราในประเทศไทย เรายังมีอีกหลากหลายโครงการร่วมกับผู้เช่ามูลค่าสูงจากธุรกิจการผลิตขั้นสูง อีคอมเมิร์ซ และ ตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ด้วย
ESR เพิ่งเปิดตัวสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทย 4ดือนที่ผ่านมา หลังมีการร่วมทุนกับ บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จํากัด โดย ESR มีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่2ล้านตารางเมตรให้ได้ภายในปี 2570 ด้วยเงินลงทุนมูลค่าราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ3.6หมื่นล้านบาท สำหรับโครงการอีเอสอาร์ เอเชีย แหลมฉบัง ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้าง 2 เฟสแรกภายในปี 2567 และ 2569 ตามลำดับ จะกลายเป็นโครงการศูนย์โลจิสติกส์และโรงงานผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ ESR ในประเทศไทย
โดยโครงการลำดับที่หนึ่งอย่าง อีเอสอาร์ เอเชีย สุวรรณภูมิ (ESR Asia Suvarnabhumi) ได้เริ่มพัฒนาแล้วและอาคารบางส่วนจะเริ่มเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน 2566 บนพื้นที่ 363,543 ตารางเมตร ในบริเวณที่ดีเยี่ยมสำหรับการพัฒนาศูนย์การกระจายสินค้าภายในประเทศ เพราะตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและถนนสายสำคัญต่างๆ ที่ใกล้เคียงกับพื้นที่โกดังสินค้าและโรงงานผลิตชิ้นรถยนต์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง
พร้อมกันนี้ ESR อยู่ระหว่างการพูดคุยกับผู้ที่อาจจะมาเป็นผู้เช่าในอนาคตจากหลากหลายธุรกิจ อาทิ ตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) อีคอมเมิร์ซ อิเล็กทรอนิกส์ ยารักษาโรค และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โดย ESR ยังคงหาโอกาสในการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพและสามารถรองรับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเศรษฐกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของ ESR ในประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการสร้างพลังงานทดแทน การออกแบบที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง การใช้พลังงานไฟฟ้าของยานพาหนะ การบริหารประสิทธิภาพการใช้น้ำ และการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นด้าน ESG ของบริษัทฯ รวมถึงเพื่อสนับสนุนแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐหมุนเวียนของประเทศไทย ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นปัจจัยที่ถูกคำนึงถึง ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและนำไปใช้จริงโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานและประสิทธิภาพของผู้เช่า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9ต.ค. ที่ระดับ 36.94 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเริ่มเห็นโอกาสกลับมาแข็งค่าบ้าง แต่ฟันด์โฟลว์ยังผันผวน ควรระวังทิศทางราคาน้ำมันดิบ ราคาทองคำ หากตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้ตจากภาวะสงครามอิสราเอล-ฮามาส
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9ต.ค. 2566 ที่ระดับ 36.94 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า ตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน (แกว่งตัวในกรอบ 36.88-37.21 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดไปมาก หนุนให้ในช่วงแรกเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงแรง
อย่างไรก็ดี รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยรวมไม่ได้ดีกว่าคาดไปทั้งหมด โดยอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังคงชะลอตัวลง ส่วนอัตราการว่างงานก็สูงกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้สุดท้าย เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ได้หนุนให้เช้านี้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแรง ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นต่อ ทำให้ ค่าเงินบาทยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เริ่มย่อตัวลงบ้าง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และควรเตรียมรับมือความผันผวนในตลาดการเงิน จากภาวะสงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่อาจขยายวงกว้างเป็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุด หลังจากสัปดาห์ก่อนหน้า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ถือว่า ออกมาผสมผสาน โดยยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นดีกว่าคาดไปมาก ขณะที่อัตราการเติบโตของค่าจ้าง ยังคงชะลอลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของเฟดมากนัก
โดยผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสราว 43% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ก่อนที่จะทยอยลดดอกเบี้ยลงราว -75bps ในปีหน้า ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจเพิ่มขึ้นราว +0.3%m/m หรือ +3.6%y/y หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน
รวมถึงการพลิกกลับมาเพิ่มขึ้นของราคารถยนต์มือหนึ่งและมือสอง ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI เพิ่มขึ้น +0.3%m/m หรือ +4.1%y/y ทั้งนี้ แม้ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะชะลอลงต่อเนื่อง ทว่า เฟดอาจยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อได้
ซึ่งอาจทำให้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจเดินหน้าส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ ไม่ว่าจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หรือ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และ รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนในระยะสั้นได้ โดยหากสงครามขยายวงกว้างมากขึ้น ก็อาจทำให้ตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้ในระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
อาทิ เงินดอลลาร์ เงินเยนญี่ปุ่น และทองคำ ส่วนราคาน้ำมันดิบก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์สงครามอาจส่งผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันจากตะวันออกกลาง ทั้งในแง่การผลิตและการส่งออกน้ำมันจากภูมิภาคดังกล่าว
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานการประชุม ECB ล่าสุด
เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทาง ECB หลังล่าสุด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวลงต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เล่นในตลาด (รวมถึงเรา) มองว่า ECB อาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว
▪ ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน อาทิ ยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนกันยายน และอัตราเงินเฟ้อ CPI โดยนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า แม้ว่ายอดการส่งออกของจีนอาจยังคงหดตัวราว -7%y/y แต่ก็เป็นการหดตัวในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง จาก -8.8%y/y ในเดือนก่อน
ทั้งนี้ ยอดการนำเข้าที่อาจลดลง -6%y/y ดีขึ้น จากที่ดิ่งลงกว่า -7.3%y/y ก็อาจสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้นและส่วนหนึ่งก็อาจมาจากผลของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพลังงานที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งภาพการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศก็อาจสอดคล้องกับ การทยอยปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ CPI สู่ระดับ +0.2%y/y ทั้งนี้ แม้ว่า เศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ทว่าทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อประคองโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
▪ ฝั่งไทย – ตลาดมองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนกันยายน อาจปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 57.9 จุด ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ อย่างมาตรการลดค่าไฟฟ้าและตรึงราคาน้ำมันดีเซล
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้จะเริ่มเห็นโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ทว่าฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจยังมีความผันผวน นอกจากนี้ ควรระวังและจับตาทิศทางราคาน้ำมันดิบ รวมถึงราคาทองคำ หลังความเสี่ยงสงครามล่าสุดอาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า แต่ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็อาจปรับตัวขึ้นได้ และจะเป็นปัจจัยช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เริ่มแผ่วลง แต่เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่ หากผู้เล่นในตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น จากความกังวลภาวะสงครามอิสราเอล-ฮามาส นอกจากนี้ เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI และท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งกังวลต่อแนวโน้มเฟดเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด (Higher for Longer)
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงนี้ ตลาดการเงินยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย
อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.60-37.25 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.85-37.10 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กระหึ่ม! “พิงค์” พิชฌามลณ์ ผงาดแชมป์แบดมินตันเยาวชนโลก คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ไทย

การแข่งขันแบดมินตันรายการบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ ที่เมืองสโปเคน รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเช้ามืดของวันจันทร์ที่ 9 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา
ประเภทหญิงเดี่ยวรอบชิงชนะเลิศ ที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ ปรากฏว่า “น้องพิงค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ นักตบลูกขนไก่วัยเพียง 16 ปีของไทย เอาชนะ เคียร่า มาร์เวลล่า ฮันโดโย จากอินโดนีเซีย 2 เกมรวด 21-11, 21-9 คว้าแชมป์แบดมินตันเยาวชนโลก 2023 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่

แชมป์เยาวชนโลครั้งนี้ของ “น้องพิงค์” ทำให้สาวน้อยหน้าหวานคนนี้ ได้กลายเป็นนักนักแบดมินตันไทยคนที่ 2 ในประเภทหญิงเดี่ยว ที่สามารถคว้าแชมป์เยาวชนโลกได้ ต่อจาก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ที่เคยคว้าแชมป์โลกได้สามสมัยติดต่อกันในปี 2009, 2010, 2011
นอกจากนี้ พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ คือนักแบดมินตันไทยคนที่ 7 ที่คว้าแชมป์เยาวชนโลกต่อจาก รัชนก อินทนนท์ , มณีพงศ์ จงจิตร ,รจนา จุฑาบัณฑิตกุล, เดชาพล พัววรานุเคราะห์ , กิตตินุพงษ์ เกตุเรน และ กุลวุฒิ วิทิตศานต์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 เคล็ดลับ “ปลุกพลัง” รับวันทำงาน

หลังจากได้หยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ทำให้หลายคนชักติดใจอยากจะยืดเวลาพักผ่อนออกไปอีก แต่เมื่อต้องกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง จะปลุกพลังตัวเองอย่างไรให้พร้อมสำหรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งสัปดาห์ Tonkit360 มีคำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณพร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่มาฝากกัน
- ไม่กดเลื่อนนาฬิกาปลุก
เชื่อว่าหลายคนคงทำจนเป็นนิสัย แต่รู้ไหมว่าเป็นนิสัยไม่ดีเอาซะเลย เนื่องจากร่างกายคนเราไม่สามารถที่จะเปิดปิดการนอนหลับได้ในทันที ดังนั้น เมื่อเราเลื่อนเวลานอนต่อไปอีก 10-15 นาที ร่างกายจะรู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วในตอนแรก จึงทำให้สมองสับสน และส่งผลให้วันนั้นทั้งวันเป็นวันที่เหนื่อยล้า ไม่สดชื่น ไม่มีพลังงาน ฉะนั้น ให้ตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาที่อยากตื่นจริงๆ สมองจะถูกกระตุ้นให้ตื่นตามร่างกาย ถ้าไม่เชื่อ ลองตื่นโดยไม่เลื่อนนาฬิกาปลุกดูสิ จะพบว่าวันนั้นสดชื่นขึ้นมากเลย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
ร่างกายที่ไม่พร้อมมีผลอย่างมากที่จะทำให้เราขี้เกียจ รวมถึงการที่เราสุขภาพไม่ดีก็จะทำให้เรารู้สึกอ่อนแรง เพลีย ขี้เกียจ ไม่อยากจะทำอะไร ทุกกิจกรรมดูเหนื่อยไปหมด การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานอยู่ตลอด รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ร่างกายทนทานขึ้นที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย
- อย่าหอบงานมาทำวันหยุด
วันหยุดก็ต้องได้หยุด เพราะร่างกายและจิตใจของคนเราไม่ใช่เครื่องจักร จะให้แอคทีฟอยู่ตลอดเวลาก็คงไม่ไหว ต้องมีพักกันบ้าง เพื่อชาร์จแบตให้พร้อมกลับไปทำงานอีกครั้ง ปล่อยให้สมองได้ว่างเปล่า ทำกิจกรรมที่อยากทำ ทิ้งความเครียดเรื่องงานทุกอย่าง เมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว เราก็จะมีพลังกลับมาทำงานต่อในเช้าวันจันทร์นั่นเอง หากพักผ่อนไม่เต็มที่เราก็จะรู้สึกเซื่องซึม เฉื่อยชา ไม่สดชื่น อยากจะนอนต่อท่าเดียว แล้วอย่างนี้จะเอาพลังงานที่ไหนมาทำงาน
- จัดตารางชีวิตให้เป็นแบบแผน
ชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย พอเราจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ก็พาลให้เราไม่อยากจะทำอะไรต่อ เหนื่อยหน่าย ไปต่อไม่ถูก ดังนั้น การจัดการชีวิตโดยวางทุกอย่างให้มีตารางที่ชัดเจน มีแบบแผน จะทำให้เรารู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง เคลียร์เสร็จได้หนึ่งงานก็จะรู้สึกโล่ง ลุยงานใหม่ต่อได้ กระตุ้นให้อยากจะทำสิ่งต่อไปให้เสร็จเหมือนกัน โดยควรโฟกัสให้จบไปทีละเรื่อง ให้เห็นผลสำเร็จไปทีละอย่าง จะได้ไม่ถอดใจและล้มเลิกความตั้งใจไปซะก่อน
- ไม่ละเลยเรื่องอาหารการกิน
อาหารเป็นแหล่งพลังงาน ถ้าร่างกายได้พลังงานไม่เพียงพอก็จะอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า รวมถึงการขาดน้ำก็ทำให้ร่างกายลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ช้าลงด้วย การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงจำเป็นมาก อย่างเช่น อาหารจำพวกโปรตีน ไขมันชนิดดี จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนาน หากต้องการน้ำตาลในเลือด ก็อาจเลือกเครื่องดื่มที่มีรสหวานน้อยๆ หรือเครื่องดื่มรสเปรี้ยว ก็ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สดชื่นขึ้น และการดื่มน้ำมากๆ ยังทำให้อยากเข้าห้องน้ำ จะได้ลุกเดินให้หายปวดเมื่อย และขจัดความขี้เกียจออกไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ความแตกต่าง ระหว่าง let กับ let’s

ความแตกต่าง ระหว่าง let กับ let’s เพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมครับว่า let กับ let’s มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
วันนี้เราไปเรียนรู้กันดีกว่าครับ
มาดูกันเลย
Let จะเป็นการอนุญาต หรือแปลว่า ปล่อย ก็ได้
ปกติการใช้ let จะอยู่ในรูปโครงสร้าง Let + object + Verb (infinitive)
เช่น Let me help you.
แปลว่า ให้ฉันช่วยคุณเถอะนะ
Let’s จะเป็นการเชิญชวน แปลประมาณว่า …..กันเถอะ
โครงสร้างคือ Let’s + Verb (infinitive)
เช่น Let’s find something to drink.
แปลว่า ไปหาอะไรดื่มกันเถอะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
รู้จัก “อาหาร 3 มิติ” เทคโนโลยีอาหารที่รองรับโลกในอนาคต

อาหาร อันเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มนุษย์ขาดไม่ได้ ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มจึงเป็นธุรกิจที่ไม่มีวันตาย และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้นได้มากมาย เพราะไม่ว่ายังไงคนก็ต้องกินอาหารเพื่อการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม โลกในยุคปัจจุบันมีปัญหาด้านอาหารที่เรียกว่า “วิกฤติการณ์อาหาร” ซึ่งอาจทำให้ประชากรโลกขาดแคลนอาหารได้
เพื่อรองรับการบริโภคของมนุษยชาติในอนาคต ควบคู่ไปกับพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีให้ทันสมัย จะทำให้เราได้เห็นเทคโนโลยีด้านอาหารในปัจจุบันที่กำลังได้รับความนิยมและแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็คือ เทคโนโลยีอาหาร 3 มิติ (3D printing food) ที่สามารถเนรมิตอาหารขึ้นมาได้ภายในเวลาไม่กี่นาที แถมยังสร้างสรรค์วัตถุดิบจากพืชให้กลายเป็นเนื้อสัตว์เทียมได้อย่างง่ายดาย เป็นอาหารทางเลือกให้กับคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่อยากลองกินเนื้อสัตว์เทียมจากพืช
อาหาร 3 มิติ คืออะไร
อาหาร 3 มิติ เป็นอาหารที่ “สร้างขึ้น” จากเครื่องพิมพ์อาหาร 3 มิติ หรือ 3D Food Printer ซึ่งเป็นเครื่องขึ้นรูปอาหารแบบ 3 มิติ มีลักษณะคล้ายกับเครื่อง 3D Printer ทั่วไป แต่เปลี่ยนจากการใช้พลาสติกในการขึ้นรูป มาเป็นวัตถุดิบอาหารแทน การใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ จะขึ้นรูปทีละชั้น ทำให้สามารถออกแบบอาหารที่มีโครงสร้างซับซ้อนหลากหลายรูปทรงได้ และสามารถเติมสารอาหารต่าง ๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ หรือควบคุมองค์ประกอบต่าง ๆ ในอาหารได้อย่างละเอียดและแม่นยำ นอกจากนี้ยังใช้พื้นที่ในการประกอบอาหารไม่มาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นและควันในระหว่างการเข้าครัว
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีอาหาร 3 มิติ ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่มีพัฒนาการมานานกว่า 30 ปีแล้ว สามารถสร้างสรรค์เมนูอาหารได้หลากหลายทั้งคาวหวาน แต่ในปัจจุบัน เครื่องพิมพ์อาหาร 3 มิติ ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์เทียม โดยใช้วัตถุดิบจากพืชแทนเนื้อสัตว์ ให้ออกมามีรูปลักษณ์และรสชาติที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์นั้น ๆ มาก ทำให้อาหารที่ได้จะเป็นลักษณะเดียวกันกับ plant-based meat โดยเทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ จะแบ่งออกเป็น 3 เทคนิคหลัก ได้แก่
1. การพิมพ์แบบ Extrusion-based หรือ Fused Deposition Method (FDM)
เป็นเทคนิคที่แพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารได้ง่าย คล้ายคลึงกับกระบวนการแปรรูปอาหารแบบอัดรีดผ่านเกลียว อีกทั้งเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ใช้มีราคาไม่สูงมากสำหรับรุ่นเริ่มต้นเมื่อเทียบกับเทคนิคอื่น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่ขึ้นรูปโดยเทคนิคนี้ เช่น ช็อกโกแลต พาสต้ารูปทรงฟรีฟอร์ม เนื้อสัตว์ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเคี้ยวกลืนลำบาก
2. การพิมพ์แบบ Powder Bed Fusion หรือ Selective Laser Scanning
เป็นเทคนิคการพิมพ์โดยการเกลี่ยวัตถุดิบอาหารที่มีลักษณะเป็นผงให้เป็นชั้นบาง ๆ แล้วใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงไปยังตําแหน่งที่ต้องการพิมพ์ เพื่อให้ผงวัตถุดิบหลอมตัวจนประสานเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงทำซ้ำแบบนี้ในการพิมพ์ชั้นถัด ๆ ไป จนกว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะตามที่ออกแบบไว้ การพิมพ์ด้วยเทคนิคนี้มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าเทคนิค FDM แต่มีศักยภาพสูงในการพิมพ์วัตถุดิบที่มีลักษณะเป็นผง และสามารถใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์ขนมหวานที่ทำจากน้ำตาล ให้มีขนาดและรูปร่างเฉพาะหรือซับซ้อน และยังช่วยลดปริมาณวัตถุดิบในกระบวนการผลิตได้
3. การพิมพ์แบบ Binder Jetting
เป็นเทคนิคที่คล้ายกับการพิมพ์แบบ Powder Bed Fusion แต่ใช้การพ่นของเหลวหรือส่วนผสมวัตถุดิบอาหารอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าตัวประสาน เพื่อประสานผงวัตถุดิบเข้าด้วยกันในตำแหน่งที่ต้องการ กระบวนการนี้จะทำซ้ำไปซ้ำมาตามจำนวนชั้นที่ต้องการ จนผลิตภัณฑ์ฝังตัวลงในผงวัตถุดิบ ส่วนผงวัตถุดิบที่ไม่ติดกับสารยึดเกาะจะถูกนำออกและนำกลับมาใช้ในการพิมพ์ครั้งต่อไป ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะนำไปผ่านกรรมวิธีในขั้นตอนสุดท้ายด้วยกระบวนการที่เหมาะสม เช่น การอบ เทคนิคนี้นิยมใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเบเกอรี่และขนมหวาน ให้ลักษณะเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์

วัตถุดิบที่ใช้เป็นหมึกพิมพ์
ในส่วนของวัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้กับเครื่องพิมพ์อาหาร 3 มิติ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์อาหารหวาน แต่ก็มีวัตถุดิบอื่น ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องพิมพ์ ได้แก่
- กลุ่มผักและผลไม้ เช่น แอปเปิล แอปพริคอต อะโวคาโด กล้วย หัวบีต มะละกอ ฟักทอง มะม่วง แคร์รอต ผักโขม
- กลุ่มธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าว แพนเค้ก พาสตา พิซซา แป้งโดว์ ควินัว
- กลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อหมู ถั่ว เต้าหู้ แมลงต่าง ๆ
- กลุ่มอาหารข้นและเหลว เช่น ซอสหอยนางรม น้ำจิ้มอาหารทะเล เจลลี
- กลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส ครีม วิปครีม โยเกิร์ต
- กลุ่มขนมหวาน เช่น คุกกี้ ช็อกโกแลต น้ำตาลไอซิ่ง ไอศกรีม
ตัวอย่างอาหารที่ได้จากการพิมพ์ด้วย 3D Food Printing คือเนื้อวัว ที่สามารถทำกินเองได้โดยไม่ต้องฆ่าสัตว์ แต่เหมือนได้กินเนื้อวัวจริง ๆ เนื้อวัวเทียมนี้สร้างขึ้นจากเครื่อง 3D Food Printer ของบริษัท Redefine meat จากประเทศอิสราเอล เนื้อวัวที่พิมพ์ออกมาจะถูกเรียกว่า Alt-Steak ที่มีลักษณะ รสชาติ และกลิ่นที่เหมือนสเต็กเนื้อวัวแท้ ๆ เนื่องจากมีสูตรการพิมพ์ที่แยกออกเป็น 3 ส่วน คือ Alt-Muscle (กล้ามเนื้อ) Alt-Fat (ไขมัน) และ Alt-Blood (เลือด) จากหมึกพิมพ์ที่เป็นวัตถุดิบจากพืชหลากหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง โปรตีนถั่ว ไขมันมะพร้าว น้ำมันดอกทานตะวัน นำมาเข้ากระบวนการพิมพ์ซ้ำ ๆ เพื่อขึ้นโครงสร้างทีละชั้นเลียนแบบเนื้อวัว
หรือแม้กระทั่งเนื้อปลาแซลมอน ทุกวันนี้ก็ใช้วิธี 3D Food Printing สร้างขึ้นมาได้ แถมยังมีการนำไปวางจำหน่ายจริงในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ประเทศออสเตรียแล้วด้วย เนื้อปลาแซลมอนนี้เป็นโซลูชันด้านอาหารสำหรับคนเป็นมังสวิรัติแต่อยากลองกินเนื้อปลา นอกจากนี้ยังมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการจับปลาหรือการเพาะเลี้ยงเนื้อสัตว์แบบเดิม ๆ ลดความเสี่ยงที่สัตว์บางประเภทจะสูญพันธุ์ ลดการทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ที่สำคัญ คือลดปัญหาการปนเปื้อนของมลพิษทางทะเล จึงกลายเป็นอาหารทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ได้คุณค่าทางโภชนาการ โปรตีนสูง และมีโอเมก้า 3 คอเลสเตอรอลต่ำ และปราศจากสารมลพิษที่มักพบในปลาจริง
ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ และข้อจำกัด
เนื่องจากเทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ เป็นรูปแบบหนึ่งในการผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค แต่ในขณะเดียวกันก็มีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ดังนี้
- สร้างสรรค์อาหารได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เครื่อง 3D Food Printer ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์อาหารได้ตามจินตนาการอย่างไม่มีขีดจำกัด เนื่องจากเราสามารถออกแบบรูปทรงและลวดลายของอาหารแบบ 3 มิติได้ตามใจชอบ ตัวเครื่องจะสร้างสรรค์ผลงานให้เราเอง
- สร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภค
เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมีความต้องการด้านอาหารที่หลากหลาย ทั้งการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ การเลือกกินอาหารที่เน้นสุขภาพหรือข้อจำกัดด้านสุขภาพ ผู้บริโภคจึงต้องเลือกกินอาหารที่เหมาะกับตัวเอง การพิมพ์อาหาร 3 มิติจึงทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอาหารและสารอาหารที่เหมาะกับตัวเองได้
- ลดต้นทุนในการผลิตและขนส่ง
ต้นทุนของวัตถุดิบและระยะทางการขนส่งอาหารที่ห่างไกล เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาหารมีราคาแพง การนำเทคโนโลยีการพิมพ์อาหารแบบ 3 มิติมาใช้ จึงสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ ทำให้ผู้บริโภคที่อยู่ปลายทาง ได้มีโอกาสกินอาหารที่มีรสชาติแบบเดียวกัน คุณภาพสดใหม่ ได้ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม
- ลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง
ขั้นตอนการเตรียมอาหารบางอย่าง รวมถึงการกินอาหารแบบเหลือทิ้ง ทำให้เกิดขยะอาหาร อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่า แต่การผลิตอาหารโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ จะช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรโดยไม่เสียเปล่า เพราะสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารด้วย 3D Food Printer ได้ จึงเป็นการช่วยลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งได้ในคราวเดียว
- แหล่งอาหารสำหรับนักบินอวกาศ
การพิมพ์อาหารแบบ 3 มิติ สามารถเป็นแหล่งผลิตอาหารสำหรับนักบินอวกาศที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจอยู่นอกโลกได้ สำหรับอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม การพิมพ์อาหาร 3 มิติก็ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก แม้ว่าทิศทางในอนาคตและเทคโนโลยีที่ใช้จะดูน่าตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม เนื่องจากอาหารบางชนิดไม่เหมาะที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ อาหารต้องแปรรูปล่วงหน้าเพื่อเตรียมใช้ในเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งจะทำงานได้ดีที่สุดกับส่วนผสมที่มีความหนืดคล้ายแป้งเปียก สามารถคงรูปหลังจากถูกดันผ่านหลอดฉีดอาหาร และจำเป็นต้องเติมสารเพิ่มความข้นให้กับผักและผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง หากจะใช้การพิมพ์ 3 มิติ อาหารที่มีลักษณะนิ่มอาจยุบตัวได้หากใส่หลายชั้นเกินไป และอาจเสียเนื้อสัมผัส รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการหลังจากวัตถุดิบเคลื่อนผ่านเครื่องด้วย
นอกจากนี้ อาหาร 3 มิติยังมีอายุการเก็บรักษาที่จำกัด เก็บไว้ได้ไม่นานเท่ากับอาหารทั่วไป เพราะอาหารจะเสื่อมสภาพเร็วและกระบวนการย่อยสลายมักสั้นกว่า อีกทั้งยังไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการการกินอาหารแบบเร่งรีบ อาหารตามสั่ง หยิบได้ทันที หรือเสิร์ฟแบบร้อน ๆ และที่สำคัญ เครื่อง 3D Food Printer ก็ยังมีราคาสูงต่อการลงทุน และไม่สามารถทดแทนการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมที่สามารถใช้วัตถุดิบสดใหม่ได้
วิกฤติอาหารโลกร้ายแรงแค่ไหน และความสำคัญของอาหาร 3 มิติ
วิกฤติอาหารโลก (Global food crisis) หมายถึง สถานการณ์ที่มีการขาดแคลนอาหาร หรือประชากรบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอและมีคุณค่าทางโภชนาการ วิกฤตินี้อาจเกิดจากปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ที่ส่งผลต่อกิจกรรมการผลิตอาหารของโลก ภัยธรรมชาติ ความขัดแย้ง ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ปัญหาเชิงระบบภายในระบบการผลิต และการจำหน่ายอาหาร ผลที่ตามมาของวิกฤติอาหาร อาจรวมถึงความหิวโหยที่เพิ่มขึ้น ภาวะทุพโภชนาการ ความไม่สงบทางสังคม และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาล องค์กร และบุคคลต่าง ๆ
เพราะมันดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่ “อาหารจะหมดโลก” แต่จริง ๆ ในปัจจุบันนี้มีหลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤติอาหารโลกจริง ๆ ที่เห็นได้ชัด คือการที่อาหารมีราคาสูงขึ้น ทำให้ภาวะการขาดแคลนอาหารของทั่วโลก มีแนวโน้มขยายวงกว้าง และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจส่งผลให้ในอีก 30-40 ปีข้างหน้า เราจะไม่มีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้
ข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) แสดงให้เห็นว่าในหลาย ๆ พื้นที่ของโลกกำลังเข้าสู่ช่วงการเกิดวิกฤติการณ์อาหารมาตั้งแต่ปี 2019 โดยประชากรโลกกว่า 2,000 ล้านคน หรือประมาณ 25.9 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก กำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหาร และคาดการณ์ว่าในปี 2030 ประชากรโลกจำนวน 660 ล้านคนอาจจะยังคงเผชิญกับความหิวโหย
การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ถือเป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหาร โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้คาดการณ์ว่าประชาการโลกจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 7,300 ล้านคน เป็น 8,500 ล้านคน ในปี 2030 และเพิ่มเป็น 11,200 ล้านคน ในปี 2100 ส่งผลให้โลกมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนอาหารเนื่องมาจากปริมาณความต้องการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของวิกฤติการณ์นี้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อมีโรคระบาด ภัยธรรมชาติ และสงครามมาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้โลกขาดแคลนอาหารมากกว่าเดิม กรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะจบลงอย่างไร ก็ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จนอาจทำให้เกิดวิกฤติขาดแคลนอาหารของโลกไปด้วย เพราะรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรวมกันแล้วเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ของโลก โดยข้าวสาลีก็ถือเป็นวัตถุดิบหลักในครัวเรือนเสียด้วย สงครามทำให้ภาคการส่งออกของ 2 ประเทศนี้มีปัญหา ราคาข้าวสาลีทั่วโลกจึงพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2022
ไม่เพียงเท่านั้น ต้นทุนอื่น ๆ ก็ล้วนแพงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตอาหารสำหรับคนและสัตว์มีราคาพุ่งสูงขึ้นตาม จนนำไปสู่การเกิด “วิกฤติการณ์อาหารโลก” ผู้คนจำนวนหลายล้านคนทั่วโลกต้องประสบกับความอดอยากและหิวโหย ทั้งที่อาหารเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่มนุษย์จำเป็นต้องได้รับอย่างเพียงพอ
อาหาร 3 มิติ จึงนับเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อรองรับวิกฤติการณ์การขาดแคลนอาหาร เมื่อกระบวนการผลิตอาหารแบบเดิม ๆ และปัจจัยทางธรรมชาติด้านอื่น ๆ ทำให้ไม่สามารถผลิตอาหารได้เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก ในขณะที่มนุษย์ต้องผลิตอาหารเพิ่ม แต่ผลผลิตทางการเกษตรและการปศุสัตว์กลับลดลง นอกจากนี้ยังมีการปนเปื้อนของสารพิษ ที่ทำให้อาหารไม่มีคุณภาพเพียงพอจะนำมาเป็นอาหาร
การพิมพ์อาหาร 3 มิตินับเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารในอนาคตอย่างมาก ช่วยลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง ทั้งจากขั้นตอนการเตรียมอาหาร และของเหลือจากการบริโภค ในขณะที่อาหารเหลือทิ้งบางอย่างยังอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ ที่สามารถนำมาเปลี่ยนสภาพให้เป็นหมึกพิมพ์อาหาร เพื่อนำไปใช้ในการขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติได้ นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อาหารเหลือทิ้ง และลดปริมาณการสูญเสียในห่วงโซ่การผลิตอาหาร
การผลิตอาหาร 3 มิติ จึงเป็นกระบวนการผลิตอาหารที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบอย่างคุ้มค่า สามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการได้ครบถ้วน และไม่เกิดของเหลือทิ้งในกระบวนการ รวมถึงสามารถลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่ต่ำกว่าการทำฟาร์มปศุสัตว์เสียด้วยซ้ำ จึงมีการคาดการณ์กันว่าในอนาคตจะมีอาหารที่ได้จากกระบวนการอาหาร 3 มิติแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากวิวัฒนาการและนวัตกรรมดิจิทัลที่ก้าวหน้ากว่าเดิม เทคโนโลยีอาหาร 3 มิติ จะเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารในอนาคตอย่างมาก และเป็นความท้าทายทั้งในภาคเทคโนโลยีและภาคอุตสาหกรรมอาหารด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประโยชน์ของ “ลูกพลัม” หวานอร่อย คอเลสเตอรอลน้อย ดีต่อสุขภาพ

ลูกพลัม เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับ ลูกพรุน ลูกพีช หรืออัลมอนด์ เป็นผลไม้ที่มีขนาดเล็ก พบได้ทั่วไปในประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรป เมื่อผลสุกจะมีรสชาติหวาน อร่อย และยังอุดมไปด้วยประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกท่านมารู้จักกับพลัมให้มากขึ้น
สารอาหารในลูกพลัม
พลัม หรือลูกพลัม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินสำคัญๆ มากมาย ดังนี้
- วิตามินบี 1
- วิตามินบี 2
- วิตามินบี 3
- วิตามินบี 6
- วิตามินเอ
- วิตามินซี
- วิตามินเค
- วิตามินอี
- โฟเลต
แร่ธาตุสำคัญในพลัม ได้แก่
- ฟลูออไรด์
- โพแทสเซียม
- แมกนีเซียม
- ฟอสฟอรัส
- ธาตุเหล็ก
- สังกะสี
- แคลเซียม
นอกจากนี้ พลัมยังให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตมากถึง 7.5 กรัม ให้ไขมันน้อย และยังมีโปรตีนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่ให้สารอาหารค่อนข้างจะครบถ้วนเลยทีเดียว
ประโยชน์ของลูกพลัม
- ช่วยซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายพลัมมีวิตามินซีซึ่งมีสรรพคุณในการเสริมสร้างและกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสียหาย นอกจากนี้ในลูกพลัมยังมี สารไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ปัญหาของหลอดเลือดและระบบประสาท
- ดีต่อสุขภาพหัวใจ
สารพฤกษเคมี (Phytochemical) และสารอาหารในลูกพลัม มีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบที่หัวใจ ซึ่งอาการอักเสบที่ว่านี้อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจได้ ดังนั้นการรับประทานลูกพลัมจึงถือว่ามีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ - ดีต่อระบบย่อยอาหาร
ลูกพลัมเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง การรับประทานลูกพลัมเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระบวนการย่อยอาหารและการขับถ่าย นอกจากนี้ พลัม มีสารโพแทสเซียมที่ช่วยในการควบคุมความดันโลหิต ช่วยกำจัดโซเดียมออกในขณะที่ปัสสาวะ ช่วยลดความตึงของผนังหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอยู่ในระดับปกติ - ลดความเสี่ยงของโรคอ้วน
พลัมมีสรรพคุณที่ดีต่อระบบการเผาผลาญ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนได้ - ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานและระดับน้ำตาลในเลือดมีความเกี่ยวข้องกัน หากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ก็จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งสารอาหารในลูกพลัมมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ - ดีต่อระบบประสาท
ในลูกพลัมมีวิตามินบี 6 ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนในการกระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาทและสมอง - แก้ปัญหาท้องผูก
ใครที่ท้องผูกบ่อย ๆ ไม่ควรพลาดลูกพลัม เพราะในพลัม มีสารอาหารที่ชื่อว่า ซอร์บิทอล (Sorbitol) เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารอาหารประเภทนี้เป็นแอลกอฮอล์น้ำตาลตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย
ข้อควรระวัง
แม้ว่าพลัมจะเป็นผลไม้ที่อุดมไปทั้งสารอาหารที่มีประโยชน์และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ลูกพลัมยังคงมีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
- ผู้ที่มีอาการแพ้โปรตีนในผลไม้ หรือมีอาการแพ้ละอองเรณูของต้นเบิร์ช (Birch pollen allergy) ควรระมัดระวังการรับประทานพลัม
- ผู้ที่มีอาการแพ้บ๊วย ก็ควรระมัดระวังหรือมีการหลีกเลี่ยงการรับประทานพลัม เพราะบ๊วยบางชนิดก็อาจทำมาจากลูกพลัมอบแห้ง
- การรับประทานพลัมมากจนเกินไป อาจมีผลทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือท้องเสีย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้แปรปรวน ควรมีการรับประทานแต่พอดี
ขอบคุณข้อมูลกจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,350.00 | 32,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,095.00 | 31,760.20 | 32,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,885.50 | 28,584.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,676.00 | 25,408.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 943.00 | 14,295.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 733.00 | 11,112.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,171.00 | 32,912.36 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.75 | 37.75 | 38.25 | 37.75 | 38.05 | 37.75 | 37.75 | 37.75 | 37.75 | 37.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.48 | 37.48 | 37.98 | 37.48 | 37.78 | 37.48 | 37.48 | 37.48 | 37.48 | 37.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.44 | 35.44 | 35.94 | 35.44 | 35.74 | – | 35.44 | 35.44 | 35.44 | 35.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.59 | 35.59 | – | – | – | – | – | – | – | 35.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.94 | 48.44 | 48.94 | 48.44 | – | – | – | – | – | 43.94 |
เบนซิน 95 | 45.54 | – | – | – | 47.01 | – | 46.04 | 45.69 | – | 45.54 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 48.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |