สาระน่ารู้ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2568

อุตสาหกรรมก่อสร้างฯหวั่น แรงงานชอร์ต ห้ามรับใหม่ ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

อุตสาหกรรมก่อสร้างฯ หวั่น กระทบขาดแคลนแรงงาน ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 2 แสนคนเกรงว่า จะไม่ได้รับการต่ออายุ ไม่รับใหม่เพิ่ม

ผลพวงจากปมข้อพิพาทแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืนจังหวัดอุบลราชธานี จากการรุกล้ำเขตแดนไทย จนนำไปสู่มาตรการปิด-เปิดด่านพรมแดน ทั้ง 7 จังหวัด ในภาพรวมมองว่าสถานการณ์ยังคงไม่น่าไว้วางใจ 

ล่าสุดฝั่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ ไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ และฝ่ายไทยยังคงใช้มาตรการเข้ม และพร้อมยกระดับขั้นสุด ปิดจุดผ่านแดนถาวร

ต่อเรื่องนี้นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปัญหาการกระทบกระทั่งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่เกิดขึ้นขณะนี้ประเมินว่าน่าจะมีผลระยะสั้นไม่ถึงขั้นปิดด่านถาวรไปจนถึงสงครามการสู้รบ ซึ่งหากถึงจุดนั้นจะเกิดวิกฤตส่งกลับแรงงานกัมพูชา กลับประเทศ ซึ่งจะมีผลต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

ในทางกลับกัน ปัจุบัน แรงงานกัมพูชายังทำงานได้ต่อ หาก ใบอนุญาตการทำงานและหนังสือเดินทางไม่หมดอายุ  แต่หากทั้งสองอย่างหรืออย่างหนึ่งหมดอายุลง เกรงว่า จะไม่ได้รับการต่ออายุ และไม่มีการรับใหม่ ซึ่งทำให้ ปัญหาแรงงานที่เคยขาดแคลนอยู่แล้ว จะมีปัญหามากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องหาแรงงานใหม่เพิ่มเติม

สำหรับภาพรวมแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย จำนวนเกือบ1ล้านคน แบ่งเป็นภาคก่อสร้างจำนวน2แสนคน ที่เหลือเป็นภาคบริการ และอุตสาหกรรมอื่นๆ   

 “ปัญหาแรงงานกระทบมากสุด ผมไม่รู้ว่าจะผลักดันแรงงานออกนอกประเทศหรือไม่แต่รับใหม่ไม่มี หลักๆ ภาคแรงานขาดแคลน คนที่มีอยู่ เกือบ1 ล้านคนภาคก่อสร้าง 2 แสนคน และนับวันจะน้อยลง เพราะไม่มีงาน โดยภาคตะวันออกจะกระทบมากกว่าเพราะส่วนใหญ่เป็น แรงงานที่มาจากกัมพูชา ส่วนกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันตก เหนือ ใต้จะเป็นเมียนมา ลึกๆ แล้วภาคก่อสร้างกังวลแรงงานชอร์ต อยู่ๆ ให้แรงงานกัมพูชากลับบ้าน และห้ามรับใหม่ ทางออกก็จะหาแรงงานเมียนมาทดแทน “

อย่างไรก็ตามแรงงานกัมพูชามีสกิวที่ดีสามารถยกระดับงานเชื่อมเหล็ก งานเสี่ยงภัยทำเสาเข็ม ฯลฯ ส่วนผู้รับเหมาเข้าไปรับงานก่อสร้าง รวมถึงลงทุนโครงการในกัมพูชา มีค่อนข้างน้อย จึงไม่มีผลกระทบมากนักนอกจากนี้ ไทยยังเกินดุลการค้าจากกัมพูชา ซึ่งหากมีการปิดด่านจะมีผลกระทบน้อยกว่าเพราะไทยสามารถค้าขายกับประเทศอื่นๆได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป เตรียมขยายอาณาจักร สร้างแพลทินัมดิสทริคแหล่งแฟชั่นค้าส่งค้าปลีกที่ยิ่งใหญ่

เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ตอกย้ำผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าแฟชั่น ขยายอาณาจักรยึดพื้นที่ทำเลทองย่านประตูน้ำ เตรียมเปิด “The Platinum Square” เสริมแกร่งธุรกิจ ผนึกกำลังกับแพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ยกระดับสู่ศูนย์กลางการค้าตอกย้ำการเป็นฮับแฟชั่นอันดับ 1 ในอาเซียน เดินหน้าสนับสนุนกลุ่มธุรกิจผู้ค้าผู้ผลิตแฟชั่น พร้อมหนุนการท่องเที่ยวดึงดูดกำลังซื้อจากนักช้อปทั่วโลก

นายสุรชัย โชติจุฬางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อปี 2567 บริษัทฯ ได้ประกาศลงทุน 7,800 ล้านบาท สร้างโครงการเดอะ แพลทินัม สแควร์ บนทำเลศักยภาพสูงย่านการค้าประตูน้ำ เป้าหมายคือการขยายอาณาจักรธุรกิจ “เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป” ให้เติบโตแข็งแกร่งอย่างมั่นคง เมื่อรวมกับศูนย์การค้าแพลทินัม แฟชั่น มอลล์ จะมีส่วนช่วยปลุกพลังย่านธุรกิจค้าส่งค้าปลีกแฟชั่นระดับประเทศ ตอกย้ำการเป็นฮับแฟชั่นอันดับ 1 แห่งอาเซียน

เป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของประเทศที่พร้อมดึงดูดกำลังซื้อจากนักช้อปทั่วโลกอย่างแน่นอน พร้อมหนุนทุกพันธมิตรธุรกิจเติบโตไปพร้อมๆ กัน ทั้งผู้ผลิต-ผู้ค้าส่งค้าปลีกสินค้าแฟชั่นและสินค้าอื่นๆ, อสังหาริมทรัพย์, โรงแรม, ภัตตาคารร้านอาหาร, ธุรกิจบริการ, การท่องเที่ยว ทั้งรายใหญ่รายย่อย โดยปัจจุบันลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์การค้าแพลทินัมแบ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 70% อาทิ อินโดนีเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และชาวไทย 30% ประกอบกับการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีส้มที่ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว และจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการประมาณปี 2573 จะยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับทำเลย่านประตูน้ำให้คึกคักขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

โดยเมื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเดอะ แพลทินัม สแควร์ แล้วเสร็จ เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จะมีอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นย่านแพลทินัมดิสทริกต์อย่างแท้จริง ซึ่งจะประกอบไปด้วยธุรกิจ ศูนย์การค้าแพลทินัม แฟชั่น มอลล์, โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ และโครงการในอนาคต ศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม สแควร์ และโรงแรม มาม่า เชลเตอร์ แบงคอก แพลทินัม”

สำหรับโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ เดอะ แพลทินัม สแควร์ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า และโรงแรม บนพื้นที่ 7 ไร่ บริเวณสี่แยกประตูน้ำ ออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก ‘Spectrum of Fashion’ ที่สะท้อนความหลากหลายของแฟชั่นที่พร้อมตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้คนในที่เดียว โดยตัวอาคารมีทั้งหมด 48 ชั้น แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนพื้นที่ศูนย์การค้า จำนวน 4 ชั้น และพื้นที่โรงแรม รวม 35 ชั้น อาคารจอดรถ 4 ชั้น จอดได้ 613 คัน พื้นที่ใช้สอยอาคารรวมทั้งหมดโดยประมาณ 100,000 ตร.ม. รวมมูลค่าเฉพาะค่าก่อสร้างราว 3,950 ล้านบาท

พร้อมเตรียมยกทัพพันธมิตรผู้ประกอบการสินค้าแฟชั่นค้าส่งและค้าปลีกทั้งระดับบิ๊กแบรนด์ และผู้ค้ารายย่อย (SMEs) รวมทั้งสินค้าประเภทอื่นๆ ร้านอาหารเครื่องดื่มรสเลิศ ไฮไลต์บริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟและอีกหลากหลาย เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปสนุกสุดขีดในมหานครแฟชั่นแห่งใหม่ ทั้งนี้ได้ทำพิธีมงคลลงเสาเอกไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 และเดินหน้าก่อสร้างแล้ว คาดว่าส่วนศูนย์การค้าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2571

ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว มาม่า เชลเตอร์ แบงคอก แพลทินัม โดยจับมือกับ เอนนิสมอร์ ผู้ให้บริการด้านไลฟ์สไตล์และการพักผ่อน ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งมีทาง แอคคอร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เตรียมมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวและพักผ่อน ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาสุดสนุกไม่ซ้ำใคร ในเอกลักษณ์พิเศษของมาม่าเชลเตอร์ สำหรับโรงแรมแห่งนี้มีห้องพักรวม 578 ห้อง

การตกแต่งภายในได้รับแรงบันดาลใจจากเสน่ห์กรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยมูฟเมนต์และสีสันแห่งความสนุกสนาน นำมาสร้างสรรค์เป็นศิลปะลายเส้นกราฟฟิตีที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมประดับโคมไฟหน้ากากการ์ตูน เพื่อเสริมบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลาย เพิ่มความสะดวกสบายเหนือระดับด้วยชุดเครื่องนอนสุดหรู และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกสุดพิเศษ Mama Skin นอกจากนี้ยังมีบริการสุดประทับใจมากมาย อาทิ ร้านอาหารและบาร์ต่างๆ อันเป็นหัวใจจุดเด่นสำคัญของโรงแรมแห่งนี้ ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารโฮมเมดสูตรพิเศษ ค็อกเทลซิกเนเจอร์ สุดสนุกกับโซนแข่งขันกีฬาสปอร์ตบาร์ เกมโซน Mama Play บาร์และเลานจ์สุดชิคริมสระว่ายน้ำ อิ่มอร่อยกับโปรแกรมมื้อพิเศษ Mama’s Brunch และเพลิดเพลินไปกับ Mama Nights ที่จัดเต็มดนตรีสดโดยมีดีเจและศิลปินชั้นนำร่วมมอบความสุข พร้อมให้ทุกวันเป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง และที่สำคัญยังมีห้องประชุมขนาด 300 ตร.ม. และห้องอาหารขนาด 210 ตร.ม. ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการจัดงานหรือรับประทานอาหารในรูปแบบที่เป็นส่วนตัว โดยวางแผนจะเปิดให้บริการประมาณปี 2572

เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนางานบริการต่างๆ ของธุรกิจโรงแรม อันเป็นหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวไทย

โรงแรมโนโวเทล แบงคอก แพลทินัม ประตูน้ำ จำนวน 288 ห้อง บริหารงานโดยแอคคอร์ ได้ทำการปรับปรุงการบริการภายในโรงแรมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่ห้องอาหาร บาร์ เลานจ์ และพูลบาร์ นอกจากนี้ยังทำการตกแต่งภายในใหม่ ภายใต้แนวคิดการนำเทคโนโลยีและความมีชีวิตชีวาของเมืองเอกลักษณ์ย่านประตูน้ำมาดีไซน์ผสานกับความเป็นธรรมชาติเผยอัตราเข้าพักในปี 2567 อยู่ในระดับสูงถึง 94% รายได้เพิ่มจากปี 2566 จำนวน 16% เตรียมยกระดับการให้บริการเพื่อมอบประสบการณ์สดใหม่สุดคุ้มค่าให้กับลูกค้าและสิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐาน Green Key Certification

โรงแรมม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์ จำนวนห้องพัก 504 ห้อง ซึ่งถือเป็นโรงแรมม็อกซี่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมสาธารณรัฐประชาชนจีน) บริหารงานโดยเครือแมริออท อินเตอร์เนชันแนล ประสบความสำเร็จได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มที่แสวงหาความสนุกตื่นเต้น หลังเปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ด้วยการมอบประสบการณ์สุดสนุกในรูปแบบที่แปลกใหม่เฉพาะตัว พร้อมยกระดับความสนุกสุดพิเศษให้มากยิ่งขึ้น เตรียมเปิดให้บริการบาร์บนชั้นดาดฟ้า Rooftop Bar สุดชิค บริเวณชั้น 32 พร้อมชูเป็นแหล่งแฮงเอาท์สังสรรค์ชมวิวในมุมสูงแห่งใหม่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ย่านราชประสงค์ ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 นี้

โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท สมุย บริหารโดยเครือ IHG Hotel & Resort จำนวนห้องพัก 203 ห้อง ที่สุดแห่งความโดดเด่น ด้วยโลเคชั่นที่ติดกับหาดบ่อผุดและใกล้กับชุมชนชาวประมงดั้งเดิมเกาะสมุย ตอกย้ำความน่าสนใจด้วยการสร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัวโดยเฉพาะเด็กๆ อาทิ พื้นที่เล่นกว้างขวางกว่า 800 ตร.ม. อีกไฮไลต์สำคัญคือสวนน้ำ สแปลชแพดธีมโลกใต้ท้องทะเลพร้อมสไลเดอร์ และยังมีกิจกรรมเสริมจินตนาการให้เด็กๆ ขณะที่ผู้ปกครองก็ได้พักผ่อนอย่างสบายใจ ตกเย็นสามารถเดินช้อปปิ้งถนนคนเดินบริเวณใกล้โรงแรมที่มีสินค้าของฝากแสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมากมาย

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนเดินหน้ายกเครื่องศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ใหม่ครั้งใหญ่ ซึ่งยังอยู่ในระยะการเตรียมแผนงาน คอยติดตามความน่าสนใจได้เร็วๆ นี้

โดยเมื่อปี 2567 บริษัทมีผลประกอบการรายได้รวม 2,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 38% ด้วยแรงสนับสนุนสำคัญจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 2568 บริษัทจะสร้างรายได้เติบโตจากปี 2567 เพิ่มขึ้น 20% พร้อมเดินหน้าตามแผนงานธุรกิจด้วยความรอบคอบเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10มิ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าถ้าราคาทองคำย่อตัวและยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทย รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวน้ำมัน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10มิ.ย.ที่ระดับ  32.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.67 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน 

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงระหว่างวัน ควรจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งยังคงเป็น Two-Way risk สำหรับเงินบาท (เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น กลับกัน หากราคาทองคำปรับตัวลงต่อ ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง)

โดยเรามองว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจกดดันให้ ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลงเพิ่มเติมได้ ซึ่งภาพดังกล่าวจะช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แม้ว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงบ้าง หรือบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียอาจทยอยแข็งค่าขึ้น ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทอาจยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมัน หลังในช่วงนี้ ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทยอยสูงขึ้น และอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ไม่ยาก หากตลาดมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (และคู่ค้าอื่นๆ) ส่งผลให้ดีต่อแนวโน้มความต้องการใช้พลังงาน จากภาพเศรษฐกิจโลกและบรรดาเศรษฐกิจหลักที่อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดเคยกังวล หากสถานการณ์การค้าโลกทยอยดีขึ้น 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ เพราะหากข้อมูลดังกล่าว ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานอังกฤษที่สดใส ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE หนุนให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งอาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.61-32.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป ส่งผลให้โดยรวม เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในลักษณะ Sideways

ทั้งนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า การปรับตัวขึ้นต่อของราคาทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกจะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง และต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันพุธนี้ รวมถึงรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้รับอานิสงส์บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของ Amazon +1.6% หลังประกาศพร้อมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขยาย Data Center สำหรับธุรกิจ AI นอกจากนี้ ราคาหุ้น Tesla +4.6% ก็รีบาวด์ขึ้น หลังปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.09% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.31%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.07% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นอกจากนี้ หลายตลาดหุ้นก็ปิดทำการเนื่องในวันหยุด Whit Monday หรือ Pentecost Monday ทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินยุโรปเบาบางลงจากช่วงปกติ

ในส่วนตลาดบอนด์ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง แถวโซน 4.50% อนึ่ง เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า


ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เหนือโซน 144 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ท่าทีระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด รวมถึงจังหวะย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้น ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็ถูกชะลอลงจากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้ราคาทองคำ ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,322 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ได้สำเร็จ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE มีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) เดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และที่น่าสนใจ คือ ภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ถือว่า เป็นภาคธุรกิจที่มีการจ้างงานในสัดส่วนที่สูง ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจขนาดเล็ก อาจช่วยสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้เช่นกัน

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จบสัปดาห์แรก! เปิดเงินรางวัล “วอลเลย์บอลหญิงไทย” ในศึกเนชันส์ลีก 2025

วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ที่จบภารกิจการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 สัปดาห์แรก ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา

โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ที่ทำผลงานชนะ 1 และ แพ้ 3 นัด หลังเกมส่งท้ายเป็นฝ่ายเอาชนะ ฝรั่งเศส 3-1 เซต ทำให้รั้งอันดับ 15 ของตารางคะแนน

พร้อมกันนี้ตามเงื่อนไขของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ที่จะมีการมอบเงินรางวัลให้กับทีมชนะในรอบแรก จะได้ 9,500 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 310,000 บาท) และทีมแพ้จะได้รับ 4,250 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 138,000 บาท)

จากผลงานของ “ทีมลูกยางสาวไทย” ในรอบแรก ที่เก็บชัยชนะ 1 นัด และแพ้ 3 นัด ทำให้ได้รับเงินรางวัลรวมทั้งหมด 22,250 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 727,000 บาท)

สำหรับ “ทัพนักตบสาวทีมชาติไทย” จะได้พักหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะเดินทางไปทำการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 สนามที่สอง ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ตาเหลือง กินอะไรดี? สัญญาณเตือนสุขภาพและวิธีดูแลร่างกาย

อาการตาเหลืองเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคตับหรือความผิดปกติในร่างกาย การรู้เท่าทันสาเหตุและการเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการได้

ตาเหลือง เกิดจากอะไร

ตาเหลือง อาจเกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบินในเลือด ซึ่งอาจเกิดจากตับทำงานผิดปกติ เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง ท่อน้ำดีอุดตัน หรือภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมากกว่าปกติ นอกจากนี้ โรคบางชนิด เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ การติดเชื้อ หรือการใช้ยาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดอาการตาเหลืองได้

ตาเหลือง ขาดวิตามินอะไร

อาการตาเหลืองอาจเกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบางชนิด โดยเฉพาะวิตามินบี 12 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท หากร่างกายขาดวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมากผิดปกติ และนำไปสู่การสะสมของบิลิรูบินในเลือดจนเกิดอาการตาเหลือง ได้ นอกจากนี้ การขาดโฟเลต (วิตามินบี 9) ก็อาจส่งผลในลักษณะคล้ายกัน

ตาเหลือง กินอะไรดี

การเลือกทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยบำรุงตับและลดอาการตาเหลือง ได้ เช่น

  1. ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี คะน้า ช่วยเพิ่มการขับสารพิษ
  2. ผลไม้สีส้มและสีเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มีเบต้าแคโรทีนช่วยปกป้องเซลล์ตับ
  3. ขมิ้นชัน มีสารเคอร์คูมินช่วยลดการอักเสบของตับ
  4. ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น แซลมอน ปลาทู ช่วยเสริมการทำงานของตับ
  5. น้ำเปล่า ดื่มให้เพียงพอเพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหากมีอาการตาเหลือง

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ตับทำงานหนัก เช่น ของทอด อาหารไขมันสูง แอลกอฮอล์ และอาหารแปรรูป เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับและทำให้อาการตาเหลืองแย่ลง

การดูแลตัวเองเมื่อมีตาเหลือง

หากมีอาการตาเหลืองควรพักผ่อนให้เพียงพอ งดอาหารและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรคตับ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เผยเทคนิคออกเสียงเหมือนเจ้าของภาษา! เรียนรู้ /ə/ หรือ ชวา (Schwa) ที่ทำให้คุณเป๊ะ

การ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีแค่การท่องศัพท์หรือไวยากรณ์เท่านั้น หากแต่อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือ “การออกเสียง” โดยเฉพาะเสียงเล็กๆ ที่เรียกว่า /ə/ หรือ Schwa ซึ่งเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับผู้ที่อยากพูดอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษาอย่างแท้จริง บทความนี้จะพาไปรู้จักกับเสียง /ə/ หรือ Schwa ซึ่งเป็นเสียงสระที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ และเป็นกุญแจสำคัญในการพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา เสียง Schwa เป็นเสียงสั้นและเบา มักปรากฏในพยางค์ที่ไม่ได้รับการเน้นเสียง การเรียนรู้และใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณฟังภาษาอังกฤษได้แม่นยำขึ้น และพูดได้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ใหม่ๆ การเข้าใจ Schwa จะช่วยให้การออกเสียงแม่นยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บทความยังแนะนำเทคนิคการฝึก เช่น การฟังเจ้าของภาษา การพูดตาม และการลดเสียงในพยางค์ที่ไม่เน้น เหมาะสำหรับผู้เรียนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย หรือผู้ที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

1) ความหมายและความสำคัญของ /ə/ หรือ ชวา (Schwa)

/ə/ หรือที่เรียกกันว่า Schwa คือเสียงสระที่อ่อนที่สุดในภาษาอังกฤษ ออกเสียงเบาและสั้นคล้ายคำว่า “อะ” โดยไม่เน้นน้ำหนัก ตัวอย่างเช่น ในคำว่า banana เสียง /ə/ ปรากฏสองครั้งในพยางค์แรกและสุดท้าย: b/ə/NAH/n/ə

เสียง Schwa เป็นสระที่พบมากที่สุดในภาษาอังกฤษ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักฟังเจ้าของภาษาพูดไม่รู้เรื่อง เพราะเสียงนี้มักไม่ปรากฏชัดเจนในการเขียน แต่มีบทบาทสำคัญในการพูดอย่างมาก

การเข้าใจและใช้ Schwa อย่างถูกต้อง ช่วยให้ผู้ เรียนภาษาอังกฤษ ฟังและพูดได้ลื่นไหลยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย เสียง Schwa จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการฝึกพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา

2) วิธีการใช้ /ə/ หรือ ชวา (Schwa)

เสียงที่ไม่เน้น กลับสำคัญที่สุด: เสียง Schwa มักปรากฏในพยางค์ที่ไม่ได้เน้นเสียง เช่นคำว่า problem ซึ่งไม่ได้อ่านว่า “โปร-เบล็ม” แต่จะอ่านว่า /ˈprɒb.ləm/ โดยพยางค์หลังเป็น Schwa

หากคุณต้องการ เรียนภาษาอังกฤษ ให้เป๊ะเหมือนเจ้าของภาษา การฝึกใช้เสียง Schwa คือขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม

ตัวอย่างคำที่มี Schwa

  • About → /əˈbaʊt/
  • Support → /səˈpɔːrt/
  • Doctor → /ˈdɒk.tər/
  • Animal → /ˈæn.ɪ.məl/
  • Celebrate → /ˈsel.ə.breɪt/

สังเกตว่าตำแหน่งของ Schwa ไม่ได้ตายตัว แต่อยู่ในพยางค์ที่ไม่มีการเน้นเสียง และสามารถอยู่ได้ในทุกตำแหน่งของคำ ทั้งต้น กลาง หรือท้ายคำ

เทคนิคฝึกออกเสียง Schwa

  1. ฝึกฟังเจ้าของภาษาพูด แล้วจับให้ได้ว่าเสียง Schwa อยู่ตรงไหน เช่น ใน podcast หรือคลิป เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์
  2. พูดตามและลดเสียงที่ไม่เน้น โดยไม่ต้องออกเสียงชัดทุกพยางค์ เช่น “family” อ่านเป็น /ˈfæm.li/ ไม่ใช่ /ˈfæ.mɪ.li/
  3. อัดเสียงตัวเองพูด แล้วเทียบกับเจ้าของภาษา คุณจะเริ่มจับได้ว่าควรลดเสียงตรงไหนให้เป็น Schwa
  4. ฝึกอ่านออกเสียงจากคำศัพท์ทั่วไป ที่คุณพบในคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษ หรือหนังสือเรียน

การเข้าใจเสียง Schwa ทำให้คุณ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ได้อย่างมั่นใจ และพูดเหมือนเจ้าของภาษามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องพยายามออกเสียงทุกคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เริ่มต้น เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการรู้จัก Schwa: หลายคนที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ อาจรู้สึกว่าเสียง Schwa เป็นเรื่องยาก แต่ความจริงแล้ว คือทางลัดที่จะทำให้คุณฟังและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากนึกภาพเมื่อฟังคนอังกฤษหรืออเมริกันพูดเร็ว ๆ และจับคำไม่ค่อยได้ เนื่องจากพวกเขาใช้ Schwa อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ หากกำลัง เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ หรือผ่านคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษ ใด ๆ ก็ตาม ให้ลองขอคำแนะนำจากครู หรือมองหาสื่อที่เน้นเรื่องการออกเสียงโดยเฉพาะ โดยเฉพาะคลิปที่เน้นการพูดจริงจากเจ้าของภาษา

เสียง Schwa มีความสำคัญมากในการ เรียนภาษาอังกฤษ หากอยากพูดได้ลื่นไหลเหมือนเจ้าของภาษา เสียงนี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ฝึกฝนให้คุ้นชิน และคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างในการฟัง พูด และเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


6 แนวโน้มสำคัญกำหนดอนาคตคลาวด์ ปลดล็อกโมเดลธุรกิจใหม่

การ์ทเนอร์เผยแนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของการนำคลาวด์มาใช้งานช่วง 4 ปี ข้างหน้านี้ ประกอบด้วย Cloud Dissatisfaction, AI/Machine Learning (ML), Multicloud, Sustainability, Digital Sovereignty และ Industry Solutions

นายโจ โร-กัส (Joe Rogus ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “แนวโน้มเหล่านี้เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงของวิธีการที่คลาวด์เปลี่ยนผ่านจากตัวช่วยด้านเทคโนโลยีไปเป็นปัจจัยขับเคลื่อน และความจำเป็นทางธุรกิจสำหรับองค์กรส่วนใหญ่ โดยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ คลาวด์จะยังเดินหน้าปลดล็อกโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ มอบความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน และนำเสนอแนวทางบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ”

การ์ทเนอร์เปิด 6 แนวโน้มที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของคลาวด์ ส่งผลให้เกิดวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่เป็นดิจิทัลโดยธรรมชาติและสร้างผลกระทบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง (ดูรูปที่ 1):

รูปที่ 1: แนวโน้มสำคัญขับเคลื่อนอนาคตของคลาวด์

ที่มา: การ์ทเนอร์ (พฤษภาคม 2568)

แนวโน้มที่ 1: Cloud Dissatisfaction

การนำคลาวด์มาใช้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่จะประสบความสำเร็จไปทั้งหมด การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 25% ขององค์กรจะเจอกับความไม่พึงพอใจ (Dissatisfaction) ของการนำคลาวด์มาใช้งานอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2028 อันเนื่องจากความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล การนำมาใช้ไม่เหมาะสม และ/หรือปัญหาจากต้นทุนที่ไม่สามารถควบคุมได้

เพื่อให้ยังคงความสามารถในการแข่งขัน องค์กรต้องมีกลยุทธ์คลาวด์ที่ชัดเจนและมีแผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ การ์ทเนอร์ระบุว่าองค์กรที่สามารถแก้ไขปัญหาโดยให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ล่วงหน้า (Upfront Strategic) ได้สำเร็จ ภายในปี 2029 จะพบเหตุการเกิด Cloud Dissatisfaction ลดลง

แนวโน้มที่ 2: ความต้องการเทคโนโลยี AI/ML เพิ่มขึ้น

ความต้องการ AI/ML กำลังเพิ่มขึ้นรวดเร็ว โดยผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หรือ Hyperscaler จะเป็นแกนหลักของการเติบโตนี้ พวกเขาจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยวิธีการจัดสรรทรัพยากรด้านการประมวลผลโดยฝังความสามารถพื้นฐานเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานไอที เพื่ออำนวยความสะดวกในการร่วมมือกับทั้งผู้ขายและผู้ใช้ พร้อมใช้ประโยชน์จากข้อมูลจริงและข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) เพื่อฝึกโมเดล AI การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2029 ครึ่งนึง (50%) ของทรัพยากรประมวลผลคลาวด์จะถูกใช้ในงาน AI เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่น้อยกว่า 10%

“ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าของปริมาณเวิร์กโหลดบนคลาวด์ที่เกี่ยวกับ AI ในปี 2029 โดยเวลานี้เป็นช่วงที่องค์กรต้องประเมินว่าดาต้าเซ็นเตอร์และกลยุทธ์คลาวด์ของพวกเขาพร้อมรับมือกับการเพิ่มขึ้นของความต้องการ AI & ML หรือไม่ หลายเคสที่อาจต้องนำ AI ไปยังที่ที่ข้อมูลอยู่เพื่อสนับสนุนการเติบโตนี้” 

แนวโน้มที่ 3: Multicloud และ Cross Cloud

องค์กรหลายแห่งที่นำสถาปัตยกรรมมัลติคลาวด์มาใช้พบว่าการเชื่อมต่อกับและระหว่างผู้ให้บริการเป็นความท้าทาย การขาดความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างสภาพแวดล้อมทำให้การนำคลาวด์มาใช้ช้าลง โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2029 มากกว่าครึ่ง (50%) ขององค์กรจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังจากการใช้งานมัลติคลาวด์

การ์ทเนอร์แนะนำให้ระบุยูสเคสการใช้งานเฉพาะและวางแผนสำหรับ Distributed Apps และ Distributed Data ที่ใช้งานในองค์กรที่อาจได้ประโยชน์จากการนำโมเดลครอสคลาวด์มาใช้ (Cross-Cloud Deployment Model) ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้ทั่วทั้งแพลตฟอร์มคลาวด์ รวมถึงการใช้งานคลาวด์แบบ On-Premise และ Colocation

แนวโน้มที่ 4: Industry Solutions

การใช้งานแพลตฟอร์มคลาวด์เฉพาะอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีผู้ให้บริการจำนวนมากขึ้นเสนอโซลูชันที่ตอบสนองผลลัพธ์ทางธุรกิจเฉพาะ และช่วยขยายขนาดโครงการดิจิทัล การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2029 เกินกว่าครึ่ง (50%) ขององค์กรจะใช้ Industry Cloud Platforms เพื่อเร่งโครงการทางธุรกิจ

การ์ทเนอร์ยังแนะนำให้องค์กรนำแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรมมาวางไว้เป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์และบริการไอทีให้กว้างขึ้น มากกว่าการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงหนี้ทางเทคนิค (Technical Debt) สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้

แนวโน้มที่ 5: Digital Sovereignty

การนำ AI มาใช้ กฎระเบียบความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดขึ้น และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังขับเคลื่อนความต้องการใช้บริการ Sovereign Cloud องค์กรจะถูกกำหนดให้ต้องปกป้องข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และเวิร์กโหลดสำคัญ ๆ จากการควบคุมโดยเขตอำนาจศาลจากภายนอกและการเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลต่างประเทศมากขึ้น การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2029 เกินกว่า 50% ขององค์กรข้ามประเทศจะมีกลยุทธ์ Digital Sovereign เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่น้อยกว่า 10%

“ขณะที่องค์กรปรับกลยุทธ์คลาวด์เป็นเชิงรุกเพื่อตอบสนองข้อกำหนด Digital Sovereignty กลับมีข้อเสนอที่หลากหลายอยู่แล้วที่จะสนับสนุนพวกเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องเข้าใจข้อกำหนดของตนเองอย่างแน่ชัด เพื่อที่จะสามารถเลือกส่วนผสมที่เหมาะสมของโซลูชันในการปกป้องข้อมูลและการดำเนินงานของตนได้อย่างสมบูรณ์”

แนวโน้มที่ 6: Sustainability

ผู้ให้บริการและผู้ใช้งานคลาวด์มีความรับผิดชอบร่วมกันต่อโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยั่งยืนมากขึ้น สิ่งนี้ได้รับการขับเคลื่อนโดยผู้กำกับดูแล นักลงทุน และความต้องการของสาธารณะสำหรับให้มีความสอดคล้องที่มากขึ้นระหว่างการลงทุนเทคโนโลยีและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเวิร์กโหลด AI ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น องค์กรจึงยังอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องมีความเข้าใจ วัดผล และจัดการผลกระทบด้านความยั่งยืนของเทคโนโลยีคลาวด์ใหม่ ๆ ให้มากยิ่งขึ้น

การวิจัยของการ์ทเนอร์เผยให้เห็นว่า ในปี 2029 มีเปอร์เซ็นต์ขององค์กรทั่วโลกที่จัดลำดับความสำคัญด้านความยั่งยืนไว้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% เพื่อให้ได้มูลค่าที่มากขึ้นจากการลงทุนคลาวด์ องค์กรต้องมองไปไกลกว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียวและจัดวางกลยุทธ์ความยั่งยืนของตนให้สอดรับกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทำความรู้จักลูกหว้า ผลไม้สีม่วงเข้ม พร้อมประโยชน์และข้อควรระวัง

ลูกหว้า คือผลไม้พื้นบ้านของไทยที่หลายคนอาจเคยเห็น แต่ไม่ค่อยรู้จักสรรพคุณที่แท้จริง ลูกหว้ามีรสชาติเปรี้ยวอมหวานและฝาดนิดๆ เนื้อสีม่วงเข้ม กลิ่นหอมเฉพาะตัว และถูกนำมาใช้ทั้งรับประทานสด แปรรูป หรือเป็นส่วนผสมในยาสมุนไพรโบราณ มาทำความรู้จักกับลูกหว้าให้มากขึ้น พร้อมทั้งข้อควรระวังในการกิน เพื่อให้ได้ประโยชน์และไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียง

ลูกหว้า คืออะไร

ลูกหว้า (Syzygium cumini) เป็นผลไม้พื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย จัดอยู่ในตระกูล Myrtaceae ต้นสูงใหญ่ ผลเป็นรูปวงรีขนาดเล็ก สีเขียวเมื่อดิบ และเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำเมื่อสุก เนื้อในสีม่วง มีรสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อย

ลูกหว้ามักนิยมรับประทานสด หรือแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ แยม ไวน์ และลูกหว้าดอง นอกจากนี้ยังใช้ส่วนต่างๆ ของต้น เช่น เปลือก ใบ และเมล็ด ในการทำยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน

รสชาติของลูกหว้า

ลูกหว้า มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีรสฝาดเล็กน้อย เนื้อฉ่ำน้ำ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว หากทานผลสดมากๆ อาจรู้สึกฝาดลิ้น และบางคนอาจรู้สึกคอแห้ง

ลูกหว้าออกผลช่วงเดือนอะไร?

ลูกหว้าเป็นผลไม้ตามฤดูกาลที่มักจะออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมของทุกปี โดยจะเริ่มมีดอกตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม จากนั้นผลจะเริ่มสุกและเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกหว้ามีรสชาติอร่อยที่สุด หวานฉ่ำและมีสีม่วงเข้มสวยงาม

ประโยชน์ของลูกหว้า

  • อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: สีม่วงเข้มของลูกหว้า มาจากสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และโรคมะเร็งบางชนิด
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: งานวิจัยบางฉบับระบุว่าสารในเมล็ดลูกหว้า อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยช่วยชะลอการดูดซึมกลูโคสในลำไส้
  • เสริมสุขภาพทางเดินอาหาร: เนื้อลูกหว้า มีไฟเบอร์ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และบำรุงจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
  • บำรุงผิวพรรณ: สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินในลูกหว้า ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ชะลอการเกิดริ้วรอย
  • ต้านการอักเสบและเชื้อแบคทีเรีย: มีการใช้ลูกหว้า ในสูตรยาสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการอักเสบในช่องปากและลำคอ

ข้อควรระวังในการบริโภคลูกหว้า

  • อาจทำให้ท้องอืดหรือแน่นท้อง: การทานลูกหว้า ในปริมาณมากอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง หรือเกิดอาการท้องผูกได้ในบางคน
  • ผู้ที่แพ้ผลไม้บางชนิดควรระวัง: อาจเกิดอาการแพ้ เช่น คันปาก ผื่น หรือแน่นหน้าอก
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์ก่อน: แม้ลูกหว้ามีประโยชน์ แต่หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือกำลังใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานในปริมาณมาก

ลูกหว้า เป็นผลไม้พื้นบ้านที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเสริมระบบย่อยอาหาร แต่การกินลูกหว้า ก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้องได้ และหากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/06/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,150.0051,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,307.0050,134.1252,050.00
ทองรูปพรรณ 90%2,976.3045,120.71n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,645.6040,107.30n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,488.1522,560.35n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,157.4517,546.94n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,426.9451,952.41n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1448.8449.8448.8441.14
เบนซิน 9540.8448.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า