คุชแมนฯชี้โจทย์ใหม่อสังหาฯไทยแนะพลิกโอกาสใหม่ปี 68-69

คุชแมนฯ ชี้โจทย์ใหม่อสังหาฯไทยเผชิญแรงกดดันค่าบาทแข็ง หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือนพุ่งแนะพลิก วิกฤติเป็น‘โอกาสใหม่’ในโค่งสุดท้ายปี 68-69
แม้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้ง “บาทแข็ง” ค่าใช้จ่ายภาครัฐล่าช้า หนี้สาธารณะ แต่กลับมี “ดาวเด่น” ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ส่งสัญญาณสดใส เช่น นิคมอุตสาหกรรม โรงแรมไลฟ์สไตล์และคอนโดมิเนียม นักลงทุนต่างชาติ ขณะที่อาคารสำนักงานเกรด A ต้องปรับเกมในสนามแข่งที่เข้มข้น
แกเร็ธ ไมเคิล พาวเวลล์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า หลายสำนักคาดการณ์ว่า GDP ไทย ปีนี้จะเติบโตในกรอบ 1.8-2.3% สะท้อนภาวะชะลอตัวที่หน่วงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ทั้งในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ ที่อยู่อาศัย คอนโดมิเนียม โรงแรม และค้าปลีก ที่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบภายในประเทศ เช่น การใช้จ่ายภาครัฐที่ล่าช้า หนี้สาธารณะพุ่ง และเงินบาทแข็งค่า ผนวกกับแรงกดดันภายนอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน
“ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 คือการเดินทางผ่านเขตมรสุมทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่บางภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้ และกำลังกลายเป็นจุดหมายใหม่ใน ปี 2569”
โรงแรมไลฟ์สไตล์ดึง Gen Z
นรศักดิ์ ศุภกรธนกิจ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนและการลงทุน คุชแมนฯ ระบุว่า แม้นักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่า 35% แต่ในภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ วันที่ 21 ก.ย.2568 อยู่ที่ 23.45 ล้านคน ลดลง 7.44% จากปีก่อน การลดลงในกลุ่มจีนถูกชดเชยด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่มองหาประสบการณ์ใหม่
ดังนั้น โรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ หรือ บูทีค จึงกลายเป็น “ดาวรุ่ง” เนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมอบประสบการณ์ที่โดดเด่นและแตกต่าง เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z และนักเดินทางรุ่นใหม่ ที่มองหาความแตกต่าง ความยั่งยืน และดีไซน์ที่สะท้อนตัวตน การสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการขยายฐานลูกค้าใหม่
ขณะที่ผู้ประกอบการศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์จะเน้นไปที่ไลฟ์สไตล์มากกว่าสถานที่ขายสินค้า แนวโน้มปี 2569 คาดว่า ธุรกิจโรงแรมและค้าปลีกยังเติบโตแต่ต้องปรับตัวเข้ากับเทรนด์ชีวิตที่เปลี่ยนเร็ว ทั้งเรื่องสุขภาพ การสร้างประสบการณ์ การใช้ดิจิทัล เข้ามาเพื่อเป็นดึงดูดการลงทุนและยกระดับเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน

นิคมอุตสาหกรรมดาวรุ่ง
พงษ์พันธ์ พลอยเพ็ชร หัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม คุชแมนฯ กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรวมอยู่ที่ 221,458 ไร่ โดยอัตราว่างลดลงเหลือ 7.13% จาก 8.69% ในไตรมาสก่อน ราคาขายที่ดินเฉลี่ยอยู่ที่ 8.04 ล้านบาท/ไร่ และยังมีที่ดินรอพัฒนาอีก 16,297 ไร่ เพื่อรองรับนักลงทุนหน้าใหม่
ส่วนโรงงานสำเร็จรูป (RBF) มีพื้นที่รวม 3.42 ล้าน ตร.ม. อัตราว่างเหลือ 11.71% ขณะที่คลังสินค้า (RBW) รวม 5.99 ล้าน ตร.ม. อัตราว่างลดเหลือ 17.21% สะท้อนความต้องการใช้งานที่สูง โดยเฉพาะหลังมีเรื่องชัดเจนเกี่ยวกับภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งทำเลที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐาน และศักยภาพการเชื่อมโยงกับท่าเรือ-โลจิสติกส์ยังเป็นแรงดึงดูดนักลงทุน
“ครึ่งแรกของปี 2568 BOI อนุมัติโครงการต่างชาติ 1,063 โครงการ มูลค่ารวม 629,611 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกจับตาสูง ได้แก่ ดิจิทัล, เครื่องใช้ไฟฟ้า & อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และดาต้าเซ็นเตอร์ “
ค้าปลีก-คอนโด เผชิญความท้าทาย
สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมนฯ กล่าวว่า ตลาดค้าปลีกในกรุงเทพฯ ปี 2568 เปิดตัวใหม่เพียง 150,000 ตร.ม. ใน 3 ไตรมาสแรก และอีก 6,900 ตร.ม. ที่รอเปิดในไตรมาส 4 รวมสต็อกสะสมเกือบ 7.2 ล้าน ตร.ม. แม้ค่าเช่าปรับขึ้นเล็กน้อย 2.06% แต่มีแรงกดดันให้อัตราเช่าลดลง 1.3% เนื่องจากโครงการใหม่เปิดตัวมากโดยเฉพาะชานเมือง ขณะที่ห้างใหญ่ใจกลางเมืองยังคงขยายแบรนด์พรีเมียมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จากแรงกดดันสำคัญมาจากภาวะกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดต่ำ และการเข้าถึงสินเชื่อที่เข้มงวด การเปิดตัวคอนโดใหม่ในไตรมาส 3 มี 6,618 ยูนิต หลายโครงการเลือกใช้วิธี “Soft Launch” เพื่อทดสอบตลาดก่อนเปิดเต็มรูปแบบ
“แนวโน้มการขายช่วงนั้นดูเงียบกว่าที่คาด เดือนก.ค.-ส.ค. แทบไม่มีการเปิดตัวใหม่”
ปัจจุบันราคาขายคอนโดใหม่ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 47% จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งๆ ที่หลายโครงการอยู่ลึกจากสถานีรถไฟฟ้า แต่ต้นทุนที่ดินโซนสุขุมวิท-เจริญกรุง ยังช่วยให้ราคายืนได้ ทว่าภาพรวมตลาดยังอยู่ในช่วง “ชะลอตัว” การตัดสินใจซื้อมีเงื่อนไขมากขึ้น และความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่ฟื้นเต็มที่
“หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวและสถานการณ์โลกดีขึ้น ปี 2569 อาจเห็นแรงซื้อกลับมา เพราะไทยยังเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของนักลงทุนต่างชาติ”
สำนักงานแข่งขันรุนแรง
อุกฤษฏ์ พรพัฒนไพโรจน์ หัวหน้าฝ่ายพื้นที่สำนักงานให้เช่า คุชแมนฯ เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีอาคารสำนักงานรวม 8.93 ล้าน ตร.ม. เกือบครึ่งอยู่ในโซนศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD (Central Business District) และมีโครงการใหม่ที่กำลังก่อสร้างอีก 650,000 ตร.ม. ที่จะทยอยเปิดถึงปี 2570
แม้อัตราว่างลดลงเล็กน้อยเหลือ 26% แต่การแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะเกรด A ทำให้ค่าเช่าเฉลี่ยในย่าน CBD ปรับลดเหลือ 937 บาท/ตร.ม./เดือน ผู้เช่าหลายองค์กรย้ายจากอาคารเก่าไปสู่ตึกใหม่ที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ระบบประหยัดพลังงาน และระบบความปลอดภัยสูงขึ้นอาคารเก่าที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จึงต้องเร่งปรับโฉม ยกระดับคุณภาพให้สอดรับมาตรฐานใหม่ และรักษาความสามารถการแข่งขันในตลาด
แนวโน้มในปี 2569 ตลาดสำนักงาน ยังพึ่งพาการเช่าจากบริษัทข้ามชาติเข้าถึงมากกว่า และหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ความต้องการพื้นที่สำนักงานในไทยอาจขยับดีขึ้นทีละน้อย ขณะซัพพลายใหม่ที่จะเข้าตลาดก็ไม่ได้มีมากนัก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผ่าบ้าน ‘ศุภาลัย’ เปิดตัว ‘EXPERIENCE HOME’ เจาะลึกโครงสร้าง-วัสดุ

“ศุภาลัย” เปิดบ้าน ผ่านโปรเจ็กต์ “SUPALAI EXPERIENCE HOME” ถอดรหัสบ้าน ให้ผู้บริโภคได้เจาะลึกถึงระบบโครงสร้าง วัสดุก่อสร้าง และมาตรฐานวิศวกรรมในทุกขั้นตอน
ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นดีไซน์และฟังก์ชัน บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้สร้างความแตกต่าง ด้วยการเปิดตัวโปรเจกต์ SUPALAI EXPERIENCE HOME ที่พลิกโฉมการเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงโครงสร้าง เพื่อเป็นสื่อกลางในการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่สนใจโครงการ และบริษัทมีแผนที่จะเปลี่ยนมาตรฐานใหม่ของบ้านตัวอย่างในหัวเมืองต่างจังหวัดให้มีการโชว์โครงสร้างด้วยเช่นกันในอนาคต
นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เผยว่า การเปิดบ้านในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมั้นใจในคุณภาพของศุภาลัยที่ไม่ได้เพียงสร้างบ้านที่สวยงามในแง่ของดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรฐานทางวิศวกรรมและความแข็งแรงของโครงสร้าง
ตั้งแต่ฐานราก ผนัง บันได ไปจนถึงระบบหลังคา ทุกองค์ประกอบผ่านการออกแบบและคำนวณตามหลักวิศวกรรมศาสตร์อย่างรอบคอบ เพื่อให้บ้านทุกหลังสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ศุภาลัยกล้าที่จะเปิดเผยทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกวัสดุก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสากล การก่อสร้างที่ควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ไปจนถึงการทดสอบและตรวจสอบ (QC) ตามมาตรฐาน ISO
การเปิดเผยรายละเอียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ ครอบคลุมถึงการแสดงกระบวนการก่อสร้างที่ละเอียดอ่อน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า อาทิ การใช้อิฐมวลเบาที่มีความแข็งแกร่งแต่นํ้าหนักเบา พร้อมคุณสมบัติเป็นฉนวนกันไฟและกันความร้อน เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
การก่อสร้างผนังมีการใช้ปูนก่ออัดแน่นเต็มพื้นที่ ไม่มีช่องว่าง เสริมความแข็งแรงด้วยเสาเอ็น คานทับหลัง และลวดตาข่าย ป้องกันการแตกร้าวระหว่างผนังและโครงสร้าง นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงกระบวนการฉาบผนัง การสกิมโค้ท ทาสีรองพื้นและสีจริงที่ปลอดสารระเหย รวมถึงการติดวอลเปเปอร์ที่มีคุณสมบัติยับยั้งไวรัสและแบคทีเรีย

ในส่วนของโครงสร้างภายในที่สำคัญอย่างบันได ถูกก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กที่ออกแบบตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ ให้ความแข็งแรงและมั่นคง โดยมีการปิดผิวด้วยไม้จริงวีเนียร์ไม้โอ๊คที่ให้สัมผัสธรรมชาติ ลวดลายเฉพาะ และปลอดภัยต่อสุขภาพ
ด้านงานปูพื้น บริษัทเลือกใช้กระเบื้องพอร์ซเลนที่มีความแข็งแรง ทนทานและสวยงาม ส่วนในห้องนํ้าเลือกใช้พอร์ซเลนที่มีค่าการดูดซึมนํ้าตํ่าและคุณสมบัติกันลื่น (R Value) ที่เหมาะสมกับการใช้งานจริง ส่วนบานประตูและหน้าต่างก็เลือกใช้วัสดุทั้ง Aluminium และ UPVC อย่างพิถีพิถัน เพื่อความคงทนและการกันเสียงที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง
สำหรับสิ่งที่ผู้บริโภคมักกังวลเรื่องการรั่วซึมในห้องนํ้า ศุภาลัยได้ให้ความสำคัญและกำหนดขั้นตอนทดสอบการรั่วซึมจากการขังนํ้าถึง 2 ครั้ง โดยเริ่มจากการเทคอนกรีตผสมสารกันซึมและการปรับระดับพื้น ก่อนทดสอบขังนํ้า 24 ชั่วโมงในครั้งแรก จากนั้นเมื่อปูกระเบื้องเสร็จสิ้นแล้ว จะทดสอบครั้งที่สองด้วยการขังนํ้าและทดสอบการไหล ร่วมกับการทดสอบการรั่วซึมตามจุดต่อของท่อนํ้าดีและนํ้าเสีย เพื่อยืนยันผลอย่างชัดเจน พร้อมทั้งยังมีการวางระบบท่อนํ้าทิ้งและ Floor Drain ที่มีการป้องกันกลิ่นย้อนกลับ นอกจากนี้ บ้านทุกหลังยังถูกออกแบบภายใต้มาตรฐานการต้านแผ่นดินไหว ปี 2564
หนึ่งในไฮไลต์ที่ทีมงานศุภาลัยต้องการให้เห็นอย่างชัดเจน คือ ระบบหลังคามาตรฐานสูง โดยเลือกใช้โครงเหล็กชุบกัลป์วาไนซ์ ซึ่งเป้นโลหะพิเศษที่ชุบกันสนิมจากโรงงาน ซึ่งทนทานกว่าเหล็กปกติ และลดขั้นตอนในการทาสีกันสนิม พร้อมติดตั้งฉนวนกันความร้อนหนา 5 นิ้ว เพื่อป้องกันความร้อนสะสม และฝ้าชายคาไวนิลที่ช่วยระบายอากาศ ลดอุณหภูมิภายในบ้านได้ถึง 7 องศา นอกจากนี้ เสียงฝนที่กระทบแผ่นหลังคาจะไม่ส่งเสียงดังมาก เพราะมีฉนวนกันความร้อนและฝ้า
และเพื่อตอกยํ้าความเป็น “บ้านประหยัดพลังงาน” ศุภาลัยยังได้ออกแบบหลังคาให้รองรับการติดตั้ง Solar Roof ที่จะทำให้การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีการทดลองหาองศาหลังคาที่เหมาะสมที่สุด อยู่ที่ประมาณ 20 องศาขึ้นไป ในการรับพลังงานแสงอาทิตย์ ลูกค้าจะได้รับโซลาร์เซลล์เป็นของแถมทุกหลัง โดยจะได้รับขนาด 3-5 กิโลวัตต์ ตั้งแต่บ้านราคาเริ่มต้น 5.69 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ว่าจะช่วยประหยัดพลังงานได้ราว 3,000 บาทต่อเดือน พร้อมหน้าจอแสดงผล Tracking แบบ Real time ที่ให้ผู้อยู่อาศัยตรวจสอบการผลิตและการใช้ไฟฟ้าได้ทันที
ทั้งนี้ ด้วยความมั่นใจในคุณภาพทำให้บริษัทกล้ารับประกันโครงการนาน 5 ปี และรับประกันงานส่วนควบอีก 1 ปี โดยเฉพาะระบบหลังคาทั้งหมดมีการรับประกัน 5 ปี ครอบคลุมทั้งระบบ วัสดุ และการติดตั้ง เพื่อให้ผู้ซื้อสบายใจและมั่นใจว่าหลังคาแข็งแรงและไม่รั่วซึม
การเปิดบ้านในครั้งนี้ จึงตอกยํ้าถึงความมุ่งมั่นของศุภาลัยในการสร้างบ้านที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง ผ่านการบริหารจัดการตามมาตรฐาน ISO 9001 มานานกว่า 20 ปี พร้อมยกระดับการตรวจสอบคุณภาพด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยใช้โดรนบินตรวจสอบการติดตั้งหลังคา และใช้เครื่องฉีดนํ้าแรงดันสูง เพื่อจำลองสถานการณ์ฝนตกหนัก/พายุ ทดสอบการรั่วซึมทั้งก่อนและหลังติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบ้านศุภาลัยคือที่อยู่อาศัยคุณภาพ และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10ต.ค.“อ่อนค่าลงหนัก”ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทหากอ่อนค่าลงต่ออาจเผชิญแนวต้านโซน โซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10ต.ค.2568 ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following
โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ในช่วงนี้ แม้เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ที่ต่างส่งสัญญาณพร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างระมัดระวัง ซึ่งเรามองว่า ในภาวะที่ตลาดขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก็ทำให้ เกิดความกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ ได้ไม่ยาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ กอปรกับ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ก็อาจยังเป็นปัจจัยที่กดดันเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง
ดังจะเห็นได้จากการที่เราเริ่มเห็นบทวิเคราะห์ต่างชาติในช่วงนี้ ที่เริ่มปรับลดหรือ Stop Loss สถานะ Long EUR (มองเงินยูโรแข็งค่า) รวมถึงการปรับลดสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่า) จากประเด็นการเมืองญี่ปุ่น ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์เช่นกัน
ทว่า เรากังวลว่า เงินดอลลาร์เผชิญความเสี่ยง Two-Way risk พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง หากภาวะ Government Shutdown ในฝั่งสหรัฐฯ สิ้นสุดลง และตลาดกลับมารับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน ขณะที่ หากสถานการณ์ความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสเริ่มคลี่คลายลง ก็อาจหนุนให้ เงินยูโรพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น กดดันเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทั้งแนวโน้มเงินยูโร และเงินเยนญี่ปุ่น ที่ควรจะทยอยแข็งค่าขึ้นได้ จนถึงช่วงกลางปี 2026 เป็นอย่างน้อย ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในระยะสั้น อาจเป็นไปอย่างจำกัด และ กลยุทธ์ Sell USD on Rally (ทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือเริ่มเปิดสถานะ Short USD) เริ่มมีความน่าสนในมากขึ้น
โดยเฉพาะ หากประเมินในเชิงเทคนิคัล เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ก็เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายแรกของเรา แถวโซน 99.6-99.7 จุด (มองว่า ดัชนีเงินดอลลาร์ อาจยังไม่ได้สามารถทะลุผ่านโซน 100 จุด ไปได้ง่ายนัก)
ทั้งนี้ เรายอมรับว่า ในช่วงระยะสั้น เงินบาทเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง ไม่ว่าจะแรงหรือไม่ (Beta ต่อเงินบาท ในช่วงราคาทองคำปรับตัวลง จะอยู่ในช่วง 0.2-0.3) อีกทั้ง บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็เริ่มทยอยลดสถานะ หรือ Stop Loss สถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) เพิ่มเติม
จนมีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) หากเงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจพอถูกชะลอลงได้บ้าง จากแรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด อย่าง ผู้ส่งออกได้บ้าง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.90 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และยังทะลุกรอบด้านบน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้เมื่อต้นสัปดาห์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.52-32.82 บาทต่อดอลลาร์)
กดดันโดยการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มระมัดระวังกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งแม้จะส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยหรือใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จากการชะลอตัวลงของตลาดแรงงาน
ทว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ทำให้ เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับอานิสงส์จากแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงทั้งในฝั่งตลาดการเงินยุโรป (ซึ่งมีส่วนกดดันเงินยูโร ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส) และตลาดการเงินสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมการรับรู้ข่าวการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hamas กับอิสราเอล ได้เร่งแรงขายทำกำไรทองคำ
กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะดิ่งลงเกือบ -3% ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างราว +1% สู่โซน 3,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด (และอาจมีการขายทำกำไรสถานะ Short ทองคำ ด้วย) ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังสถานการณ์ Government Shutdown ยังมีความเสี่ยงที่จะยืดเยื้อ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงการรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Oracle +2.9%, Nvidia +1.8% จากความหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ธุรกิจ AI ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ทำให้แม้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงเพียง -0.08%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.43% กดดันโดยแรงขายบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร จากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบางธนาคาร และการประกาศเข้าซื้อหุ้น Hang Seng Bank โดยธนาคาร HSBC -5.4%
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่ยังคงมีอยู่ ได้กดดันให้ บรรดาหุ้นฝรั่งเศส อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมพลิกกลับมาปรับตัวลดลง อาทิ LVMH -2.8% ส่วนกลุ่มยานยนต์ก็เผชิญแรงขายบ้าง หลัง Ferrari -15.4% ประเมินแนวโน้มรายได้และผลกำไรที่น่าผิดหวัง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ สะท้อนว่า เฟดมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้ชะลอและจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไว้แถว 4.14%
เรายังคงมองว่า ในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways แต่จะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง
เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการถือครองจากทั้งภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด การปรับสถานะถือครองสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากประเด็นการเมืองของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่
ซึ่งสะท้อนว่า เฟดอาจดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ (Data Blindness) ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 99.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้บรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทว่า ข่าวการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hamas กับอิสราเอล รวมถึงการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้เร่งแรงขายทำกำไรทองคำ
กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลงแรง ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามแรงซื้อ Buy on Dip และการปรับสถานะของผู้เล่นฝั่ง Short ทองคำ ทำให้ราคาทองคำกลับสู่โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนตุลาคม โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว พร้อมรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.70-32.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.47 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือน (นับตั้งแต่ 4 ส.ค.) ที่ 32.82 ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาบางส่วน โดยการอ่อนค่าลงของเงินบาทในช่วงเช้านี้สอดคล้องกับจังหวะการขายทำกำไรทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าท่ามกลางแรงกดดันของเงินเยนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ และแรงกดดันของเงินยูโรจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของฝรั่งเศส
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.65-32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด สถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์จากมุมมองผู้บริโภคสหรัฐฯ รายงานโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนเดือนต.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วิว กุลวุฒิ” ควงคู่ “ปอป้อ-โอโม่” ฉลุยก่อนรองฯ แบดมินตันฟินแลนด์

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 3 โลก โชว์ฟอร์มสุดแกร่งอัดมือญี่ปุ่น 2 เกมรวด ลิ่วรอบ 8 คนสุดท้าย อาร์กติก โอเพ่น 2025 ด้านคู่ผสม “ปอป้อ-โอโม่” ก็สุดปัง พลิกล็อกโค่นคู่เดนมาร์ก ผ่านเข้ารอบไปเช่นกัน
การแข่งขันแบดมินตันรายการ อาร์กติก โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 475,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,437,500 บาท ที่เมืองวันตา ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ในรอบสอง ในช่วงต่ำตามเวลาในประเทศไทย
ประเภทชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 3 ของโลก พบกับ ยูชิ ทานากะ มืออันดับ 26 ของโลกจากญี่ปุ่น
เกมแรก วิว กุลวุฒิ เล่นได้อย่างมั่นคงและเด็ดขาดกว่าในการทำแต้มสำคัญ ทำให้เป็นฝ่ายคุมเกมและเอาชนะไปได้ค่อนข้างง่ายดายที่ 21-13 เกมสอง รูปเกมยังคงเป็นของ วิว กุลวุฒิ ที่เน้นเกมรับที่เหนียวแน่นและสวนกลับด้วยลูกตบที่รุนแรง แม้ ยูชิ ทานากะ จะพยายามสู้ แต่ก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้มาปิดแมตช์เอาชนะไปได้ที่ 21-14 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปรอพบผู้ชนะระหว่าง โคกิ วาตานาเบ้ มืออันดับ 18 ของโลกจากญี่ปุ่น หรือ ธารุน มานเนปัลลี มืออันดับ 46 ของโลกจากอินเดีย
ด้านประเภทคู่ผสม รอบสอง “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 192 ของโลก พบกับ แมด เวสเทอร์การ์ด กับ คริสติน บุช คู่มืออันดับ 22 ของโลก จากเดนมาร์ก
เกมแรก ทั้งสองคู่ผลัดกันทำแต้มอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร แต่ในช่วงปลายเกมแรก “โอโม่ กับ ปอป้อ” ก็อาศัยจังหวะปิดสกอร์ที่เฉียบขาด เบียดเอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิดที่ 22-20
เกมสอง แม้คู่จากเดนมาร์กจะพยายามเร่งเกมเพื่อตีเสมอ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานความมั่นใจและเกมที่เหนียวแน่นของคู่ไทยได้ ทำให้ “โอโม่ กับ ปอป้อ” ปิดแมตช์เอาชนะไปได้อย่างยอดเยี่ยมที่ 21-16 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-0 เกม “โอโม่” พรรคพล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ เกา เจียซวน กับ หวู เหม็งหยิง คู่มืออันดับ 25 ของโลกจากจีน
ส่วนประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือวางอันดับ 4 มืออันดับ 19 ของโลก เอาชนะ ลีเน่ คริสโตเฟอร์เซ่น มืออันดับ มืออันดับ 28 ของโลกจากเดนมาร์ก ไปแบบสนุก 2-1 เกม 21-13 , 15-21 และ 21-19 “ครีม” บุศนันทน์ ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ ลีเน่ เคชเฟลดท์ มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 20 ของโลกจากเดนมาร์ก
ประเภทชายคู่ รอบสอง “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 12 ของโลก เอาชนะ ซี่ ฮาวนาน กับ เซ็ง เว่ยฮาน คู่จากจีน ไปแบบสุดมันส์ 2-0 เกม 21-17 , 21-19 “บาส” เดชาพล กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ เหลียง เหว่ยเกง กับ หวัง ฉาน คู่มือวางอันดับ 4 ของรายการ คู่มืออันดับ 5 ของโลกจากจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
สัญญาณเตือนจากร่างกาย เมื่อคุณไม่ได้ “อึ” นานเกินไป

5 สัญญาณเตือน! ถ้าร่างกายไม่ได้ขับถ่าย “ของเสีย” กำลังสะสมจนส่งผลต่อสุขภาพ
การขับถ่ายอุจจาระเป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่สำคัญของร่างกาย หากคุณไม่ได้ขับถ่ายเป็นเวลาหลายวันหรือมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณเตือนต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะนั่นหมายถึงของเสียกำลังสะสมและระบบย่อยอาหารเริ่มมีปัญหา การรับรู้สัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณรับมือและแก้ไขได้ทันท่วงที
5 สัญญาณหลักที่ร่างกายกำลังบอกว่า “ต้องเข้าห้องน้ำแล้ว”
1. ท้องผูกและท้องอืดอย่างรุนแรง
นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด เมื่อไม่ได้ขับถ่ายเป็นเวลานาน อุจจาระจะแข็งตัวขึ้นและมีการสะสมของแก๊สในลำไส้ ทำให้รู้สึกแน่นท้องและปวดท้อง มีความรู้สึกตึงหรือปวดเกร็งบริเวณหน้าท้อง นอกจากนี้ยังเกิดอาการท้องอืดและผายลมมีกลิ่นแรง การที่อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป ทำให้แบคทีเรียย่อยสลายของเสียและเกิดแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรงขึ้น
2. อ่อนเพลียและขาดพลังงาน (Fatigue)
หลายคนอาจไม่ทราบว่าอาการท้องผูกเรื้อรังส่งผลต่อระดับพลังงานโดยตรง เมื่อของเสียและสารพิษถูกกักเก็บไว้ในร่างกาย ลำไส้จะต้องทำงานหนักขึ้นในการพยายามดูดซึมน้ำและขับของเสียที่แข็งออกไป ซึ่งทำให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นและรู้สึกเหนื่อยล้าผิดปกติ แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ยังรู้สึกหมดแรง และอาจมีอาการซึมไม่มีสมาธิร่วมด้วย
3. ปัญหาผิวพรรณ
ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดที่สะท้อนสุขภาพภายใน เมื่อระบบขับถ่ายมีปัญหาและสารพิษสะสม ร่างกายจะพยายามขับของเสียออกทางผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสิวและผดผื่น โดยเฉพาะสิวบริเวณคางและรอบปาก นอกจากนี้ยังทำให้ผิวหมองคล้ำและผิวแห้ง เพราะการดูดซึมสารอาหารและน้ำจากลำไส้ทำงานได้ไม่ดี ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและไม่เปล่งปลั่ง
4. ปวดหัวบ่อยขึ้น
อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเป็นผลมาจากการสะสมของสารพิษในกระแสเลือด เมื่อลำไส้ไม่สามารถขับสารพิษออกได้ตามปกติ สารพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายและกระตุ้นระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง
5. กลิ่นตัวและกลิ่นปาก
เมื่อของเสียค้างอยู่ในระบบย่อยอาหารนานเกินไป กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นปาก (Halitosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียและการหมักหมมของของเสียในลำไส้ใหญ่ กลิ่นเหล่านี้จะย้อนขึ้นมาทางกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร นอกจากนี้ร่างกายยังพยายามขับสารพิษออกทางรูขุมขนร่วมกับเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวที่ผิดปกติ
ควรทำอย่างไรเมื่อมีอาการท้องผูก?
หากคุณมีอาการท้องผูกและร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเหล่านี้ ควรปรับพฤติกรรมเพื่อกระตุ้นการขับถ่ายทันที การแก้ไขที่ต้นเหตุจะช่วยให้ระบบขับถ่ายกลับมาทำงานได้ตามปกติ และลดการสะสมของเสียในร่างกาย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: น้ำช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
- เพิ่มใยอาหาร: เน้นการรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วต่างๆ เช่น เมล็ดเจีย ลูกพรุน หรือโยเกิร์ตที่มีไฟเบอร์สูง
- ออกกำลังกาย: การขยับร่างกายช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ การเดินหรือวิ่งเบาๆ ก็สามารถช่วยได้
- ฝึกนิสัยขับถ่ายให้เป็นเวลา: เข้าห้องน้ำในช่วงเวลาเดียวกันของทุกวัน (เช่น หลังตื่นนอนหรือหลังอาหารเช้า) เพื่อให้ร่างกายสร้างความคุ้นเคย
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: หากอาการท้องผูกไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน อาจพิจารณาใช้ยาระบายอ่อนๆ ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
สรุป: อย่ามองข้ามสัญญาณท้องผูก
อย่าปล่อยให้การขับถ่ายเป็นเรื่องที่ต้องรอ การขับถ่ายเป็นประจำทุกวันหรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นสัญญาณของสุขภาพลำไส้ที่ดี การรับรู้และแก้ไขปัญหาท้องผูกอย่างรวดเร็วจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าในระยะยาว เพราะของเสียที่สะสมในร่างกายเป็นบ่อเกิดของปัญหาสุขภาพมากมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จบปัญหาข้อมูลกระจัดกระจาย Connected University ก้าวใหม่ มฟล.ยุคดิจิทัล

- มฟล. ตั้งเป้าเป็น Connected University ภายในปี 2569 โดยบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงทุกระบบงานของมหาวิทยาลัยไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน
- พัฒนา Dashboard แสดงข้อมูลสำคัญของมหาวิทยาลัยแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
- ยกระดับการให้บริการนักศึกษาด้วยเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันติดตามรถไฟฟ้า และระบบควบคุมห้องเรียนอัจฉริยะ
หลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 27 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) กำลังเดินหน้าปรับเปลี่ยนสู่การเป็น Connected University อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในแผนพัฒนาฉบับที่ 5 ที่จะสิ้นสุดในปี 2569
ด้วยการบูรณาการเชื่อมโยงเทคโนโลยีดิจิทัลกับทุกระบบงาน ตั้งแต่การบริหารจัดการบุคลากร การเงิน ไปจนถึงการให้บริการนักศึกษา เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการบริหารองค์กร
การเติบโตของมหาวิทยาลัยในช่วง 27 ปีที่ผ่านมา ทำให้การบริหารจัดการมีความซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้เทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการขับเคลื่อนองค์กร
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่เผชิญอยู่ในปัจจุบันคือแต่ละหน่วยงานมีระบบเทคโนโลยีของตัวเองที่ไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ ทำให้การดึงข้อมูลและการประสานงานยังต้องดำเนินการด้วยตนเองหรือแบบแมนนวล
ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มองเห็นความจำเป็นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างจริงจัง เพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ไม่จำเป็นและอำนวยความสะดวกในการทำงาน
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดีจะทำให้การบริหารจัดการกระชับและรวดเร็วขึ้น รวมถึงสามารถมองเห็นจุดปัญหาและแก้ไขได้ทันท่วงที
หนึ่งในแนวคิดสำคัญคือการสร้าง Dashboard แสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ครอบคลุมข้อมูลทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น จำนวนนักศึกษา บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษา งบประมาณรายรับ-รายจ่ายประจำปี หรือผลงานตีพิมพ์ของอาจารย์
หากมีระบบที่สามารถดึงข้อมูลเหล่านี้มาแสดงได้ทันที จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลที่แม่นยำและทันสมัย
“การรวบรวมข้อมูลเข้าสู่ระบบเดียวต้องคัดกรองอย่างระมัดระวัง เพราะหากนำข้อมูลทั้งหมดจากทุกหน่วยงานเข้ามาโดยไม่มีการคัดเลือก อาจกลายเป็นข้อมูลขยะที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น หน่วยงานต่างๆ จะต้องกรองข้อมูล และผู้บริหารต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการข้อมูลใดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง”
ด้านการบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยกำลังพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ใช้ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหรือ KPI เป็นฐาน แทนการเขียนรายงานในกระดาษอย่างในอดีต ปัจจุบันได้พัฒนาระบบให้ “ทุกคน” สามารถกรอกข้อมูลในระบบเดียวกัน และหัวหน้างานสามารถเข้าไปตรวจสอบได้
มหาวิทยาลัยมีระบบต่างๆ เช่น ระบบบัญชีการเงิน ระบบทรัพยากรบุคคล (HR) และระบบงานทะเบียน (Registrar) แต่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถเชื่อมโยงกัน
เมื่อต้องการดึงข้อมูลจะต้องเข้าไปในแต่ละระบบแยกกัน แล้วนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยตนเองอีกครั้ง ซึ่งสิ้นเปลืองเวลาและอาจเกิดความผิดพลาดได้
ตัวอย่างเช่น หากต้องการทราบข้อมูลผลงานตีพิมพ์ของอาจารย์ ปัจจุบันยังต้องอาศัยหน่วยงานรวบรวมข้อมูลโดยขอข้อมูลจากอาจารย์แต่ละท่าน แล้วนำมากรอกลงในระบบ ซึ่งอาจมีความล่าช้า
หรือในกรณีที่มีนักศึกษาลาออก ข้อมูลก็ควรจะถูกอัปเดตในระบบทันทีที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจน
“มหาวิทยาลัยมีเป้าหมายให้ระบบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษา บุคลากร การเงินและงบประมาณอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกันและสามารถเชื่อมโยงกันได้”

เทคโนโลยีเพื่อบริการนักศึกษา
นอกจากการบริหารจัดการภายในแล้ว มหาวิทยาลัยยังมองเห็นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีเพื่อบริการนักศึกษา โดยเฉพาะการจัดการห้องเรียนและระบบขนส่งภายในพื้นที่มหาวิทยาลัย
สำหรับห้องเรียนก็ได้พัฒนาระบบควบคุมไฟและเครื่องปรับอากาศ ที่สามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันได้ว่า ห้องใดถูกจองไปใช้แล้ว มีระบบแสดงการใช้งาน WiFi ช่วยให้สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
นักศึกษาสามารถเปิดแอปพลิเคชันดูได้ว่ารถไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยอยู่ตำแหน่งไหนในขณะนี้ และป้ายไหนมีผู้รอคอยจำนวนมาก ข้อมูลนี้จะช่วยให้ฝ่ายจัดการสามารถปรับเส้นทางรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น หากมีผู้โดยสารรอกลางทางเป็นจำนวนมากแต่รถไม่มีผู้โดยสาร รถสามารถตีกลับไปรับผู้โดยสารได้ทันที โดยไม่ต้องวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
ระบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาการร้องเรียนเรื่องรถไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่นักศึกษาต้องเข้าเรียนเวลา 8 โมง และออกจากหอพักพร้อมกันในเวลาประมาณ 7 โมง 50 นาที
การก้าวสู่ Connected University ไม่ใช่เพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้เท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีทำงานของทุกคนในองค์กร
เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส และยกระดับคุณภาพการบริการทั้งด้านการบริหารจัดการและการให้บริการนักศึกษาไปพร้อมกัน.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
60 คำคมครอบครัว ภาษาอังกฤษ ความหมายดี แคปชั่นครอบครัวซึ้งๆ

คำคมครอบครัว แคปชั่นครอบครัว ภาษาอังกฤษ
- Family time is quality time.
ช่วงเวลาที่คุ้มค่าที่สุดคือช่วงเวลาที่ได้ใช้กับครอบครัว
- Family is not an important thing. It’s everything.
ครอบครัวไม่ใช่แค่สิ่งสำคัญ มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง
- In time of test, family is best.
ในช่วงเวลาของการทดสอบ ครอบครัวคือสิ่งที่ดีที่สุด
- A happy family is but an earlier heaven.
การมีครอบครัวที่มีความสุขก็เหมือนการได้อยู่บนสวรรค์ก่อนใครล่ะ
- Where there is family, there is love.
ที่ใดมีครอบครัว ที่นั่นมีความรัก
- Family is the heart of a home.
ครอบครัวคือหัวใจของบ้าน
- There’s no comfort like family.
ไม่มีความสะดวกสบายไหนดีเหมือนครอบครัวอีกแล้ว
- Happiness is seeing your family happy.
ความสุขคือการเห็นครอบครัวมีความสุข
- Home sweet home.
บ้านที่แสนอบอุ่น
- Love starts with family.
ความรักเริ่มจากครอบครัว
- A hug from family lasts a lifetime.
อ้อมกอดจากครอบครัวจะคงอยู่ชั่วชีวิต
- The love of family is like no other.
ความรักของครอบครัวไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
- There is no love greater than the love shared within a family.
ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักที่มีร่วมกันภายในครอบครัว
- No one knows you better than your family does.
ไม่มีใครรู้จักคุณดีไปกว่าครอบครัวของคุณ
- The river of love in families flows deep.
สายธารแห่งความรักในครอบครัวไหลลึก
- The love of family can never be shattered.
ความรักของครอบครัวไม่มีวันพังทลาย
- Happiness is made at home.
ความสุขเกิดขึ้นได้ที่บ้าน
- Love, chaos, and hugs make our family complete.
ความรัก ความวุ่นวาย และการกอดทำให้ครอบครัวของเราสมบูรณ์
- No other success can compensate for failure in the home.
ไม่มีความสำเร็จอื่นใดที่สามารถชดเชยความล้มเหลวในบ้านได้
- Family makes a house a home.
ครอบครัวทำให้บ้านเป็นบ้าน
- Your little family is the best team you’ll ever have.
ครอบครัวเล็กๆ ของคุณคือทีมที่ดีที่สุดที่คุณเคยมีมา
- A family doesn’t need to be perfect. It just needs to be united.
ครอบครัวไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้นก็พอ
- Family… where life begins and love never ends.
ครอบครัว…ที่ซึ่งชีวิตเริ่มต้นและความรักไม่มีวันสิ้นสุด
- Family. A little bit of crazy, a little bit of loud and a whole lot of love.
ครอบครัว ที่ที่มีความบ้านิดหน่อย เสียงดังนิดหน่อย และความรักมากมาย
- Life is better with family.
ชีวิตจะดีขึ้นเมื่ออยู่กับครอบครัว
- Family might know all your flaws, but they choose to love you anyway.
ครอบครัวอาจรู้ข้อบกพร่องทั้งหมดของคุณ แต่พวกเขาเลือกที่จะรักคุณอยู่ดี
- Love starts with family.
ความรักเริ่มจากครอบครัว
- Love your family as you love yourself.
รักครอบครัวให้เหมือนรักตัวเอง
- People come and go in your life. But family always stays.
ผู้คนเข้ามาในชีวิตของคุณแล้วก็ไป แต่ครอบครัวจะยังคงอยู่เสมอ
- No one knows you better than your family.
ไม่มีใครรู้จักคุณดีไปกว่าครอบครัวของคุณ
- Time spent with family is worth every second.
เวลาที่ได้ใช้กับครอบครัวมีค่าทุกวินาที
- Memories made together last a lifetime.
ความทรงจำที่ทำร่วมกันจะคงอยู่ไปชั่วชีวิต
- Together is a wonderful place to be.
การได้อยู่ด้วยกันเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
- When two families become one, choose a seat, not a side.
เมื่อสองครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวกัน จงเลือกที่นั่ง ไม่ใช่เลือกข้าง
- All you need is the love of your family.
สิ่งที่คุณต้องมีคือความรักของครอบครัว
- Blood doesn’t make a family — love does.
สายเลือดไม่ได้สร้างครอบครัว ความรักต่างหาก
- Family makes it all possible.
ครอบครัวทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้
- Blood is thicker than water.
เลือดข้นกว่าน้ำ
- The older you get, the more important family is.
ยิ่งคุณอายุมากขึ้น ครอบครัวก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น
- Family love knows no boundaries.
ความรักในครอบครัวไม่มีขอบเขต
แคปชั่นครอบครัว สั้นๆ สำหรับลงรูปครอบครัว
- Rooted and grounded in love.
หยั่งรากลึกในความรัก
- Home sweet home.
บ้านที่แสนอบอุ่น
- There’s no other place I’d rather be.
ไม่มีที่อื่นที่ฉันอยากจะอยู่ นอกจากที่นี่
- Home is people. Not a place.
บ้านคือคน ไม่ใช่สถานที่
- Home is where the heart is.
บ้านคือที่ที่หัวใจอยู่
- Keep the real ones close.
เก็บตัวจริงไว้ใกล้ๆ ครอบครัวไงจะใครล่ะ
- The best things in life aren’t things.
สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งของ แต่คือครอบครัวนี่ล่ะ
- Happiness is homemade.
ความสุขของฉันเป็นแบบโฮมเมด
- Time spent together creates memories.
เวลาที่ใช้ร่วมกัน ช่วยสร้างความทรงจำ
- A family is there for each other- Always!
ครอบครัวอยู่เคียงข้างกันเสมอ!
- Collect moments, not things.
จงสะสมประสบการณ์หรือความทรงจำกับคนที่คุณรัก ไม่ใช่สิ่งของ
- Connected with a bond of belonging.
เราเกี่ยวพันกันด้วยความผูกพัน
- Small moments. Big memories.
ช่วงเวลาเล็กๆ แต่เป็นความทรงจำที่ยิ่งใหญ่
- Family makes a house a home.
ครอบครัวทำให้บ้านเป็นบ้าน
- A hug from family lasts a lifetime.
อ้อมกอดจากครอบครัวคงอยู่ชั่วชีวิต
- The heart of our home.
หัวใจของบ้านเรา
- Happiness is homemade.
ความสุขคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองได้
- Time spent together creates memories.
เวลาที่ใช้ร่วมกันสร้างความทรงจำดีๆ มากมาย
- Family time is quality time.
เวลาของครอบครัวเป็นเวลาที่มีคุณภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net
ตะไคร้ 3 แบบ 3 กลิ่น: ทุบ–ฝาน–คั้น กลิ่นต่างกันอย่างไร เหมาะกับอะไร

ตะไคร้ 3 แบบ 3 กลิ่น: ทุบ-ฝาน-คั้น ต่างกันอย่างไร ใช้ทำอะไรดี
ตะไคร้ เป็นสมุนไพรไทยที่มากประโยชน์ ทั้งใช้ปรุงอาหารและเป็นยาสมุนไพร จุดเด่นอยู่ที่กลิ่นหอมสดชื่นจากน้ำมันหอมระเหย แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าวิธีการเตรียมตะไคร้แต่ละแบบทำให้ได้กลิ่นและสารสำคัญออกมาไม่เหมือนกัน การเรียนรู้วิธีเตรียมที่ถูกต้องจะช่วยดึงประสิทธิภาพของสมุนไพรชนิดนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่
ทำไมกลิ่นของตะไคร้ถึงต่างกันตามวิธีใช้
น้ำมันหอมระเหยในตะไคร้มีสารสำคัญหลักคือ ซิทราล (Citral) และ ไมร์ซีน (Myrcene) แต่การปลดปล่อยสารเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการเตรียมที่แตกต่างกัน เช่น การทุบ ฝาน หรือคั้น การกระทำเหล่านี้ส่งผลให้เซลล์พืชแตกตัวในระดับที่ไม่เท่ากัน ทำให้ความเข้มข้นและความเร็วในการกระจายกลิ่นเปลี่ยนไป
ตะไคร้ 3 วิธี ดึงกลิ่นหอม 3 ระดับ
วิธีการเตรียมตะไคร้แต่ละแบบถูกนำไปใช้ในเมนูที่ต่างกัน เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมตามที่ต้องการ ทั้งในอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์สปา ลองพิจารณาว่าวิธีการไหนเหมาะกับจุดประสงค์ของคุณมากที่สุด
1. ตะไคร้ทุบ: เน้นกลิ่นแรง หอมฉุนทันที
การทุบเป็นการทำให้เซลล์พืชแตกในวงกว้าง ทำให้น้ำมันหอมระเหยถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วและมีความเข้มข้นสูง วิธีนี้จึงเหมาะกับการใส่ในต้มยำ แกง หรือเมนูที่ต้องการกลิ่นสมุนไพรที่หอมฉุนและชัดเจนทันทีที่ปรุงเสร็จเพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร
2. ตะไคร้ฝาน: เน้นกลิ่นอ่อนละมุน ซึมซาบช้า
การฝานบาง ๆ จะช่วยให้ได้กลิ่นอ่อนละมุนและน้ำมันหอมระเหยจะซึมเข้าสู่น้ำแกงหรือเครื่องดื่มอย่างช้า ๆ กลิ่นจะไม่ฉุนจนเกินไป วิธีนี้จึงเป็นที่นิยมใช้ในน้ำสมุนไพร น้ำตะไคร้ หรือเมนูที่ต้องการกลิ่นหอมแบบเบา ๆ เพื่อสร้างความสดชื่นอย่างต่อเนื่อง
3. ตะไคร้คั้น: เน้นกลิ่นเข้มข้นสูงสุด
การคั้นด้วยครกหรือปั่นแล้วกรองเอาน้ำ จะเป็นการดึงน้ำมันหอมระเหยออกมาได้เข้มข้นที่สุด ทำให้ได้กลิ่นหอมสดชื่นที่ชัดเจนและคงทน วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับใช้ทำเครื่องดื่มสมุนไพรเข้มข้น หรือใช้เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์สปาและน้ำอบไทยที่ต้องการกลิ่นหอมลึก ๆ
ประโยชน์สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยในตะไคร้
นอกจากกลิ่นที่โดดเด่นแล้ว น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ยังมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อาทิเช่น การช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้รู้สึกสงบ และยังสามารถลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องครัวหรือบ้านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ช่วยต้านจุลชีพ และเป็นสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย
ไม่ว่าจะทุบ ฝาน หรือคั้น ตะไคร้ต่างก็ให้กลิ่นและน้ำมันหอมระเหยที่แตกต่างกันไป การเลือกวิธีเตรียมที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณใช้งานสมุนไพรไทยชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในการทำอาหาร ทำเครื่องดื่ม หรือใช้เพื่อสุขภาพและความผ่อนคลาย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 61,550.00 | 61,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,979.00 | 60,321.64 | 62,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,581.10 | 54,289.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,183.20 | 48,257.31 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,790.55 | 27,144.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,392.65 | 21,112.57 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,123.32 | 62,509.53 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.15 | 32.15 | 32.65 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.78 | 31.78 | 32.28 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.89 | 27.89 | – | – | – | – | – | – | 27.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.34 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.34 |
เบนซิน 95 | 40.44 | – | – | 49.81 | – | 40.94 | 40.59 | – | 40.44 |
ดีเซล | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |