ราคาก่อสร้างบ้านขยับต่อค่าออกแบบ กระเบื้อง แรงงานพุ่ง

ดัชนีราคาก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 3 ปี 2566 ขยับขึ้น1.5 % ปัจจัยที่สำคัญมาจากค่าตอบแทนในหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ เพิ่มขึ้น3.6 %ขณะที่กระเบื้อง ราคาพุ่ง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งค่าแรงและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 3 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 134.2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นนั้นมาจากค่าตอบแทนในหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในหมวดงานสถาปัตยกรรมร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่หมวดงานวิศวกรรมโครงสร้าง ลดลงร้อยละ -2.6 และ หมวดงานระบบสุขาภิบาล ลดลงร้อยละ -1.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า หมวดราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลงมี 4 รายการ ได้แก่ เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก สุขภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์คอนกรีตและอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่ลดลงมากที่สุดถึงประมาณร้อยละ -9.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี (YoY)
โดยเป็นผลมาจากราคาตลาดโลกที่เริ่มมีการปรับตัวลดลงตามอุปสงค์และอุปทานของเหล็ก เนื่องจากมีปริมาณเหล็กส่วนเกินจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ส่งผลให้อุปสงค์ของเหล็กภายในประเทศจีนลดลง ทำให้มีอุปทานเหล็กส่วนเกินจากจีนบางส่วนมีการระบายสต๊อกมาที่ประเทศไทยมากขึ้น และราคาน้ำมันดีเซลต่ำลง
ซึ่งมีผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาวัสดุก่อสร้างหมวดต่าง ๆ จึงส่งผลให้ราคาเหล็กในประเทศไทยลดลง ขณะที่ดัชนีราคาหมวดกระเบื้อง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้าวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งจาก ราคาวัตถุดิบและค่าดำเนินการที่สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนหมวดแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ดูแผนภูมิที่ 1 – 2)
เมื่อพิจารณาจำแนกต้นทุนของงานก่อสร้างในแต่ละหมวด พบว่า
1. หมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานวิศวกรรมโครงสร้าง มีอัตราค่าตอบแทนลดลงร้อยละ -2.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -0.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 27.6 ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานสถาปัตยกรรม มีอัตราค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 66.1 ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานระบบสุขาภิบาล มีอัตราค่าตอบแทนลดลงร้อยละ -1.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 2.7 ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ
งานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสาร อัตราค่าตอบแทนลดลงร้อยละ -0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 3.6 ของหมวดงานออกแบบก่อสร้างและงานระบบ (ดูตารางที่ 1)
2. หมวดวัสดุก่อสร้าง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.3 ของค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 27.9 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ราคาลดลงร้อยละ -1.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อย
-0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 7.1 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาลดลงร้อยละ -9.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -3.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 8.9 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
กระเบื้อง ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 5.8 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
สุขภัณฑ์ ราคาลดลงร้อยละ -8.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -8.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 3.0 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ราคาลดลงร้อยละ -1.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 6.1 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง
วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลงร้อยละ
-0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน ร้อยละ 41.2 ของหมวดวัสดุก่อสร้าง (ดูตารางที่ 2)
3. หมวดแรงงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.7 ของค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน
โดยค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แอล.พี.เอ็น.เผยแผนปี67ผุดแนวราบ13โครงการมูลค่าหมื่นล้าน

แอล.พี.เอ็น.แย้มแผนปี67ผุดแนวราบ13โครงการมูลค่าหมื่นล้านส่วนคอนโดรอลุ้นEIAผ่านก่อนเปิดขาย เล็งสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ลูกค้าเยี่ยมชมบ้านและห้องตัวอย่าง ผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง ร่นระยะเวลาเปิดตัวโครงการเหลือ 6 เดือนล่าสุดผุดคอร์ปอเรทแคมเปญเจาะGen Z
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทได้เตรียมจะเปิดตัวโครงการแนวราบจำนวน 13 โครงการมูลค่า10,000 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโดจะรอให้ผ่านการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ก่อนถึงจะเปิดขาย
นอกจากนี้บริษัทได้เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ลูกค้าเยี่ยมชมบ้าน ห้องตัวอย่าง รวมทั้งมาสเตอร์แพลนโครงการผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง VR และ AR ร่นระยะเวลาเปิดตัวโครงการและก่อสร้างเร็วขึ้นจาก12 เดือนเหลือ 6 เดือนคาดว่าจะช่วยร่นระยะเวลาในการเปิดตัวโครงการและก่อสร้างบ้านให้เหลือ 6 เดือน
ขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองการทำการตลาดแบบใหม่เพื่อลดระยะเวลาในการเปิดตัวโครงการให้สั้นลง ด้วยการนำระบบ AR หรือ Augmented Reality ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผสมผสานโลกเสมือนและระบบ VR หรือ Virtual reality ที่มีการจำลองภาพให้เสมือนจริงแบบ 360 องศามาใช้ในการออกแบบบ้านตัวอย่าง เพื่อลดขั้นตอนการก่อสร้างบ้านตัวอย่างจริงให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชม โดยจะเริ่มใช้กับโครงการวิลล่า 168 บนพื้นที่20 ไร่ ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวขนาด 50-60 ตารางวาจำนวน 100 ยูนิตระดับราคา 12-15 ล้านบาท
โดยในไตรมาส4ปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการมูลค่า2,000 ล้านบาทเป็นบ้านเดี่ยว 2 โครงการในระดับราคา 5-7 ล้านบาทและราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนอีกโครงการเป็นคอนโด นอกจากนี้ในระหว่างวันที่ 26 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนนี้ บริษัทจะจัดงานขายครั้งใหญ่แห่งปี ‘LPN Moredinary Home Expo’ ด้วยการนำโครงการบ้าน ทาวน์โฮม และคอนโดพร้อมอยู่มาจัดโปรโมชั่น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสต็อกสินค้าพร้อมอยู่ที่มีอายุเกิน 3 ปีจำนวน 14โครงการมูลค่า 2,500 ล้านบาท โครงการพร้อมอยู่อายุไม่เกิน 3ปีจำนวน 5 โครงการมูลค่า 5,000 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง10,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทได้สร้างการรับรู้และสร้างประสบการณ์ใหม่ของแบรนด์แอล.พี.เอ็น.(LPN)เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการส่งมอบความ ‘น่าอยู่’ ให้กับลูกค้าทุกคน ล่าสุดได้จัดการสื่อสาร Corporate Campaign ใหม่ภายใต้ชื่อ #สารภาพว่าติดบ้าน เพื่อถ่ายทอดความสุขภายใต้การอยู่อาศัยของ LPN ที่มีคุณภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ 3 เรื่องที่ได้เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 11 ต.ค.นี้ เพื่อสื่อถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในโครงการที่อยู่อาศัยของ LPN ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโด
“จากการทำรีเสิร์ชกลุ่มลูกค้าที่มีต่อแบรนด์สินค้าลุมพินีพบว่า ส่วนใหญ่รู้จักแบรนด์คอนโดลุมพินีดี แต่จะมองว่าแบรนด์ลุมพินีมีอายุ ไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ Gen Y ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยไม่กล้าบอกกับเพื่อนหรือคนรู้จักว่าพักอาศัยอยู่คอนโดลุมพินี เพราะรู้สึกว่าแบรนด์ไม่ทันสมัย แม้จะชื่นชอบกับการบริการและสภาพแวดล้อมภายในโครงการจึงเป็นที่มาของการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ โดยใช้งบ20ล้านบาทในการสื่อสาร Corporate Campaign ใหม่ภายใต้ชื่อ #สารภาพว่าติดบ้าน ทั้งการทำการตลาดและโฆษณา ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น โดยเฉพะกลุ่มลูกค้า Gen Y”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 11ต.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.54 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “เงินเยน”หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายเงินเยน แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงจนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 11ต.ค. 2566 ที่ระดับ 36.54 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.75 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นกลับมาได้เร็วกว่าที่เราคาดไว้ หลังเงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าผ่านโซนแนวรับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 36.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงนี้ ก็หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายเงินเยนญี่ปุ่นออกมาบ้าง (JPYTHB เกือบแตะระดับ 24.80 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม)
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้
นอกจากนี้ ภาวะสงครามที่เกิดขึ้น หากทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามขยายวงกว้าง ก็อาจส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ หรือ อย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จากความกังวลแนวโน้มการขาดดุลการค้า ซึ่งจะกดดันแนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย
ขณะเดียวกัน ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจยังมีความผันผวนอยู่ (ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติยังมีลักษณะการซื้อสุทธิ สลับกับการขายสุทธิ) ส่วนบรรดาผู้นำเข้า ก็อาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์บ้าง หลังเงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
ทั้งนี้ เรายังคงประเมินโซนแนวต้านของเงินบาทไว้แถว 37.25 บาทต่อดอลลาร์ และคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากกว่า 37.50 บาทต่อดอลลาร์ (ตามที่เราได้ประเมินไว้ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน) ขณะที่ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ จนหลุดโซนแนวรับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ชัดเจน ก็อาจเห็นการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 36.25-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
โดยมีความเป็นไปได้ว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนหลุดโซน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมาเป็นฝั่ง Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) หากให้จุด stop loss ที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ จุดเริ่มขายทำกำไร แถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย
อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.35-36.65 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.55-36.76 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนได้ให้ความเห็นว่า เฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยลดลง
นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้หนุนให้ราคาทอง (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) คำสามารถรีบาวด์ขึ้นมาทรงตัวแถวระดับ 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยแม้ว่าจะยังมีประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินบ้าง ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ได้แรงหนุนจากท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนซึ่งให้ความเห็นว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง และช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นต่อได้ (Tesla +1.5%, Nvidia +1.2%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.52%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาพุ่งขึ้นกว่า +1.96% หนุนโดยท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) บางส่วนที่ส่งสัญญาณพร้อมสนับสนุนการหยุดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งมุมมองดังกล่าว ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างย่อตัวลงและช่วยให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวได้ดี (LVMH +3.2%, ASML +3.1%)
ในฝั่งตลาดบอนด์ ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ยังระมัดระวังต่อสถานการณ์สงครามและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่มองว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวใกล้ระดับ 4.65% โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ชัดเจน
ซึ่งเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อ อย่างไรก็ตาม เราคงแนะนำ Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 105.7 จุด (กรอบ 105.6-106.1 จุด) โดยผู้เล่นบางส่วนอาจลดการถือครองเงินดอลลาร์ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากทั้ง ทองคำ และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มี upside potential น่าสนใจกว่า นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่ระบุว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ได้ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้และแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรได้ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามจะขยายวงกว้างจนกระทบทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่
นอกจากนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ได้ และที่สำคัญ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า
เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 36.50 ก่อนที่จะมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.48-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางส่วนใหญ่ของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่อง หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดบางท่านออกมาให้ความเห็นว่า เฟดได้ใช้นโยบายการเงินที่คุมเข้มมาเพียงพอแล้ว และเฟดอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย 2% นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกก็เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนค่าเงินบาทในระยะนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ เบื้องต้นคาดไว้ที่ 36.40-36.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค ราคาน้ำมันในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ตัวยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือนก.ย.ของจีน ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สุดจริง! “พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ” จารึกชื่อเป็นสถิติใหม่ของโลก

“เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการเทควันโดโลก เมื่อกลายเป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าแชมป์ในระดับ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ได้มากที่สุดในโลก รวมทั้งหมด 11 รายการ
โดยในรอบชิงชนะเลิศ เทควันโด เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รายการ ไท่หยวน 2023 เมื่อวานที่ผ่านมา พาณิภัค ในวัย 26 ปี ยังรักษาฟอร์มการเล่นได้สมกับเป็นมือ 1 โลก จัดการย้ำแค้นด้วยการเอาชนะ “กั๊วะ จิง” สาวจากแดนมังกรเจ้าภาพรายการนี้ ไปได้ 2-0 ยก (3-0, 8-3) คว้าแชมป์ไปครอง
นอกจากนี้ยังทำให้เทนนิส เป็นแชมป์ในรายการระดับ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” เป็นสมัยที่ 11 มากที่สุดในโลก แถมแชมป์รายการนี้ยังเป็นแชมป์รายการที่ 50 ตลอดการเล่นเทควันโดของ พาณิภัค พอดิบพอดีอีกด้วย
ผลงานการคว้าแชมป์รายการในระดับ เวิล์ด กรังด์ ปรีซ์ จำนวน 11 ครั้ง ของ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ
แชมป์ ปี 2017 ที่ Moscow
แชมป์ ปี 2017 ที่ London
แชมป์ ปี 2017 ที่ Abidjan
แชมป์ ปี 2018 ที่ Taoyuan
แชมป์ ปี 2018 ที่ Manchester
แชมป์ ปี 2019 ที่ Chiba
แชมป์ ปี 2022 ที่ Paris
แชมป์ ปี 2022 ที่ Manchester
แชมป์ ปี 2022 ที่ Riyadh
แชมป์ ปี 2023 ที่ Rome
แชมป์ ปี 2023 ที่ Taiyuan
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 สาเหตุที่ทำให้เกิด “ผมขาว” ก่อนวัยอันควร

ใครที่มีผมขาวเยอะ มักโดนล้อว่า “แก่” บางคนมีผมขาวมากกว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันตั้งแต่เด็กๆ บางคนถึงขั้นขนบนแขน ขนจมูกยังเป็นสีขาวทั้งๆ ที่อายุไม่ถึง 30 แสดงว่าผมขาวไม่ได้มาจากอายุที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุอื่นที่เราอาจจะยังไม่เคยทราบ
สาเหตุที่ทำให้เกิด “ผมขาว” ก่อนวัยอันควร
- กรรมพันธุ์
ใครที่มีผมขาวตั้งแต่เด็กๆ ลองสังเกต หรือถามพ่อแม่ดูว่ามีใครมีผมขาวมากกว่าคนอื่นตั้งแต่เด็กๆ ดูบ้าง เพราะเรื่องของผมขาวสามารถถ่ายทอดตามพันธุกรรมได้ ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองมีผมขาวเร็วหรือช้ากว่าคนปกติเท่าไร ลองเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยปกติของคนทั่วไป ที่ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด จะพบว่า 50% ของผมตัวเองเปลี่ยนเป็นสีขาวไปเรียบร้อย ถ้าคุณพบว่าตัวเองมีผมขาวในปริมาณมากเกือบ 50% ทั้งที่อายุยังไม่ใกล้เคียง 50 ปี ก็แสดงว่าคุณมีผมขาวมากกว่าคนปกตินั่นเอง - ขาดโปรตีน และวิตามินบี 12
หากจะให้เมลานินที่ช่วยบำรุงให้ผมดกดำเงางาม จำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับโปรตีน และวิตามินบี 12 มากเพียงพอในแต่ละวัน โปรตีนและวิตามินบี 12 สามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ เช่น สัตว์ปีก และสัตว์ทะเล เช่น หอย ปลา รวมถึงตับ และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม โยเกิร์ต เนยแข็ง
ดังนั้นหากใครที่ทานมังสวิรัติ หรือกินเจ อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับโปรตีน และวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ และมีผมขาวเร็วกว่าคนอื่น ดังนั้นอย่าลืมเลือกทานเนยแข็ง ถั่วเน่า หรือสาหร่ายสไปรูลิน่า รวมถึงวิตามินเสริม เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับวิตามินบี 12 เพียงพอ - บุหรี่
หากคุณสูบบุหรี่ บุหรี่ไม่ได้ทำลายแค่เพียงปอดของคุณ แต่ยังทำลายอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย รวมไปถึงกระบวนการผลิตเม็ดสีในเส้นผมด้วย ใครที่สูบบุหรี่ตั้งแต่วัยรุ่น มีความเสี่ยงที่จะมีผมขาวมากกว่าคนที่ไม่ได้สูบตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปี เรียกง่ายๆ ว่าสูบบุหรี่แล้วดูแก่เร็วทั้งจากผิวหนัง หน้าตา สมรรถภาพทางร่างกาย และเส้นผมกันเลยทีเดียว
- ความเครียด
มีใครเคยได้ยินตำนานพระมารี อ็องตัวแน็ต พระราชินีมเหสีแห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ไหมคะ ที่คืนก่อนที่จะถูกประหารด้วยเครื่องกิโยตินระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส เส้นผมของนางเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งศีรษะในชั่วข้ามคืน เป็นเพราะพระนางเครียดและขวัญผวาที่กำลังจะถูกประหารนั่นเอง เรื่องจริงจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเราอาจไม่ทราบได้ แต่มีรายงานวิจัยในปี 2013 ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ระบุว่า ความเครียดลดประสิทธิภาพในการทำงานของสเต็มเซลล์ที่รากผม จึงส่งผลให้เส้นผมไม่แข็งแรง การผลิตสีผมไม่ปกติจนทำให้ผมเป็นสีขาว หรืออาจส่งผลให้ผมร่วงได้ง่ายนั่นเอง
วิธีป้องกันผมขาว ไม่ให้มาทักทายเราก่อนวัยอันควร
นอกจากลดความเครียด งดสูบบุหรี่ และทานโปรตีน วิตามินบี 12 ให้เพียงพอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงเส้นผมแข็งแรง มีสุขภาพดีได้เช่นกัน นอกจากนี้การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผม และหนังศีรษะ ก็เป็นตัวช่วยที่ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ใครที่คิดจะทำสีผมทับผมขาว ขอให้เลือกให้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ เพราะหากเกิดอาการแพ้เป็นผดผื่น หนังศีรษะแห้ง แสบร้อน อาจส่งผลเสียให้กับเส้นผม และหนังศีรษะมากกว่าที่คิด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สำนวนภาษาอังกฤษวันนี้

สวัสดีครับ เพื่อน ๆ เคยเป็นไหมครับบางครั้งเราก็ งง ๆ สับสนกับภาษาอังกฤษว่าทำไมแปลแล้วความหมายแปลก ๆ หรือ เพราะว่าเราแปลผิด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสำนวนภาษาอังกฤษก็ได้นะครับ วันนี้เรามาเรียนรู้สำนวนภาษาอังกฤษกันดีกว่าครับ
1) Go dutch หมายถึง แบ่งกันจ่ายคนละครึ่ง
แต่ในบางครั้งความหมายอาจ จะออกไปในแนวแอบเสียดสี ในเชิงตระหนี่ถี่เหนียวด้วยได้เหมือนกัน
For example:
He didn’t pay for me, so we ended up going dutch on the first date.
= เขาไม่ได้จ่ายเงินให้ฉัน พวกเราจึงลงท้ายด้วยการจ่ายกันคนละครึ่งในเดทครั้งแรก
2) Get lost หมายถึง หลงทาง
แต่ถ้าเป็นคำสั่งจะเป็นในเชิงการไล่ แปลว่า ไปให้พ้น ไปให้ห่างๆ ไสหัวไป
For example:
Take a map with you in case you get lost.
= เอาแผนที่ไปด้วยนะครับ ในกรณีเผื่อคุณหลงทาง
3) Keep a promise หมายถึง การรักษาสัญญา ทำตามสัญญา
For example:
I must keep a promise I made.
= ผมต้องรักษาสัญญาที่ผมสร้าง
4) Break a leg แปลตรงตัวอาจจะแปลว่า ขาหัก นะครับ แต่จริงๆแล้ว ความหมายของสำนวนนี้ หมายถึง ขอให้โชคดี ครับ
For example:
A: I have an exam tomorrow.
ฉันมีสอบพรุ่งนี้
B: Break a leg! I hope it goes well!
ขอให้โชคดีนะ ฉันหวังว่ามันจะเป็นไปด้วยดีนะ
5) After all หมายถึง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
For example:
But after all, they are our children.
= แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกเรานะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
รู้หรือไม่? จริงๆ แล้วควรชาร์จมือถือใกล้ตัวแค่ไหน!

อีกหนึ่งเรื่องที่มักจะทำเป็นประจำคือ การชาร์จไฟมือถือ ที่ทุกๆ วันและคนที่เป็นเจ้าของมือถือ มักจะต้องใช้งานประจำ ซึ่งจริงๆ แล้ว มันควรจะวางห่างจากร่างกายเราแค่ไหน วันนี้ Sanook Hitech เรามีคำตอบ
ในความจริงแล้วควรชาร์จมือถือห่างจากตัวอย่างน้อย 1 ฟุต เพื่อป้องกันอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่โทรศัพท์มือถือปล่อยออกมาขณะชาร์จ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้มีพลังงานต่ำ แต่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
นอกจากนี้ การชาร์จมือถือใกล้ตัวมากเกินไปอาจทำให้โทรศัพท์มือถือร้อนขึ้น ซึ่งอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานสั้นลงได้ ส่วนการเปิด Flight Mode นั้นอาจจะไม่ได้จำเป็น
ซึ่งคำแนะนำเกี่ยวกับการชาร์จไฟให้ปลอดภัยมีดังนี้
- ชาร์จมือถือห่างจากตัวอย่างน้อย 1 ฟุต
- หลีกเลี่ยงการชาร์จมือถือขณะนอนหลับ เพราะอาจจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้
- เลือกใช้สายชาร์จและอะแดปเตอร์ชาร์จที่มีคุณภาพดี
- อัปเดตซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถือให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
ปัจจุบันยังไม่มีผลการวิจัยที่ชัดเจนว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ควรจะมีการวางชาร์จไฟให้เหมาะสม และอย่าลืมดูปลัีกไฟของคุณว่าชำรุดเสียหายด้วยหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเกิดไฟไหม้ได้เช่นเดียวกันครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไมถึงไม่ควร “กินยากับนม”?

เรามักได้ยินอยู่เสมอว่าไม่ควรกินยาพร้อมกับนม แต่หลายคนยังไม่ทราบว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร และถ้ากินคู่กันแล้วจะมีอันตรายหรือไม่ Tonkit360 จึงรวบรวมข้อมูลที่จะช่วยไขข้อสงสัยนี้มาฝากกัน
แคลเซียมในนมทำปฏิกิริยากับยา
เนื่องจากในนมมีปริมาณแคลเซียมสูง เมื่อดื่มนมควบคู่กับยา จึงทำให้แคลเซียมทำปฏิกิริยากับยาที่รับประทานเข้าไป โดยมักจะส่งผลให้ยาหมดฤทธิ์ และทำให้ประสิทธิผลของยาหมดไป รวมถึงส่งผลต่อการดูดซึมของยาด้วย แพทย์จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินยากับเครื่องดื่มจำพวกนมนั่นเอง
นมอะไรบ้างที่ห้ามกินกับยา
นมทุกประเภทล้วนทำให้เกิดปฏิกิริยากับยาได้ ทั้งนมแม่ นมจากสัตว์ (นมวัว นมแพะ นมแกะ) นมจากพืช (นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมข้าวโพด) รวมถึงนมพาสเจอร์ไรซ์ (นมสดผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 63-65 องศาเซลเซียส) นมสเตอริไลซ์ (นมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 118 องศาเซลเซียส) และนมยูเอชที (นมสดผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 135-150 องศาเซลเซียส) ด้วย
กินยากับน้ำเปล่าได้ผลที่สุด!
เหตุผลที่ควรกินยาพร้อมกับน้ำเปล่า เป็นเพราะทำให้ตัวยาแตกตัว ละลายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด เนื่องจากน้ำเปล่าไม่มีปริมาณของแร่ธาตุหรือสารอาหารใดสูงจนเกิดปฏิกิริยากับยาและลดประสิทธิผลของยาได้
แต่ถ้าเป็นเด็กหรือผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยา จนไม่สามารถกลืนยาพร้อมกับการดื่มน้ำได้ อาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีด้วยการผสมยาเพื่อช่วยให้กลืนยาได้ง่ายขึ้น ซึ่งแพทย์แนะนำให้ผสมกับน้ำเปล่าเช่นกัน ซึ่งหลังจากผสมยากับน้ำแล้ว ให้ดื่มจนหมดเพื่อให้ยาในปริมาณที่ครบถ้วน และอย่าทิ้งไว้เกิน 2 ชั่วโมง
เว้น 2 ชั่วโมง ถ้าบริโภคผลิตภัณฑ์นม
หากจะดื่มนมหรือบริโภคผลิตภัณฑ์นม อาทิ เนย, ชีส, โยเกิร์ต จะต้องเว้นระยะเวลา 2 ชั่วโมงทั้งก่อนและหลังรับประทานยา เพื่อป้องกันไม่ให้ยาและแคลเซียมทำปฏิกิริยากันในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก ซึ่งหลังจาก 2 ชั่วโมงไปแล้ว ถือเป็นเวลามากพอที่จะไม่ทำให้ยาเคลื่อนที่ไปพบกันในระบบทางเดินอาหาร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,100.00 | 32,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,079.00 | 31,517.64 | 32,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,871.10 | 28,365.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,663.20 | 25,214.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 936.00 | 14,189.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 728.00 | 11,036.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,154.00 | 32,654.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.15 | 38.15 | 38.65 | 38.15 | 38.45 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.88 | 37.88 | 38.38 | 37.88 | 38.18 | 37.88 | 37.88 | 37.88 | 37.88 | 37.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.84 | 35.84 | 36.34 | 35.84 | 36.14 | – | 35.84 | 35.84 | 35.84 | 35.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.99 | 35.99 | – | – | – | – | – | – | – | 35.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 48.84 | 49.54 | 48.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 45.94 | – | – | – | 47.41 | – | 46.44 | 46.09 | – | 45.94 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.34 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.34 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.34 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.84 | 42.94 | 48.44 | 42.94 | 42.24 | – | – | – | – | 40.84 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |