PR9 โชว์กำไรไตรมาส 3/67 โตแรง 48.5% ผู้ป่วยต่างชาติ-อาหรับเพิ่ม มั่นใจโต ‘ดับเบิลดิจิต’ ตามเป้า
PR9 อวดกำไร 3Q/67 โตแรง 48.5% เดินกลยุทธ์เกมรุกถูกทาง ผู้ป่วยต่างชาติ-อาหรับเพิ่มต่อเนื่อง มั่นใจโต “ดับเบิลดิจิต” ตามเป้า
PR9 รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 3 ปี 2567 กวาดกำไรสุทธิ 208 ล้านบาท โตพุ่ง 48.5% รายได้รวมโต 14.6% แตะ 1,235.9 ล้านบาท ทำนิวไฮรับอานิสงส์ไฮซีซันธุรกิจโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ทำหัตถการมากขึ้น ผู้ป่วยผ่าตัดส่องกล้อง-กระดูกและข้อเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มประกันและชาวต่างชาติโตเด่น เห็นสัญญาณบวกผู้ป่วยอาหรับ แนวโน้มไตรมาส 4 สดใสต่อ เดินเกมรุกเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ หาพาร์ทเนอร์ขยายการให้บริการผู้ป่วยในประเทศและต่างประเทศ เดินกลยุทธ์การตลาดประชาสัมพันธ์ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจและการผ่าตัดให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เปิดศูนย์แพทย์แผนจีนรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ต่อยอดความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ มั่นใจปี 67 โต 10-12% ตามเป้า ชี้บริษัทยังมีรูมในการขยายฐานผู้ป่วย ผ่านการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย หนุนการเติบโตระยะยาว
นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) (PR9) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิหลัก 208.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.0 ล้านบาท หรือเติบโต 48.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 140.0 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,235.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.7 ล้านบาท หรือเติบโต 14.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำรายได้รวมไว้ 1,078.2 ล้านบาท
โดยในไตรมาส 3/67 นับเป็นช่วงที่ก้าวเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตโดดเด่นทั้งในกลุ่มผู้ป่วยผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) มีปัจจัยสนัยสนุนจากผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ การรักษาผ่าตัดส่องกล้อง และการรักษาในศูนย์กระดูกและข้อ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการเติบโตของกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มชำระค่าบริการด้วยตนเอง (Self-pay) ผู้ป่วยกลุ่มประกัน และ ผู้ป่วยต่างชาติ ทั้งนี้ จากการจัดทีมการตลาดเชิงรุกเพื่อดูแลผู้ป่วยต่างชาติ ส่งผลให้บริษัทสามารถเจาะตลาดผู้ป่วยชาวอาหรับได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเข้ามารักษาโรคยากซับซ้อน อาทิ โรคไต , โรคเบาหวานและแผลเบาหวาน ในขณะเดียวกัน ก็มีการเติบโตผู้ป่วยชาวพม่าที่เข้ามาใช้บริการผ่าตัดเปลี่ยนไตเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทสามารถบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ทำอัตรากำไรสุทธิได้สูงถึง 17% จากเดิมที่ทำไว้ที่ 13% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ปัจจุบันโรงพยาบาลพระรามเก้าเริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติในวงที่กว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนผู้ป่วยชาวต่างชาติอยู่ที่ระดับ 18% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 14 ชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์ที่ทางบริษัทกำลังมุ่งดำเนินอยู่กำลังมาถูกทาง ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ผ่านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศ รวมถึงการจัดตั้งทีมการตลาดเชิงรุกที่มีความแข็งแกร่งในการเจาะตลาดผู้ป่วยต่างชาติทั้งในกลุ่มประเทศอาเซียน จีน และอาหรับ ภายใต้หัวใจของการดำเนินธุรกิจในการให้บริการระดับมาตรฐานสากล ในราคาที่จับต้องได้ (Value for Money) เรามั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติไปอยู่ที่ระดับ 20% ได้ในอนาคต พร้อมเติบโตตามเทรนด์ของประเทศในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์”
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าปี 67 นี้ จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10-12% ที่วางไว้ โดยในไตรมาส 4/67 บริษัทยังคงได้รับอานิสงส์บวกตามปัจจัยทางฤดูกาลของธุรกิจโรงพยาบาล ที่มีจำนวนผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการรักษา และตรวจสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยจะมุ่งดำเนินกลยุทธ์การทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อเจาะตลาดผู้ป่วยชาวอาหรับ การประชาสัมพันธ์ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ ศูนย์กระดูกและข้อ และความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง รวมถึงการขยายฐานตลาดกลุ่มผู้ป่วยชาวจีนผ่านการเปิดศูนย์แพทย์แผนจีน
นายแพทย์เสถียรกล่าวต่อว่า บริษัทยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดเพิ่มการให้บริการทางการแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น หลังมีการเปิดให้บริการอาคารใหม่ (อาคาร B) และการรีโนเวทอาคารเดิม (อาคาร A) รวมถึงการนำนวัตกรรมทางการแพทย์มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย หรือการพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อให้บริการผู้ป่วยพื้นที่กว้างขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
STA อวดกำไรไตรมาส 3/67 โต 517 ล้านบาท พุ่งแรง 226%
STA โตแรง Q3 ทำกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท พุ่งกว่า 226% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนรับปริมาณขายยางรวมทะลุ 3.8 แสนตัน เพิ่มขึ้นกว่า 53% พร้อมราคาขายยางและยอดขายยาง EUDR เพิ่มสูงขึ้น
บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA โชว์ผลงานโดดเด่นในไตรมาส 3/2567 ทำกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท พุ่งแรง 226.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและบริการ 31,618.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับปริมาณขายยางธรรมชาติรวมทะลุ 3.8 แสนตัน เพิ่มขึ้นถึง 53.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคาขายยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 ไตรมาส ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ 81,116.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 816.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% และพลิกกลับมาทำกำไรจากช่วงเดียวกันของปีก่อน มองไตรมาสสุดท้ายโตต่อเนื่อง คาดการณ์ปริมาณการขายเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงประเมินราคาขายยางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หลังขยับขึ้นในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากปริมาณการขายยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาขายยางเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 31,618.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 226.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากปริมาณการขายยางธรรมชาติรวมทุกประเภทที่เพิ่มขึ้นเป็น 380,565 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 53.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 15.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4 ไตรมาสติดต่อกัน ประกอบกับราคายางเฉลี่ยอยู่ที่ 186.2 เซนต์ต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 ไตรมาส รวมถึงปริมาณซัพพลายยางเข้าสู่ตลาดอยู่ในระดับที่ดีจากการเปิดฤดูกาลกรีดยางได้ตามปกติ นอกจากนี้ กำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 10.4% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 8.8% ในปีก่อน เนื่องจากการผสมผสานยอดขายยาง EUDR เข้ากับยางธรรมชาติทั่วไปที่หนุนกำไรเติบโตโดดเด่น อย่างไรก็ดี ธุรกิจถุงมือยางชะลอตัวลงในไตรมาส 3/2567 จากผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งอย่างรวดเร็ว แต่มีสัญญาณที่ดีจากปริมาณการขายที่เติบโตถึง 26.3% จากปีก่อน
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 เติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 81,116.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 816.0 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณการขายยางธรรมชาติทุกประเภทรวม 1.0 ล้านตัน
นายวีรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดการณ์ปริมาณการขายยางธรรมชาติและราคาขายยางเฉลี่ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยภายหลังจากที่รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคายางแท่ง ณ ตลาด SICOM พุ่งสูงสุดแตะ 218.7 เซนต์ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี
นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังคาดว่าจะส่งผลดีต่อดีมานด์ในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ ส่วนสถานการณ์ความต้องการยาง EUDR บริษัทฯ ยังคงมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าในไตรมาส 4/2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากสหภาพยุโรปว่าจะเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR หรือไม่ จากกำหนดเดิมที่จะเริ่มบังคับใช้ในสิ้นปี 2567 ซึ่งมีผลให้การส่งออกยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากยางธรรมชาติไปยังทวีปยุโรปต้องผ่านการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) แหล่งที่มาของผลผลิต เพื่อแสดงว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าและไม่ได้อยู่ในพื้นที่บุกรุกป่า
ในด้านทิศทางอุตสาหกรรมยางในอนาคต คาดว่าแนวโน้มของอุปทานยางพาราจะอยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลง ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ควรจับตามอง คือความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งบริโภคยางธรรมชาติถึงร้อยละ 90 ของการบริโภคทั้งหมด จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคายางธรรมชาติในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11พ.ย. “อ่อนค่าหนัก” ที่ระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ จากปัจจัยกดดันทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงจังหวะปรับฐานของราคาทองคำ อาจพอมีแรงหนุนหากเงินหยวนทยอยแข็งค่า
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11พ.ย. 2567 ที่ระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.04 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมองว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ (ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้แข็งค่าหลุดโซน 33.65 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน)
กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงจังหวะปรับฐานของราคาทองคำ แต่ เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุน หากเงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุน ถ้าตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่า Dot Plot ล่าสุด ทว่า เงินดอลลาร์ก็อาจถูกกดดันบ้าง หากตลาดเพิ่มโอกาส BOE และ ECB ลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยขายทำกำไร Trump Trades ได้
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.95-34.65 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.45 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 34.02-34.34 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
โดยเฉพาะในช่วงหลังตลาดรับรู้ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนพฤศจิกายน และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะยาว (5-year Inflation Expectations) ซึ่งออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงราว -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน ใช้จังหวะที่ราคาทองคำยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ทยอยซื้อทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทด้วยเช่นกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นมาก หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจเป็นกรณี Republican Trifecta หรือ Red Sweep
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรจับตาการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB)
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนตุลาคม รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยล่าสุด แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะมองว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายนได้ สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ให้โอกาสราว 23% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง ตั้งแต่การประชุมเดือนธันวาคม 2024 ถึง ธันวาคม 2025 น้อยกว่าที่เฟดประเมินไว้ 5 ครั้ง และ
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นขนาดเล็ก-กลาง (Mid-Small Cap.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจและมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น หลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ และรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจอังกฤษ ในไตรมาสที่ 3 รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ BOE
ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE อาจยังไม่รีบเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อและมีโอกาสเพียง 24% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 3 รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
▪ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึง ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม เป็นต้น ซึ่งจะสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งอาจช่วยสะท้อนว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทางการจีนและธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้เริ่มดำเนินไปนั้น จะสามารถช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้มากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ของจีน อาทิ Alibaba และ Bilibili เป็นต้น ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 3
▪ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง (สัปดาห์ที่ผ่านมาขายหุ้นสุทธิ -3.6 พันล้านบาท และขายบอนด์สุทธิราว -2.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งแรงขายสินทรัพย์ไทยดังกล่าวก็มีส่วนกดดันค่าเงินบาทในช่วงนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.28-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.05 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 34.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาท และสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียอ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากการทยอยปรับมุมมองของตลาดที่ประเมินว่า เฟดอาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าหากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณที่สะท้อนสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.20-34.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะค่าเงินหยวน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิว กุลวุฒิ เชือด หวัง เจิ้งซิง ซิวแชมป์แบดมินตันโคเรีย มาสเตอร์ส
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมือ 5 ของโลก ระเบิดฟอร์มเก่ง ไล่ตบ หวัง เจิ้งซิง จากจีน 2 เกมรวด คว้าแชมป์แรกในปีนี้ได้สำเร็จในศึก โคเรีย มาสเตอร์ส 2024
การแข่งขันแบดมินตันรายการ โคเรีย มาสเตอร์ส 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,140,000 บาท ที่เมืองอิกซัน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
ประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลก พบกับ หวัง เจิ้งซิง มืออันดับ 55 ของโลกจากจีน
เกมแรก หวัง เจิ้งซิง เริ่มเกมได้ดีกว่านำก่อน 5-1 เกมยังเป็นของ หวัง เจิ้งซิง ที่หาจังหวะตบตรงอย่างเฉียบขาดขึ้นนำ 9-4 แล้ว วิว กลุวุฒิ ตั้งเกมได้มาทำ 5 แต้มรวดตามตีเสมอที่ 9-9 จากนั้นเกมออกมาสนุกโดยผลัดกันทำแต้มได้ตลอด แต่เป็น วิว กุลุวฒิ ที่ฉวยโอกาสในช่วงท้ายได้ดีกว่าปิดเกมแรกไปได้ที่ 21-18
เกมสอง หวัง เจิ้งซิง ก็เริ่มต้นเกมได้ดีกว่่าเช่นเคย หาจังหวะตบที่เด็ดขาดขึ้นนำก่อนถึง 6-4 แต่ วิว กุลวุฒิ กลับมาตั้งหลักได้เปิดเกมบุกรัวใส่เป็นชุดจนนำ 13-11 รูปเกมกลับมาสนุกอีกครั้งทั้งคู่ผลัดกันนำตลอดจนกระทั่งมาปิดแมตช์ไปได้สำเร็จที่ 21-18 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด
“วิว” กุลวุฒิ คว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง และเป็นการคว้าแชมป์แรกของปีนี้ นับตั้งแต่ได้แชมป์โลกเมื่อปี 2023 นอกจากนี้ วิว กุลวุฒิ เป็นคนไทยคนแรกในรอบ 17 ปีที่คว้าแชมป์ในศึกโคเรีย มาสเตอร์ส ได้สำเร็จ พร้อมรับเงินรางวัล 15,700 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 533,800 บาท ส่วน หวัง เจิ้งซิง รองแชมป์รับเงินรางวัล 7,980 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 271,320 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ทำไมคนเป็นมะเร็งมากขึ้น? หมอมาเฉลย เตือน 5 นิสัยไม่ดีขณะทำอาหารที่ควรเลิก
ไขข้อสงสัย ทุกวันนี้ทำไมคนถึงป่วยเป็นมะเร็งกันมากนัก? หมอมาเฉลยให้ฟัง พร้อมเตือน 5 นิสัยเสียขณะทำอาหาร ที่ควรเลิกทันที
ทำไมคนเป็นมะเร็งกันมากขึ้น? คำถามนี้ทำให้หลายคนครุ่นคิดไม่ต่างจากควันจากการทำอาหารในครัว ที่ไม่ว่าจะพยายามโบกให้จางหายก็ยังคงอยู่
เว็บไซต์ Sohu เผยว่า สามีภรรยาชาวจีนคู่หนึ่งได้พูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว ว่าทุกวันนี้ทำไมคนถึงป่วยเป็นมะเร็งกันมากนัก? สุดท้ายทั้งสองคนจึงตัดสินใจเก็บข้อสงสัยดังกล่าวไปถามคุณหมอเมื่อเดินทางไปตรวจสุขภาพ
โดยหลังจากที่ลุงหานและป้าหลิว วัดความดันเสร็จ ลุงหานก็อดใจไม่ไหวถามทันที “หมอจ้าวครับ ทำไมทุกวันนี้คนป่วยเป็นมะเร็งกันเยอะจัง?”
หมอจ้าวเงยหน้าจากปากกา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจอธิบายอย่างละเอียด
“จริง ๆ แล้ว โรคมะเร็งนั้นเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนิสัยบางอย่างในครัวที่เราอาจมองข้ามไป บางคนเดินไปเดินมา ก็เผลอก้าวเข้าสู่หลุมพรางของมะเร็งโดยไม่รู้ตัว”
5 นิสัยเสียขณะทำอาหารที่ต้องเลิกทันที
หมอจ้าว กล่าวต่อ “นิสัยที่ไม่ดีข้อแรกก็คือเรื่องของควันจากน้ำมันทำอาหารนี่แหละ”
ลุงหานได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “โอ้โห แล้วจะทำยังไงล่ะ? บ้านเราต้องเปลี่ยนเตาเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
หมอจ้าวส่ายหัวและยิ้ม “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เตาของคุณยังใช้ได้อยู่ สิ่งสำคัญคือควบคุมไฟให้พอดี หลีกเลี่ยงการใช้ไฟแรงและน้ำมันมากเกินไป ตอนทำอาหารก็ควรเปิดหน้าต่างและใช้เครื่องดูดควันให้มากที่สุด เพื่อให้ควันและน้ำมันระเหยออกไป”
ฟังไปฟังมา ป้าหลิวก็ถามเข้ามาบ้าง “แล้วหมอจ้าว ควันจากน้ำมันร้อน ๆ นี่นอกจากนั้นยังมีอะไรอีกบ้างไหม?”
หมอจ้าวเงยหน้ามองเพดาน เหมือนกำลังกรองรายการ “นิสัยไม่ดีในครัว” ที่ยาวเหยียดในหัวออกมา
“นิสัยที่สองก็คือการทานอาหารทอดมากเกินไป หลายคนชอบทำอาหารทอด ๆ เพื่อความสะดวก เช่น ทอดขาไก่ หรือทอดปอเปี๊ยะ จนบ้านเต็มไปด้วยเสียงน้ำมันเดือด ๆ”
“การศึกษาชี้ให้เห็นว่า คนที่ชอบทานอาหารทอด โดยเฉพาะครอบครัวที่ทานเป็นประจำ ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งระบบย่อยอาหารจะสูงขึ้นอย่างมาก”
ลุงหานทุบต้นขาตัวเอง “อ้าว แบบนี้ไม่ดีแล้ว! ที่บ้านเราชอบทอดอาหารมาก โดยเฉพาะหลานชายผม ถ้าไม่มีไก่ทอดนี่ไม่ยอมกินเลย”
ป้าหลิวรีบดึงลุงหานไว้ “อย่าทำแบบนี้ต่อไปนะ พวกเราอาจจะต้องทานอาหารที่เบากว่านี้หน่อย”
ได้ยินแบบนั้น ลุงหานก็หรี่ตามองแล้วเริ่มคิดในใจว่าจะปรับปรุงการทำอาหารในครัวยังไงดี
แต่หมอจ้าวไม่ให้เวลาลุงหานหายใจ เขากล่าวต่อทันที “นิสัยที่สามที่หลายคนมักมองข้าม คือการใช้ปริมาณน้ำมันที่คุณภาพต่ำ”
“ในตลาดมีน้ำมันคุณภาพไม่ดีหลายตัวที่โฆษณาว่า ธรรมชาติแท้ หรือ ผลิตด้วยวิธีโบราณ แต่อาจมีสารก่อมะเร็งในระดับสูง เช่น บางชนิดอาจมีอะฟลาทอกซิน”
“คุณรู้ไหมว่า สารนี้ถือเป็นสารพิษร้ายแรงและได้รับการยอมรับว่าเป็นอันตราย ถ้าทานเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดมะเร็งตับได้”
ลุงหานฟังไปก็นั่งพยักหน้าในใจ คิดว่าโชคดีที่ที่บ้านใช้แต่น้ำมันคุณภาพดี
แต่หมอจ้าวยังไม่หยุดพูด “นิสัยที่สี่ก็คือการใช้น้ำมันซ้ำ”
“น้ำมันที่ใช้ซ้ำหลายครั้งจะค่อย ๆ ถูกทำลายไปเมื่อโดนความร้อน ทำให้มีสารอันตรายมากขึ้น เช่น สารเปอร์ออกไซด์และอนุมูลอิสระ ซึ่งหากสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก”
หมอจ้าวมองไปที่สีหน้าของพวกเขา ก่อนจะเสริมต่อ “นิสัยสุดท้ายที่สำคัญที่สุด แต่กลับถูกมองข้ามบ่อย ๆ ก็คือการไม่สนใจอายุการเก็บรักษาของอาหาร”
“ตัวอย่างเช่น มันฝรั่งที่เริ่มงอก ข้าวที่ขึ้นรา หรือผักที่เน่าเสีย อาหารเหล่านี้บางชนิดอาจก่อให้เกิดสารพิษ เช่น โซลานีนในมันฝรั่ง ซึ่งหากทานเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้”
สุดท้าย ลุงหานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “หมอจ้าว ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว จะสามารถหลีกเลี่ยงมะเร็งได้ทั้งหมดเลยไหมครับ?”
หมอจ้าวขมวดตาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขำ ๆ พูดว่า “ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า 100% จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงเหล่านี้ ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งก็จะลดลงได้มากทีเดียว”
หลังจากหมอจ้าวพูดจบ ลุงหานก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น เมื่อเดินออกจากห้องตรวจ เขากำลังจับใบตรวจสุขภาพไว้แน่น ราวกับว่าในนั้นไม่ได้มีแค่ตัวเลข แต่ยังเป็น “คู่มือการทำอาหารในครัว” ที่เขากับป้าหลิวต้องปรับเปลี่ยนในการใช้ชีวิตในอนาคตโดยไม่รู้ตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำแสลงภาษาอังกฤษที่ชาวโซเชี่ยลใช้ในทุก ๆ วัน
อัปเดตคำแสลง ศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยทั้งในชีวิตจริง และโลกโซเชียล
พักสมองมาลองเรียนรู้คำแสลงภาษาอังกฤษที่วัยรุ่นอเมริกันชอบใช้กันดูบ้าง คำแสลง (Slang) เป็นคำศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่พูดกันแบบไม่เป็นทางการ เอาไว้พูดกับเพื่อน คนที่สนิท รวมถึงการตั้งแคปชั่นชิค ๆ ให้ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะ TikTok โซเชียลมีเดียสุดฮอตที่มักจะปล่อยศัพท์ Slang ใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย มาดูกันว่ามีคำไหนน่าสนใจบ้าง
1. It’s giving. แปลว่า เยี่ยมไปเล้ยย (คำชม)
Someone gave me a like. That’s my giving.
2. BDE ย่อมาจาก Big Dick Energy แปลว่า มั่นหน้า มั่นโหนก
I feel that have BDE when I got accepted to be a main character in a play.
3. Beta แปลว่า ผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ประหม่า
He is trying to take his ex-girlfriend back after she cheated on him so he is beta.
4. Era แปลว่า ช่วงนี้กำลังอินกับ…
Tom has been eating ramen for 4 weeks. He is in ramen era.
5. Iykyk เป็นตัวย่อของ If you know you know. And now you know.
แปลว่า ถ้าคุณรู้ว่าคืออะไร ก็เป็นไปตามนั้นนั่นแหละ
6. Slay แปลว่า เจ๋ง, ยอดเยี่ยม, สุดยอดไปเลย มีความหมายเดียวกันกับ amazing, cool, great
Every eyes at the ball look at her amazing dress. She slayed it last night.
7. Fell off แปลว่า ตกกระป๋อง, ไม่โด่งดัง
A celeb disappeared from the media for the whole year. She fell off.
8. Gatekeep แปลว่า ไม่บอกหรอก
ใช้เวลาที่มีคนทักว่า เสื้อสวยจัง ซื้อที่ไหนหรอ? แต่คุณไม่อยากบอก ก็ตอบกลับไปว่า “Cool kid don’t gatekeep.”
9. Situationship แปลว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
We are stuck in a situationship for 9 months since we never made a commitment to be in a relationship.
10. Bad take แปลว่า เข้าใจผิด
She thought my puppy was dead but he was still alive. What a bad take!
11. Fit แปลว่า เสื้อผ้า
I packed all of my winter fits for a trip to Alaska.
12. CEO (of Something) แปลว่า มีความถนัดเป็นพิเศษ
Jane is a daugher of a top ranked tennis player, so she must be a CEO of playing tennis.
13. Bones Day or No Bones Day แปลว่า วันที่สดใส เบิกบาน, วันที่มีแรงทำงาน หรือทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Noodle said it was a no bones day, so I’m not doing anything today.
14. BFFR ย่อจากคำว่า Be F*cking For Real แปลว่า ทำให้จริงจัง หรือชัดเจน
You think I want anything to do with your man? BFFR.
15. Private not secret แปลว่า เปิดเผยแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ใช้กับคนที่ชอบโพสอะไรบางอย่างที่อยากอวดลงโซเชียลมีเดีย แต่เซ็นเซอร์ชื่อ หรือหน้าที่สามารถระบุตัวตน หรือสถานที่ไม่ให้ใครรู้
16. Cap แปลว่า โกหก
No cap, I was able to get tickets to Taylor Swift’s tour.
17. Sleep on แปลว่า เมิน, ไม่สนใจ
To sleep on something.
18.Main character แปลว่า เห็นแก่ตัว, เอาผลประโยชน์เข้าตัว, เอาแต่ใจ
She was acting like she was the main character.
19. Dop แปลว่า เพลงเพราะ, ทำนองไพเราะ, เพลงคุณภาพเยี่ยม
A bop is a term for a great song.
20. Spilling the tea แปลว่า นินทา, พูดลับหลัง, เม้าเรื่องชาวบ้าน
I shouldn’t spill the tea, but have you heard that Ben and your sister are dating?
21.Vibe check แปลว่า มีเซนส์ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร, คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
I have a vibe check that he is cheating on me.
22. Rent free แปลว่า ติดอยู่ในหัว, ตราตรึงใจ, ภาพจำ (ในแง่ดี)
Taylor Swift’s new records have been living rent free in my head all day.
23. Rizz แปลว่า มีเสน่ห์
Ken is rizz so that’s the reason Barbie is in love with him.
24. Lit แปลว่า สุดยอดไปเลย
Last night was lit.
25. Ghost แปลว่า ขาดการติดต่อแบบไม่บอกก่อนล่วงหน้า
Nick is ghosting once he found out that his girlfriend was dating other guy.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
เปิด 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์มาแรง ปี 68
การ์ทเนอร์ ประกาศ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องจับตาในปี 2568 ครอบคลุมความจำเป็นและความเสี่ยง AI, ขอบเขตใหม่ของการประมวลผล และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร
นายยีน อัลวาเรซ รองประธานอาวุโส การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ปีนี้เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ครอบคลุมความจำเป็นและความเสี่ยง AI, ขอบเขตใหม่ของการประมวลผล และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร ซึ่งการติดตามแนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำไอทีสามารถกำหนดอนาคตองค์กรด้วยการนำนวัตกรรมมาปรับใช้อย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม”
เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2568 ประกอบด้วย
Agentic AI
ระบบตัวแทนเอไอหรือ Agentic AI สามารถใช้วางแผนและดำเนินการแบบอัตโนมัติเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ผู้ใช้กำหนด โดย Agentic AI จะนำเสนอการทำงานเสมือนจริงของทีมงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพงานของมนุษย์ การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2571 การตัดสินใจเรื่องงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติโดยทำงานผ่าน Agentic AI จะมีอย่างน้อย 15% เพิ่มขึ้นจากเดิม 0% ในปี 2567 โดยความสามารถที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายของเทคโนโลยีนี้จะมอบระบบซอฟต์แวร์ที่ปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น ช่วยให้ทำงานได้หลากหลายขึ้น
Agentic AI มีศักยภาพช่วยให้ผู้บริหาร CIO สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ทั่วทั้งองค์กร โดยแรงจูงใจนี้ยังผลักดันให้ทั้งองค์กรและผู้จำหน่ายร่วมกันสำรวจ สร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อส่งมอบเทคโนโลยีนี้ในรูปแบบที่มั่นคง ปลอดภัย และเชื่อถือได้
AI Governance Platforms
แพลตฟอร์มการกำกับดูแล AI หรือ AI Governance Platform เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการจัดการความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง และความปลอดภัยของ AI (หรือที่เรียกว่า TRiSM) ที่การ์ทเนอร์กำลังพัฒนาอยู่ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ นั้นสามารถจัดการประสิทธิภาพทางกฎหมาย จริยธรรม และการดำเนินงานระบบ AI โดยโซลูชันเทคโนโลยีเหล่านี้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ จัดการและบังคับใช้หลักเกณฑ์สำหรับการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงอธิบายวิธีการทำงานของระบบ AI และยังนำเสนอความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบ
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2571 องค์กรที่ใช้ AI Governance Platform อย่างครอบคลุมจะเจอสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมมาภิบาลด้าน AI น้อยลง 40% เทียบกับองค์กรที่ไม่มีระบบดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
7 เครื่องดื่มจิบอุ่นๆ หน้าหนาว ต้านหวัด เสริมภูมิคุ้มกันได้เยี่ยม
ช่วงหน้าหนาวแม้จะอากาศเย็นสบาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปก็มักจะมาพร้อมโรคด้วยเช่นกัน การดูแลสุขภาพของสาว ๆ ให้แข็งแรงเสมอจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันโรคติดต่อที่มาพร้อมลมหนาว และเมื่อพูดถึงการรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพที่ดี เราจึงขอพาคุณผู้หญิงไปพบกับ 7 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่สามารถจิบอุ่น ๆ ในช่วงหน้าหนาว แล้วช่วยต้านหวัดกับโรคภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพดังนี้
7 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจิบอุ่น ๆ ช่วงหน้าหนาว
1.น้ำมะนาวอุ่นๆ
น้ำมะนาวอุ่นๆ เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เพราะมีวิตามินซี นอกจากนี้ ยังช่วยให้ร่างกายดีท็อกซ์และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว การดื่มน้ำมะนาวอุ่นในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยลดโอกาสในการเป็นหวัดในฤดูหนาวได้ดี
2.ชาเขียว
ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า EGCG ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ การดื่มชาเขียวอุ่น ๆ ทุกเช้าหรือช่วงบ่อย จะทำให้ร่างกายรู้สึกอุ่นขึ้น และยังช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ช่วยลดความเครียดและเสริมสุขภาพหัวใจของคุณผู้หญิงได้อีกด้วยค่ะ
3.น้ำขิง
น้ำขิงเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ น้ำขิงอุ่นมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการหวัดและอาการไอ ลดอาการเจ็บคอ นอกจากนี้ ยังช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น การจิบน้ำขิงอุ่นบ่อย ๆ จะช่วยให้ร่างกายของสาว ๆ มีความแข็งแรงและยังเป็นตัวช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้ เพียงแต่ไมควรใส่ไซรัปหรือน้ำตาลมากเกินไป
4.นมขมิ้น
นมขมิ้นเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ ซึ่งขมิ้นมีสารเคอร์คูมินที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การดื่มนมขมิ้นอุ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดและเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงหน้าหนาว เพียงใช้นมสดรสจืด, ขมิ้นชันปอกเปลือกแล้วหั่นชิ้นบาง หรือจะผสมกับผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา ก็สะดวกมาก เลือกอบเชยบุบ 1 ก้านมาผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และใส่เกลือลงไปอีกเล็กน้อย ใช้เวลาต้ม 5 นาที จากนั้นทิ้งให้อุ่นก็ดื่มได้ทันที
5.ชาสมุนไพร
ชาสมุนไพร เช่น ชาเปปเปอร์มินต์ ชาคาโมมายด์ หรือชาขมิ้นชัน มีสารช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ชาสมุนไพรจะช่วยบรรเทาอาการหวัดและอาการไอ นอกจากนี้ ยังช่วยให้สาว ๆ รู้สึกผ่อนคลายหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน
6.น้ำกระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติในการช่วยลดความดันโลหิต และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน น้ำกระเจี๊ยบอุ่น ๆ สามารถทำให้คุณรู้สึกสบายตัวในวันที่หนาวมาก และยังมีรสชาติเปรี้ยวหวานที่แสนสดชื่น
7.ชาอบเชย
ชาอบเชยมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย และมีสารต้านการอักเสบ พร้อมช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ดี การดื่มชาอบเชยอุ่น ๆ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีในวันที่หนาวเย็นแน่นอน
เคล็ดลับในการเตรียมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ คือ การเลือกวัตถุดิบสดใหม่ จะช่วยให้เครื่องดื่มมีรสชาติดีและคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้น ไม่ต้องเติมน้ำตาลมากเกินไป เพราะน้ำตาลสามารถลดคุณค่าทางโภชนาการของเครื่องดื่มได้ การเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในช่วงหน้าหนาว จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อได้ดี สาว ๆ จึงควรนำเครื่องดื่มเหล่านี้ไปเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหาร เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและต้านทานโรคภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/11/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,250.00 | 43,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,802.00 | 42,478.32 | 43,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,521.80 | 38,230.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,241.60 | 33,982.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,261.00 | 19,116.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 981.00 | 14,871.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,904.00 | 44,024.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/11/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.95 | 35.95 | 36.55 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.58 | 35.58 | 36.18 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.84 | 33.84 | 34.44 | 33.84 | 33.84 | – | 33.84 | 33.84 | 33.84 | 33.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.59 | 33.59 | – | – | – | – | – | – | – | 33.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.54 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.54 |
เบนซิน 95 | 44.24 | – | – | – | 49.81 | – | 44.74 | 44.39 | – | 44.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |