ศุภาลัยออสเตรเลียโตแกร่ง โอน12โครงการดันพอร์ตทะลุ2แสนล้าน!

ศุภาลัยออสเตรเลียโตแกร่งรับโอน 12 โครงการใหม่อย่างเป็นทางการผ่านกิจการร่วมค้า ดันพอร์ตทะลุ 24 โครงการ มูลค่าเฉียด 2 แสนล้าน!
ศุภาลัยในออสเตรเลียเติบโตแข็งแกร่ง หลังได้รับโอน 12 โครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ผ่านกิจการร่วมค้า SSRCP HoldCo Pty Ltd ที่จัดตั้งร่วมกับ Stockland Communities Partnership HoldCo Pty Ltd ส่งให้พอร์ตโครงการแดนจิงโจ้โตเพิ่มเป็น 24 โครงการ มูลค่ารวมในส่วนของศุภาลัยกว่า 185,500 ล้านบาท เดินหน้าบริหารโครงการอย่างเข้มข้น พร้อมเร่งโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า หวังสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในอนาคต
.
ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม Director of Supalai Australia Holdings Pty Ltd เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา Supalai Australia Holdings Pty Ltd (บริษัทย่อยของบมจ. ศุภาลัย) ได้เข้าร่วมลงทุนกับ Stockland Communities Partnership HoldCo Pty Ltd ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Stockland Corporation Ltd หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย จัดตั้งเป็นกิจการร่วมค้าใหม่ คือ “SSRCP HoldCo Pty Ltd”

โดยเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ACCC (Australian Competition and Consumer Commission) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลีย มีหน้าที่หลักในการกำกับดูแลด้านการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้เกิดการผูกขาดทางการค้า ได้อนุมัติธุรกรรมการเข้าซื้อ 12 โครงการใหม่เรียบร้อยแล้ว
และในวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา FIRB หรือ Foreign Investment Review Board ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการลงทุนจากต่างประเทศของประเทศออสเตรเลียก็ได้อนุมัติการทำธุรกรรมดังกล่าวเช่นกัน หลังจากที่ SSRCP HoldCo Pty Ltd ได้รับโอนโครงการทั้งหมดดังกล่าว ทำให้ปัจจุบัน Supalai Australia Holdings Pty Ltd มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในประเทศออสเตรเลียรวม 24 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการในสัดส่วนของศุภาลัย 185,500 ล้านบาท
หลังจากนี้ Supalai Australia Holdings Pty Ltd และ Stockland Communities Partnership HoldCo Pty Ltd ในนามบริษัทร่วม SSRCP HoldCo Pty Ltd จะร่วมกันดำเนินการบริหารกิจการอย่างเข้มข้น พร้อมดูแลเรื่องใบอนุญาตจัดสรรที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าที่เซ็นสัญญาซื้อขายอย่างเร็วที่สุด เพื่อให้กิจการร่วมค้าร่วมเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมาย และคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับบริษัทฯ ต่อไปในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เปิดกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจรับสร้างบ้านปี2567

THBA รายงานผลสำรวจกลยุทธ์การแข่งขัน 5 กลุ่มรับสร้างบ้านปี 2567 ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ชูนวัตกรรม เทคโนโลยี บริการแบบเบ็ดเสร็จ เน้นประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เผยผลสำรวจภาพรวมการแข่งขันตลาดรับสร้างบ้านพบว่า กลยุทธ์การตลาดที่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านนำมาใช้แข่งขันหรือจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตัวเองมีความหลากหลายแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ 1.กลุ่มรับสร้างบ้านด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย 2.กลุ่มรับสร้างบ้าน One Stop Service (ออกแบบ-สร้างบ้าน ตกแต่งภายใน จัดสวน) 3.กลุ่มรับสร้างบ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 4.กลุ่มรับสร้างบ้านหรือคฤหาสน์หรู และสุดท้าย 5.กลุ่มรับสร้างบ้านราคาประหยัด
ทั้งนี้พบว่า “กลุ่มรับสร้างบ้านราคาประหยัด” จัดเป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้ประกอบการแข่งขันกันอยู่มากที่สุด โดยกลุ่มนี้จะเน้นชูจุดขายเรื่องมีแบบบ้านสวยให้เลือกปลูกสร้าง พร้อมบริการติดต่อราชการและธนาคาร (แบบครบวงจร) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่หรือเข้ามาแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านได้ไม่นาน เน้นจับกลุ่มสร้างบ้านราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป
ในส่วนของ “กลุ่มรับสร้างบ้าน One Stop Service (ออกแบบ-สร้างบ้าน ตกแต่งภายใน จัดสวน)” กลุ่มนี้ชูจุดขายเรื่องบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ออกแบบ ก่อสร้างบ้าน-ตกแต่งภายใน และจัดสวนหรือแลนด์สเคป ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีพื้นฐานมาจากสถาปนิก หรือเป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่มีประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี เน้นรับสร้างบ้านมูลค่ารวม 10 ล้านบาทขึ้นไป

ลำดับถัดมา “กลุ่มรับสร้างบ้านด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย และ กลุ่มรับสร้างบ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ชูจุดขายความเป็นผู้นำเทคโนโลยีก่อสร้าง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย หรือความปลอดภัยต่อชีวิตและสุขภาพ เช่น ระบบโครงสร้างสำเร็จรูป, ระบบระบายอากาศ-สร้างอากาศบริสุทธิ์, วัสดุ-อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงวัย ฯลฯ โดยเน้นให้เห็นถึงความแตกต่าง และความคุ้มค่าที่ได้รับทั้งในระยะสั้น-ระยะยาว แม้ต้องจ่ายในราคาสูงกว่าผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทั่วไป หลัก ๆ เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่มีปัญหาสุขภาพ กลุ่มลูกค้าแนวคิดทันสมัย รับผิดชอบต่อสังคมและมีกำลังซื้อสูง
สุดท้าย “กลุ่มรับสร้างบ้านหรือคฤหาสน์หรู” กลุ่มนี้ชูจุดขายสร้างบ้านที่บ่งบอกฐานะ (ความร่ำรวย) ด้วยรูปทรงแบบบ้านหรือคฤหาสน์และการตกแต่งภายใน-ภายนอกที่โชว์ความอลังการ หลัก ๆ จะเน้นจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) แต่กระเป๋าหนัก ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับทุกกลุ่ม
สำหรับ ผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านในปัจจุบัน และผู้ที่สนใจจะเข้ามาร่วมแข่งขันชิงแชร์ส่วนแบ่งตลาดรับสร้างบ้านในอนาคต ก็ควรลองสำรวจตรวจตราตัวเองดูว่าท่านจัดอยู่ในกลุ่มใด หรือสนใจจะเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งตลาดกลุ่มไหนเป็นพิเศษ ควรปรับตำแหน่งผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเองให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ สามารถที่จะแข่งขันได้อย่างไม่เสียเปรียบ ในส่วนของผู้บริโภคก็ควรศึกษาและทำความเข้าใจกับความต้องการของตัวเอง รวมถึงศึกษาว่าผู้ประกอบการกลุ่มใดหรือรายใดที่จะตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ธ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.72 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sidewaysเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เป็นปัจจัยหลักกดดันให้เงินเยนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ธ.ค. 2567ที่ระดับ 33.72 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 33.60-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน ในช่วงระหว่างวัน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
โดยเราประเมินว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาตามที่ตลาดคาด เช่น +0.3%m/m ทั้งในส่วนของ Headline CPI และ Core CPI ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้
ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ แกว่งตัว sideways ใกล้ระดับก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ (เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว almost fully priced-in)
ขณะที่ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงมากกว่าคาด (โอกาสเกิดน้อย) เช่น +0.2%m/m หรือน้อยกว่านั้น (ยิ่งมีโอกาสเกิดน้อยมาก) ก็อาจเห็นผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนธันวาคม และอาจเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปี 2025 ได้ ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ มีโอกาสย่อตัวลงบ้าง หนุนทั้งราคาทองคำและเงินบาท
ทว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด เช่น +0.35% ขึ้นไป (หรือมีการปัดเศษให้ถึงระดับดังกล่าว) จะส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดใหม่ และมีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะเริ่มมองว่า
มีโอกาส 50-50 ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นต่อพอสมควรได้ กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงหนัก ส่วนเงินบาทก็เสี่ยงอ่อนค่ากลับไปโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้
เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาท ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) สามารถแกว่งตัวเกือบ +0.5%/-0.4% ได้ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.95 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.65-33.85 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะให้โอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ราว 86%
ทว่าในปี 2025 ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 3 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าที่เฟดได้เคยระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน และเฟดอาจจบรอบการลดดอกเบี้ยในปี 2025 ได้ นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ดังกล่าว ยังได้ กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซน 151.50 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น และเป็นอีกปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นอกจากนี้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทหลังจากทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการทยอยปิดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ อนึ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่ม Semiconductor
อาทิ Nvidia -2.7% จากรายงานข่าวว่า ทางการจีนได้เริ่มสอบสวนกรณีที่ Nvidia อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Alphabet +5.6% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.30%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.52% กดดันโดยหุ้นธีม China Recovery อย่าง หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH -2.5%, Hermes -1.9% หลังรายงานข้อมูลการส่งออกและนำเข้าของจีนล่าสุด ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอจับตาสถานการณ์การเมืองของฝรั่งเศส
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น และแกว่งตัวเหนือโซน 4.20% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า แม้เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ทว่าในปีหน้า เฟดก็อาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่เคยระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน พอสมควร อนึ่ง แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงนี้ แต่เราคงมองว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ก็อาจเป็นจังหวะในการทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เนื่องจาก Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 151.50 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 106.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.8-106.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวขึ้น อีกทั้งสถานการณ์ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจดูไม่น่ากังวลมากนัก แต่ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025)
ยังพอได้แรงหนุนจากแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก และรายงานข่าวว่า ธนาคารกลางจีน(PBOC) ได้ทยอยกลับเข้าซื้อทองคำเพิ่มเติม ส่งผลให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,720-2,730 ดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ โดย EIA ที่มักจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่มีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้น หนุนโดยการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ศูนย์วิจัยกสิกไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.68-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.14 น.) แข็งค่าต่อเนื่องจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (9 ธ.ค.) ที่ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ขยับขึ้นกลับไปยืนเหนือ 2,700 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์อีกครั้ง ประกอบกับสกุลเงินเอเชียในภาพรวมมีทิศทางแข็งค่าขึ้น สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ในคืนนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.55-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และตัวเลข CPI เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อัน เซยอง-อเซลเซ่น ซิวรางวัลแบดมินตันยอดเยี่ยมแห่งปี

อัน เซยอง ซูเปอร์สตาร์แบดมินตันสาวชาวเกาหลีใต้ และ วิคเตอร์ อเซลเซ่น จากเดนมาร์ก คว้ารางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมชาย-หญิงแห่งปี 2024 ในงานกาลา ดินเนอร์ของสหพันธ์แบดมินตันโลก ที่เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา
โดย ยอดนักแบดมินตันสาวจากเกาหลีใต้ กลายเป็นนักกีฬาเพียงคนเดียวที่คว้าถ้วยรางวัลไปได้ถึง 2 สมัย จากงาน HSBC BWF World Tour Finals 2024 Gala Dinner ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลในเมืองหางโจว เมื่อจันทร์ที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา จากผลงานช่วง 12 เดือน ระหว่าง 1 ธ.ค. 2023 ถึง 30 พ.ย. 2024 ซึ่ง อัน เซยอง คว้าแชมป์มาได้ 5 แชมป์ รวมถึงเหรียญทองโอลิมปิกที่ปารีส 2024
ผลงานโดดเด่นดังกล่าวทำให้ อัน เซยอง คว้ารางวัลผู้เล่นหญิงเดี่ยวแห่งปีมาครอง เอาชนะคู่ของจีน หวัง ซี่ยี่ และ หาน เยี่ย 2 นักแบดมินตันจากจีน ไปจนถึง เกรกลอเรีย มาริสก้า ตุนจุง จากอินโดนีเซีย นอกจากนี้ นักแบดสาวชาวเกาหลีวัย 22 ปี ยังได้รับโหวตจากเพื่อนร่วมอาชีพให้เป็นผู้เล่นหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีคนแรกอีกรางวัล ขณะที่นักแบดมินตันยอดเยี่ยมฝ่ายชาย ตกเป็นของ วิคเตอร์ อเซลเซ่น จากผลงานเหรียญทองโอลิมปิกได้อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 ในปี 2024 รวมไปถึง คว้าแชมป์เวิลด์ทัวร์ไปอีก 2 รายการ
ขณะที่ ลี ยองแด และ เฉิน หลง ตำนานของเกาหลีใต้ และจีน ได้บรรจุชื่อเข้าหอเกียรติยศ ฮอล ออฟ เฟม (BWF Hall Of Fame) ในพิธีเดียวกัน
สำหรับรางวัลอื่นๆ ที่น่าสนใจ นักแบดมินตันชายเดี่ยวยอดเยี่ยม : ฉี ยู่ฉี (จีน)
– นักแบดมินตันหญิงเดี่ยวยอดเยี่ยม : อัน เซยอง (เกาหลีใต้)
– นักแบดมินตันชายคู่ยอดเยี่ยม : เหลียง เหว่ยเกง กับ หวัง ฉาง (จีน)
– นักแบดมินตันหญิงคู่ยอดเยี่ยม : หลิว เชงซู กับ ตัน หนิง (จีน)
– นักแบดมินตันคู่ผสมยอดเยี่ยม : เฝิง หยางเจ๋อ กับ หวง ดองปิง (จีน)
– นักแบดมินตันพาราชายยอดเยี่ยม : ซูว ซี่โม (จีน)
– นักแบดมินตันพาราหญิงยอดเยี่ยม : หลิว ยู่ตง กับ หลี่ เฟงเหม่ย (จีน)
– นักแบดมินตันพาราคู่ยอดเยี่ยม : ฮิคมัท รามดานี กับ เลอานี่ ราตรี ออกติลา (อินโดนีเซีย)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ปวดกราม ปวดขากรรไกร สัญญาณอันตรายของวัยทำงาน

โรคนี้ไม่เพียงแต่เกิดจากความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร แต่อาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ ข้อต่อขากรรไกร หรือกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยว เช่น กล้ามเนื้อ masseter, temporalis, lateral pterygoid ด้วย ข้อต่อขากรรไกรเป็นบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างกะโหลกศีรษะและขากรรไกรล่าง
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ ข้อต่อขากรรไกรนี้ มักเกิดจากมีการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวมากผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามีความเครียด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดและมีการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้ ซึ่งอาจเกิดจากใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป หรือใช้ผิดประเภท เช่น เคี้ยวข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง เคี้ยวของแข็ง มีการสบฟันที่ผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อทั้ง 2 ข้างทำงานไม่สมดุลกัน ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติของการนอนกัดฟัน
อาการ
- ปวดบริเวณข้อต่อขากรรไกร (หน้าหู) หรือบริเวณกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยว
- อ้า หรือหุบปากได้จำกัด (มีการจำกัดการความเคลื่อนไหวของขากรรไกร)
- เวลาเคลื่อนไหวขากรรไกร แล้วมีเสียงผิดปกติที่ข้อต่อขากรรไกร เช่น เสียงคลิก หรือ เสียงกรุบกรับ
- อ้า หุบปาก หรือเคลื่อนไหวขากรรไกรแล้วมีอาการเจ็บหรือปวด
- ขากรรไกรค้าง (ไม่สามารถอ้าปากได้ หรืออ้าปากแล้วไม่สามารถหุบได้)
- ผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการปวดบริเวณใบหน้า ซีกใดซีกหนึ่งก็ได้
อาการแสดง
- เวลากดกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวข้างที่เจ็บ แล้วมีอาการเจ็บ
- เวลากดข้อต่อขากรรไกรข้างที่เจ็บ แล้วมีอาการเจ็บ
- มีการเบี่ยงเบนของขากรรไกรล่าง เวลาเคลื่อนไหว
การรักษา
1) รับประทานยาลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด พวก nonsteroidal anti-inflammatory drugs(NSAIDs) Paracetamol ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายกังวล (ซึ่งจะช่วยลดภาวะการทำงานมากผิดปกติของกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อต่อขากรรไกร)
2) แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแข็ง เช่น น้ำแข็ง หรืออาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก เช่น อ้อย โดยเฉพาะข้างที่เจ็บ
3) อาจใช้น้ำอุ่นประคบ กล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ ขากรรไกร
4) ควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อตรวจสอบการสบฟันว่ามีการสบฟันที่ผิดปกติ (malocclusion) ที่เป็นสาเหตุของการเคลื่อนไหวของขากรรไกรที่ไม่สมดุลกัน ทำให้ปวดบริเวณข้อต่อขากรรไกรหรือไม่
5) ถ้ามีอาการปวดมาก ทันตแพทย์อาจพิจารณาใส่ที่ครอบฟัน (bite appliance or splints) เพื่อทำให้การสบฟันคงที่ ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อขากรรไกรที่เป็นปัญหา ช่วยลดอาการปวดได้ดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหานอนกัดฟัน (bruxism)
6) ถ้าผู้ป่วยดีขึ้น อาจทำกายภาพบำบัด และกิจกรรมลดความเครียด
7) ถ้าให้การรักษาด้วยยาเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น ยังมีอาการปวดค่อนข้างรุนแรง หรือมีความผิดปกติภายในของข้อต่อขากรรไกร อาจพิจารณาผ่าตัดรักษา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘แฮกเกอร์’ ถูกเปิดโปงประวัติการโจมตีทางไซเบอร์ ไทยไม่รอด!

ปัจจุบันแฮกเกอร์คือปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยมีการเลือกใช้และพัฒนาวิธีและกลยุทธ์ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งเป้าการโจมตีไปที่การโจรกรรม การทำให้หยุดชะงัก และ ผลประโยชน์ทางการเงิน เป็นหลัก
ไม่นานมานี้มีการออกมาเผยแพร่ชุดเครื่องมือของแฮกเกอร์ โครงสร้างและกระบวนการการโจมตี และยังมีข้อมูลการก่อเหตุต่างๆ โดยแก๊งแฮกเกอร์นี้รู้จักกันในนามของ Dark Cloud Shield จุดเด่นคือใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนออกลาดตระเวน
อย่างเช่น WebLogicScan – เครื่องสแกนช่องโหว่ WebLogic ที่ใช้ Python, Vulmap – ใช้ประเมินช่องโหว่ของเว็บ
Xray – สแกนช่องโหว่ของเว็บไซต์โดยเฉพาะ, Dirsearch ใช้ค้นเส้นทาง URL
โดยแก๊งนี้เลือกใช้วิธีการโจมตีหลักผ่านการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งซอฟต์แวร์ “Zhiyuan OA” ผ่านการโจมตี “SQL insert” ที่กำหนดเป้าหมายไปที่องค์กรเภสัชกรรมของเกาหลีใต้
หลังจากการแสวงหาประโยชน์จากส่วนต่างๆ ในระบบแล้ว แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือขั้นสูงในการยกระดับสิทธิ์ เช่น “Traitor” สำหรับระบบ Linux และ “CDK” สำหรับสภาพแวดล้อม “Docker” และ “Kubernetes”
โครงสร้างการออกคำสั่งและการควบคุมจะทำผ่าน IP address ที่แตกต่างกันถึง 8 รายการ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพร็อกซีโดยใช้ทั้ง Cobalt Strike และ Viper สำหรับการเข้าถึงระยะไกล จากนั้นแฮกเกอร์จะสร้างแรนซัมแวร์ “LockBit 3.0” ที่รั่วไหลออกมาเพื่อสร้างตัวแปรแรนซัมแวร์แบบกำหนดเอง (“LB3.exe”) ที่นำเหยื่อไปยังกลุ่ม Telegram ที่กำหนดไว้ซึ่งจัดการโดยผู้ดูแลระบบที่รู้จักในชื่อ “EVA”
ขณะเดียวกันก็ยังคงซ่อนบริการทดสอบการเจาะระบบที่ถูกกฎหมายไว้ และแก๊งนี้เองที่มีส่วนร่วมในการก่อเหตุคุกคามต่างๆ เช่น การขายข้อมูลที่ขโมยมา การโจมตี DDoS และ การแรนซัมแวร์ เป็นต้น เราจึงสามารถเห็นการผสมผสานที่มีความซับซ้อนระหว่างความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและองค์กรอาชญากรรมได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ความปลอดภัยยังพบอีกว่า แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือแฮกหลายตัวในการดำเนินการโดยปรับใช้เครื่องมือการเข้าถึงระยะไกล Cobalt Strike บน IP address
โดยใช้รหัสสิทธิ์ที่ถอดรหัสแล้ว และทิ้งไฟล์อันตรายที่มีเครื่องมือโจมตีเพิ่มเติมไว้ จากนั้นแฮกเกอร์จะติดตั้งรายละเอียดของคำสั่งและการควบคุมที่เรียกว่า Viper ซึ่งกำหนดค่าบนพอร์ตและค่าเริ่มต้น SSL certificates เพื่อจัดการโครงสร้างพื้นฐานของการโจมตี โดยการใช้ฟังก์ชัน Metasploit (vipermsf) ในตัวของ Viper ทำให้สามารถปลอมแปลงเอดับบลิวเอสที่โฮสต์เว็บไซต์ WordPress ผ่านช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในปลั๊กอิน WPCargo
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงระบบในระดับที่สูงมากขึ้นได้ แฮกเกอร์เลือกใช้เครื่องมือในการเพิ่มระดับสิทธิ์ คือ CDK เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของคอนเทนเนอร์ และ Traitor เพื่อเพิ่มสิทธิพิเศษของ Linux หลายรายการ
ดูเหมือนเป้าหมายสุดท้ายของแฮกเกอร์คือ การใช้ LockBit ransomware ที่เชื่อมโยงกับช่องทาง Telegram “You Dun” เพื่อมุ่งเป้าการโจมตีไปที่องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น องค์กรภาครัฐ สถาบันการศึกษา สถานพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และภาคโลจิสติกส์ ในหลายประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ ไทย เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และ อิหร่าน
สุดท้ายผมขอฝากว่า เวลานี้เข้าใกล้ช่วงวันหยุดตามเทศกาล และวันสุดยาวสิ้นปีแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหล่าบรรดาแฮกเกอร์จะเลือกออกปฏิบัติโจมตีระบบขององค์กรต่างๆ เพราะต้องอย่าลืมว่าแฮกเกอร์สามารถหาวันหยุดของแต่ละประเทศได้ผ่านโลกออนไลน์
ดังนั้นจึงเลือกโจมตีแบบล็อกเป้าได้อย่างสบายๆ ผมจึงอยากให้ทุกองค์กรระมัดระวัง เตรียมแผนตั้งรับและเครื่องมือในการป้องกันระบบ รวมถึงติดต่อทีม incident Response ที่จะต่อสู้กับภัยคุกคามครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ประโยคขอร้องในภาษาอังกฤษ ใช้ยังไงให้สุภาพ

ประโยคขอร้องในภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องเรียนรู้ไว้เพื่อขอความช่วยเหลือในยามจำเป็น ในบทความนี้จะพูดถึงประโยคขอร้องในภาษาอังกฤษแบบสุภาพ สามารถพูดได้กี่แบบ แต่ละประโยคใช้ในสถานการณ์ไหน และใช้ยังไงให้สุภาพ พร้อมตัวอย่างประกอบ
ประโยคขอร้องแบบสุภาพในภาษาอังกฤษ
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Would you please…?
ตัวอย่างเช่น
- Would you please pass me the salt?
คุณช่วยส่งเกลือให้ฉันหน่อยได้ไหม
- Would you please help me with this heavy box?
คุณช่วยฉันยกกล่องหนักๆ นี้หน่อยได้ไหม?
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Could you please…?
ตัวอย่างเช่น
- Could you please turn off the lights when you leave the room?
คุณช่วยปิดไฟเมื่อออกจากห้องได้ไหม?
- Could you please send me the email attachment again?
คุณช่วยส่งไฟล์แนบอีเมลมาให้ฉันอีกครั้งได้ไหม
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Would you mind…?
ตัวอย่างเช่น
- Would you mind closing the window? It’s getting chilly in here.
คุณช่วยปิดหน้าต่างให้หน่อยได้ไหม? ที่นี่อากาศเริ่มหนาวแล้ว
- Would you mind lending me your pen for a moment?
คุณช่วยให้ฉันยืมปากกาของคุณสักครู่ได้ไหม?
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Do you mind…?
ตัวอย่างเช่น
- Do you mind if I borrow your car for a few hours?
คุณรังเกียจไหมถ้าฉันขอยืมรถของคุณสักสองสามชั่วโมง?
- Do you mind turning down the volume on the TV? I’m trying to study.
คุณช่วยลดระดับเสียงของทีวีลงได้ไหม? ฉันกำลังพยายามเรียน
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Could you possibly…?
ตัวอย่างเช่น
- Could you possibly lend me a hand with moving this furniture?
คุณช่วยฉันย้ายเฟอร์นิเจอร์นี้หน่อยได้ไหม?
- Could you possibly give me a ride to the airport on Saturday.
คุณช่วยไปส่งฉันที่สนามบินในวันเสาร์ได้ไหม
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Would you kindly…?
ตัวอย่างเช่น
- Would you kindly wait a moment while I finish this task?
คุณช่วยรอสักครู่ในขณะที่ฉันทำงานนี้ให้เสร็จได้ไหม?
- Would you kindly turn off your cell phone during the movie?
คุณช่วยปิดโทรศัพท์มือถือของคุณระหว่างดูหนังได้ไหม?
ขอร้องอย่างสุภาพ โดยขึ้นต้นว่า Can I ask you to…?
ตัวอย่างเช่น
- Can I ask you to teach me how to use this software program?
ฉันขอให้คุณสอนวิธีใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์นี้ให้ฉันได้ไหม
- Can I ask you to forgive me for my mistake?
ฉันขอให้คุณยกโทษให้ฉันในความผิดพลาดของฉันได้ไหม?
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เทคนิคกิน “กล้วยน้ำว้า” ให้ได้แคลเซียม 5 เท่า กระดูกพรุน วัยทอง หญิงสูงวัยหายห่วง

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนซึ่งหากเป็นช่วงวัยทองก็จะส่งผลให้กระบวนการสร้างกระดูกลดลง ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง เปราะง่าย เสี่ยงต่อการหักได้ง่ายขึ้น
สารอาหาร มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพกระดูก การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดี จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน
และแคลเซียมก็คือหนึ่งในสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญ และทราบหรือไม่ว่า “กล้วยน้ำว้า” เป็นผลไม้ที่ให้แคลเซียมซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก
อย่างไรก็ตามการกินกล้วยน้ำว้าปกตินั้นให้แคลเซียมและวิตามินต่างๆ มากมาย แต่หากเรานำกล้วยน้ำว้าไปผ่านความร้อนไม่ว่าจะปิ้ง หรือต้มปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า ดังนั้นจึงแนะนำให้กินกล้วยปิ้ง หรือต้มวันละ 1 ลูกก็จะได้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/12/2567
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 43,050.00 | 42,950.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 43,550.00 | 42,175.12 | 2,782.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 43,706.28 | 2,883.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 37,957.61 | 2,503.80 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 33,740.10 | 2,225.60 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 18,980.32 | 1,252.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 14,765.84 | 974.00 |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 36.35 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.98 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.64 | 33.64 | 34.24 | 33.64 | 33.64 | – | 33.64 | 33.64 | 33.64 | 33.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.39 | 33.39 | – | – | – | – | – | – | – | 33.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 44.04 | – | – | – | 49.81 | – | 44.54 | 44.19 | – | 44.04 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 31.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |