สัมมากร ชูHolistic Wellbeing นำร่องพาร์ค เฮอริเทจ

“สัมมากร” ตอบรับเทรนด์ที่อยู่อาศัยปี 2568 สู่ยุค Holistic Wellbeing พร้อมนำร่องโครงการ พาร์ค เฮอริเทจ ตอบโจทย์สุขภาพและความปลอดภัยจับมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชจัดคอร์สเทรนนิ่งแก่บุคลากรประจำโครงการให้สามารถเรียนรู้ทักษะการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน
ในช่วงปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกไปอย่างมาก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของความต้องการในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน ที่อยู่อาศัยไม่เพียงแค่เป็นที่หลับนอนอีกต่อไป แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่ดูแลสุขภาพได้อย่างครบวงจร หรือที่เรียกว่าการออกแบบบ้านตามแนวคิด “Holistic Wellbeing” ซึ่งตอบโจทย์สุขภาพทั้งร่างกาย จิตใจ และความสุขโดยรวมของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านระดับ High-Class และ Super Luxury ที่คาดว่าจะเติบโตในปี 2568
ชัชวีร์ พรปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปีนี้เราร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชจัดคอร์สเทรนนิ่งแก่บุคลากรประจำโครงการให้สามารถเรียนรู้ทักษะการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (First Aid & CPR) ซึ่งนำร่องที่โครงการพาร์ค เฮอริเทจ( Park Heritage) เป็นแห่งแรก ก่อนขยายผลสู่โครงการอื่นในอนาคต โดยทางสมิติเวชได้มาถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งภาคทฤษฎี การฝึกสมาธิและจิตใจให้สามารถรับมือเหตุไม่คาดฝัน ตลอดจนฝึกภาคปฏิบัติกับหุ่นจำลองในการช่วยเหลือผู้ป่วย CPR อย่างถูกวิธี
สัมมากรได้เล็งเห็นเทรนด์นี้และได้ออกแบบโครงการบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ โดยเฉพาะโครงการPark Heritageที่เป็นการนำร่องในแนวคิดนี้ ด้วยการให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ โดยคำนึงถึงการออกแบบที่รองรับทั้งการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ พร้อมทั้งการเตรียมพร้อมในยามฉุกเฉิน ด้วยการฝึกอบรมบุคลากรโครงการให้มีทักษะการปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานและการช่วยชีวิตอย่างถูกต้อง
สัมมากรเชื่อว่าการออกแบบที่อยู่อาศัยในยุคนี้ต้องตอบสนองต่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หรือที่เรียกว่าHolistic Wellbeing ซึ่งไม่ได้แค่เพียงให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ เช่น อิฐมวลเบา Q-Con ที่ช่วยระบายความร้อน และระบบการระบายอากาศที่ดี (ERV) เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับอากาศบริสุทธิ์ตลอดเวลา พร้อมกับการออกแบบที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น หน้าต่างกระจกเต็มบานที่สูงจากพื้นจรดเพดาน เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้สัมผัสกับวิวธรรมชาติอย่างไม่จำกัด
นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ผสานการออกแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัย (Modern Classic) กับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ตัวโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบายใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์หรูหรา และห่างจากทองหล่อเพียง 4 กิโลเมตร หรือ 1.7 กิโลเมตรจากทางด่วนฉลองรัชฯ
ความหรูหราของ Park Heritage ไม่ได้อยู่แค่ในด้านการออกแบบและวัสดุที่เลือกใช้อย่างพิถีพิถัน แต่ยังมีความสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งมีบ้านเพียง 32 ยูนิต และออกแบบเป็น Cluster Zone เพื่อให้แต่ละยูนิตมีความเป็นส่วนตัวและสงบที่สุด ในราคาที่เริ่มต้นที่ 59 ล้านบาท ทำให้โครงการนี้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มองหาบ้านระดับ Super Luxury
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“เพอร์เฟค” พร้อมจ่ายหุ้นกู้ 2,100 ล้าน ลุยระบายสต็อก-เปิด 4 โครงการใหม่

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค โชว์ความพร้อมชำระหุ้นกู้ 2,100 ล้านบาท ครบกำหนด 11 ก.พ. 68 รวมถึงชำระหุ้นกู้รอบถัดไปในไตรมาส 2 ด้านแผนธุรกิจปีนี้มุ่งระบายสต็อกเดิม พร้อมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ประกาศความพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 2,100 ล้านบาท ที่ครบกำหนดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมเตรียมเงินสำหรับชำระหุ้นกู้รอบถัดไปในไตรมาส 2 จากการขายที่ดิน ขายการลงทุน รายได้จากโครงการ และออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ด้านแผนธุรกิจปีนี้มุ่งระบายสต็อกเดิม พร้อมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท
นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้างรายได้และกำไรควบคู่ไปกับการจัดการสภาพคล่อง โดยล่าสุดบริษัทได้เตรียมชำระคืนหุ้นกู้ชุดที่ 2/2565 มูลค่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมเงินทุนสำหรับชำระคืนหุ้นกู้รอบถัดไปในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2568 รวม 3,130 ล้านบาท ผ่านแหล่งเงินทุนจากการขายที่ดิน 2 แปลง ได้แก่ ที่ดิน 3.5 ไร่ในทำเลรัชดาภิเษก 17 และที่ดิน 80 ไร่บนถนนรามคำแหง คิดเป็นมูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท
รวมถึงแผนขายการลงทุน เช่น ที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาของบริษัทร่วมทุน และการรับคืน Shareholder Loan อีก 300 ล้านบาท บริษัทยังได้รับกระแสเงินสดจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ “อยู่รวยคอนโด” ที่ได้รับการตอบรับดีจากแคมเปญสนับสนุนบ้านเพื่อคนไทย

โดยมียอดขายแล้ว 200 ล้านบาท และคาดว่าจะโอนได้อีก 400 ล้านบาทภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และมีแผนออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อเสริมสภาพคล่อง
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2568 บริษัทยังคงเน้นระบายสต็อกโครงการเดิมเป็นหลัก โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 โครงการ และทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ ซึ่งเดิมวางแผนเปิดตัวตั้งแต่ปีก่อน ปัจจุบัน เพอร์เฟ็คมีโครงการที่เปิดขายอยู่ทั้งสิ้น 51 โครงการ รวมโครงการร่วมทุน
ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายจากโครงการลักชัวรีในกรุงเทพฯ และเขาใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้หลัก โดยปีที่ผ่านมา บ้านระดับบนคิดเป็น 40% ของยอดขายรวมของบริษัท ขณะเดียวกัน จะเร่งทำตลาดคอนโดมิเนียมกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้า เช่น สุขุมวิท วุฒากาศ และพัฒนาการ ตั้งเป้ายอดขายจากลูกค้าต่างชาติในปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ก.พ. อ่อนค่าใกล้แตะ 34 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังเสี่ยงเผชิญความผันผวนในลักษณะ Two-Way Volatility ขึ้นกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ก.พ.2568ที่ระดับ 33.96 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.91 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท การทยอยอ่อนค่าลงของเงินบาทในช่วงนี้ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0
ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยงกลับมาเป็นแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ไม่ยาก ตามกลยุทธ์ Trend Following หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
(สอดคล้องกับมุมมองล่าสุดของเราในบทวิเคราะห์เงินบาทเดือนกุมภาพันธ์ในวันก่อนหน้า) ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญความผันผวนในลักษณะ Two-Way Volatility ซึ่งจะขึ้นกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่สุดท้ายจะกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาได้ช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หากราคาทองคำเริ่มย่อตัวลงบ้าง ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ ซึ่งเรามองว่า ในเชิงเทคนิคัล ราคาทองคำก็เสี่ยงที่จะย่อตัวลงได้ไม่ยากในช่วงระยะสั้นนี้ หลัง RSI ได้เข้าสู่โซน Overbought มาอย่างต่อเนื่อง
หากเงินบาททยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านถัดไปช่วง 34.20 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก แต่หากเงินบาทยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้านได้ ก็อาจมีแนวรับแถวโซน 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ และยังคงมีโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นโซนแนวรับสำคัญในช่วงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.82-33.97 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ดังจะเห็นได้จากการพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะ เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อย่างไรก็ดี ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงหนุนความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง ทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) ทะลุโซน 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ก็พอช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
แม้ว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกกดดันจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการทยอยรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia +2.9% ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.67%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.58% ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธีม AI/Semiconductor ก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง อาทิ ASML +2.0% ทว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกจำกัด จากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 4.50% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินของสภาผู้แทนฯ ของประธานเฟด ก่อนที่จะปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ทั้งนี้ เรายังคงมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะขึ้นกับการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในสัปดาห์นี้ โดยเราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่มีความน่าสนใจและคุ้มค่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ต่างอ่อนค่าลง ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.1-108.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความต้องการถือครองทองคำ เพื่อรับมือความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถวโซน 2,940-2,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มากนัก ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ และมีโอกาสราว 86% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง หรือ 25bps ในปีหน้า
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลางหลักเช่นกัน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 54% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 4 ครั้ง หรือ 100bps ส่วน BOE ยังมีโอกาสราว 58% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง หรือ 75bps หลังทั้งสองธนาคารกลางได้ลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“มด-วิภาวี” เจ็บหนัก วอลเลย์บอลหญิงไทยลุ้นหายทันแข่งศึกใหญ่ปีนี้

“มด” วิภาวี ศรีทอง มือตบหัวเสาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย บาดเจ็บหัวเข่าบิดในการรับใช้ต้นสังกัดลีกเกาหลีใต้ ถึงกับโดนหามออกจากสนาม ลุ้นหายทันช่วยทีมชาติในรายการใหญ่ปีนี้
หลังเกิดเหตุการณ์ระทึกดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 7 ก.พ. 2568 เมื่อ วิภาวี ศรีทอง บาดเจ็บที่หัวเข่าซ้ายจากจังหวะกระโดดตบแล้วลงพื้นในเซตที่ 3 ซึ่ง เร้ด สปาร์กส์ นำอยู่ 17-13 ในศึกโคโว วี-ลีก เกาหลีใต้ ฤดูกาล 2024-25 ก่อนต้นสังกัด ฮุนได ฮิลล์สเตรท พ่ายไป เร้ด สปาร์คส์ 1-3 เซต
หลังเกิดเหตุระทึก ทีมแพทย์ของสโมสรเร่งนำตัวดาวตบวัย 26 ลงเปลเพื่อนำส่งโรงพยาบาลเช็กอาการด่วน โดยยังไม่มีการยืนยันถึงอาการอย่างเป็นทางการจากต้นสังกัด แต่มีโอกาสพักยาวในช่วงที่เหลือของฤดูกาล พร้อมทั้งส่งผลกระทบกับทีมชาติไทยในการแข่งขันระดับนานาชาติที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นเนชันส์ ลีก 2025, ศึกชิงแชมป์โลก 2025 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ รวมถึงซีเกมส์ 2025 ในช่วงปลายปีนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
หมอสมองเตือน นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง เสี่ยงอัมพาต 82% แนะวิธีแก้ช่วงกลางวัน

อาจารย์หมอสุรัตน์ เตือน คนนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง เสี่ยงอัมพาต 82% แนะให้ทำวิธีนี้ช่วงกลางวัน ช่วยลดความเสียงได้
(9 ก.พ.68) ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท เปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊ก “สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์” ว่า…
“ใครนอน < 6 ชม. แต่ไม่งีบกลางวัน เสี่ยงอัมพาต 82%
การนอนหลับน้อย กับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ในผู้ที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
การศึกษานี้พบว่า การนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะใน ผู้หญิง, ผู้ที่มีอายุ 45–65 ปี และผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
- นอน ≤6 ชั่วโมง/คืน → ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 65% (HR = 1.65)
- นอนรวม
- นอน ≤6 ชั่วโมง + ไม่นอนกลางวัน → ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 82% (HR = 1.82)
ข้อสรุป
- การนอนหลับสั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระของโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม
- การงีบหลับ (1–60 นาที) อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอ
- การดูแลสุขภาพการนอน เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
สุขภาพการนอน #ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง #เมตาบอลิกซินโดรม”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
DeepSeek โผล่มาจากไหน

จู่ๆ ก็เสมือนมีดรามาฟุตบอลเมื่อทีมหนึ่งนำอยู่ 2-0 เหลืออีก 10 นาทีจะหมดเวลา แต่แล้วอีกทีมก็ยิงไป 2 ลูกติดกัน จนกระทั่งเสมอกันไป การแข่งขันนี้เปรียบเสมือนสงครามด้าน AI
คนในโลกบ้าคลั่ง AI ตลอดเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา ผลงานที่โดดเด่นล้วนมาจากค่ายสหรัฐ เช่น GPT และ CODEX (ของบริษัท OpenAI) Gemini และ Wave Net (ของ Google) MAI-1 และ Copilot (ของ Microsoft) Olympus (ของ Amazon) ฯลฯ ค่ายยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะจีนนั้นเรียกได้ว่าไม่ดังเท่า
แต่แล้วจู่ๆ ในเดือน ม.ค.ต้นปี 2568 บริษัทจีนชื่อ DeepSeek ก็ปล่อย AI ชื่อ DeepSeek-V3 ออกมาและตามมาด้วย DeepSeek-R1 ในเวลาอีก 10 วันต่อมาคือ 20 ม.ค.2568 จนโลกตะลึงเพราะใช้งานได้ดีไม่ต่างจาก AI ลักษณะเดียวกันเช่น GPT ซึ่งผลิตออกมาเป็นซีรีส์ แต่ที่ตกใจก็เพราะผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าโมเดลของสหรัฐหลายเท่าตัว
ความจริงนี้สร้างความปั่นป่วนให้แก่ราคาหุ้นของบริษัทผลิต AI เเละธุรกิจอื่นที่เกี่ยวพัน เพราะอุปมาเหมือนกับมีร้านก๋วยเตี๋ยวใหม่ที่ขายก๋วยเตี๋ยวเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่า 2 เท่าขึ้นไป อย่างนี้ร้านเก่าจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
ที่จริงโลกรู้จักสตาร์ตอัปของจีนที่ชื่อว่า DeepSeek ที่มีผู้ก่อตั้งคือคนจีนชื่อ Liang Wenfeng ตั้งแต่เมื่อเดือน ธ.ค.2566 แล้ว เมื่อปล่อย AI ที่เป็นโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ในปี 2567
อย่างไรก็ดีไม่มีข่าวเล็ดลอดมาว่ากำลังจะทำอะไรใหญ่โตจนกระทั่งระเบิดตูมตามออกมาในเดือน ม.ค. ดังที่กล่าวมา ไม่แน่ใจว่าตั้งใจให้ตรงกับช่วงเวลาที่ Trump สาบานตนเป็นประธานาธิบดีเพื่อท้าทายหรือไม่
DeepSeek-V3 เป็น AI ที่ใช้ได้ในหลายภาษา ช่วยเหลือด้านภาษา เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คำนวณด้านคณิตศาสตร์ ส่วน DeepSeek-R1 นั้นเน้นความสามารถด้านการใช้เหตุผลเหมือนมนุษย์ ไม่ว่าในด้านตรรกวิทยา ด้านคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ไขปัญหาแบบเรียลไทม์ ฯลฯ
โมเดล R-1 ทำงานได้ไม่แพ้ OpenAI ในเวอร์ชันแรกๆ จุดเด่นก็คือเป็นซอฟต์แวร์เเบบ open source ซึ่งหมายถึงใครก็สามารถเข้าไปใช้ได้ (ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไข เช่น จ่ายเงิน) ใครก็สามารถนำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับงานที่ตนเองทำได้
และเมื่อปรับปรุงแล้วก็ยังนำมาแชร์กันได้อีก สามารถมองเห็นได้ว่าระบบทำงานอย่างไร สามารถเห็นโปรแกรมที่เขียนว่ามีความเสี่ยงจากการแอบมีจุดอ่อนไว้เพื่อหาประโยชน์ในภายหลัง
ที่โดดเด่นมากของ DeepSeek AI ของจีนก็คือใช้เงินน้อยกว่ามากในการพัฒนา AI ลักษณะเดียวกันเเละขนาดใกล้เคียงกัน เช่น โมเดลของ META ใช้เงินหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ DeepSeek ใช้เงินต่ำกว่าหกล้านเหรียญ หรือต่ำกว่าประมาณ 2 เท่าขึ้นไป
ยิ่งไปกว่านั้น AI จีนใช้ชิปชั้นรองลงมาด้วยจำนวนที่น้อยกว่าอีกด้วย กล่าวคือโมเดลของ META ใช้ชิปชั้นเลิศ 16,000 ตัว ในขณะที่ DeepSeek ใช้ชิปชั้นรองลงมาด้วยจำนวน 2,010 ตัวเท่านั้น
การเปิดตัวของ DeepSeek ในลักษณะนี้คล้ายกับตบหน้าสหรัฐที่พยายามกีดกันไม่ให้จีนสามารถซื้อชิปชั้นเลิศ ไม่ให้ได้รับเทคโนโลยีผลิตชิปชั้นเลิศ อีกทั้งห้ามมิให้ขายเครื่องมือ อุปกรณ์ วัตถุดิบ ให้แก่จีนเพื่อการผลิตชิปชั้นเลิศ
อย่างไรก็ดี จีนแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะกลั่นแกล้งอย่างไรเพื่อมิให้จีนแซงหน้าได้ ก็สามารถมีนวัตกรรมที่ใช้ชิปชั้นรองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
ถึงแม้ในตอนแรกสหรัฐดูจะนำหน้าจีนในเรื่อง AI ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีไปอย่างมากแต่ปัจจุบันเห็นแล้วว่ากำลังไล่ตามมาอย่างแรง หรืออาจล้ำหน้าไปแล้วก็ได้หากคำนึงถึงการใช้ชิปซึ่งไม่ใช่สุดยอดของประดิษฐกรรมในปัจจุบันในการผลิต AI ซึ่งทำงานไม่แตกต่างกันแต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ากันมาก
ผู้เขียนได้เข้าไปใช้แอปพลิเคชัน DeepSeek ซึ่งฟรีโดยถามคำตอบและตอบโต้กันด้วยภาษาไทย มันสามารถตอบคำถามที่ใช้ความคิดและเหตุผลได้ดีพอควร (“ทำไมไทยไม่เสียเอกราชตกเป็นประเทศอาณานิคม”) แต่ยังแปลอังกฤษเป็นไทย และกลับกันไม่ได้ คิดว่าในเวลาอีกไม่นานคงจะพัฒนาเช่นเดียวกับโมเดลของ GPT
สื่อต่างประเทศเรียกการเปิดตัวของ DeepSeek AI เรื่องนี้ว่าเป็น “Sputnik Moment” ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ในปี 2500 ที่สหภาพโซเวียตสามารถส่งดาวเทียมไปนอกโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
คนอเมริกันรู้สึกช็อกที่ถูกแซงหน้าจนเกิดความรู้สึกว่าต้องลงมือกระทำทันทีอย่างรอไม่ได้หากจะอยู่ในการแข่งขันด้วย นั่นก็คือการเกิดองค์การ NASA จนชนะสามารถเหยียบดวงจันทร์ได้ในปี 2512
Liang Wenfeng ผู้ตั้งบริษัท DeepSeek ผู้ปลุก “Sputnik Moment” เกิดในปี 2528 ในมณฑลกวางตุ้ง จบวิศวะ IT จาก Zhejiang University เขาตั้งบริษัท Hedge Fund ในปี 2558 และได้ใช้ AI ช่วยในการค้าหุ้นจนมีเงินพอมาตั้งบริษัท และใช้เป็นทุนในการวิจัย เขาสะสมชิป Nvidia GPU ไว้ถึง 10,000 หน่วย เพื่อใช้ในการสร้างโมเดล AI จนสำเร็จ
Wenfeng ผู้ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงในวัยเพียง 40 ปี ไม่ต้องการเป็นคนเด่นดัง เขาบอกว่าจุดประสงค์ของเขาในการสร้าง AI เช่นนี้ขึ้นมา “มิใช่เพื่อเสียเงิน หรือได้กำไรมหาศาล หากต้องการอยู่แถวหน้าของเทคโนโลยีและส่งเสริมระบบนิเวศทั้งหมด”
บริษัทเล็กๆ ของเขาตัดหน้า 4 ยักษ์ใหญ่ของจีนคือ Baidu, Alibaba, Tencent และ Xiaomi ต่อนี้ไป AI ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างผลิตภาพไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินทุนมหาศาลอีกต่อไปประเทศเล็กๆ ก็มีโอกาสสร้างเองได้
AI น่าจะเป็นตัวเปลี่ยนชีวิตของมนุษยชาติในทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกเมื่อ 265 ปีก่อน แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ถ้ามนุษย์ไม่สามารถกำกับควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้บอกว่า “เทคโนโลยีคือคนรับใช้ที่มีประโยชน์ แต่เป็นนายที่อันตราย”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
การบอกเวลาและการนัดหมายภาษาอังกฤษ : ทักษะพื้นฐานที่ควรรู้

วิธีการบอกเวลาในภาษาอังกฤษ: รูปแบบและคำศัพท์สำคัญ
การบอกเวลาในภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบและคำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับเวลา ช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รูปแบบการบอกเวลา
- แบบ British English รูปแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) ใช้คำว่า AM (ante meridiem) สำหรับช่วงเช้า หลังเที่ยงคืน – ก่อนเที่ยงวันและ PM (post meridiem) สำหรับช่วงบ่าย หลังเที่ยงวัน – ก่อนเที่ยงคืน ตัวอย่าง เช่น
7:00 AM – seven o’clock in the morning เจ็ดโมงเช้า
7:00 PM – seven o’clock in the afternoon หนึ่งทุ่ม
- แบบ American English รูปแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) นิยมใช้ในแบบทางการ เช่น ตารางการเดินทาง ตัวอย่าง เช่น
07:00 – seven o’clock เจ็ดโมงเช้า
19:00 – nineteen o’clock หนึ่งทุ่ม
- คำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับเวลา
- O’clock สำหรับการบอกเวลาที่เป็นชั่วโมงตรง เช่น 3:00 – Three o’clock
- Hour ชั่วโมง, Minute นาที, Second วินาที เช่น It takes 1 hour 10 minutes 40 seconds to walk from home to my school. ใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมง 10 นาที 40 วินาทีจากบ้านไปถึงโรงเรียนของฉัน
- past หรือ to เพื่อระบุนาที เช่น 3:15 – A quarter past three, 2:45 – A quarter to three
- Half past ครึ่งชั่วโมง เช่น 4:30 – Half past four
- Quarter สิบห้านาที เช่น 5:15 – A quarter past five
- Midnight เที่ยงคืน เช่น You didn’t get to bed until after midnight คุณไม่ได้เข้านอนจนกระทั่งหลังเที่ยงคืน
- Midday/Noon เที่ยงวัน เช่น we have lunch at noon. เรารับประทานอาหารตอนเที่ยงตรง
การนัดหมายในภาษาอังกฤษ: การใช้ประโยคและวลีที่เหมาะสม
เมื่อต้องการจัดการหรือตกลงการนัดหมายกับผู้อื่น การใช้ประโยคและวลีที่เหมาะสมช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนและมีความเป็นมืออาชีพ
- การเริ่มต้นนัดหมาย
“Can we schedule a meeting for tomorrow?”
เราสามารถนัดประชุมสำหรับวันพรุ่งนี้ได้ไหม?
“What time works best for you?”
เวลาไหนที่สะดวกสำหรับคุณที่สุด?
- การเสนอเวลา
“How about 3 PM?”
บ่ายสามโมงเป็นอย่างไร?
“Would 10 AM be convenient for you?”
สิบโมงเช้าสะดวกสำหรับคุณไหม?
- การยืนยันการนัดหมาย
“Let’s meet at 2 PM on Monday.”
เรามาเจอกันตอนบ่ายสองวันจันทร์
“I’ll see you at the agreed time.”
เจอกันตามเวลาที่ตกลงกันไว้
การใช้ประโยคเพื่อยืนยันและเปลี่ยนแปลงนัดหมาย
บางครั้งการยืนยันและการเปลี่ยนแปลงนัดหมายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเข้าใจผิดต่อกันได้
- 1. การยืนยันนัดหมาย
“Just confirming our meeting at 10 AM tomorrow.”
ขอยืนยันการนัดของเราตอนสิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้
“Is our appointment still on?”
การนัดของเรายังอยู่ใช่ไหม?
- การเปลี่ยนแปลงนัดหมาย
“Can we reschedule to a later time?”
เราสามารถเปลี่ยนเวลาเป็นเวลาที่ช้ากว่านี้ได้ไหม?
“I need to change our meeting to 4 PM instead of 2 PM.”
ฉันต้องเปลี่ยนการประชุมเป็นบ่ายสี่แทนบ่ายสอง
การตอบรับและปฏิเสธนัดหมายอย่างมืออาชีพ
การตอบรับหรือปฏิเสธคำเชิญนัดหมายอย่างสุภาพสามารถสร้างความประทับใจและยังแสดงถึงมารยาทที่ดี
- การตอบรับนัดหมาย
“That works perfectly for me. Thank you!”
นั่นเป็นเวลาที่ดีสำหรับฉัน ขอบคุณ!
“I’ll be there. Looking forward to it.”
ฉันจะไป รอคอยที่จะได้พบกัน
“Thank you for the invitation. I’d be happy to meet on Tuesday at 10 AM.”
ขอบคุณสำหรับคำเชิญ ฉันยินดีที่จะพบกันวันอังคารตอน 10 โมงเช้า
“I’m available at the suggested time and look forward to our meeting.”
ฉันสะดวกตามเวลาที่คุณเสนอและตั้งตารอการประชุมของเรา
“That time works perfectly for me. See you then!”
เวลานั้นเหมาะสำหรับฉันมาก แล้วเจอกัน
“I’ve added the meeting to my calendar. I’ll see you on Wednesday at 3 PM.”
ฉันได้เพิ่มการประชุมลงในปฏิทินแล้ว แล้วเจอกันวันพุธตอนบ่ายสาม
“I’m looking forward to our discussion. Let’s meet at the agreed time and place.”
ฉันตั้งตารอการพูดคุยของเรา เจอกันตามเวลาที่ตกลงไว้
“I’ll make sure to be on time. Thank you for organizing this meeting.”
ฉันจะมั่นใจว่าจะไปตรงเวลา ขอบคุณที่จัดการประชุมนี้
“I confirm my availability for the meeting on Friday at 2 PM. See you there!”
ฉันขอยืนยันความสะดวกของฉันสำหรับการประชุมวันศุกร์ตอนบ่ายสอง แล้วเจอกันค่ะ/ครับ
- การปฏิเสธนัดหมาย
“Can we arrange for another time?”
เราสามารถนัดหมายเป็นเวลาอื่นได้ไหม?
“Thank you for the invitation, but I’m unavailable at that time.”
ขอบคุณสำหรับคำเชิญ แต่ฉันไม่สะดวกในเวลานั้น
“Unfortunately, I have a prior commitment at that time. Could we reschedule?”
น่าเสียดายที่ฉันมีนัดหมายอื่นในเวลานั้น เราสามารถเลื่อนเวลาได้ไหม
“I appreciate the opportunity, but I’m unable to attend the meeting on Monday.”
ขอบคุณสำหรับโอกาสนี้ แต่ฉันไม่สามารถเข้าร่วมประชุมในวันจันทร์ได้
“I regret to inform you that I won’t be able to join due to a scheduling conflict.”
ฉันเสียใจที่ต้องแจ้งว่าฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากตารางเวลาไม่ลงตัว
“I’m unable to attend this time, but I’d be happy to join the next meeting if possible.”
ฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้ครั้งนี้ แต่ยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งหน้าหากเป็นไปได้
“I won’t be able to participate due to unforeseen circumstances, but I’m open to discussing alternatives.”
ฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ยินดีที่จะพูดคุยทางเลือกอื่น
“Apologies, I’m tied up during that time. Would another day work for you?”
ขอโทษด้วย ฉันติดภารกิจในเวลานั้น มีวันอื่นที่สะดวกสำหรับคุณไหม
ตัวอย่างประโยคเกี่ยวกับการบอกเวลาและการนัดหมาย
- ตัวอย่างการบอกเวลา
- “It’s ten minutes past six.” ตอนนี้หกโมงสิบ
- “The train leaves at half past nine.” รถไฟออกตอนเก้าโมงครึ่ง
- The meeting starts at 2:15 การประชุมเริ่มตอนบ่ายสองสิบห้านาที
- It’s half past six in the evening. ตอนนี้หกโมงครึ่งเย็น
- We’ll leave at a quarter to five. เราจะออกเดินทางตอนสี่โมงสี่สิบห้านาที
- The flight departs at 11:45 เที่ยวบินออกตอนเช้าเวลา 11 โมง 45 นาที
- It’s ten past three. ตอนนี้สามโมงสิบ
- Lunch is scheduled for 12:30 อาหารกลางวันกำหนดไว้เวลาเที่ยงครึ่ง
- It’s almost 7 o’clock in the evening. ตอนนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว
- ตัวอย่างการนัดหมาย
- การนัดประชุมงาน
“Let’s schedule the meeting for Thursday at 3 PM.”
มาจัดประชุมวันพฤหัสฯ ตอนบ่ายสามกันเถอะ
- การนัดสัมภาษณ์งาน
“We’d like to invite you for an interview next Monday at 10 AM.”
เราขอเชิญคุณมาสัมภาษณ์งานวันจันทร์หน้าตอนสิบโมงเช้า
- การนัดพบแพทย์
“Can I book an appointment with Dr. Somchai for Friday morning?”
ฉันขอจองนัดกับหมอสมชายเช้าวันศุกร์ได้ไหม
- การนัดพบเพื่อน
“How about meeting for coffee at 4 PM tomorrow?”
ไปดื่มกาแฟตอนสี่โมงเย็นพรุ่งนี้ไหม
- การนัดทานข้าวเย็น
“Let’s have dinner together at 7 PM this Saturday.”
ไปทานข้าวเย็นด้วยกันตอนหนึ่งทุ่มวันเสาร์นี้
- การนัดเรียนหรือติว
“Can we meet at the library at 2 PM to study together?”
เราเจอกันที่ห้องสมุดตอนบ่ายสองเพื่อเรียนด้วยกันได้ไหม
- การนัดเพื่อพูดคุยงาน
“I’d like to set up a meeting to discuss the new project on Tuesday.”
ฉันอยากจัดนัดเพื่อพูดคุยเรื่องโครงการใหม่ในวันอังคาร
- การนัดท่องเที่ยว
“Let’s meet at the train station at 6 AM for the trip.”
มาเจอกันที่สถานีรถไฟตอนหกโมงเช้าสำหรับการเดินทาง
- การนัดช่างซ่อม
“The technician will come to your house at 10 AM tomorrow.”
ช่างจะมาที่บ้านคุณตอนสิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“ดอกหอม” กับประโยชน์ด้านสุขภาพมหาศาล

ดอกหอมเป็นช่อดอกของหอมแดง เป็นพืชล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะทรงกลม ลำต้นจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบๆ มีสีเขียว
ประโยชน์ของดอกหอม
ดอกหอมอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ ฟอสฟอรัส เบตาแคโรทีน วิตามินต่างๆ (วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 และบี 9) คาร์โบไฮเดรต เส้นใย ไขมัน เหล็ก สังกะสี ฟลูออไรด์ แคลเซียม น้ำตาล โปรตีน แมกนีเซียม แมงกานีส และโพแทสเซียม
ดอกหอมมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น อาการปวดตามข้อ ช่วยในการนอนหลับ บำรุงความจำ เจริญอาหาร และอาจมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอัมพาต นอกจากนี้ยังช่วยรักษาหวัดคัดจมูก ภูมิแพ้ หอบหืด ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ขับพยาธิ ขับปัสสาวะ ลดอาการปวดอักเสบ แก้ลมพิษ และแก้บวมแก้ปวดจากพิษต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/02/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 47,050.00 | 47,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,048.00 | 46,207.68 | 47,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,743.20 | 41,586.91 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,438.40 | 36,966.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,372.00 | 20,799.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,067.00 | 16,175.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,159.00 | 47,890.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/02/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.35 | 35.35 | 35.85 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.98 | 34.98 | 35.48 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.14 | 33.14 | 33.64 | 33.14 | 33.14 | – | 33.14 | 33.14 | 33.14 | 33.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.09 | 32.09 | – | – | – | – | – | – | – | 32.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.94 |
เบนซิน 95 | 43.64 | – | – | – | 49.81 | – | 44.14 | 43.79 | – | 43.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |