SCX ปักธงบางนา กม.20ยอดจองเฟสแรกพุ่งทะลุ 126%รับData Center

ดีมานด์โลจิสติกส์พุ่งดันอุตสาหกรรมโตไม่หยุด SCX Logistics กวาดยอดจองล้นเฟสแรก ส่งสัญญาณศักยภาพอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมฟื้นแรงจาก Data Center โรงงาน
ภายใต้ยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจรูปแบบ Engine2 ที่เน้นสร้างรายได้ประจำอย่างยั่งยืน (Recurring Income) บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด (SCX Corporation) ในเครือ SC Asset ตอกย้ำการเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ด้วยความสำเร็จของโครงการ SCX Logistics บางนา กม.20 ซึ่งสามารถกวาดยอดจองพื้นที่เช่าเฟสแรกได้ทะลุเป้าถึง 126% เต็ม 23,000 ตารางเมตร ก่อนวันส่งมอบจริงในเดือนมกราคม 2568
รชฎ นันทขว้างCEO บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด กล่าวว่า ยอดจองทะลุเป้า สะท้อนสัญญาณเชิงบวกชัดเจนจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่กำลังเร่งขยายตัว คือ Data Center, Manufacturing และ Logistics
ด้วยทำเลทอง “บางนา กม.20” บนพื้นที่กว่า 90 ไร่ จังหวัดสมุทรปราการ SCX Logistics ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ยุคใหม่ เชื่อมต่อกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับทั้งคลังสินค้าแบบพร้อมใช้ (Ready-Built) และแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) บนพื้นที่รวมทั้งโครงการกว่า 80,000 ตารางเมตร
เฟสแรกพัฒนาอาคารคลังสินค้า 2 ยูนิต รวมพื้นที่ 23,000 ตารางเมตร ซึ่งได้รับการตอบรับเกินคาด ขณะที่พื้นที่ส่วนที่เหลืออีก 50,000 ตารางเมตร เตรียมเปิดเฟสต่อไปในช่วงปี 2568-2569 เพื่อตอบรับความต้องการจากภาคเอกชนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
โครงการนี้ยังเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง SCX และ Tokyo Tatemono Thailand หนึ่งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น ซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาโครงการมากว่า 128 ปี สะท้อนศักยภาพการดึงดูดพันธมิตรระดับสากลเข้าสู่ตลาดไทย
การพัฒนา SCX Logistics ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการสร้างพื้นที่เช่า แต่คือการออกแบบ “โซลูชันด้านอสังหาฯ” ที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจยุคใหม่ ทั้งด้านความยืดหยุ่น โครงสร้างพื้นฐาน และการประหยัดต้นทุนในระยะยาว
“เราไม่ได้สร้างแค่คลังสินค้า แต่เราสร้าง ‘ความมั่นใจ’ ให้ลูกค้าทุกเซกเตอร์ ว่าอสังหาริมทรัพย์สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจของพวกเขาได้จริง”
นอกจากธุรกิจโลจิสติกส์แล้ว SCX Corporation ยังดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “The Prospering Expedition” และพันธกิจ “The Way Forward” โดยมีสายธุรกิจในเครือ เช่น SCX Hospitality และ SCX Working Solutions เสริมพอร์ตให้หลากหลาย พร้อมขับเคลื่อนด้วยทีมงานรุ่นใหม่ พันธมิตรแข็งแกร่ง และวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจลูกค้าและสิ่งแวดล้อม
การเริ่มต้นที่ “บางนา กม.20” จึงเป็นมากกว่าโครงการหนึ่งในแผนพัฒนา แต่นี่คือบทพิสูจน์ของ SCX ว่าการผสาน กลยุทธ์ ความเข้าใจตลาด และวิสัยทัศน์ระยะยาว จะนำพาองค์กรก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพื้นที่คลังสินค้ายุคใหม่ของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Cloud 11 ผนึก RIOS ปักหมุดฮับคอนเทนต์ ใจกลางสุขุมวิท พร้อมเปิดปลายปี 68

Cloud 11 จับมือ RIOS สตูดิโอออกแบบระดับโลก สร้างสรรค์ Creator Studio และ Production Hall สุดล้ำ เติมเต็มอีโคซิสเต็มครีเอเตอร์ พร้อมเปิดปลายปี 2568 ใจกลางสุขุมวิทใต้
Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 27 ไร่ บนทำเลศักยภาพ พัฒนาโดยบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และเตรียมพร้อมเปิดให้บริการปลายปีนี้ โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมคอนเทนต์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยการจับมือ RIOS สตูดิโอออกแบบระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา พัฒนาพื้นที่สำคัญภายในโครงการ ได้แก่ Creator Studio, Production Studio และ Cloud 11 Hall เพื่อมอบประสบการณ์การทำงานเชิงสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัยและครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาค

พื้นที่ดังกล่าวได้รับการออกแบบโดยเน้นการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ AR, VR, Web3 และระบบเสียงกันสะเทือนเข้ากับสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น เพื่อรองรับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์ เพลง พอดแคสต์ แอนิเมชัน และศิลปะดิจิทัล ทั้งยังเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุดให้แก่ศิลปินและครีเอเตอร์มืออาชีพ
นายพอล สิริสันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Cloud 11 เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยสู่ระดับโลก โดย RIOS ได้ร่วมออกแบบตั้งแต่พื้นที่สตูดิโอ ไปจนถึงห้องรับรองพิเศษ The Green Room และ Cloud 11 Hall ที่เชื่อมโยงโลกจริงกับโลกดิจิทัลผ่านสถาปัตยกรรมรูปทรงพาราโบลา

ด้านนายเซบาสเตียน ซัลวาโด ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ RIOS กล่าวว่า พื้นที่ภายใน Cloud 11 จะไม่เป็นเพียงพื้นที่ทำงาน แต่จะเป็น “แหล่งบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์” หรือ Creative Sanctuary ที่ส่งเสริมทั้งการเรียนรู้ การร่วมมือ และการสร้างผลงานระดับคุณภาพ
โครงการ Cloud 11 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทตอนใต้ ใกล้ BTS สถานีอุดมสุขและปุณณวิถี มีความคืบหน้าก่อสร้างโครงการแล้วกว่า 80% มีกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปลายปี 2568 นี้ โดยพื้นที่ทั้งหมดภายในโครงการถูกวางคอนเซ็ปต์เป็น Creative Ecosystem ครบวงจร
โครงการประกอบด้วย 9 โซนหลัก ได้แก่
- Creator Village พื้นที่สำนักงานเกรด A+ เปิด 24 ชม.
- Creator Studio และ Advanced Production Studio สำหรับการผลิตคอนเทนต์ครบวงจร
- Cloud 11 Hall และ Blackbox Theatre สำหรับงานอีเวนต์และแสดงผลงาน
- Retail Zone ศูนย์การค้าคอนเซ็ปต์ใหม่
- โรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ YOTEL และ Sangsan Bangkok
- Academy สำหรับบ่มเพาะบุคลากรด้านคอนเทนต์
- Cloud 11 Park สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือกับ RIOS ที่ได้ร่วมงานกับบริษัทระดับโลกอย่าง Spotify LA Content Campus และ Columbia Square โครงการ Cloud 11 จึงถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่รองรับการทำงานของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ยุคใหม่ โดยมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการผลิตคอนเทนต์คุณภาพ และเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ไทยและนานาชาติเข้าถึงทรัพยากร เพื่อยกระดับสู่สากลได้ในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้11มิ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม เสี่ยงแข็งค่าขึ้นได้หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11มิ.ย.ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
โดยเรามองว่า หากอ้างอิงจากสถิติย้อนหลัง 1 ปี ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในระดับ +/-1 SD ราว +0.2%/-0.4% ชี้ว่า เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ได้ (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 74% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปีนี้)
ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI เพิ่มสูงขึ้น และออกมาสูงกว่าคาดชัดเจน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดจะยิ่งไม่รีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ ลง โดยภาพดังกล่าวอาจช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินเอเชีย ซึ่งอาจช่วยให้บรรดาสกุลเงินเอเชียทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทว่า ความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่
ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือกับความผันผวนของบรรดาสกุลเงินเอเชีย หากผลการเจรจาการค้าไม่ได้เป็นไปตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ และแม้ว่า บรรดาสกุลเงินเอเชีย อาจได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าดังกล่าว แต่หากราคาทองคำปรับตัวลดลง หลุดโซนแนวรับระยะสั้น จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.57-32.69 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากความหวังว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
หลังทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบในกรอบการเจรจา (Framework) ที่จะลดความตึงเครียดทางการค้าลง ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าวันนี้ของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย เงินบาทได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน อีกทั้ง ราคาทองคำก็รีบาวด์สูงขึ้น
ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ได้ช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แม้ว่าผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ทว่าโดยรวม ดัชนี S&P500 ก็ทยอยปรับตัวขึ้น ปิดตลาด +0.55%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% แม้ตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะ UBS -4.8% จากความกังวลว่า ทางธนาคารอาจจำเป็นต้องเพิ่มทุนสำรอง ตามข้อเสนอของรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์
ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +3.1% ตามการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ และการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare นำโดย Novo Nordisk +6.0%
ในส่วนตลาดบอนด์ ความหวังต่อการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเข้าใกล้ระดับ 4.50% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ
แม้ว่า ในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในลักษณะ Sideways แต่เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง
หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะได้รับแรงหนุนบ้างจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ แต่การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 99.0 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น ทว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน หนุนให้ ราคาทองคำ ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
โดยบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ อาจสูงขึ้น สู่ระดับ 2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงานอาจสูงขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 2.9% ซึ่งอาจชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น จากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน และรอลุ้น รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.64-32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.21 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นกรอบ เนื่องจากตลาดยังคงรอประเมินสัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในคืนนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ต่างชาติ ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สรุปผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ประจำวันที่ 11 มิ.ย. 68

ผลการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ประจำวันอังคารที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา
“ซามูไรบลู” ทีมชาติญี่ปุ่น เปิดบ้านถล่ม อินโดนีเซีย ไปแบบขาดลอย 6-0 แม้จะตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายได้สำเร็จเป็นชาติแรกไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ ออสเตรเลีย บุกเฮคว้าตั๋วผ่านเข้ารอบสุดท้ายเป็นอันดับสองของกลุ่ม
ผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มเอ
- คีร์กีซสถาน 1-1 ยูเออี
- อุซเบกิสถาน 3-0 กาตาร์
- อิหร่าน 3-0 เกาหลีเหนือ
ผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มบี
- เกาหลีใต้ 4-0 คูเวต
- ปาเลสไตน์ 1-1 โอมาน
- จอร์แดน 0-1 อิรัก
ผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มซี
- ญี่ปุ่น 6-0 อินโดนีเซีย
- จีน 1-0 บาห์เรน
- ซาอุดีอาระเบีย 1-2 ออสเตรเลีย
ผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนยุโรป
- ลัตเวีย 1-1 แอลเบเนีย
- เซอร์เบีย 3-0 อันดอร์รา
- เนเธอร์แลนด์ 8-0 มอลตา
- ฟินแลนด์ 2-1 โปแลนด์
- โรมาเนีย 2-0 ไซปรัส
- ซานมารีโน 0-4 ออสเตรีย
ผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้
- โบลิเวีย 2-0 ชิลี
- อุุรุกวัย 2-0 เวเนซูเอล่า
ผลฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนคอนคาเคฟ
- เซนต์คิตส์ฯ 2-3 เกรเนดา
- คิวบา 1-2 เบอร์มิวดา
- เซนต์ลูเซีย 2-1 บาร์เบโดส
- เฮติ 1-5 กือราเซา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มะเร็งกลัวอะไร? 6 วิธีป้องกันมะเร็งที่คนอายุน้อยก็ไม่ควรมองข้าม

แม้อายุยังน้อย แต่มะเร็งไม่เลือกเพศหรือวัย พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเราหลายอย่างล้วนมีผลต่อความเสี่ยงต่อโรคนี้ ถ้าอยากรู้ว่า มะเร็งกลัวอะไร และจะป้องกันมะเร็งได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ พร้อมวิธีป้องกันมะเร็งง่าย ๆ ที่คุณเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้
6 วิธีป้องกันมะเร็งง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำได้
อาหารจากพืชธรรมชาติคือเกราะป้องกันชั้นดี
ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารจากพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการ เป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย อ้างอิงจาก American Institute for Cancer Research การบริโภคอาหารจากพืชมากขึ้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิดได้อย่างมีนัยสำคัญ
การงดเนื้อแปรรูปและจำกัดเนื้อแดง
เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยตรง ตามรายงานของ WHO ส่วนเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู แม้จะไม่ต้องงดทั้งหมด แต่ควรจำกัดปริมาณ และเลือกปรุงด้วยวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง เช่น การต้ม อบ หรือย่างในอุณหภูมิต่ำ
หยุดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์ให้ได้มากที่สุด
การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของมะเร็งปอดและมะเร็งชนิดอื่น ๆ อีกมาก แอลกอฮอล์ก็เช่นกัน โดยเฉพาะมะเร็งตับและช่องปาก การลดหรือเลิกพฤติกรรมทั้งสองอย่างนี้ เป็นการป้องกันมะเร็งที่เห็นผลชัดเจนและได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก
เคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ ลดโอกาสเซลล์ผิดปกติ
การออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยป้องกันมะเร็ง เพราะช่วยลดระดับฮอร์โมนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เช่น เอสโตรเจนและอินซูลิน นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มักถูกมองข้าม
นอนให้พอ พักให้พอ ลดความเครียดสะสม
ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน และรบกวนกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย มีการศึกษาพบว่า การนอนหลับไม่เพียงพอและการพักผ่อนที่ไม่มีคุณภาพสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่
สร้างความสุขและคิดบวก เสริมเกราะจากภายใน
นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน งานวิจัยจาก Harvard School of Public Health พบว่าผู้ที่มีระดับความสุขและแนวโน้มคิดบวก มักมีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงและมีการอักเสบเรื้อรังน้อยกว่า ซึ่งส่งผลต่อการลดความเสี่ยงของมะเร็ง การฝึกอยู่กับปัจจุบัน ขอบคุณสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิต หรือใช้เวลากับคนที่รัก ล้วนช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขอย่างเซโรโทนินและเอ็นโดรฟิน ซึ่งสนับสนุนการทำงานของร่างกายและจิตใจให้สมดุล
การป้องกันมะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะทุกอย่างเริ่มต้นได้จากพฤติกรรมในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การพักผ่อน การเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การคิดบวก ล้วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายนี้ได้ทั้งสิ้น เพราะสุดท้ายแล้ว สุขภาพดีคือสิ่งที่เราสร้างเองได้ทุกวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปลี่ยนการอ่านภาษาอังกฤษให้เร็วและเข้าใจง่าย ด้วยเทคนิคที่ใช้ได้จริง

การ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ใช่แค่การพูดหรือฟังเท่านั้น แต่ การอ่านภาษาอังกฤษ ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่หลายคนมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อต้องอ่านเอกสาร บทความ หรือข้อสอบที่มีเวลาจำกัด เทคนิคการอ่านที่ช่วยให้เข้าใจเร็วและตรงประเด็นจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับวิธีการอ่านจับใจความสำคัญ รวมถึงเทคนิค Skimming และ Scanning ที่จะเปลี่ยนวิธีอ่านของคุณไปตลอดกาล เหมาะกับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการอ่าน ไม่ว่าจะ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือเรียนในระบบ พร้อมอธิบายวิธีการอ่านจับใจความสำคัญ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือผู้ที่ต้องการอ่านเพื่อสอบหรือใช้งานจริง เนื้อหาครอบคลุมการฝึกอ่านแบบมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาไม่นานแต่ได้สาระครบถ้วน
1) รูปแบบ การอ่านภาษาอังกฤษ จับใจความสำคัญ
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ การอ่านแบบจับใจความคือการอ่านโดยมองหาประเด็นหลัก โดยไม่ต้องอ่านข้อความทุกคำ เทคนิคนี้ช่วยประหยัดเวลาและทำให้เราเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้เร็วขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการอ่านบทความ ข่าว หรือเนื้อหายาว ๆ ที่ต้องใช้เวลา
ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังอ่านบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เราอาจมองหาคำสำคัญในแต่ละย่อหน้า เช่น “pollution”, “climate”, หรือ “solution” แล้วพิจารณาว่าประเด็นหลักของย่อหน้านั้นคืออะไร
การฝึกอ่านแบบนี้บ่อยๆ จะช่วยให้ เรียนภาษาอังกฤษ ได้เร็วขึ้น เข้าใจมากขึ้น และสามารถแยกแยะข้อมูลสำคัญได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย
2) ความหมายของ Skimming และวิธีการ
Skimming คือ เทคนิค การอ่านภาษาอังกฤษ อย่างรวดเร็วเพื่อจับใจความโดยรวมของบทความ วิธีนี้ไม่เน้นรายละเอียด แต่เน้น “ภาพรวม” เช่น หัวข้อหลักและจุดสำคัญในแต่ละย่อหน้า
ตัวอย่างวิธีการ Skimming:
- อ่านหัวข้อหลักและหัวข้อย่อย
- มองหาคำสำคัญ (keywords)
- อ่านประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของย่อหน้า
- ไม่หยุดอ่านแม้จะเจอคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ
ประโยชน์ของ Skimming คือสามารถเข้าใจเนื้อหาในเวลาอันสั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องอ่านเพื่อเตรียมสอบ หรืออ่านเพื่อทำความเข้าใจก่อน เรียนภาษาอังกฤษ เพิ่มเติม หาก เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ หรือ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เทคนิคนี้สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว การฝึก Skimming ควบคู่กับการอ่านจริงทุกวัน จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเข้าใจเนื้อหาได้รวดเร็วและแม่นยำ
3) ความหมายของ Scanning และวิธีการ
Scanning คือเทคนิค การอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อค้นหาข้อมูลเฉพาะอย่างรวดเร็ว เช่น ชื่อ วัน เวลา ตัวเลข หรือคำตอบเฉพาะเจาะจง วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกบรรทัด แต่ใช้สายตากวาดหาคำหรือข้อมูลที่ต้องการเท่านั้น
วิธีการ Scanning:
- รู้ก่อนว่าต้องการหาอะไร (เช่น คำว่า “price” หรือ “date”)
- ใช้สายตากวาดจากบนลงล่าง หรือซ้ายไปขวาอย่างรวดเร็ว
- หยุดเมื่อเจอคำหรือข้อมูลเป้าหมาย
ตัวอย่างเช่น หากคุณอ่านตารางเวลารถไฟ คุณสามารถใช้ Scanning เพื่อดูเวลาออกเดินทางที่คุณต้องการได้อย่างรวดเร็ว เทคนิคนี้เหมาะกับการสอบหรือการค้นหาข้อมูลจากบทความจำนวนมาก หากคุณกำลัง เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบ การอ่านแบบ Scanning จะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้เร็วและแม่นขึ้น
การฝึกอ่านด้วย Skimming และ Scanning ไม่เพียงช่วยให้อ่านเร็วขึ้น แต่ยังช่วยเสริมความเข้าใจ ทำให้คุณสามารถ เรียนภาษาอังกฤษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเรียนจากคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษ หรือ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ก็ตาม อย่าลืมว่าทักษะเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากบทความสั้น ๆ หรือข่าว แล้วค่อย ๆ เพิ่มความยากไปตามลำดับ คุณจะสังเกตเห็นได้ว่าคุณ เรียนภาษาอังกฤษ ได้ดีขึ้น เข้าใจบทความมากขึ้น และสามารถตอบคำถามหรือวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เปิดแอร์ทั้งวัน กับ เปิดๆปิดๆ แบบไหนประหยัดไฟหรือกินไฟมากกว่ากัน

“ร้อนขนาดนี้ เปิดแอร์ทั้งวันเลยดีไหม?” หรือ “ถ้าแค่จะออกไปข้างนอกแป๊บเดียว ปิดแอร์ดีกว่าหรือเปล่า?” นี่คือคำถามยอดฮิตที่วนเวียนอยู่ในใจใครหลายคน โดยเฉพาะเมื่อบิลค่าไฟมาเยือน ความเชื่อเรื่องการใช้แอร์ให้ประหยัดไฟนั้นมีหลากหลาย บ้างก็ว่าเปิดยาวๆ ไปเลยประหยัดกว่า บ้างก็ว่าต้องคอยเปิดๆ ปิดๆ สิถึงจะดี แล้วตกลงแบบไหนกันแน่ที่ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าและยังคงความเย็นสบาย? บทความนี้จะพาคุณไปไขทุกข้อสงสัย พร้อมทำความเข้าใจการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เพื่อการใช้งานอย่างชาญฉลาดและประหยัดไฟอย่างแท้จริง! ซึ่ง Sanook Hitech จะมาตอบคำถามนี้
“พลังงานตอนเปิดใหม่” VS “การรักษาระดับอุณหภูมิ”
หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดคำถามนี้คือ ลักษณะการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ โดยมี 2 ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา:
- พลังงานมหาศาลช่วง “สตาร์ทเครื่อง”: ลองนึกภาพเครื่องยนต์ที่ต้องใช้แรงมหาศาลในการออกตัว เครื่องปรับอากาศก็เช่นกัน โดยเฉพาะส่วน “คอมเพรสเซอร์” ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการทำความเย็น จะกินไฟมากที่สุดในช่วงที่เริ่มทำงานใหม่แต่ละครั้ง เพื่อดึงอุณหภูมิห้องที่ร้อนจัดให้ลดลงมาถึงระดับที่เราตั้งไว้ การเปิดๆ ปิดๆ แอร์บ่อยครั้ง จึงหมายถึงการปลุกคอมเพรสเซอร์ให้ลุกขึ้นมาทำงานหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- พลังงานที่น้อยกว่าในการ “รักษาระดับอุณหภูมิ”: เมื่อห้องของเราเย็นได้ที่ตามต้องการแล้ว คอมเพรสเซอร์จะไม่ต้องทำงานหนักเท่าตอนแรกอีกต่อไป มันจะลดการทำงานลง (โดยเฉพาะในแอร์ระบบ Inverter) เพื่อเพียงแค่ “ประคอง” หรือ “รักษาระดับ” อุณหภูมินั้นให้คงที่ ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าการเริ่มต้นทำความเย็นจากศูนย์อย่างมาก
รู้จัก “เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ (Inverter)” ตัวเปลี่ยนเกมการประหยัดพลังงาน
เพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ได้ลึกซึ้งขึ้น เราต้องรู้จักกับเทคโนโลยีสำคัญในแอร์ยุคใหม่ นั่นคือ ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter)
- แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์: เปรียบเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่รู้จักผ่อนแรง เมื่ออุณหภูมิห้องใกล้ถึงจุดที่ตั้งไว้ คอมเพรสเซอร์ของแอร์อินเวอร์เตอร์จะค่อยๆ ลดรอบการทำงานลง แต่ไม่หยุดทำงานสนิท ทำให้สามารถรักษาระดับอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ การทำงานแบบนี้ช่วยลดการกระชากไฟจากการสตาร์ทเครื่องซ้ำๆ และประหยัดพลังงานได้มากกว่าในระยะยาว
- แอร์ระบบธรรมดา (Fixed Speed หรือ Non-Inverter): เปรียบเหมือนนักวิ่งระยะสั้นที่วิ่งเต็มสปีดแล้วหยุดพัก คอมเพรสเซอร์จะทำงานเต็มกำลังจนอุณหภูมิถึงจุดที่ตั้งไว้แล้วตัดการทำงาน เมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้นก็จะเริ่มทำงานใหม่เต็มกำลังอีกครั้ง เป็นวัฏจักรการตัด-ต่อที่ใช้พลังงานสูงในช่วงสตาร์ทแต่ละครั้ง
หลักการที่จะทำประหยัดไฟได้
เมื่อพิจารณาจากหลักการทำงานและเทคโนโลยีแล้ว โดยทั่วไป สำหรับสถานการณ์ส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะถ้าคุณใช้แอร์ระบบ Inverter และจะอยู่ในห้องนั้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน) การ “เปิดแอร์ทิ้งไว้ตลอดช่วงที่ใช้งาน ที่อุณหภูมิเหมาะสมและคงที่ (เช่น 25-26 องศาเซลเซียส)” มักจะประหยัดพลังงานมากกว่าการ “เปิดๆ ปิดๆ แอร์ถี่ๆ”
เหตุผลก็คือ การเปิดทิ้งไว้ช่วยลดการสตาร์ทเครื่องของคอมเพรสเซอร์ซ้ำๆ ซึ่งเป็นช่วงที่กินไฟสูง และเมื่อห้องเย็นแล้ว แอร์ (โดยเฉพาะ Inverter) จะใช้พลังงานน้อยลงในการรักษาระดับอุณหภูมิ
แล้วเมื่อไหร่ที่ “การปิดแอร์” คือคำตอบที่ใช่?
แน่นอนว่าการเปิดแอร์ทิ้งไว้ตลอดเวลาไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ การปิดแอร์ย่อมประหยัดกว่าอย่างชัดเจนในกรณีที่คุณ:
- ออกจากห้องเป็นระยะเวลานาน: เช่น ออกไปทำงานทั้งวัน (8-10 ชั่วโมง), ออกไปเรียน, หรือไม่อยู่บ้านหลายวัน การปิดแอร์คือวิธีประหยัดไฟที่ดีที่สุด
“พื้นที่สีเทา” เมื่อคุณแค่ “แวบ” ออกไปทำธุระแป๊บเดียว
นี่คือจุดที่หลายคนตัดสินใจยาก ถ้าคุณออกจากห้องแค่ช่วงสั้นๆ (เช่น 30 นาที ถึง 1-2 ชั่วโมง) จะทำอย่างไรดี?
- ถ้าเป็นแอร์ Inverter และห้องมีฉนวนกันความร้อนพอใช้ได้: การเปิดแอร์ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิเดิม หรือปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นเล็กน้อย (เช่น จาก 25°C เป็น 27-28°C) อาจจะยังคงดีกว่าการปิดแล้วเปิดใหม่ เพราะห้องยังไม่ทันร้อนขึ้นมากนัก และแอร์ไม่ต้องเริ่มกระบวนการทำความเย็นหนักหน่วงอีกครั้ง
- ถ้าห้องร้อนเร็วมาก หรือเป็นแอร์ Non-Inverter: การปิดไปเลยอาจจะดีกว่า แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อกลับมาเปิดใหม่ แอร์จะต้องทำงานหนักขึ้นอีกครั้ง
เคล็ด(ไม่)ลับใช้แอร์ให้ “เย็นกาย สบายกระเป๋า” สไตล์คนยุคใหม่
ไม่ว่าคุณจะเลือกเปิดยาวหรือเปิดๆ ปิดๆ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ เพื่อการประหยัดไฟสูงสุด:
- เลือกแอร์ให้ถูกประเภท: ถ้าเป็นไปได้ เลือกใช้แอร์ระบบ Inverter ที่มีค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) สูงๆ
- ตั้งอุณหภูมิให้ “พอดี”: 25-27 องศาเซลเซียส คือช่วงอุณหภูมิที่แนะนำ เย็นสบายและไม่เปลืองไฟเกินไป
- พัดลมคือเพื่อนซี้: เปิดพัดลมช่วยกระจายความเย็น จะทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นได้โดยไม่ต้องลดอุณหภูมิแอร์ลงต่ำมาก
- ล้างแอร์ ล้างฟิลเตอร์ คือวินัย: หมั่นล้างแผ่นกรองอากาศด้วยตัวเองทุก 2-4 สัปดาห์ และเรียกช่างมาล้างแอร์ใหญ่ทุก 6 เดือน แอร์ที่สะอาดทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและกินไฟน้อยลง
- ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท: อย่าให้อากาศเย็นรั่วไหล และอากาศร้อนเล็ดลอดเข้ามา
- ลดแหล่งความร้อนในห้อง: หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อนสูง (เช่น เตารีด, ไดร์เป่าผม) ในห้องที่เปิดแอร์
- ใช้ม่านกันแสงแดด: ในช่วงกลางวันที่มีแดดจัด การใช้ม่านช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในห้องได้มาก
เปิดแอร์ทั้งวัน vs เปิดๆปิดๆ แบบไหนประหยัดไฟ
ดังนั้น การที่จะตอบว่าเปิดแอร์แบบไหนประหยัดไฟกว่ากันนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งประเภทของเครื่องปรับอากาศ ระยะเวลาที่ใช้งาน ลักษณะของห้อง และพฤติกรรมการใช้งานของเราเอง แต่โดยหลักการแล้ว การหลีกเลี่ยงการทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องสตาร์ททำงานหนักบ่อยครั้ง และการรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่เมื่อห้องเย็นแล้ว คือกุญแจสำคัญของการประหยัดพลังงาน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณได้ดียิ่งขึ้นนะครับ!
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไขข้อสงสัย “มัทฉะ” กับ “ชาเขียว” เหมือนหรือต่างกัน กินแบบไหนดี

ทุกวันนี้หลายคนเดินเข้าคาเฟ่ ก็มีเมนูให้เลือกมากมายหนึ่งในนั้นคือ “มัทฉะลาเต้” วางขายอยู่ข้างๆ “ชาเขียวร้อน หรือ เย็น” ทำให้หลายคนงงว่า มันเหมือนหรือต่างกัน เลยทำให้เกิดบทความนี้เพื่อมาหาคำตอบสำหรับหนุ่มๆ เวลาซื้อเครื่องดื่มให้สาวๆ และตัวเอง ว่า มัทฉะ กับ ชาเขียวต่างกันอย่างไร Sanook Men มีคำตอบ
มัทฉะ VS ชาเขียว ต่างกันหรือไม่
คำตอบที่มีการเผยออกมานั้นพบว่า มีความแตกต่างระหว่าง มัทฉะ (Matcha) และ ชาเขียว (Green Tea) อยู่พอสมควรเช่น
- มัทฉะ คือใบชาที่เก็ยวเกี่ยว 20 – 30 วันหลังจากที่ต้นชาถูกคลุมด้วยผ้าใบ เพื่อไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง ทำให้สีมีความค้นเพราะมีการบังคับใบใบชาผลิต “คลอโรฟิลล์” ออกมาในปริมาณมหาศาล ใบชาจึงมีสีเขียวสดเข้มกว่าปกติ ซึ่งจะมีการสร้าง กรดอะมิโน “แอล-ธีอะนีน” (L-Theanine) ผลที่ดีคือรสชาติกลมกล่อม (บางทีอาจจะเข้มสำหรับบางคน)
- ชาเขียว ทั่วไป คือการปลูกเจอแสงแดดตามธรรมชาติ ไม่มีการคลุมแต่อย่างใด รสชาติเวลารับประทานจะมีความสดชื่น แต่อาจจะมีรสฝาดในบางคน
ประโยชน์ที่ได้เหมือนกันหรือต่างกัน
นอกจากเรื่องของการปลูกและที่มาต้องบอกว่า ประโยชนที่ได้ต่างกันเล็กน้อยเพราะใน มัทฉะ 1 แก้วจึงทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ (คาเทชิน), คาเฟอีน, และแอล-ธีอะนีน ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าการดื่มชาเขียวทั่วไป ก็จะทำห้ตื่นตัว
ขณะที่การดื่มชาเขียวควรจะต้องดื่มกับน้ำร้อน เพื่อให้ได้น้ำ โดยสิ่งที่ได้ก็มีสิ่งที่คล้ายกันแต่อาจจะไม่ได้เข้มข้นเท่าไหร่ เพื่อให้เห็นภาพเราขอสรุปดังนี้
- มัทฉะ จะได้ความเข้มข้น, นุ่มลึก รสนวล และประโยชน์จากใบชาเต็มๆ ซึ่งอาจจะแลกกับราคาที่สูงกว่า
- ชาเขียว จะเป็นน้ำที่ดื่มแล้วสดชื่น, ดื่มง่ายคล่องคอและเหมาะกับการกินกับอาหารญี่ปุ่น หรือจะดื่มเพื่อผ่อนคลายก็ได้เช่นเดียวกัน
สรุปแล้ว ทั้งคู่ ก็คือเครื่องดื่มที่ได้จากใบชาเขียวเหมือนกัน แต่อาจจะแค่ต่างกันแค่เรื่องรสชาติ ความเข้มข้น และรูปแบบที่ให้คุณกินได้ง่ายเท่านั้นเอง ดังนั้นการเลือกดื่มระหว่างเครื่องดื่ม 2 ชนิดขึ้นกับความพึงพอใจและงบประมาณที่คุณสามารถรับได้ต่อวันด้วยนะ เพราะเราก็ไม่อยากให้สิ้นเปลืองกับแค่เครื่องดื่ม แต่ต้องได้อะไรเข้าร่างสักหน่อยก็ยังดีครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,450.00 | 51,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,326.00 | 50,422.16 | 52,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,993.40 | 45,379.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,660.80 | 40,337.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,496.70 | 22,689.97 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,164.10 | 17,647.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,446.63 | 52,250.91 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.55 | 32.55 | 33.05 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.18 | 32.18 | 32.68 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.34 | 30.34 | 30.84 | 30.34 | 30.34 | – | 30.34 | 30.34 | 30.34 | 30.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 40.84 | – | – | – | 48.81 | – | 41.34 | 40.99 | – | 40.84 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |