สาระน่ารู้ประจำวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568

ศุภาลัย ปักหมุดบางนา–ศรีวารี รุกตลาดแนวราบเจาะกลุ่มครอบครัว

ศุภาลัยรุกตลาดแนวราบโซนตะวันออก เปิดตัว “ศุภาลัย เบลล่า บางนา–ศรีวารี” มูลค่า 740 ล้านบาทเจาะกลุ่มครอบครัวเริ่มต้นราคา 2.69 ล้านพร้อมรับอานิสงส์ Aviation Hub

ในโลกของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ “ทำเล” คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จและในวันนี้ “บางนา” กำลังกลายเป็นเวทีใหม่ที่หลายค่ายใหญ่เริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่อย่างจริงจัง

ธัญวรัตน์ ปัญญารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและการขาย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ “ศุภาลัย เบลล่า บางนา–ศรีวารี” บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 740 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์บ้านคุณภาพของคนรุ่นใหม่และครอบครัวในย่านตะวันออกของกรุงเทพฯ

ทำเลเชื่อม “บ้าน–เมือง–สนามบิน”

บางนา–ศรีวารี ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่เติบโตเร็วที่สุดในรอบทศวรรษ ด้วยโครงข่ายถนนหลักที่เชื่อมต่อหลากหลาย ทั้งถนนบางนา–ตราด ลาดกระบัง มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ–ชลบุรี และวงแหวนรอบนอกตะวันออก ทำให้เดินทางเข้าสู่ ย่านธุรกิจกลางเมือง (CBD) ได้ภายใน 30–40 นาที ขณะเดียวกันยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศสงบของชานเมือง

อีกแรงขับเคลื่อนสำคัญคือการ ขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 และแผนพัฒนา Aviation Hub ที่จะพลิกโฉมพื้นที่รอบสนามบินให้กลายเป็นศูนย์เศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค ดึงดูดทั้งแรงงานทักษะสูง นักลงทุน และผู้ประกอบการในกลุ่มโลจิสติกส์และการบิน ซึ่งล้วนหนุนให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยในย่านนี้เติบโตต่อเนื่อง

“ทำเลบางนา–ศรีวารี ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่พักอาศัย แต่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของกรุงเทพฯ ตะวันออก เราจึงเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบทุกมิติ”

ดีไซน์ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย

“ศุภาลัย เบลล่า บางนา–ศรีวารี” โดดเด่นด้วยแบบบ้านซีรีส์ใหม่ 7 แบบ ครอบคลุมตั้งแต่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม รวมเพียง 160 ยูนิต ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Eco Life บ้านที่ดีเริ่มต้นจากการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน”

  •  ทาวน์โฮม Cloud 120 / ศุภธาดา พื้นที่ใช้สอย 120–132 ตร.ม. ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมครัวปิดและสวนหลังบ้าน
  •  บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 127–163 ตร.ม. ดีไซน์ฟังก์ชันเหมือนบ้านเดี่ยว เน้นพื้นที่โปร่งโล่ง
  •  บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 162–208 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมห้องนอนใหญ่ Walk-in Closet

ทุกแบบบ้านเลือกใช้วัสดุคุณภาพที่ช่วยประหยัดพลังงาน และรองรับเทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่ ด้วยระบบ Home Automation & Security และ เตรียมพร้อม EV Charger สำหรับผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้า

นอกจากดีไซน์บ้านที่ลงตัวกับทุกช่วงชีวิต โครงการยังออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นจุดรวมของความสุขครอบครัวด้วยสวนสีเขียว ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อม CCTV และระบบอ่านป้ายทะเบียนอัตโนมัติ (License Plate Recognition) เพิ่มความมั่นใจและสะดวกสบายในการเข้า–ออกโครงการ

บางนา โอกาสใหม่ของตลาดแนวราบ

เมื่อพิจารณาจากทิศทางการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมโดยรอบ เช่น นิคมลาดกระบัง บางพลี และสุวรรณภูมิ รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ทำเลนี้มีศักยภาพในการขยายตัวของตลาดแนวราบต่อเนื่อง

“ศุภาลัย เบลล่า บางนา–ศรีวารี” จึงไม่เพียงเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่คือการขยายพอร์ตของศุภาลัยในทำเลที่มีอนาคต และเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของการเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ ตะวันออก

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


บ้านเดี่ยวราคาสูงขยับแรง ดันดัชนีราคาอสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑลพุ่ง

REIC เผยดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ไตรมาส 3/68 กรุงเทพฯ-ปริมณฑลอยู่ที่ 131.3 เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน 0.8% สะท้อนตลาดแนวราบชะลอตัว ขณะบ้านเดี่ยวยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยผลวิเคราะห์ “ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 3 ปี 2568” พบว่า ดัชนีอยู่ที่ 131.3 เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 0.8% จากไตรมาสก่อน (QoQ) สะท้อนว่าราคาบ้านแนวราบยังคงขยับขึ้นต่อเนื่อง แม้อัตราเพิ่มเริ่มชะลอจากภาวะตลาดที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องออกโปรโมชั่นและปรับราคากระตุ้นยอดขาย

ในเชิงพื้นที่ กรุงเทพมหานครมีค่าดัชนีเฉลี่ยอยู่ที่ 131.7 เพิ่มขึ้น 1.8% จากปีก่อน ขณะที่ 3 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีค่าดัชนีเฉลี่ยอยู่ที่ 129.3 เพิ่มเพียง 0.1% เมื่อเทียบปีก่อน ซึ่งสะท้อนว่ากำลังซื้อในเมืองยังทรงตัวดีกว่าพื้นที่รอบนอก

เมื่อแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยวยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด โดยมีค่าดัชนีอยู่ที่ 136.3 เพิ่มขึ้น 1.8% จากปีก่อน แม้ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน 1% สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก่อสร้างและวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยทำเลที่ปรับราคาเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ ย่านมีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบัง และพื้นที่เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งสะท้อนดีมานด์กลุ่มกำลังซื้อสูงยังมีอยู่ต่อเนื่อง

ในส่วนของทาวน์เฮาส์มีค่าดัชนีลดลง 0.1% เมื่อเทียบปีก่อน อยู่ที่ระดับ 129.1 และลดลง 0.7% จากไตรมาสก่อน โดยทำเลที่ราคาปรับลดมากที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่านบางเขน-สายไหม-ดอนเมือง-หลักสี่ ขณะที่พื้นที่ปริมณฑลลดลงมากในบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากผู้ประกอบการเร่งระบายสต๊อกในตลาดกลางล่าง

ในด้านกลยุทธ์การขาย REIC พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาใช้แคมเปญจูงใจผู้ซื้อ เช่น การให้ของสมนาคุณฟรีเครื่องปรับอากาศ ปั๊มน้ำ แท็งก์น้ำ หรือฟรีค่าส่วนกลาง คิดเป็นสัดส่วน 37.9% ของตลาด ขณะที่การให้ส่วนลดและยกเว้นค่าใช้จ่ายวันโอนเพิ่มขึ้นเป็น 35.2% และส่วนลดเงินสดคิดเป็น 26.8% สะท้อนว่าผู้ประกอบการเริ่มเน้นกลยุทธ์ “ราคาเข้าถึงง่าย” เพื่อรักษากระแสเงินสดและปิดการขายในภาวะตลาดแข่งขันสูงเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดัชนีราคาบ้านจัดสรรในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 คาดว่าจะทรงตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐที่ช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อในประเทศ ขณะเดียวกันตลาดบ้านระดับบนยังมีโอกาสขยายตัวจากความต้องการของกลุ่มผู้มีรายได้สูงและผู้ลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาในช่วงปลายปี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11พ.ย.“ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้ส่งออกและผู้เล่นต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์หรือขายทำกำไรสถานะแถวโซนแนวต้าน ขณะเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวยังไร้ทิศทางที่ชัดเจนเช่นกัน เหตุรอปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11พ.ย.2568ที่ระดับ  32.35 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้

โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออกและผู้เล่นที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์หรือขายทำกำไรสถานะแถวโซนแนวต้าน

ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางความต้องการทยอยซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าที่ยังมีอยู่บ้างในช่วงนี้ นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ก็ยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เช่นกัน

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ หากภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลงได้ภายในเร็ววันนี้

โดยเรามองว่า หากภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลงได้ในสัปดาห์นี้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นการทยอยรายงานข้อมูลการจ้างงานในเดือนกันยายน ซึ่งควรจะรายงานตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม เช่น หากหน่วยงานสหรัฐฯ อย่าง BLS เริ่มกลับมาเปิดทำการเต็มที่อีกครั้ง

รายงานข้อมูลการจ้างงานก็อาจจะสามารถประกาศให้ตลาดรับรู้ได้ ในอีก 2 วัน หลังจากนั้น (ส่วนรายงานข้อมูลการจ้างงานเดือนตุลาคม ก็อาจประกาศได้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนนี้) ซึ่งรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ จากทาง BLS แม้จะเป็นข้อมูลในเดือนกันยายน ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ เนื่องจากรายงานข้อมูลดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ BOE ได้

หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 70% ที่ BOE จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25 bps ในการประชุมเดือนธันวาคม นี้ โดยหากข้อมูลการจ้างงานอังกฤษออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจทำให้ตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE กดดันให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง และหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้

เราขอเน้นย้ำว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way Risk สามารถผันผวนได้ทั้งสองทิศทาง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด บรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ศาลฯ อาจมีแนวโน้มเพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าจากกฎหมาย IEEPA ซึ่งทำให้ความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งและกดดันเงินดอลลาร์

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ และประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และ

การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

องกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.39 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกัน ของเงินดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ท่ามกลางความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในเร็ววันนี้ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แต่ราคาทองคำ (XAUUSD) ยังพอได้แรงหนุนจากทั้งจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์

และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ หลังรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชนที่ออกมาแย่กว่าคาดในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ ส่งผลให้ บรรดาหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลงแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า

โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ต่างรีบาวด์สูงขึ้น อาทิ Nvidia +5.8% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.54% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาพุ่งขึ้น +2.27%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาพุ่งขึ้นราว +1.42% ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ตอบรับความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้นยุโรปหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มธนาคาร จากบรรดานักวิเคราะห์ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ต่างปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แม้จะมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทดสอบโซน 4.10% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

อย่างไรก็ดี ความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นบ้าง สู่ระดับ 4.12% ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ

อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (ซึ่งเรายังคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อได้ จากภาพตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงชัดเจน) ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษี IEEPA ของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทาง แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม จากความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงภายในสัปดาห์นี้

ได้กดดันให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยลดการถือครองเงินดอลลาร์ลง กดดันให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.4-99.8 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงิน จะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่าจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จากการพิจารณาคดีโดยศาลสูงสุด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4,130 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ ทั้งยอดการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอย่างดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB

ส่วนทางฝั่งสหรัฐฯ แม้ภาวะ US Government Shutdown ที่ยังคงดำเนินอยู่นั้น จะทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญมีการเลื่อนประกาศออกไป ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากทางภาคเอกชน

อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) โดยเฉพาะในส่วนของแนวโน้มการจ้างงาน เนื่องจากภาคเอกชนขนาดเล็กของสหรัฐฯ มีการจ้างงานในสัดส่วนที่สูง

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังภาวะ Government Shutdown ที่ยืดเยื้ออาจยุติลงได้ในเร็ววันนี้ และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.36-32.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทยังคงปรับตัวในกรอบแคบ เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการขยับขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และการคาดการณ์ถึงโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.  แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัดตามสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และการอ่อนค่าของเงินเยน ซึ่งกดดันสกุลเงินเอเชียบางส่วน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินไว้ที่ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือนต.ค. ของจีน รวมถึงสถานการณ์การชัตดาวน์ของสหรัฐฯ    

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไม่แตะของหวาน ก็เสี่ยงเบาหวานได้! หมอแนะจับตา ‘น้ำตาลแฝง’ ในอาหารประจำวัน

  • การไม่กินของหวานไม่ได้หมายความว่าจะไม่เสี่ยงเป็นเบาหวาน เนื่องจากมี ‘น้ำตาลแฝง’ ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง และผลไม้รสหวาน
  • ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นโรคเบาหวาน โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและอาจนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของเบาหวานยังรวมถึงพันธุกรรม ภาวะอ้วน การขาดการออกกำลังกาย และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งสะท้อนว่าโรคนี้มักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุล

ความเชื่อที่ว่าถ้า “ไม่ติดหวาน” ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน” นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะถึงเราไม่กิน “น้ำตาล” ก็ได้รับ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าว ขนมปัง หรือผลไม้บางชนิด ที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน 

โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 350,000 คน ที่น่ากังวลกว่านั้นคือผู้ป่วยกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนทำให้กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษา

วันนี้ นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมแนะการปรับพฤติกรรมเพื่อปิดสวิตช์ความเสี่ยงเบาหวานก่อนจะสายเกินไป

ไขข้อสงสัย ‘โรคเบาหวาน’ คืออะไร มีกี่ประเภท

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือ DM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลร้ายต่อร่างกาย

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายเพิ่มเติมว่า “โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียด 

ต่อมาคือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ พบในหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราว และสุดท้ายคือกลุ่มเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน”


 “น้ำตาลทราย” ไม่ใช่ผู้ร้ายเพียงคนเดียว ชวนเข้าใจ “น้ำตาลแฝง-วิถีชีวิตไม่ดี” ปัจจัยเร่งโรคเบาหวาน

การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการได้รับน้ำตาลแฝงอย่าง ‘น้ำตาลกลูโคส’ จากการย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะในข้าวขาว น้ำผลไม้ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานอย่างมะม่วงและกล้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ พ่อแม่เป็นเบาหวาน ภาวะอ้วน กินอาหารไม่สมดุล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย และความเครียด

“ความเครียด” ภัยเงียบกระตุ้นเบาหวานที่หลายคนมองข้าม

ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแม้ในวันที่เราไม่ได้แตะของหวาน เพราะเมื่อร่างกายเครียด สมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง “ฮอร์โมนความเครียด” เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา

โดยฮอร์โมนเหล่านี้จะสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ หากมีความเครียดสะสม ระดับคอร์ติซอลที่สูงต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ “ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรม ‘กินคลายเครียด’ โดยเฉพาะการโหยหาของหวานหรือของมัน และอาจนำไปสู่วงจร เครียด-กิน-น้ำตาลขึ้น-เครียดซ้ำ 

ซึ่งทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและบั่นทอนสุขภาพโดยรวม ดังนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน” 

รวมสัญญาณเตือนที่ต้องไปตรวจโรคเบาหวานด่วน

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล เล่าว่า “ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า มองเห็นภาพเบลอ ง่วงบ่อย หรือมีปัญหาสมาธิสั้นลง ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและควรไปตรวจคัดกรอง นอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน อายุเกิน 35 ปี รวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง นอนน้อย หรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำ ก็ควรไปตรวจคัดกรองด้วยเช่นกัน”

“โรคเบาหวาน” ยิ่งตรวจพบไว ยิ่งดูแลได้ง่าย

วิธีการตรวจโรคเบาหวานที่นิยมคือการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งจะสะท้อนค่าน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อีกวิธีที่นิยมคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบแล้ว แม้โรคเบาหวานจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถดูแลและควบคุมให้ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายถึงวิธีรักษาว่า “หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 หากตรวจพบเร็วและปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้กลับมาใกล้เคียงปกติ หรือที่เรียกว่าภาวะโรคสงบ (Remission) ส่วนเบาหวานชนิดอื่นแพทย์จะดูแลตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างใกล้ชิด”

ปรับพฤติกรรม-ดูแลใจ ปิดสวิตช์โรคเบาหวาน

การป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากเรื่องง่าย ๆ จากปรับการกิน โดยลดข้าวขาว ขนม และเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ดีเพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลิน รวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมง และผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบ เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ในระยะยาว ที่สำคัญต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี

“หลายคนเข้าใจว่าถ้าไม่อยากเป็นเบาหวานก็ต้องไม่กินของหวาน แต่ความจริงแล้วโรคเบาหวานมักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุลมากกว่า อยากให้ทุกคนกลับมาสร้างความพอดีให้ร่างกาย ตรวจสุขภาพทุกปี กินและออกกำลังกายให้พอดี รู้เท่าทันความเครียดและหาวิธีผ่อนคลาย ก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงและผลิตอินซูลินได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำแบบนี้แล้วเราก็สามารถให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานบ้างเป็นครั้งคราว แบบที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


มากที่สุดในโลก! เปิดเงินรางวัล “ไรบาคิน่า” แชมป์เทนนิส ดับเบิลยูทีเอ ไฟนอลส์ 2025

เยเลน่า ไรบาคิน่า นักเทนนิสมือ 6 โลกชาวคาซัคสถาน สามารถผงาดคว้าแชมป์ ดับเบิลยูทีเอ ไฟนอลส์ 2025 (WTA Finals) ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

โดยรอบชิงชนะเลิศ ประเภทหญิงเดี่ยว นักหวดสาววัย 26 ปี สามารถหักปากกาเซียนโค่น อารีน่า ซาบาเลนก้า นักเทนนิสหญิงมืออันดับ 1 ของโลกจากเบลารุส ไปได้แบบเหนือความคาดหมาย 2-0 2-0 เซต (6-3 และ 7-6)

จากชัยชนะครั้งนี้ส่งผลให้ นักเทนนิสสาวชาวคาซัคสถาน คว้าแชมป์ ดับเบิลยูทีเอ ไฟนอลส์ ได้เป็นสมัยแรกในอาชีพ และยังถือเป็นผู้เล่นคนที่ 10 ติดต่อกันที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นครั้งแรก

นอกจากความสำเร็จแล้ว เยเลน่า ไรบาคิน่า ยังได้รับเงินรางวัล 5,235,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 170 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นเงินรางวัลที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาประเภทหญิง ขณะที่ อารีน่า ซาบาเลนก้า รองแชมป์รับเงินรางวัลไป 2,695,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 87 ล้านบาท)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การถามทางภาษาอังกฤษ (Asking for directions)

ระโยคถามทางภาษาอังกฤษ ไปได้ทุกที่ ไม่กลัวหลง!

เรียนภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน การถามทิศทางภาษาอังกฤษ ที่ควรรู้

การถามทางภาษาอังกฤษ

  • Could you tell me how to get to..? (กรุณาบอกหน่อยได้ไหมครับว่าจะไป…ได้อย่างไร?)
  • How do I find…? (ฉันจะหา….ได้อย่างไร?)
  • Pardon me, I’m lost, how do I get to…? (ขอโทษนะคะ ฉันหลงทาง ไม่ทราบว่าจะไป….อย่างไร?)
  • Which is the best way to…? (ทางไหนดีที่สุดที่จะไป…?)
  • Could you direct me to…? (คุณสามารถบอกทางไป…ฉันหน่อยได้มั้ย?)
  • Which way do I go to get to..? (ฉันจะไป…ทางไหน?)
  • How do I get to…? (ฉันจะไปที่…ได้อย่างไร?)
  • What’s the best way to..? (วิธีไหนที่ดีที่สุดในการไป…?)
  • Where is…? (ที่….อยู่ตรงไหน?)
  • Excuse me, How can I go to…? (ขอโทษนะคะ ฉันจะไปที่…ได้อย่างไร?)
  • Can you tell me the way to..? (ช่วยบอกทางไป…ได้ไหมคะ?)

ทิศทางภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง?

คำศัพท์ภาษาอังกฤษบอกทิศทาง มีดังนี้

  • Turn back/ Go back (ย้อนกลับ/กลับมา)
  • Turn left/right (เลี้ยวซ้าย / เลี้ยวขวา )
  • Go along…(ไปข้างหน้า)
  • Cross…(ข้าม)
  • Take the first/ second road on the left/right. (ใช้ถนนสายแรก/สายที่สองตรงซ้ายมือ/ขวามือ)
  • It’s on the left/right. (มันอยู่ซ้ายมือ /ขวามือ)
  • Go up/down…(เดินย้อน)
  • It’s about 60 meters from here (จากตรงนี้ไปประมาณ 60 เมตร)
  • It’s on your right/left (มันอยู่ตรงขวามือ/ซ้ายมือของคุณ)
  • It’s in the middle of the block (อยู่ตรงกลางช่วงตึก)
  • It’s on the corner. (อยู่ตรงหัวมุม)
  • It’s next to/ across/ between/ in front of…(อยู่ถัดจาก/ตรงข้าม/ระหว่าง/ด้านหน้า)
  • Drive to..street and turn left/right (ขับตรงไปที่มุมมองและเลี้ยวซ้าย / ขวา)
  • Go straight ahead… (ตรงไป)

เทคนิคเล็กน้อย ในการถามทาง

เมื่อคุณจะขอความช่วยเหลือจากใครสักคนหนึ่ง ควรใช้คำพูดที่สุภาพ การใช้ “please” เมื่อขอให้ผู้อื่นบอกเส้นทางกับเราจะทำให้เราได้รับคำตอบได้อย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


มัลแวร์สายลับ “Landfall” มุ่งโจมตีผู้ใช้งาน Samsung Galaxy S22-S24

  • พบสปายแวร์ตัวใหม่ชื่อ “Landfall” ที่มุ่งเป้าโจมตีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S22, S23 และ S24 โดยเฉพาะ
  • มีความสามารถในการสอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น แอบบันทึกเสียง ติดตามตำแหน่ง ขโมยรายชื่อผู้ติดต่อ และข้อมูลการโทร
  • Samsung ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ดังกล่าวแล้วในเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา

รายงานล่าสุดจากหน่วยวิจัย Unit 42 ของ Palo Alto Networks ได้เปิดเผยการค้นพบสปายแวร์ตัวใหม่ที่ชื่อว่า “Landfall” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีอุปกรณ์ Samsung Galaxy โดยเฉพาะ โดยมัลแวร์ตัวนี้มีความสามารถในการเข้าควบคุมเครื่องของเหยื่อเพื่อทำการสอดแนมอย่างเต็มรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นการแอบบันทึกเสียงสนทนา ติดตามตำแหน่งที่ตั้งของอุปกรณ์ แอบถ่ายภาพ รวมถึงขโมยรายชื่อผู้ติดต่อและข้อมูลบันทึกการโทร

โดยอาศัยการโจมตีผ่านช่องโหว่ร้ายแรงแบบ Zero-day (CVE-2025-21042) ที่อยู่ในไลบรารีประมวลผลภาพของ Samsung

จากการวิเคราะห์พบว่าผู้โจมตีใช้วิธีส่งไฟล์รูปภาพสกุล DNG (Digital Negative) ที่ถูกดัดแปลงฝังโค้ดอันตรายส่งไปให้เหยื่อ ซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าส่งผ่านทางแอปพลิเคชัน WhatsApp เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ดังกล่าว มัลแวร์จะอาศัยช่องโหว่เข้าฝังตัวในเครื่องทันที

โดยเป้าหมายหลักของการโจมตีครั้งนี้อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้แก่ อิรัก อิหร่าน ตุรกี และโมร็อกโก และมุ่งเน้นโจมตีโทรศัพท์ของ Samsung ในรุ่น Galaxy S22, S23 และ S24 ทั้งนี้ Samsung ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่นี้ไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าเป็นกังวลของ Landfall คือความซับซ้อนที่บ่งชี้ว่าเป็น สปายแวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial-grade spyware) ที่มักถูกใช้งานโดยหน่วยงานระดับรัฐหรือองค์กรขนาดใหญ่เพื่อการสอดแนมบุคคลสำคัญ คล้ายคลึงกับกรณีของสปายแวร์ Pegasus ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังมาก่อนหน้านี้

โดยมัลแวร์นี้มีกลไกหลบหลีกการตรวจจับขั้นสูง ทำให้สามารถแฝงตัวอยู่ในระบบได้นานตั้งแต่ช่วงกลางปี 2024 จนถึงเมษายน 2025 ก่อนที่จะถูกตรวจพบ

ซึ่งเหตุการณ์นี้ย้ำเตือนให้ผู้ใช้งานตระหนักถึงความสำคัญของการอัปเดตซอฟต์แวร์ความปลอดภัยให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วัยไหน ควรดื่ม “นม” อย่างไร ถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด?

การดื่มนม เป็นเรื่องสำคัญในทุกช่วงวัย เพราะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและระบบร่างกาย โดยทารกควรกินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนจนถึง 2 ปี เด็กโตควรเลือกดื่มนมโคสดแท้รสจืดเพื่อได้รับคุณค่าที่เหมาะสม ส่วนผู้สูงอายุควรดื่มนมวันละ 1 แก้ว เพื่อช่วยเสริมกระดูกและการซ่อมแซมร่างกาย ทั้งยังให้ไขมันดี โปรตีน และแคลเซียม ช่วยลดความดันโลหิต เสริมพัฒนาการสมอง ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ และแม้บางคนจะแพ้นมวัว แต่ยังสามารถเลือกนมชนิดอื่นทดแทนได้

พญ.หทัยทิพย์  ชัยประภา กุมารแพทย์ รพ. เด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ ให้ข้อมูลว่า คุณค่าโภชนาการของ “นม” มีมากมาย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน แคลเซียม น้ำ และเกลือแร่ต่างๆ มีคุณภาพและประโยชน์ที่เหมาะสม สร้างกระดูกและฟันของเด็กๆ ให้แข็งแรง ดังนั้นเด็กๆ ในวัยเรียน จึงควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว เฉลี่ยปีละ 88 ลิตร พ่อแม่เองก็ต้องเสริมสร้างวินัยในการออกกำลังกายให้กับเด็กๆ ด้วย โดยแนะนำประเภทของกีฬาที่เพิ่มความสูง อย่างเช่น ว่ายน้ำ บาสเกตบอล และโหนบาร์  ให้เด็กๆ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ เพื่อเด็กเองจะได้โตอย่างสมวัย สูงสมส่วน กระดูกและฟันแข็งแรง และไม่เป็นโรคอ้วน

ประโยชน์ของนม อาหารสำหรับทุกช่วงวัย

  • วัยทารก

ประโยชน์ของนม เริ่มตั้งแต่ทารกกินนมแม่ เพราะนมแม่เป็นอาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุดตั้งแต่ทุกคนลืมตาดูโลก โดยทารกต้องกินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน หรือบางครอบครัวให้กินจนถึง 2 ปี พร้อมกับเสริมอาหารตามวัย ซึ่งกุมารแพทย์ทารกแรกเกิดทุกคนให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และแนะนำเรื่องการให้กินนมแม่ 100% อยู่แล้ว สารอาหารในนมแม่จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้อย่างดีที่สุด นมแม่ยังช่วยเสริมเรื่องของพัฒนาการ อีคิว ไอคิว ความฉลาดทางปัญญา ช่วยให้การเจริญเติบโตเหมาะสม และข้อดีอีกหนึ่งข้อ คือ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ดังนั้นเด็กๆ ควรดื่มนมเพื่อช่วยเสริมให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

  • วัยเด็ก

เมื่อเด็กโตขึ้น สามารถดื่ม นมโคสดแท้ 100% ควรต้องเป็นนมรสจืดจะดีที่สุด โดยในปริมาณ 100 มิลลิลิตรเท่ากัน พบว่า นมสด มีส่วนผสมของแคลเซียม 135 มิลลิลิตร โปรตีน 3.3 กรัม วิตามินเอ 71 มิลลิกรัม และวิตามินอี 0.22 มิลลิกรัม ในขณะที่นมปรุงแต่งอื่นๆ ก็จะมีคุณค่าลดลงตามลำดับ และข้อดีของการดื่มนมจืด คือ สามารถช่วยลดพฤติกรรมการติดรสหวานได้ และยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน เบาหวาน และลดการเกิดฟันผุด้วย อย่างรู้กันมานานว่านมช่วยทำให้สูง ดังนั้นควรเตรียมตัวให้ดี เรื่องการดื่มนม ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงสร้างวินัยการออกกำลังกายให้เด็กๆ โดยเด็กผู้หญิงจะเริ่มสูงเมื่ออายุ  6 ปี เด็กผู้ชายเริ่มเมื่ออายุ 8 ปี

ส่วนที่เห็นว่าเด็กๆ มีอาการแพ้นมวัวนั้น อาจมีสาเหตุมาจากหลายๆ ปัจจัยรวมทั้งทางด้านพันธุกรรม แต่เด็กๆ ยังสามารถดื่มนมได้ เพราะยังมีนมชนิดอื่นมาทดแทน เช่น ทานนมที่มีโปรตีนนมวัวย่อยละเอียด นมจากเนื้อไก่ นมข้าวอะมิโนที่เป็นนมที่มีโปรตีนเป็นกรดอะมิโน หรือนมถั่ว

  • วัยผู้ใหญ่

สำหรับผู้ใหญ่ หากเป็นผู้มีปัญหาไขมันในเลือดสูง อาจไม่แนะนำให้ดื่มนมวัวแท้ 100% ควรให้ดื่มนมเป็นชนิดพร่องมันเนย ส่วนหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร สามารถดื่มนมได้ตามปกติ แคลเซียมที่อยู่ในนมจะช่วยบำรุงกระดูกมารดาและสร้างกระดูกทารกในครรภ์

  • วัยผู้สูงอายุ

สำหรับผู้สูงอายุ นมจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เป็นประโยชน์อย่างมากในวัยผู้ใหญ่ที่ร่างกายมีอัตราการสร้างฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ฟื้นฟูร่างกายลดน้อยลง โดยคนสูงอายุควรดื่มนมวันละ 1 แก้ว

คุณสมบัติและประโยชน์ของนม

นมยังมีประโยชน์กับทุกเพศทุกวัย ดังนี้

  • มีไขมันดี เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
  • โปรตีน ได้แก่ เคซิน โกลบูริน อัลบูมิน และเอนไซม์ ที่สูงซึ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างเม็ดเลือดและกระดูก
  • แคลเซียมสูง เสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน  ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ และนมช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดีหากเกิดอุบัติเหตุหรือมีบาดแผล
  • แลคโตส นำไปใช้ในการเจริญเติบโตของสมอง
  • มีวิตามินหลายตัว บำรุงเม็ดเลือดให้สมบูรณ์
  • ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทให้ตอบสนองได้รวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a63,500.0063,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,105.0062,231.8064,400.00
ทองรูปพรรณ 90%3,694.5056,008.62n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,284.0049,785.44n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,847.2528,004.31n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,436.7521,781.13n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,253.8964,488.97n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า