สาระน่ารู้ประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2568

จับตาวิกฤติความสามารถกู้ซื้อ! 6ทำเลร้อน’โอกาส’หรือความเสี่ยง?

  • ตลาดอสังหาฯ เผชิญวิกฤตการปฏิเสธสินเชื่อ โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีอัตรากู้ไม่ผ่านสูงถึง 70%
  • วิเคราะห์ 6 ทำเลหลักในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งแต่ละโซนมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่แตกต่างกันสำหรับตลาดคอนโดและบ้านแนวราบ
  • ทำเลชานเมือง เช่น โซนตะวันออกและนนทบุรี กลายเป็นตลาดดาวรุ่งสำหรับบ้านแนวราบราคา 3-10 ล้านบาท ที่ตอบโจทย์ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง
  • แม้ตลาดจะมีความเสี่ยงสูง แต่ยังคงมีโอกาสใน 2 กลุ่มหลัก คือ ตลาดลักชัวรี และตลาดบ้านแนวราบสำหรับผู้อยู่อาศัยจริง

ปิยะพร เลิศวิสุทธิไพบูลย์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยจากเทอร์ร่า มีเดีย เผยข้อมูลสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 สิ่งที่สะท้อนออกมาไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือสัญญาณเตือนว่าตลาดอสังหาฯ ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเรื้อรังที่สุดในรอบหลายปีนั่น

คือวิกฤติความสามารถในการกู้ซื้อ (Mortgage Rejection Crisis) กลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 70% จนทำให้บรรดาผู้ประกอบการต้องถอยจากตลาดแมส “หนี” ไปพึ่งกลุ่มไฮเอนด์ที่มีเงินสดและไม่ต้องอาศัยการ “กู้” เป็นหลัก 

แต่อีกมุมหนึ่งตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ยังมี “โอกาส” โดยเฉพาะแนวราบราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทในทำเลชานเมืองที่มีศักยภาพ ซึ่งยังเป็นโซนที่ผู้ซื้ออยู่จริงยังมองหาอยู่เสมอ

จากการสำรวจโครงการกว่า 4,000 โครงการทั่วกรุงเทพฯ ของเทอร์ร่า ระบุว่า 6 โซนที่น่าจับตามีโอกาสและความท้าทายที่แตกต่างกัน ต้องใช้กลยุทธ์ต่างกันในแต่ละทำเล เพื่อเข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

1.โซนศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD (Central Business District)  ของกรุงเทพฯ อย่างสีลม สาทร สุขุมวิท และ พระราม 3 กลายเป็นสนามของตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) แนวราบราคาทะลุเฉลี่ย 65 ล้านบาทต่อยูนิต แต่ยังโต 10% ต่อปี คอนโดมิเนียมเปิดตัวเพิ่ม 15% แต่ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทรงตัว สะท้อนว่านี่คือตลาดของคนมีเงิน “ระดับบนสุด” เท่านั้น

สินค้าเหลือขายส่วนใหญ่เป็นลักชัวรีที่ต้องยิงตรงหากลุ่มต่างชาติและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวนมากตั้งแต่ 30 ล้านบาท หรือ HNWI (High Net Worth Individuals) เหมาะกับโครงการระดับลักชัวรีที่ “ขายประสบการณ์มากกว่าตารางเมตร” ส่วนความท้าทายคือ ต้นทุนสูง แข่งรุนแรง ลูกค้ามีทางเลือกมาก

2.โซนในเมือง (Urban) อย่างจตุจักร รัชดา พญาไท ห้วยขวาง เผชิญจังหวะต่ำสุดในรอบ 10 ปีของตลาดคอนโด โครงการใหม่หายไปอย่างมีนัยสำคัญ คอนโดที่ยังขายได้คือราคาไม่เกิน 150,000 บาทต่อตร.ม. แนวราบราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยเฉพาะทาวน์โฮม 3 ชั้น กลายเป็นฮีโร่ของโซนนี้ เป็นโอกาสของสินค้ากลาง-ล่างที่ออกแบบเพื่ออยู่จริง ส่วนความท้าทายคือต้องแข่งกับคอนโดมือสองจำนวนมาก

  3.โซนตะวันออก เกษตร-นวมินทร์ มีนบุรี อ่อนนุช ลาดกระบัง กำลังเป็น Rising Star ตลาดแนวราบแบบติดเทอร์โบ! เพราะมีอัตราโตต่อเนื่อง 11% ต่อปี โดยเฉพาะช่วงต่ำกว่า 10 ล้านบาท ขณะที่คอนโดยังนิ่งในระดับ 70,000-80,000 บาทต่อตร.ม. แต่ยูนิตขายดีอยู่ที่ต่ำกว่า 150,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นโอกาสของคนกำลังหาบ้านจริงเพื่ออยู่ และยอมจ่ายมากขึ้น ส่วนความท้าทายคือการเดินทางและระบบขนส่งต้องรองรับการขยายตัวของชุมชนใหม่

4. โซนตะวันตก ปิ่นเกล้า กาญจนา สุขสวัสดิ์ พระราม 2 ราคาขยับแต่ความเสี่ยงสูง แนวราบขึ้นราคา 5% แต่เปิดโครงการใหม่ลดลง สต็อกระดับราคา 10-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มขายยากเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดแมส ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทกลับขายดี คอนโดเปิดใหม่ลดลงถึง 30% ต่อปี สะท้อนการตั้งรับเต็มรูปแบบของดีเวลลอปเปอร์ เป็น “โอกาส” สำหรับกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ขณะเดียวกันเป็น ความท้าทาย ของตลาดกลาง-บน ที่ต้องใช้เวลาในการระบายสต็อก

5.โซนเหนือ ดอนเมือง แจ้งวัฒนะ รังสิต ลำลูกกา เป็นทำเลของทาวน์โฮมและคอนโดขยายตัวตามรถไฟฟ้า ขณะที่ตลาดแนวราบนิ่งทั้งราคาและจำนวนเปิดตัว สินค้าที่กระจายอยู่ส่วนใหญ่ ราคา 3-5 ล้านบาท โดยเฉพาะทาวน์โฮม และคอนโด ได้แรงหนุนจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหมอชิ-คูคต ทำให้ราคาเริ่มไต่ขึ้นสู่โซน 60,000-150,000 บาทต่อตร.ม. แต่ปัญหาคือ “สต็อกเหลือจำนวนมาก” จุดขายที่เป็นโอกาสคือทำเลเชื่อมเมือง-ชานเมือง กำลังพัฒนาเต็มรูปแบบแต่ความท้าทายคือต้องบริหารสต็อกไม่ให้ล้นตลาด

6.โซนนนทบุรี เป็นทำเลโตแรงสุดของแนวราบ ราคาเพิ่มต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ต่อปี นาน 5-6 ปี สินค้าขายดี ราคา 3-7 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดเรียลดีมานด์เข้าถึง ในทางกลับกัน คอนโดสายสีม่วงยังต้องระบายสต็อกจากยุคเปิดตัว 58,000 ยูนิต ในปีเดียวจน Over Supply ยาวนานเกือบทศวรรษ ระดับราคาที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 60,000 บาทต่อตร.ม. เป็น “โอกาส” ที่บ้านแนวราบยังโตได้อีก ส่วนความท้าทายตกอยู่ที่คอนโดต้องใช้เวลาเคลียร์สต็อกในตลาดที่อ่อนแรง

แม้ตลาดเผชิญปัญหาหนักตั้งแต่กำลังซื้อหดตัว หนี้ครัวเรือนพุ่ง และดอกเบี้ยยังไม่เป็นใจ แต่โอกาสในตลาดอสังหาฯ ยังมีอยู่จริง 2 กลุ่มชัดเจน คือ ตลาดไฮเอนด์ ถูกมองเป็น Safe Haven เพราะกำลังซื้อยังแข็งแกร่ง แต่ต้องแข่งด้วยความแตกต่างและคุณค่าใหม่ และ  ตลาดแมส เป็นโอกาสในกลุ่มบ้านระดับราคา 3-10 ล้านบาท ที่เป็นทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว ซึ่งทางรอดของดีเวลลอปเปอร์ยุคนี้ต้องช่วยลูกค้าให้ “กู้ผ่าน” และสร้าง Value Added มากกว่าคู่แข่ง

ปัจจุบันอสังหาฯ ไทยกำลังก้าวข้ามการขายบ้านไปสู่การขาย “คุณภาพชีวิต” ผู้ซื้อไม่ได้มองหาแค่ที่อยู่อาศัยแต่ต้องการ “ชีวิตที่ดีขึ้น” ในราคาที่เอื้อมถึง คือโจทย์ใหม่ที่กำลังนิยามอนาคตของอสังหาฯ ไทยในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


‘อโกด้า ปักหมุด ‘วัน แบงค็อก’ ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ปี 69

วัน แบงค็อกต้อนรับ “อโกด้า” ย้ายฐานสำนักงานในไทยครั้งแรกในรอบทศวรรษ สู่พื้นที่กว่า 26,000 ตร.ม. บนอาคารทาวเวอร์ 5 สะท้อนทิศทางเติบโตของบริษัทเทคระดับโลก และวิสัยทัศน์ร่วมในการพัฒนาพื้นที่ทำงานอนาคต

วัน แบงค็อก โครงการมิกซ์ยูสระดับแฟลกชิปใจกลางเมือง ประกาศต้อนรับ “อโกด้า” ผู้นำแพลตฟอร์มท่องเที่ยวดิจิทัลระดับโลก ในฐานะผู้เช่าพื้นที่สำนักงานรายใหญ่รายใหม่ โดยองค์กรเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยมายังอาคาร วัน แบงค็อก ทาวเวอร์ 5 อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2569 ซึ่งนับเป็นการย้ายสำนักงานครั้งสำคัญในรอบกว่าทศวรรษของบริษัท

ภายใต้เฟสแรกของการย้าย อโกด้าจะเช่าพื้นที่รวมกว่า 26,000 ตารางเมตร ครอบคลุม 7 ชั้น ทำให้กลายเป็นหนึ่งในผู้เช่ารายใหญ่ที่สุดของโครงการทันที การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนทั้งการเติบโตขององค์กรเทคระดับโลก และความเชื่อมั่นในศักยภาพของวัน แบงค็อกซึ่งออกแบบให้เป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมและชุมชนธุรกิจ” แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด กล่าวว่าการเข้ามาของอโกด้าเป็นการตอกย้ำจุดยืนของโครงการในการกำหนดมาตรฐานใหม่ของออฟฟิศยุคอนาคต โดยพื้นที่สำนักงานของวัน แบงค็อกมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตพนักงาน การทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ และการสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่แข็งแรง เชื่อมให้องค์กรระดับโลกเติบโตไปพร้อมกัน

ด้านนายออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า ระบุว่า การย้ายสำนักงานใหญ่ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของบริษัท เนื่องจากต้องการสภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ รองรับการทำงานร่วมกัน และตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานขององค์กรเทคโนโลยียุคใหม่ ซึ่งวัน แบงค็อกมีความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้าง พื้นที่ใช้สอย และการออกแบบที่เชื่อมต่อทุกชั้นของสำนักงานได้อย่างกลมกลืน

สำนักงานแห่งใหม่จะถูกพัฒนาขึ้นเป็น “จุดศูนย์กลางของความคิดสร้างสรรค์และการเชื่อมต่อ” พื้นที่ภายในออกแบบให้รองรับการมีส่วนร่วมของพนักงาน สนับสนุนการทำงานของทีมหลากหลายฟังก์ชัน และสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทเทคชั้นนำของเอเชียอย่างแท้จริง ทั้งยังมีพื้นที่ต่อชั้นขนาดใหญ่ซึ่งตอบโจทย์แนวคิดแบบ campus office รองรับพนักงานได้มากกว่า 4,000 คน อย่างสะดวกสบาย สอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นและเน้นประสิทธิภาพของอโกด้า

วัน แบงค็อก ยังเป็นโครงการที่โดดเด่นด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจัดสรรพื้นที่กว่า 50% ของโครงการเป็นสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียว ขณะเดียวกันอาคารทุกหลังได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง และติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะครบวงจร อีกทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐาน WiredScore, SmartScore for Neighborhoods และกำลังเข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐาน WELL เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคารในระยะยาว

ข้อมูลจากรายงาน Asia Pacific Survey 2025 ของ CBRE ระบุว่าผู้เช่าสำนักงานให้ความสำคัญกับทำเลใจกลางเมือง การสร้างประสบการณ์การทำงานที่ดี และการใช้พื้นที่ที่ยืดหยุ่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่วัน แบงค็อกนำเสนอได้อย่างครบถ้วน เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้องค์กรระดับนานาชาติอย่างอโกด้าเลือกปักหมุดฐานธุรกิจในโครงการนี้

การเข้ามาของอโกด้าจึงถือเป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมตลาดสำนักงานเกรดพรีเมียมของกรุงเทพฯ และเน้นย้ำบทบาทของวัน แบงค็อกในฐานะศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ที่พร้อมรองรับองค์กรชั้นนำจากทั่วโลกในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ธ.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 31.73 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าอย่างจำกัด ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์บางส่วน รวมถึงการปรับสถานะการถือครองของผู้เล่นในตลาดที่มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังผลประชุม FOMC ของเฟด ยังเหลือการประชุมBOJ และBOT

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ธ.ค.2568 ที่ระดับ  31.73 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดของวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.82 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น และอาจจบสิ้นปีแถวระดับ 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์

ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) สอดคล้องกับโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทที่ยังคงมีกำลังอยู่

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดได้รับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟดไปแล้ว ซึ่งไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ เรามองว่า ยังเหลือการประชุมธนาคารกลางสำคัญ โดยเฉพาะ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึง ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งที่มีสถานะถือครองเงินบาท อาจเลือกที่จะรอรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางดังกล่าว ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญได้ และแม้ว่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง

แต่เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบ้าง

อย่าง การขายทำกำไรสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) หลังผลการประชุม FOMC ของเฟด ก็ไม่ได้สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดมากนัก

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา

ทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-31.85 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา (วันที่ 10 ธันวาคม เป็นวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย) เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways ก่อนที่จะผันผวนสูงขึ้น และทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด

และถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference (แกว่งตัวในกรอบ 31.72-31.87 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง หลังเฟดมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.50-3.75% ตามที่ตลาดคาด ทว่า คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด

สะท้อนมุมมองของเฟดที่มีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น (เฟดปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในปี 2026 จาก 1.8% เป็น 2.3%) อีกทั้ง คาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยใหม่ของเฟด (Dot Plot) ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมในส่วนของค่ากลาง (Median)

ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทำให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินบาท ก่อนที่สุดท้ายในช่วง Press Conference ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell

ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้อาจจะค่อยเป็นค่อยไป (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีหน้า แต่ Dot Plot ยังสะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง)

ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงอีกครั้ง หนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สูงกว่าระดับก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ส่วนเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นตามเช่นกัน

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง และหนุนการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ส่วนใหญ่ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.67% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.07% หลังผู้เล่นในตลาดต่างระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด สะท้อนจากการย่อตัวลงบ้างของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ

โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะ HSBC +3.2% และ บรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ขนาดใหญ่ อย่าง Novo Nordisk +3.3%

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ก่อนที่จะย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.13% หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังพอมีความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดอยู่

อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมอ่อนค่าลง หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมและอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.5-99.3 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปี 2026 หลังรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference ยังพอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,270 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานและแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE

ทางฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังการสู้รบตามแนวชายแดนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โปรแกรมกีฬาซีเกมส์ 2025 ประจำวันที่ 11 ธ.ค. 68 ถ่ายทอดสดช่องไหนบ้าง?

การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 SEA Games 2025 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ช่วงระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2568

ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (SEA Games 2025) ซึ่งประเทศไทยรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2025 ภายใต้คำขวัญ “ก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง” (Ever Forward)

โดยครั้งนี้จัดแข่งขันทั้งหมด 50 ชนิดกีฬา ชิงรวม 574 เหรียญทอง พร้อมด้วย 3 กีฬาสาธิต ได้แก่ กีฬาทางอากาศ, จานร่อน, ชักเย่อ และ 1 กีฬาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจคือ MMA โดยไทยตั้งเป้าคว้า 241 เหรียญทองในครั้งนี้

โปรแกรมการแข่งขันซีเกมส์ 2025 วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2568

ว่ายน้ำ (การกีฬาแห่งประเทศไทย)

เวลา 09:00-18:00 น. (รอบแรกถึงรอบชิงชนะเลิศ)

  • กรรเชียง 50 เมตร ชาย
  • กรรเชียง 50 เมตร หญิง
  • ฟรีสไตล์ 50 เมตร ชาย
  • ฟรีสไตล์ 50 เมตร หญิง
  • กบ 100 เมตร ชาย
  • เดี่ยวผสม 200 เมตร หญิง
  • ฟรีสไตล์ 200 เมตร หญิง
  • กรรเชียง 100 เมตร ชาย
  • เดี่ยวผสม 200 เมตร ชาย
  • ฟรีสไตล์ 4×200 เมตร หญิง

ระบำใต้น้ำ (มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สุวรรณภูมิ)

เวลา 10:00-20:30 น. (รอบแรก)

กรีฑา (สนามศุภชลาศัย กรุงเทพฯ)

เวลา 09:00-19:00 น. (รอบแรกถึงรอบชิงชนะเลิศ)

ช่วงเช้า

  • วิ่ง 100 เมตร (ทศกรีฑา) ชาย
  • กระโดดไกล (ทศกรีฑา) ชาย
  • ทุ่มน้ำหนัก (ทศกรีฑา) ชาย

ช่วงเย็น

  • ขว้างค้อน ชาย (ชิงชนะเลิศ)
  • กระโดดสูง (ทศกรีฑา) ชาย
  • เขย่งก้าวกระโดด ชาย (ชิงชนะเลิศ)
  • วิ่ง 100 เมตร ชาย
  • กระโดดค้ำ หญิง (ชิงชนะเลิศ)
  • วิ่ง 100 เมตร หญิง
  • วิ่ง 1,500 เมตร ชาย (ชิงชนะเลิศ)
  • วิ่ง 1,500 เมตร หญิง (ชิงชนะเลิศ)
  • ขว้างจักร หญิง (ชิงชนะเลิศ)
  • วิ่ง 400 เมตร (ทศกรีฑา) ชาย
  • วิ่ง 100 เมตร ชาย (ชิงชนะเลิศ)
  • วิ่ง 100 เมตร หญิง (ชิงชนะเลิศ)

แบดมินตัน (ธรรมศาสตร์ รังสิต)

เวลา 10:00-18:00 น. รอบแรก

  • ชายเดี่ยว
  • หญิงเดี่ยว
  • ชายคู่
  • หญิงคู่
  • คู่ผสม

เบสบอล (ปทุมธานี)

ทีมชาย

  • 09:00 น. สิงคโปร์ พบ อินโดนีเซีย
  • 10:00 น. ลาว พบ ฟิลิปปินส์
  • 14:00 น. มาเลเซีย พบ ไทย

ทีมผสม (พบกันหมด)

  • 10:00 น. มาเลเซีย พบ อินโดนีเซีย
  • 12:00 น. ไทย พบ เวียดนาม

บาสเกตบอล 3×3 (สนามนิมิบุตร)

รอบแบ่งกลุ่ม ทีมชาย

  • 11:00 น. ฟิลิปปินส์ พบ ลาว
  • 11:25 น. เวียดนาม พบ มาเลเซีย
  • 11:50 น. อินโดนีเซีย พบ สิงคโปร์
  • 12:15 น. ไทย พบ เมียนมา

รอบรองชนะเลิศ

  • 15:30 น. และ 15:55 น. ทีมหญิง
  • 16:20 น. และ 16:45 น. ทีมชาย

รอบชิงเหรียญทองแดง

  • 17:20 น. ทีมหญิง
  • 17:45 น. ทีมชาย

รอบชิงชนะเลิศ

  • 18:10 น. ทีมหญิง
  • 18:35 น. ทีมชาย

บิลเลียดและสนุกเกอร์ (ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี)

  • 10:00 น. สนุกเกอร์ 6 แดง ชาย (รอบก่อนรองฯ)
  • 18:00 น. สนุกเกอร์ 6 แดง ชาย (รอบรองฯ)
  • 18:00 น. สนุกเกอร์ 6 แดง หญิง (รอบรองฯ)
  • 14:00 น. ทีมหญิง (รอบรองฯ)
  • 14:00 น. บิลเลียดเดี่ยว (รอบรองฯ)

มวยสากล (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

เวลา 14:00 น. ทุกรุ่น ชาย-หญิง รอบแรก/รอบก่อนรองฯ

แคนู-เรือใบ (จ.ระยอง)

รอยืนยันเวลา: แคนูเดี่ยวสลาลอม / คายัคเดี่ยวสลาลอม

เวลา 09:00-16:00 น. รอบแรกถึงรอบชิงชนะเลิศ

  • แคนูคู่ชาย 200 เมตร
  • คายัคคู่ 200 เมตร
  • คายัคคู่ผสม 500 เมตร

หมากรุก (โรงแรมเดอะบาซาร์ แบงค็อก)

รอยืนยันเวลา ทีมผสม รอบแรก

คริกเก็ต (AIT)

ทีมหญิง

  • 09:00 น. รอบรองชนะเลิศ
  • 11:30 น. รอบรองชนะเลิศ

ทีมชาย

  • 09:00 น. ไทย พบ สิงคโปร์
  • 13:30 น. ฟิลิปปินส์ พบ อินโดนีเซีย

จักรยาน (เขาเขียว ชลบุรี)

เวลา 09:00-11:30 น. เสือภูเขาชาย รอบคัดเลือก/รอบชิงฯ

เอ็กซ์ตรีม – สกีน้ำ (บึงบับบิท)

เวลา 09:30-14:00 น. รอบชิงชนะเลิศ

เจ็ตสกี (หาดจอมเทียน พัทยา)

เวลา 08:30-14:10 น. รอบแรก

ฟุตบอลชาย (ราชมังคลากีฬาสถาน)

  • 16:00 น. เวียดนาม พบ มาเลเซีย
  • 19:00 น. ไทย พบ สิงคโปร์

ฟุตบอลหญิง (ชลบุรี สเตเดี้ยม)

  • 16:00 น. ฟิลิปปินส์ พบ มาเลเซีย
  • 16:00 น. เวียดนาม พบ เมียนมา

กอล์ฟ (สยามคันทรีคลับ พัทยา)

เวลา 14:00 น. ประเภทเดี่ยวและทีม ชาย-หญิง รอบแรก

ยิมนาสติก (ธรรมศาสตร์ รังสิต)

รอบชิงชนะเลิศ

  • 14:00-16:00 น. ฟลอร์เอ็กเซอร์ไซส์ ชาย
  • 14:30-16:00 น. ม้ากระโดด หญิง
  • 14:30-16:00 น. ม้ากระโดด ชาย
  • 14:30-16:00 น. บาร์ต่างระดับ หญิง
  • 14:30-16:00 น. ห่วงนิ่ง ชาย

แฮนด์บอล (พัทยา ชลบุรี)

ทีมหญิง รอบแรก

  • 11:00 น. ฟิลิปปินส์ พบ ไทย
  • 13:00 น. สิงคโปร์ พบ อินโดนีเซีย

ทีมชาย รอบแรก

  • 15:00 น. มาเลเซีย พบ ฟิลิปปินส์
  • 17:00 น. ไทย พบ เวียดนาม

ฮอกกี้ (มกช. ชลบุรี)

ทีมชาย รอบแรก

  • 10:30 น. เมียนมา พบ สิงคโปร์
  • 15:00 น. ไทย พบ อินโดนีเซีย

ทีมหญิง รอบแรก

  • 12:45 น. มาเลเซีย พบ สิงคโปร์

ฮ็อกกี้น้ำแข็ง (กรุงเทพฯ)

  • 16:00 น. ฟิลิปปินส์ พบ อินโดนีเซีย
  • 19:30 น. ไทย พบ มาเลเซีย

ยูโด (ราชมงคลธัญบุรี)

เวลา 13:00-18:00 น. ชาย-หญิง รอบแรก

ยูยิตสู (นนทบุรี)

เวลา 09:00-16:00 น.

  • เนวาซ่า ชาย-หญิง
  • ดูโอ โชว์ ชาย-หญิง

คาบัดดี้ (ราชมงคลรัตนโกสินทร์)

  • 09:00 น. ไทย พบ เมียนมา
  • 16:20 น. ไทย พบ อินโดนีเซีย

คาราเต้ (สวนสยาม)

เวลา 09:00-16:00 น. รอบแรกถึงรอบชิงชนะเลิศ

เปตอง (ราชภัฏวไลยอลงกรณ์)

เวลา 09:00-17:10 น. ทุกประเภท รอบแรก

เรือใบ (สัตหีบ)

เวลา 10:00-17:00 น. รอบแรก

  • Boy’s ILCA4
  • Girl’s ILCA4
  • Boy’s Optimist
  • Girl’s Optimist
  • Men’s ILCA7
  • Women’s ILCA6
  • Mixed 470

เซปัคตะกร้อ (นครปฐม)

  • 12:00 น. กัมพูชา พบ ไทย

ยิงปืน (ราชบุรี)

เวลา 09:00-15:00 น. ยิงเป้าบิน สกีทชาย / สกีทหญิง

เทควันโด (แฟชั่นไอส์แลนด์)

เวลา 10:00-15:00 น.

  • รุ่นไม่เกิน 46 กก. หญิง
  • รุ่นเกิน 62 กก. หญิง
  • รุ่นไม่เกิน 54 กก. ชาย
  • รุ่นเกิน 80 กก. ชาย

เทนนิส (นนทบุรี)

เวลา 09:00 น. รอบแรก ทีมชายและทีมหญิง

เทคบอล (ชลบุรี)

เวลา 10:00-17:00 น. รอบแรก ชาย-หญิง / คู่ผสม

วอลเลย์บอล (อินดอร์ สเตเดี้ยม)

  • 12:30 น. มาเลเซีย พบ เวียดนาม
  • 17:30 น. ฟิลิปปินส์ พบ ไทย

วู้ดบอล (สัตหีบ)

เวลา 08:30-13:00 น. รอบแรก

พาราไกลดิ้ง

เวลา 09:00-17:00 น. รอบแรก ชายเดี่ยว / หญิงเดี่ยว

ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน)

เวลา 09:00-18:00 น. รอบชิงชนะเลิศ ชายและหญิง

สามารถร่วมเชียร์นักกีฬาไทยลุ้นเหรียญทองได้แบบติดขอบสนาม เข้าชมฟรี เพียงลงทะเบียนผ่าน LINE @SEAGAMES หรือเว็บไซต์ทางการของการแข่งขัน

การถ่ายทอดสดตลอดทัวร์นาเมนต์รับชมได้ผ่าน สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ในฐานะแม่ข่ายหลัก ร่วมกับ ทีสปอร์ต 7, ONE31, ไทยรัฐทีวี 32, PPTV HD 36 และ TrueVisions NOW

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


นวัตกรรม ‘รักษามะเร็ง’ แบบแม่นยำสูง  เพิ่มโอกาสการรักษา-ลดผลข้างเคียง

10 ธันวาคม วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ  กรมการแพทย์เผยสิทธิประโยชน์เข้มแข็งเข้าถึงทุกสิทธิ นวัตกรรมก้าวหน้า เพื่อการดูแลผู้ป่วยมะเร็งไทยอย่างเท่าเทียม

นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้วางรากฐานการเข้าถึงบริการด้วยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Coverage Scheme: UCS) ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงการป้องกัน คัดกรอง วินิจฉัย และรักษาโรคมะเร็งได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความเท่าเทียมด้านสุขภาพ ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้ยกระดับคุณภาพบริการด้วยระบบ “Cancer Anywhere” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับการดูแลต่อเนื่องได้ทุกพื้นที่ และพัฒนาเป็น “SSO Cancer Care” สำหรับผู้ประกันตน เพื่อให้ได้รับบริการรักษาที่ได้มาตรฐานอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

 แม้ประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เป็นรากฐานของความเสมอภาค แต่ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่การเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาต้นทุนสูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs)

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยได้เริ่มสร้างความร่วมมือแบบ “ห่วงโซ่คุณค่าทั้งระบบ” ระหว่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ผู้ผลิต) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (ผู้ออกกฎระเบียบควบคุม) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (ผู้กำหนดมาตรฐาน) และกรมการแพทย์ (ผู้ใช้บริการ) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศด้วยการแพทย์มูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใกล้ชิดประชาชนมากขึ้นในอนาคต 

เรืออากาศเอกนพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษามะเร็งในประเทศไทยควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบาย เทคโนโลยีการรักษามะเร็งในประเทศไทยก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนวัตกรรมการรักษาแบบแม่นยำสูง(Precision Therapy) ที่ช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาและลดผลข้างเคียง เช่น ระบบรังสีโรบอติก (CyberKnife) ที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของเนื้องอกและฉายรังสีได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันมีบริการในโรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย

และยังมีการนำไปประยุกต์เพื่อรักษาภาวะเฉพาะ เช่น ภาวะไทรอยด์ขึ้นตา (Thyroid Eye Disease: TED) อีกทั้งเทคโนโลยีการฉายรังสีขณะผ่าตัด (Intraoperative Radiotherapy) เริ่มถูกนำมาใช้ในศูนย์การแพทย์บางแห่ง ช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อปกติและอาจย่นระยะเวลาการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

อย่างไรก็ตาม การมีเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญคือการออกแบบระบบบริการที่ประชาชนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรม และต้องคำนึงถึงความยั่งยืนของระบบสุขภาพในระยะยาวควบคู่กันไป อีกทั้ง การส่งเสริมการป้องกันโรคก็เป็นอีกมิติที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถลดความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีราคาแพงได้อย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องในโอกาสวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาตินี้ ขอเชิญชวนให้ประชาชนทุกคนตรวจสอบสิทธิสุขภาพของตนเอง ทั้งสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประกันสังคม หรือประกันสุขภาพเพิ่มเติม และพูดคุยกับหน่วยบริการเพื่อทำความเข้าใจทางเลือกรักษา ป้องกัน และคัดกรอง ขณะเดียวกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน จำเป็นต้องร่วมกันสร้างระบบที่เข้มแข็ง เท่าเทียม และยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนไทยทุกคน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


คอร์ส ‘GenAI’ สุดฮิต! คนไทยลงทะเบียนเรียนทุกๆ หนึ่งนาที

  • Coursera เผยคนไทยลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Generative AI โดยเฉลี่ยทุกๆ 1 นาที ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนที่อยู่ที่ทุกๆ 16 นาที
  • ยอดการลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่เกี่ยวกับ GenAI มีจำนวนสะสมรวมแล้วมากกว่า 305,000 ครั้ง
  • หลักสูตรที่ได้รับความนิยมมีหลากหลาย ตั้งแต่ระดับพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น ไปจนถึงหลักสูตรเชิงปฏิบัติ

Coursera แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ระดับโลก เผยเทรนด์ผู้เรียนชาวไทยประจำปี 2025 จากข้อมูลผู้เรียนมากกว่า 1.2 ล้านคน พบว่า คนไทยมีความสนใจในการพัฒนาทักษะ AI และ Generative AI อย่างก้าวกระโดด

ขณะเดียวกัน ความสนใจในทักษะด้านข้อมูล, การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานดิจิทัล และทักษะเทคโนโลยีพื้นฐานยังเติบโตต่อเนื่อง

สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของตลาดแรงงานไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับวาระดิจิทัลแห่งชาติ และประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรทักษะสูงกว่า 1 ล้านคนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายภายในปี 2029

รายงาน Future of Jobs 2025 ของ World Economic Forum คาดการณ์ว่า 35% ของทักษะหลักของแรงงานไทยจะเปลี่ยนแปลงภายในปี 2573 ส่งผลให้การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการเตรียมแรงงานให้พร้อมต่อเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI

ปี 2025 หลักสูตรด้าน AI และข้อมูลบน Coursera ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยประเทศไทยมีการลงทะเบียนเรียน GenAI เฉลี่ยทุกๆ 1 นาที ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ทุกๆ 16 นาที ส่งผลให้ยอดลงทะเบียนรวมสะสมทะลุกว่า 305,000 ครั้ง

ผู้เรียนไทยกำลังสร้างทั้งพื้นฐานความรู้ผ่านหลักสูตรที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นทุกระดับ อาทิ Generative AI for Everyone และ Google AI Essentials ควบคู่กับทักษะเชิงปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง เช่น Accelerate Your Job Search with AIและ Maximize Productivity With AI Tools การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้สอดคล้องกับทิศทางของกระทรวง อว. (MHESI) ที่มุ่งบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าสู่ระบบการศึกษา และยกระดับศักยภาพด้าน AI ของประเทศอย่างเป็นระบบ

นอกเหนือจาก AI ผู้เรียนไทยยังให้ความสำคัญกับทักษะด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานดิจิทัล, พื้นฐานข้อมูล, พื้นฐานวิศวกรรมซอฟต์แวร์, การบริหารโครงการ, และทักษะด้านการเงิน ความหลากหลายของทักษะสะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไทยกำลังก้าวสู่การพัฒนาความสามารถทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะงานยุคใหม่ที่มีความข้ามสายงานมากขึ้น

แอชชูโทช กุปตะ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Coursera กล่าวว่า ได้เห็นความสนใจที่ต่อเนื่องในด้าน AI ข้อมูล และทักษะสำคัญสำหรับการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศสู่แรงงานดิจิทัลที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ผลจากการยกระดับทักษะยังสะท้อนเป็นผลลัพธ์เชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม โดย Coursera Learner Outcomes Report 2025 ระบุว่า 94% ของผู้เรียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรายงานผลลัพธ์ทางอาชีพในเชิงบวก ตัวอย่างเช่น ได้งานใหม่ หรือเลื่อนตำแหน่ง อีก 49% มีรายได้เพิ่มขึ้น และ 96% ของผู้เรียนได้รับประโยชน์เชิงส่วนตัว เช่น ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นและความภาคภูมิใจในความสำเร็จ

ทักษะที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทยปี 2025

  • GenAI tools & AI-assisted productivity: การใช้ AI, Prompt และระบบอัตโนมัติพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • Financial Intelligence: การเงินเพื่อองค์กร การวิเคราะห์งบประมาณ และการตัดสินใจเชิงธุรกิจ
  • Cybersecurity & Digital Resilience: การรับมือความเสี่ยงไซเบอร์ การป้องกันภัย และการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย
  • Operational Efficiency & Project Execution: การวางแผน กระบวนการทำงาน และการบริหารโครงการ
  • Healthcare Operations: การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน เวชศาสตร์ป้องกัน และการสนับสนุนภาคสาธารณสุข

10 หลักสูตรยอดนิยมในประเทศไทย

  1. Introduction to AI from Google
  2. Maximize Productivity With AI Tools from Google
  3. Use AI Responsibly from Google
  4. Stay Ahead of the AI Curve from Google
  5. Google AI Essentials from Google
  6. Generative AI for Everyone from DeepLearning.AI
  7. Introduction to Generative AI from Google Cloud
  8. Accelerate Your Job Search with AI from Google
  9. Generative AI: Introduction and Applicationsfrom IBM
  10. Using AI as a Creative or Expert Partner from Google

ขอบคุณข้อมูลจาก.bangkokbiznews.com


คำศัพท์ Homonym / Homophone/ Homograph ต่างกันอย่างไร นำไปใช้แบบไหน

คำว่า Homonym, Homophone, และ Homograph เป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ “คำที่มีเสียงหรือการเขียนเหมือนกัน” แต่มีความแตกต่างกันชัดเจนในแง่ของการออกเสียง (sound) และการสะกดคำ (spelling) เพื่อทำความเข้าใจในการ เรียนภาษาอังกฤษ ให้มากขึ้น การเข้าใจประเภทคำทั้งสามก็เป็นเรื่องสำคัญในการสื่อสารในภาษาอังกฤษที่แท้จริง และส่งผลต่อการฟัง พูด อ่าน และเขียน ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักคำศัพท์ในหลายมิติ ทั้งการออกเสียง การเขียน และความหมาย


ความต่างของ Homonym / Homophone / Homograph พร้อมคำนิยาม

1. Homonym

Homonym หรือ โฮโมนีม คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกันและสะกดเหมือนกัน แต่ความมีหมายต่างกันที่เราเรียกว่า คำพ้องรูป ซึ่งประเภทนี้เราแยกออกได้โดยการแยกการใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือทำความเข้าใจการใช้ในบริบทนั้น ๆ คำเดียวกันอาจพูดถึงคนละสิ่งก็เป็นได้

ตัวอย่าง

1.1

I saw a bat flying two days ago at the window.

ฉันเห็นค้างคาวบินอยู่ที่หน้าต่างเมื่อสองวันก่อน

  • Bat (n.) = ค้างคาว (สัตว์บินตอนกลางคืน)

She hit the ball with a bat.

หล่อนตีลูกบอลด้วยไม้ตีลูก

  • Bat (n.) ไม้ตี (เช่น ไม้เบสบอลที่เป็นอุปกรณ์กีฬา)

1.2

Spring is my favorite season because the flowers start to bloom.

ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูโปรดของฉัน เพราะดอกไม้เริ่มเบ่งบาน

  • Spring (n.) = ฤดูใบไม้ผลิ

The cat suddenly sprang onto the kitchen counter.

แมวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างกะทันหัน

  • Spring (v.) >> Sprang (v.2 กริยาในรูปอดีต) = กระเด้ง, กระโดดแบบกะทันหัน

2. Homophone

Homophone หรือ โฮโมโฟน เป็นคำในภาษาอังกฤษที่ออกเสียงเหมือนกันทุกอย่าง 100% (เสียงเหมือน) แต่สะกดต่างกันและมีความหมายต่างกัน หรือเรียกภาษาไทยว่า คำพ้องเสียง ดังนั้นเราควรสังเกตบริบทที่ใช้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

ตัวอย่าง

2.1

We see the sea from the shore.

= เราสามารถมองเห็นทะเลจากชายฝั่งนี้

  • see (ซี) (v.) = เห็น, พบเจอ
  • sea (ซี) (n.) = ทะเล

2.2

Let’s meet on the lunch and eat some meat for more energy.

= มาเจอกันตอนมื้อกลางวัน แล้วกินเนื้อสัตว์เพื่อเพิ่มพลังกันเถอะ

  • meet (มีท) (v.) = พบ
  • meat (มีท) (n.) = เนื้อสัตว์

2.3

My sister dropped flour that she just had bought on the flower pot!

พี่สาว/น้องสาวของฉันทำแป้งที่เพิ่งซื้อหล่นลงไปบนกระถางดอกไม้!

  • flower (ฟลาวเออะ) (n.) = ดอกไม้
  • flour (ฟลาวเออะ) (n.)= แป้ง

3. Homograph

Homograph หรือ โฮโมกราฟ คือ คำที่เขียนเหมือนกัน สะกดเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกัน โดยเราสามารถแยกได้จากบริบทอีกเช่นเดิม โดยอาจมีบางคำออกเสียงเหมือนกัน (same pronunciation) หรือ ต่างกัน (different pronunciation)

ตัวอย่าง

3.1

The tears are falling from her eyes.

น้ำตากำลังไหลหลั่งออกมาจากตาของเธอ

  • Tear (เทียร์) (n) = น้ำตา

Don’t tear the paper. Why don’t reuse it?

อย่าฉีกกระดาษนะ ทำไมไม่เอากลับมาใช้ซ้ำล่ะ

  • Tear (แทร์) (v) = ฉีกขาด

3.2

That shiny object is valuable.       

วัตถุวาววับชิ้นนั้นมีค่ามาก

  • object (ออบ-เจ็คท์) (n.) = วัตถุ

I strongly object to that rule.

ฉันคัดค้านกฎข้อนั้นเป็นอย่างมาก

  • object (อับ-เจ็คท์) (v.) = คัดค้าน, แย้ง

3.3

She broke the world record hitting the single chart last year.

เธอทำลายสถิติโลกด้วยการขึ้นชาร์ตซิงเกิลเมื่อปีที่แล้ว

  • record (เร็ค-อด) (n.) = บันทึก, สถิติ

They need to record the meeting to run the operation correctly.

พวกเขาจำเป็นต้องบันทึกการประชุมเพื่อดำเนินงานให้ถูกต้อง

  • record (รี-คอร์ด) (n.) = บันทึกเสียง, ข้อมูล

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


7 สุดยอดอาหาร ช่วยล้างพิษตับตามธรรมชาติ ลดการอักเสบเรื้อรังอย่างได้ผล

ตับถือเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรักษาสมดุลของระบบภายใน (Homeostasis) และสุขภาพโดยรวม หน้าที่หลักของตับคือการ กำจัดสารพิษ (Detoxification) โดยการเปลี่ยนสารอันตรายให้เป็นรูปแบบที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถขับออกทางระบบปัสสาวะหรือระบบทางเดินอาหารได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ ตับยังมีบทบาทในการผลิตเอนไซม์และฮอร์โมนที่สำคัญต่อการย่อยอาหาร การจัดเก็บไกลโคเจน (รูปแบบสำรองของกลูโคส) และการสังเคราะห์โปรตีนที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด ตับที่แข็งแรง จึงเป็นหลักประกันว่าระบบย่อยอาหารจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิด

อย่างไรก็ตาม ด้วยวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่มีการบริโภคอาหารแปรรูป อาหารจานด่วน และเผชิญกับมลภาวะที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตับต้องทำงานหนักเกินพิกัดเพื่อขจัดสารพิษเหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ ตับทำงานหนักเกินไป (Overloaded Liver) และสูญเสียความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

การ ล้างพิษตับ โดยการเพิ่มอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นวิธีการทางธรรมชาติที่ปลอดภัยในการบำรุงสุขภาพตับ เมื่อตับได้รับการฟื้นฟูและกำจัดของเสียออกไป จะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกระบวนการย่อยอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น โรคตับแข็ง ตับอักเสบ หรือ ไขมันพอกตับ การล้างพิษตับเป็นประจำยังเป็นวิธีปกป้องร่างกายจากโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ

สัญญาณเตือน: ตับทำงานหนักเกินไปและต้องการการดีท็อกซ์

  1. ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง: สัญญาณแรกที่ชัดเจนคือ อาการเหนื่อยล้าที่ยาวนาน โดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อตับไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารเหล่านี้จะสะสมอยู่ในกระแสเลือด ก่อให้เกิดความอ่อนเพลีย ขาดพลังงาน และลดความสามารถในการมีสมาธิ แม้ว่าจะได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม
  2. ปัญหาทางเดินอาหาร: เนื่องจากตับมีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหาร เมื่อตับถูกทำลาย คุณอาจประสบกับปัญหา เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย หรือการขับถ่ายที่ผิดปกติ อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตับจำเป็นต้องได้รับการทำความสะอาดเพื่อเริ่มกระบวนการใหม่
  3. ปัญหาผิวหนังที่ไม่หายขาด: ผิวหนังเป็นอวัยวะที่สะท้อนสภาพของตับได้อย่างชัดเจน เมื่อตับทำงานได้ไม่ดี สารพิษที่ควรถูกขับออกจะถูกปล่อยออกมาทางผิวหนังแทน นำไปสู่ปัญหาผิวต่าง ๆ ที่สังเกตได้ง่ายที่สุดคือ ภาวะดีซ่าน (Jaundice) ซึ่งเกิดจากตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินออกไปได้

นอกจากนี้ ผิวอาจเกิดสิว ผื่นแดง หรือฝ้า/จุดด่างดำเนื่องจากการสะสมของสารพิษ หากปัญหาผิวเหล่านี้ยังคงอยู่และไม่ทุเลาลง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับกำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง การล้างพิษตับจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและผิวหนังกลับมาแข็งแรง พร้อมทั้งป้องกันความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับตับที่รุนแรงขึ้น

 7 สุดยอดอาหารช่วย “ทำความสะอาดตับ” ตามธรรมชาติ

นี่คืออาหารและเครื่องดื่มที่ดีที่สุดบางส่วนที่จะช่วยบำรุงและล้างพิษตับของคุณ:

  1. ผักใบเขียว: ผักโขม คะน้า และผักใบเขียวอื่น ๆ เป็นแหล่งสารอาหารชั้นเยี่ยมที่ช่วยในการล้างพิษตับ ผักใบเขียวมี คลอโรฟิลล์ สูง ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อต้านและทำให้สารเคมีอันตราย รวมถึงยาฆ่าแมลงและโลหะหนักเป็นกลาง (Neutralize) ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นการผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย
  2. กาแฟ: กาแฟถือเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมในการเสริมสร้างสุขภาพตับ การดื่มกาแฟช่วย ลดความเสี่ยงต่อโรคตับแข็ง ซึ่งเป็นภาวะตับถูกทำลายอย่างถาวรในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตับ มะเร็งตับ และ ไขมันพอกตับ สารประกอบในกาแฟยังช่วยเอนไซม์ในตับในการกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายสารประกอบในกาแฟมีฤทธิ์ยับยั้งการสะสมของไขมันและคอลลาเจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักสองประการของโรคตับ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและเพิ่มระดับ กลูตาไธโอน (Glutathione) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลักของร่างกายที่ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายคำแนะนำ: แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ควรจำกัดการดื่มกาแฟเพียง 1 แก้วในตอนเช้า
  3. ข้าวโอ๊ต: การเพิ่มข้าวโอ๊ตในอาหารเป็นวิธีง่าย ๆ ในการเสริมใยอาหาร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตับ ใยอาหารมีความสำคัญต่อระบบย่อยอาหาร ข้าวโอ๊ตและข้าวโอ๊ตบดมีสารประกอบที่เรียกว่า เบต้า-กลูแคน (Beta-Glucans) สูง ซึ่งช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ และต่อสู้กับโรคเบาหวานและโรคอ้วน เบต้า-กลูแคนจากข้าวโอ๊ตช่วยลดปริมาณไขมันที่สะสมในตับ จึงมีบทบาทในการปกป้องตับเคล็ดลับ: ควรเลือก ข้าวโอ๊ตเต็มเมล็ด (Whole-grain Oats) เนื่องจากข้าวโอ๊ตสำเร็จรูปอาจมีแป้งหรือน้ำตาลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
  4. ขิงและกระเทียม: ทั้งขิงและกระเทียมช่วยปรับปรุงระบบย่อยอาหารและ ลดการสะสมของไขมันในตับ ควรเพิ่มทั้งสองอย่างในซุป เมนูผัด หรือน้ำอุ่นในตอนเช้าเพื่อเพิ่มประโยชน์
  5. เกรปฟรุต (Grapefruit): เกรปฟรุตมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องตับตามธรรมชาติ สารต้านอนุมูลอิสระหลักสองชนิดที่พบในเกรปฟรุตคือ นาริงจีนิน (Naringenin) และ นาริงจิน (Naringin)ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถ ลดการพัฒนาของโรคตับแข็ง ได้ การทดลองในหนูที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงแสดงให้เห็นว่า นาริงจีนินลดปริมาณไขมันในตับและเพิ่มจำนวนเอนไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งช่วยป้องกันการสะสมไขมันส่วนเกิน ในขณะที่นาริงจินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยปรับปรุงความสามารถในการเผาผลาญแอลกอฮอล์ และต่อต้านผลกระทบเชิงลบของแอลกอฮอล์บางประการได้
  6. การดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำ 12-15 แก้วต่อวัน ช่วยกำจัดสารพิษและสนับสนุนการทำงานของตับ น้ำมะพร้าวก็เป็นอีกทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติมน้ำและรักษาสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
  7. ปลาที่มีไขมัน (Fatty Fish): ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน อุดมไปด้วยกรดไขมัน โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพที่ช่วยลดการอักเสบและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ไขมันที่พบในปลาเหล่านี้ยังมีประโยชน์ต่อตับ โดยช่วย ป้องกันการสะสมของไขมัน รักษาให้ระดับเอนไซม์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ต้านการอักเสบ และปรับปรุงภาวะดื้ออินซูลิน

นายแพทย์ Shankar Zanwar ที่ปรึกษาอาวุโสและผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหารที่โรงพยาบาล Gleneagles (สิงคโปร์) กล่าวว่า ด้วยการเลือกอาหารที่ถูกต้องและรักษารูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมาะสม โรคไขมันพอกตับสามารถควบคุมและปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ นายแพทย์ Zanwar เน้นย้ำให้หลีกเลี่ยงการอดอาหารแบบสุดขั้วหรือ FAD diet (การลดน้ำหนักตามกระแส) แต่ให้มุ่งเน้นไปที่การรับประทานอาหารที่สมดุล อุดมด้วยสารอาหาร และการรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/12/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a63,350.0063,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,095.0062,080.2064,250.00
ทองรูปพรรณ 90%3,685.5055,872.18n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,276.0049,664.16n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,842.7527,936.09n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,433.2521,728.07n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,243.5264,331.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/12/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6429.9429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า