ไทยผงาดอสังหาฯ แบรนด์เนมโตแรง บูมยาว ชิงดีมานด์เศรษฐีซื้อลงทุน บ้านหลังสอง

บิลล์ บาร์เนตต์ กรรมการผู้บริหาร ซีไนน์ โฮเทลส์ (C9 Hotelworks) กล่าวว่า ตลาด Branded Residence ในเอเชีย ปี 2567 มีจำนวน 68,001 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2.66 แสนล้านดอลลาร์ เติบโตเฉลี่ยปีละ 11% ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่สุด มีส่วนแบ่งตลาด 23.3% ตามมาด้วย ฟิลิปปินส์ 17.3% และเกาหลีใต้ 11.3%โดย Branded Residencesในไทยมี 65 โครงการ จำนวน 16,271 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 5,478 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.91 แสนบาทต่อตารางเมตร
หากจำแนกราคาตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า “Branded Residences” ใจกลางกรุงเทพฯ มีราคาเฉลี่ย 8,323 ดอลลาร์ ราว 2.91 แสนบาทต่อตารางเมตร Branded Residences รีสอร์ต ราคาเฉลี่ย 4,614 ดอลลาร์ ประมาณ 1.61 แสนบาทต่อตารางเมตร และ Branded Residences กลุ่มลักชัวรี ราคาเฉลี่ย 12,729 ดอลลาร์ หรือ 4.45 แสนบาทต่อตารางเมตร
โดย “10 เดสติเนชั่น Branded Residences” อันดับ 1 “ภูเก็ต” ตามด้วย มะนิลา กรุงเทพฯ กัวลาลัมเปอร์ พัทยา ดานัง ฮาลองเบย์ เซบู ปีนัง และ หัวหิน
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยกำลังเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งเพื่อดึงดูดผู้ซื้อต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ด้วยเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดสำหรับผู้ซื้อในประเทศ เศรษฐกิจซบเซา และอุปทานที่ล้นตลาด การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ผลักดันให้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยก้าวไปอีกขั้น มีการนำ Branded Residences ระดับโลกมาผสมผสาน เพื่อสร้างชุมชนไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าระดับไฮเอนด์”

ตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้เกิดกระแสย้ายฐานการลงทุนและย้ายที่อยู่าอาศัยจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพราะประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติและผู้ที่มองหาบ้านหลังที่สองเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตที่สำคัญ
“การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมของไทยจะรุนแรงขึ้น เพราะมีแบรนด์ต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทำให้แบรนด์ไทยต้องแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก”
จะเห็นว่า ดีเวลลอปเปอร์ไทยหลายราย ดึง Branded Residences เข้ามาเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับไฮเอนด์!หนึ่งในนั้น “ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก” (Porsche Design Tower Bangkok) โครงการระดับอัลตราลักชัวรี บนสุขุมวิท 38 ย่านทองหล่อ ของค่าย อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวกระโดดด้วยราคาขายต่อตารางเมตรสูงที่สุดในตลาด “1 ล้านบาท” ต่อตารางเมตร และราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 495 ล้านบาทต่อยูนิต ไปจนถึงสูงสุดกว่า 1,300 ล้านบาทต่อยูนิต
ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่าแนวโน้มBranded Residences เข้ามามีบทบาทมาขึ้นหลังโควิด-19 เนื่องจากกลุ่มลูกค้าคอนโดมิเนียมแมสได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวกำลังซื้อลดลง ผู้ประกอบการหันนมาทำตลาดลักชัวรีมากขึ้น โดยดึงBranded Residences เข้ามาเป็น“จุดขาย” เพราะชาวคนต่างชาติรู้จักแบรนด์ Branded Residences อยู่แล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการเข้ามาซื้อมากขึ้น
“เราเลือก Porsche ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง สำหรับอนันดา การผลักดันราคาและสร้างความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้โครงการโดดเด่นจากคู่แข่ง”
สอดคล้องกับ กฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือออริจิ้น กล่าวว่า โครงการออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด มูลค่า 8,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 25 ไร่ ติดหาดบางเทา เป็น Branded Residences จำนวน 2 โครงการ โรงแรม และคอนโดมิเนียม 5 ดาว
“คนต่างชาติรู้จักแบรนด์ Branded Residences อยู่แล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการเข้ามาซื้อและใช้บริการมากขึ้น แม้ว่าแบรนด์ออริจิ้นจะเป็นที่รู้จักดีในประเทศไทย แต่ต่างชาติไม่รู้จักคุ้นเคย การใช้ Branded Residence ช่วยเสริมความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี ในการทำอสังหาริมทรัพย์ทำเลท่องเที่ยวเป็นโซนไพร์ม”
คอนโดมิเนียม Branded Residence ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งเจ้าของกิจการ และ Branded Residences จะต้องมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะพัฒนาโครงการระดับไหน กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร เพื่อเลือกแบรนด์ที่ตอบโจทย์ โดยราคาหรือมูลค่าที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับลูกค้าในแต่ละทำเล ที่สำคัญงานบริการและคุณภาพโครงการต้องเป็นไปตามมาตรฐานของแบรนด์นั้นๆ
กฤษณ์ มองว่า Branded Residence เป็นตัวเสริมทำให้โครงการเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาในภูเก็ตได้ง่าย โดยเฉพาะคนรัสเซียส่วนใหญ่ซื้อเพื่อเป็นบ้านตากอากาศหลังที่สอง ซื้อเพื่อปล่อยเช่าที่ได้ราคาสูง เพราะมองว่า Branded Residence มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต (Capital Gain) และผลตอบแทนจากค่าเช่า (Rental yield) สูงกว่าคอนโดมิเนียมทั่วไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ต่างชาติแห่ช้อปคอนโดพัทยา ดันที่ดินพุ่งตารางวาละล้าน!

- ผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งแรกปี 2567 พบว่า ตัวเลขโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในจังหวัดชลบุรีขึ้นมาเป็นอันดับ 1 สูงกว่ากรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2566
- สะท้อนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย และการเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในโซนพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก หรือ อีอีซี
- ส่งผลให้ดีมานด์อสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว ดีเวลลอปเปอร์รรายใหญ่พัฒนาคอนโดมิเนียมมากขึ้น คาดว่าในปี 2568 จะมีไม่ต่ำกว่า 1,000 ยูนิต
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ ระบุว่า การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งบางรายประกาศพัฒนาโครงการขนาดใหญ่สร้างการเปลี่ยนแปลงและการปรับเพิ่มของราคาที่ดินไปมากแล้ว ที่ดินบางทำเลที่เหลือน้อยก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลติดถนนเลียบชายหาด
“ที่ดินติดชายหาดบางแปลงประกาศขาย 1 ล้านบาทต่อตารางวา แต่โดยทั่วไปยังอยู่ในช่วง 200,000-500,000 บาทต่อตารางวา แล้วแต่ทำเล และระยะห่างจากชายหาด ผู้ประกอบการบางรายมีที่ดินในมือมานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตลาดคอนโดมิเนียมพัทยาชะลอตัว จึงต้องชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ บางรายเปลี่ยนรูปแบบโครงการหันพัฒนาโรงแรมแทน”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวของพัทยาขยายตัวดีมาก อัตราการเข้าพักโรงแรมในพัทยา ไตรมาส 3 สูงกว่า 78% ไปแล้ว ปี 2567 มีโอกาสเติบโตสูงกว่าปีก่อนหน้า 3-5% ที่สำคัญการเข้ามาของต่างชาติโดยเฉพาะชาวรัสเซียและจีน เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญทำให้ตลาดโรงแรม และคอนโดมิเนียมในพัทยาขยายตัวมากกว่าที่ผ่านมา
“แม้จะเปิดขายใหม่ปีละมากกว่า 10,000 ยูนิตเหมือนอดีตช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ แต่หลายโครงการที่เปิดขายในช่วงเวลานั้นยังขายไม่หมดถึงปัจจุบัน และบางโครงการก็ปิดการขายหรือยกเลิกโครงการไปแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายมีการปรับตัวและลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมลง ไม่ได้เน้นไปที่กำลังซื้อชาวต่างชาติแบบช่วงก่อนหน้านี้แล้ว”

แนวโน้มดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่หันมาขยายฐานลูกค้าไทย พร้อมกับการขายชาวต่างชาติให้ได้มากที่สุด และกระตุ้นให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งในกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยและต่างชาติให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงไม่เน้นโฟกัสไปที่ผู้ซื้อต่างชาติกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเป็นพิเศษเพื่อป้องกันปัญหาเช่นในอดีตเมื่อค่าเงินรูเบิลลดลงมีผลให้ชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยไม่โอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในพัทยา
สำหรับการพัฒนาโครงการขณะนี้ “แสนสิริ” ได้ที่ดินหน้าหาดพัฒนาโครงการคอมโดมิเนียมหรูแบรนด์ใหม่ “LIT Residence” ติดถนนเลียบชายหาด (พัทยาสาย 1) ใกล้เซ็นทรัล พัทยา เป็นที่ดินฟรีโฮลด์ เจาะเซกเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี ราคาไม่ต่ำกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร มีแผนเปิดตัวไตรมาสแรกปี 2568 ก่อนหน้านี้มีโครงการ “อารมณ์” ของกลุ่มคราฟเวิร์ค ราคาไม่ต่ำกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร
โดยยอดขายคอนโดมิเนียม Branded Residence ในพัทยาสูงถึง 75% ขณะที่ยอดขายในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 45% ส่วนใหญ่ราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เตรียมเปิดตัวโครงการ อควารัส จอมเทียน พัทยา มูลค่า 4,500 ล้านบาท รองรับดีมานด์รัสเซีย ยุโรป และจีน ราคา 150,000 บาทต่อตารางเมตร เพราะมองเห็นโอกาสทำตลาดในพัทยาจับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯ เน้นเจาะลูกค้าท้องถิ่น หรือ คนกรุงเทพฯ ที่ต้องการที่พักในพัทยาเป็นหลัก ถือเป็นช่องว่างที่แอสเซทไวส์เข้าไปรุกตลาดต่างชาติจริงจัง
คริส เชิดสุริยา ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริหาร ออเนอร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ชลบุรี ถือเป็นศูนย์กลางของโซนอีอีซี ที่มีการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานจากภาครัฐบาลกว่า 100,000 ล้านบาท ทั้งรถไฟความเร็วสูง สนามบิน ท่าเรือ ทำให้เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่งผลให้มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลวงศ์อมาตย์ พัทยา ซึ่งเป็นจุดไข่แดงของชลบุรี
ทั้งนี้ ออเนอร์ กรุ๊ป เปิดตัว “Once Wongamat” คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี 56 ชั้น สูงสุดในพัทยา จำนวน 548 ยูนิต มูลค่า 8,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท จนถึง 100 ล้านบาท เฉลี่ย 170,000-200,000 บาทต่อตารางเมตร เจาะกลุ่มเป้าหมายเรียลดีมานด์และนักลงทุน สัดส่วน 50:50 ผู้ซื้อส่วนใหญ่ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง โครงการเริ่มก่อสร้างปี 2568 คาดแล้วเสร็จในปี 2572 และขายหมดภายใน 4 ปี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13ธ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตามแนวโน้มเงินหยวนอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องชัดเจน จนกว่าจะรับรู้ปัจจัยใหม่ จับตาเงินยูโรอาจส่งต่อเงินดอลลาร์ ทิศทางเงินเยนและราคาทองคำ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13ธ.ค. 2567 ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.88 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways
หลังผู้เล่นในตลาดคาดหวังแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมอย่างเต็มที่แล้ว (Fully Priced-In) ทำให้ ต้องรอจับตาปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินดอลลาร์ ผ่านบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR)
โดยเรามองว่า หาก ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ยตามคาด ทว่า ECB รวมถึงประธาน ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ECB จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้พอสมควร หรือ แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน
อาจทำให้เงินยูโร (EUR) สามารถรีบาวด์แข็งค่าขึ้นจากโซนแนวรับ 1.05 ดอลลาร์ต่อยูโร ได้บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างมีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและคาดหวังว่าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของ ECB พอสมควรในปีหน้า
อย่างไรก็ดี หาก ECB ลดดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่รออยู่ในปีหน้า ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงเล็กน้อย
หรืออาจเพียงแค่แกว่งตัว Sideways ทำให้โดยรวมเรามีมุมมองในเชิง Slightly Bullish Bias ต่อแนวโน้มเงินยูโร หลังรับรู้ผลการประชุม ECB คืนนี้ ช่วงตั้งแต่ 20.15 น. เป็นต้นไป ตามเวลาประเทศไทย
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากแนวโน้มเงินยูโรที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้นั้น เรามองว่า ควรจับตาทิศทางเงินเยนญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน หลังในช่วงที่ผ่านมาเงินเยนญี่ปุ่นได้ทยอยอ่อนค่าลง
ตามมุมมองผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ไปก่อน ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มเงินหยวนจีน (CNY) และทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง ทองคำ ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้อย่างชัดเจน จนกว่าจะรับรู้ปัจจัยใหม่ ทำให้โซนแนวต้านของเงินบาทก็ยังอยู่ในช่วง 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านยังคงมีโซนที่สำคัญแถว 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.95 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.80-33.94 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทยังคงได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าตามการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เกิน +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เข้าใกล้โซน 2,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความหวังว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายน ที่ออกมา +0.3% จากเดือนก่อนหน้า (ทั้งในส่วนของ Headline CPI และ Core CPI) ตามที่ตลาดประเมินไว้
อย่างไรก็ดี แรงหนุนเงินบาทจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็ถูกชะลอลงบ้าง โดย แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ก็สามารถทยอยรีบาวด์ขึ้นได้ ก่อนที่จะแกว่งตัว Sideways ใกล้ระดับก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI
หนุนโดยการทยอยปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงความกังวลต่อแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ และปริมาณการออกบอนด์ของสหรัฐฯ ในช่วงระยะสั้น
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงและแกว่งตัวเหนือโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ หนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla +5.9%, Alphabet +5.5% ท่ามกลางความหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.77% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.82%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.28% หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ตามความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ถูกกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้น Inditex -6.5% (เจ้าของแบรนด์ Zara) หลังบริษัทรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.27% แม้ว่า ผู้เล่นในตลาดจะเชื่อว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่ออกมาตามคาด ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็สามารถทยอยปรับตัวขึ้นบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด
รวมถึงความกังวลต่อแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณ (Budget Deficit) และปริมาณการออกบอนด์ในช่วงระยะสั้นของรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ก็ถือว่า
เป็นการเคลื่อนไหวที่เข้าทางกลยุทธ์ Buy on Dip บอนด์ระยะยาวของเรา เนื่องจากเราคงประเมินว่า Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะอ่อนค่าลงบ้างหลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ แต่เงินดอลลาร์ก็ได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงและแกว่งตัวเหนือโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 106.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.3-106.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาตามคาด ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,750-2,760 ดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราประเมินว่า แนวโน้มการชะลอลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของยูโรโซนจะหนุนให้ ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 3.00% (บรรดานักวิเคราะห์ก็ต่างคาดการณ์ไว้เช่นเดียวกัน)
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรรอติดตามถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ในระยะข้างหน้า โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องและอาจลดดอกเบี้ยราว 5 ครั้ง ได้ในปี 2025
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนพฤศจิกายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่จะช่วยสะท้อนภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.88-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.06 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ แม้เงินบาทแกว่งตัวเป็นกรอบ แต่ก็ทยอยอ่อนค่าลงมาบางส่วนตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาตามที่ตลาดคาด โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 2.7% YoY ในเดือนพ.ย. (ตลาดคาด 2.7% YoY) เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค.
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.70-33.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ผลการประชุม ECB รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ลุย เนชั่นส์ ลีก 2025 นัดแรกบู๊โปแลนด์

คลอดโปรแกรมออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับศึก วอลเลย์บอล เนชั่นส์ลีก 2025 ประเภททีมหญิง สัปดาห์แรกบู๊ที่ปักกิ่ง วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ประเดิมดวล โปแลนด์ 4 มิ.ย.68
ความเคลื่อนไหวการแข่งขัน วอลเลย์บอล เนชั่นส์ลีก 2025 ประเภททีมหญิงในปีนี้ มี 18 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน จากเดิม 16 ทีม และยกเลิกระบบ ทีมหลัก หรือ Core Teams (ทีมที่ไม่มีการตกชั้น) ทีมท้าทาย หรือ Challenger Teams (อันดับสุดท้ายตกชั้น) ทำให้ทุกทีมมีสิทธิ์ตกชั้นเหมือนกันหมด
รูปแบบการแข่งขัน จะแข่งทั้งหมด 3 สัปดาห์ เพื่อหา 8 ทีมเข้ารอบไฟนอลเหมือนเดิม ที่ประกอบไปด้วย 7 ทีมที่ทำผลงานดีที่สุดในรอบแรกสามสัปดาห์ และ 1 ประเทศเจ้าภาพ ล่าสุดมีการเปิดเผยโปรแกรมการแข่งขัน ในรอบแรกของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ในรอบแรก ทั้ง 3 สัปดาห์ ออกมาเรียบร้อยแล้ว ดังนี้
สำหรับโปรแกรมแข่งวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ทั้ง 3 สนาม มีดังนี้
สัปดาห์ที่ 1 ระหว่างวันที่ 4-8 มิ.ย. 68 กลุ่ม 3 ปักกิ่ง (จีน)
– วันที่ 4 มิถุนายน เวลา 15.00 น. ไทย เจอ โปแลนด์
– วันที่ 5 มิถุนายน เวลา 15.00 น. ไทย เจอ เบลเยียม
– วันที่ 6 มิถุนายน เวลา 18.30 น. ไทย เจอ ตุรกี
– วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 15.00 น. ไทย เจอ ฝรั่งเศส
สัปดาห์ที่ 2 ระหว่างวันที่ 18-22 มิ.ย. 68 กลุ่ม 5 ฮ่องกง (จีน)
– วันที่ 18 มิถุนายน เวลา 16.00 น. ไทย เจอ ญี่ปุ่น
– วันที่ 19 มิถุนายน เวลา 16.30 น. ไทย เจอ อิตาลี
– วันที่ 21 มิถุนายน เวลา 15.30 น. ไทย เจอ สาธารณรัฐเช็ก
– วันที่ 22 มิถุนายน เวลา 12.00 น. ไทย เจอ บัลแกเรีย
สัปดาห์ที่ 3 ระหว่างวันที่ 9-13 กรกฎาคม 68 กลุ่ม 8 อาร์ลิงตัน (สหรัฐอเมริกา)
– วันที่ 10 กรกฎาคม เวลา 07.30 น. ไทย เจอ สหรัฐอเมริกา
– วันที่ 11 กรกฎาคม เวลา 04.00 น. ไทย เจอ เยอรมัน
– วันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 04.00 น. ไทย เจอ สาธารณรัฐโดมินิกัน
– วันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 03.00 น. ไทย เจอ แคนาดา
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
อาการ “ลงแดง” คืออะไร อันตรายแค่ไหน พร้อมวิธีรักษา

คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ถ้าจู่ๆ ก็หยุดดื่มทันที อาจมีอาการ “ลงแดง” ได้ โดยอาจมีอาการตั้งแต่ปวดศีรษะ มือสั่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หงุดหงิด ไปจนถึงเห็นภาพหลอน หรือชักได้
ทำความรู้จัก อาการ “ลงแดง”
อาการลงแดง หรือภาษาทางการในทางการแพทย์เรียกว่า อาการเนื่องจากการขาดสุรา (alcohol withdrawal syndrome) เกิดขึ้นในผู้ที่หยุดดื่มหรือลดการดื่มสุราลงกะทันหัน หลังจากที่ดื่มติดต่อกันมานาน เป็นระยะเวลาหนึ่ง (เทียบได้กับการดื่มวิสกี้ปริมาณ 16 ออนซ์ หรือ 2/3 ขวดต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานาน 14-21 วัน)
อาการลงแดง (alcohol withdrawal) มีอะไรบ้าง
- อาการที่พบได้ในระยะแรก ได้แก่ ตัวสั่น มือสั่น หงุดหงิด คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากหยุดดื่มไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง และเห็นอาการชัดในเช้าวันรุ่งขึ้นนอกจากนี้ยังอาจพบอาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ วิตกกังวล กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตสูงขึ้น ไปจนถึงประสาทหลอน แต่พบได้น้อยอาการในช่วงนี้อาจพบได้ 1-2 วัน และจะค่อยๆ ลดลงภายใน 5-7 วัน แต่อาการหงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ อาจพบได้ถึง 10 วัน
- อาจพบอาการชักในช่วง 7-48 ชั่วโมงหลังหยุดแอลกอฮอล์ได้ โดยพบได้ราว 90% ราว 2-6 ครั้ง และไม่ได้หมายถึงว่ามีอาการรุนแรงของโรคพิษสุราแต่อย่างใด
- หลัง 48 ชั่วโมง อาจพบอาการประสาทหลอน ได้ยินเสียงที่ไม่เรื่องจริง เช่น เสียงนาฬิกา รถยนต์ เสียงคนคุยกัน แต่พบอาการประสาทหลอนที่เห็นเป็นภาพหลอนได้น้อย โดยผู้ป่วยไม่มีอาการเพ้อ หลงลืม หรืองุนงงสับสน ผู้ป่วยจะค่อยๆ รู้ได้ด้วยตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องจริง
- เมื่อหยุดแอลกอฮอล์ได้ 2-3 วัน ไปจนถึงอาการรุนแรงมากขึ้นในวันที่ 4-5 ผู้ป่วยอาจจะเริ่มเห็นภาพหลอนที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว เช่น มีคนมาทำร้าย เห็นสัตว์ไต่ตามตัว เสียงคนพูดข่มขู่ พูดฟังไม่เข้าใจ ร้องตะโกน หรือหลบซ่อนตัว อาการเป็นๆ หายๆ ระหว่างวัน ส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะเป็นไม่นานนัก
วิธีรักษาอาการลงแดง
ปกติแล้วผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากนัก ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือรับการรักษาด้วยยา อาการจะค่อยๆ ทุเลาได้เอง แต่หากมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ทีมแพทย์จะพิจารณา และวินิจฉัยอาการเป็นกรณีๆ ไป
ทั้งนี้ ในผู้ป่วยอาการเนื่องจากการขาดสุราบางราย อาจพบอาการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะ thiamine B12 และ folic acid ในบางรายแพทย์อาจพิจารณาฉีดสารอาหารที่ขาดเข้ากล้าม และในรายที่อาการไม่รุนแรง จะให้เป็นเกลือแร่ทดแทน และรับประทานอาหารที่เหมาะสมแทน
ในกรณีที่มีอาการหนักจนแพทย์พิจารณาให้ยา อาจเลือกเป็นยากิน ยาฉีด เพื่อช่วยลดอาการประสาทหลอน กระสับกระส่าย หรืออาการหวาดกลัว คู่ไปกับการรักษาทางร่างกายในบางรายที่มีอาการเจ็บป่วยทางร่างกายร่วมด้วย เช่น โรคตับ โรคติดเชื้อ หรืออุบัติเหตุต่างๆ เป็นต้น
วิธีลดความเสี่ยงอาการลงแดง
ต้องแก้กันที่ต้นเหตุว่า ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันนานจนเกินไป ไม่ดื่มในปริมาณมากเกินไป หากรู้สึกว่าเมื่อไรที่ขาดแอลกอฮอล์แล้วมีอาการผิดปกติ เช่น มือสั่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ควรหยุดดื่มทันที
หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนเลิกเหล้า 1413 ศูนย์ปรึกษาปัญหาสุราทางโทรศัพท์ (Alcohol Helpline Center) เว็บไซต์ www.1413.in.th
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เรียนภาษาอังกฤษ Adverb คําวิเศษณ์ สรุปง่ายๆ

Adverb คืออะไร?
Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ที่ใช้ขยาย Verb, Adjective Adverb ช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยแสดงลักษณะ (สิ่งที่เกิดขึ้น), ระดับ (ขอบเขต), สถานที่ (ที่ไหน) และเวลา (เมื่อใด) ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นในแกรมม่าภาษาอังกฤษ ทั้งในการพูดและการเขียนภาษาอังกฤษของคุณ
Adverb ที่เรามักเจอบ่อยๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็น Adverb นั่นก็คือ การลงท้ายด้วย -ly ค่ะ ซึ่งคำศัพท์ประเภท Adverb เกิดจาก Adjective + -ly นั่นเอง (เช่น “quick” กลายเป็น “quickly”และคำวิเศษณ์อื่นๆ ที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย -ly ที่มีบทบาททางไวยากรณ์ จะมีคำว่าอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
สรุป Adverb คำกริยาวิเศษณ์
หลักการใช้ Adverb แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. Adverb of time (คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา)
คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา ใช้บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น
- After หลัง
- Afterward ในภายหลัง
- Ago ผ่านมาแล้ว
- Already แล้ว, เรียบร้อย
- Before ก่อน
- Formerly แต่ก่อน
- Immediately ทันที
- Lately เมื่อเร็วๆ นี้
- Late สาย
- Once ครึ่งหนึ่ง
- Shortly ในไม่ช้า
- Since ตั้งแต่
- Soon เร็วๆ นี้
- Still ยังคง
- Today วันนี้
- Tomorrow พรุ่งนี้
- Tonight คืนนี้
- When เมื่อ
- Yesterday เมื่อวานนี้
- Yet ยัง
ตัวอย่างประโยค Adverbs of time
- I have to run, but I’ll see you tomorrow.
- Jame has a dentist appointment, so he will be late for school today.
2. Adverb of Duration (กริยาวิเศษณ์บอกระยะเวลา)
กริยาวิเศษณ์บอกระยะเวลา ใช้อธิบายระยะเวลาที่บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นนานแค่ไหน
- For เป็นเวลา (ตามด้วย + ระยะเวลา เช่น for 2 months)
- Since ตั้งแต่ (ตามด้วย + จุดเริ่มต้นของเวลา เช่น since 1998)
- From…to ตั้งแต่…ถึง
- From…till ตั้งแต่…ถึง
- From…until ตั้งแต่…ถึง
- Till ถึง
- Untill ถึง
ตัวอย่างประโยค Adverb of Duration
- I have been going to this school since 1997.
- I am going on vacation for a week.
3. Adverb of Place (กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่)
คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าการกระทำเกิดขึ้นที่ไหน (เช่น ตำแหน่ง, ระยะทาง, และทิศทาง) เช่น
- Above บน
- Across ข้าม
- Along ตามทาง
- Around รอบ ๆ
- Back หลัง
- Below ข้างใต้
- Nowhere ไม่มีที่ไหน
- Somewhere ที่ใดที่หนึ่ง
- There ที่นั่น
- Here ที่นี่
- Downstairs ชั้นล่าง
- In ใน
- On บน
- At ที่
- Under ข้างใต้
ตัวอย่างประโยค Adverb of Place
- I’m going back to school.
- Come in!
4. Adverb of Frequency (กริยาวิเศษณ์บอกความถี่)
คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าการกระทำเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน เช่น
- Every day ทุกวัน
- Generally เป็นประจำ
- Always ตลอด
- Frequently, Often บ่อย ๆ
- Usually, Normally เป็นปกติ
- Occasionally, Sometomes บางครั้ง
- Never ไม่เคย
- Rarely, Seldom ไม่ค่อยจะ
- Again อีกครั้ง
ตัวอย่างประโยค Adverb of Frequency
- Jane always works on Saturdays.
- Monica never washes the dishes.
5. Adverb of Manner (กริยาวิเศษณ์บอกลักษณะอาการ)
คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้แสดงว่าผู้กระทำหรือประธานทำกริยานั้นด้วยความรู้สึกหรืออารมณ์แบบไหน อย่างไร เช่น
- Angrily อย่างโมโห
- Badly อย่างแย่มาก, อย่างมาก
- Calmly อย่างสงบ
- Carefully อย่างรอบคอบ
- Easily อย่างง่ายดาย
- Intentionally อย่างตั้งใจ
- Loudly อย่างเสียงดัง
- Perfectly อย่างยอดเยี่ยม
- Quietly อย่างเงียบๆ
- Sincerely อย่างจริงใจ
- Terribly อย่างร้ายกาจ
- Together ด้วยกัน
- Willingly อย่างเต็มใจ
ตัวอย่างประโยค Adverb of Place
- Tony read quietly.
- Jessy laughed loudly.
6. Adverb of Degree (กริยาวิเศษณ์บอกระดับ)
คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าปริมาณว่ามากน้อยแค่ไหน หรืออยู่ในระดับไหน เช่น
- Almost เกือบจะ
- Entirely ทั้งหมด
- Enough เพียงพอ
- Extremely อย่างที่สุด
- Greatly อย่างยิ่งใหญ่
- Nearly เกือบ
- Quite ค่อนข้าง
- Slightly อย่างเล็กน้อย
- Too เกินไป
- Very มาก
ตัวอย่างประโยค Adverb of Degree
- You are running fast enough.
- I’ll be ready soon; I’m almost finished.
7. Adverb of Affirmation or Negation (กริยาวิเศษณ์บอกการรับและการปฏิเสธ)
คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้ยืนยันว่าใช่ (Affirmation) หรือ ไม่ใช่ (Negation) เช่น
- Yes ใช่
- Absolutely อย่างแน่นอนที่สุด
- Certainly อย่างแน่นอน
- Entirely อย่างสิ้นเชิง
- Indeed แน่นอน
- Of course แน่นอน
- Preciously อย่างชัดเจน
- Surely อย่างแน่นอน
- Truly อย่างแท้จริง
- No, Not, Never ไม่
ตัวอย่างประโยค Adverb of Affirmation or Negation
- Yes, that is correct.
- I absolutely love playing football.
8. Conjunctive Adverb (กริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค)
คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้เป็นคำเชื่อม 2 ประโยค หรือ เชื่อมประโยคกับวลีหรือคำ เข้าด้วยกัน เช่น
- Also นอกจากนั้น
- Anyway อย่างไรก็ตาม
- Before ก่อน
- Briefly อย่างย่อ
- But แต่
- Consequently ด้วยเหตุนี้
- Firstly อันดับแรก
- For example เช่น
- For instance เช่น
- Furthermore, In addition, Moreover มากไปกว่านั้น
- However อย่างไรก็ตาม
- Instead แทนที่
- Inspite of ทั้ง ๆ ที่
- In conclusion สรุป
- Meanwhile ในขณะที่
- Namely กล่าวคือ
- Secondly อันดับสอง
- Then หลังจากนั้น
- Therefore ดังนั้น
ตัวอย่างประโยค Conjunctive Adverb
- She went into the store; however, she didn’t find anything she wanted to buy.
- It became too dark; therefore, we decided not to go to the park.
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
‘โจรไซเบอร์’ ป่วนอาเซียน ดึง ‘AI’ ล้วงข้อมูลธุรกิจ

วันนี้ธุรกิจในอาเซียนยังคงมีความเสี่ยงที่สูง ขณะเดียวกันกลายเป็นเป้าหมายที่บรรดาแฮกเกอร์พยายามเจาะหาข้อมูลประจำตัวอย่างหนักหน่วง
แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก เผยว่า สามารถบล็อกการโจมตีแบบ bruteforce ที่พยายามโจมตีธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มากกว่า 23 ล้านครั้ง ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2567
สำหรับ การโจมตีแบบบรูทฟอร์ซ (bruteforce attack) เป็นวิธีการที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ในการคาดเดาข้อมูลการเข้าสู่ระบบ (login info) คีย์การเข้ารหัส (encryption key) หรือค้นหาเว็บเพจที่ซ่อนอยู่
โดยพยายามใช้ชุดอักขระที่เป็นไปได้ทั้งหมดอย่างเป็นระบบจนกว่าจะพบชุดอักขระที่ถูกต้อง การโจมตีแบบบรูทฟอร์ซที่ประสบความสำเร็จ ผู้โจมตีจะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่มีค่า สามารถติดตั้งและแพร่กระจายมัลแวร์ และแฮ็กระบบเพื่อดำเนินการที่เป็นอันตรายต่างๆ
‘ไทย’ ถูกโจมตี ‘ติดท็อป 3’
สถิติระบุว่า ตั้งแต่เดือนม.ค.ถึงมิ.ย. 2567 ผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรธุรกิจของแคสเปอร์สกี้ที่ติดตั้งในบริษัทขนาดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตรวจพบและบล็อก Bruteforce.Generic.RDP ได้ทั้งหมดจำนวน 23,491,775 รายการ
โปรโตคอล Remote Desktop Protocol หรือ RDP คือโปรโตคอลของไมโครซอฟท์ เป็นอินเทอร์เฟซแบบกราฟิกให้ผู้ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่านเครือข่าย โปรโตคอล RDP ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อควบคุมเซิร์ฟเวอร์และพีซีเครื่องอื่นๆ จากระยะไกล โดยผู้ดูแลระบบรวมถึงผู้ใช้ที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านเทคนิคก็สามารถใช้ได้
การโจมตี Bruteforce.Generic.RDP จะพยายามค้นหาคู่ล็อกอินและรหัสผ่าน RDP ที่ถูกต้อง โดยตรวจสอบรหัสผ่านที่เป็นไปได้ทั้งหมดอย่างเป็นระบบจนกว่าจะพบรหัสผ่านที่ถูกต้อง เมื่อประสบความสำเร็จ ผู้โจมตีจะสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์โฮสต์เป้าหมายจากระยะไกลได้

ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย มีจำนวนการโจมตี RDP มากที่สุดสามลำดับแรกในภูมิภาค โดยพบความพยายามโจมตีมากกว่า 8.4 ล้านรายการ 5.7 ล้านรายการ และ 4.2 ล้านรายการ ตามลำดับ ขณะที่ สิงคโปร์พบการโจมตีมากกว่า 1.7 ล้านรายการ ฟิลิปปินส์มากกว่า 2.2 ล้านรายการ และมาเลเซียน้อยที่สุดเพียงกว่า 1 ล้านรายการ
‘วิธีเก่า’ แต่ไม่ควรประมาท
เซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า แม้ว่าการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซจะเป็นวิธีเก่า แต่องค์กรต่างๆ ก็ไม่ควรประมาทการโจมตีรูปแบบนี้
ภัยคุกคามนี้ยังอันตรายต่อองค์กรธุรกิจในภูมิภาคนี้ เนื่องจากองค์กรธุรกิจจำนวนมากใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ ทำให้ผู้โจมตีประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์หลายปัจจัย (MFA) บนการเชื่อมต่อ RDP รวมถึงการตั้งค่า RDP ที่ไม่ถูกต้องยังเพิ่มโอกาสในการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซสำเร็จ
ปัจจุบัน อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเพิ่มศักยภาพการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซ ด้วยการสร้างและทดสอบรหัสผ่านแบบอัตโนมัติ เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบจากการละเมิดเครือข่ายองค์กรนั้นร้ายแรงกว่ามาก
โดยองค์กรอาจประสบปัญหาการละเมิดข้อมูล หรือหากระบบถูกบุกรุก การดำเนินงานก็จะหยุดชะงัก เกิดผลกระทบทางการเงินอย่างมาก เนื่องจากองค์กรต้องเผชิญกับต้นทุนจากการหยุดดำเนินงาน ความพยายามในการกู้คืนข้อมูล และค่าปรับจากหน่วยงานกำกับดูแล
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“น้ำผึ้ง” ของที่ว่าดี แท้จริงแล้วดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพกันแน่

น้ำผึ้งมักถูกโฆษณาว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพกว่าน้ำตาลทั่วไป เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่างและมีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่คิดว่าน้ำผึ้งก็แค่น้ำตาลชนิดหนึ่งที่ให้พลังงานสูง บทความนี้จะมาบอกคุณว่าน้ำผึ้งดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำผึ้งเป็นของเหลวหวานข้นที่ผึ้งผลิตขึ้นจากน้ำหวานของดอกไม้ ผึ้งเก็บน้ำหวานมากิน ย่อย และคายออกมาในรังเพื่อทำเป็นน้ำผึ้ง น้ำผึ้งจะถูกเก็บไว้ในรังผึ้งที่ทำจากขี้ผึ้ง ซึ่งมนุษย์เรียกว่ารวงผึ้ง และเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งโดยการเลี้ยงผึ้ง น้ำผึ้งมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ วิธีการสกัด และการผ่านความร้อน
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง
1.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น กรดฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรค ลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของเซลล์ สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ โดยมีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และเบาหวาน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการรับประทานน้ำผึ้งบางชนิด เช่น น้ำผึ้งจากดอกบัควีท อาจช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด
2.อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจหลายด้าน เนื่องจากมีการแสดงให้เห็นว่าช่วยลดปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างของโรคหัวใจ ตัวอย่างเช่น การศึกษา 30 วันที่เปรียบเทียบผลกระทบของน้ำตาลโต๊ะและน้ำผึ้งใน 55 คน พบว่าน้ำผึ้งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอล “ไม่ดี” LDL ในขณะที่เพิ่มคอเลสเตอรอล “ดี” HDL นอกจากนี้ ยังสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้มากถึง 19% นอกจากนี้ การศึกษาในสัตว์ยังพบว่าการเสริมด้วยน้ำผึ้งอาจช่วยลดความดันโลหิตซิสโตลิก (ตัวเลขบน) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ
3.ช่วยในการรักษาแผล เชื่อกันว่าเป็นเพราะคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของน้ำผึ้งและความสามารถในการลดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ในการศึกษาขนาดเล็กหนึ่งครั้ง การทาแมนูกาน้ำผึ้งโดยตรงบนแผลเท้าเบาหวานมีประสิทธิภาพเท่ากับการใช้ผ้าพันแผลแบบเดิมและช่วยรักษาแผลได้ 97% ในทำนองเดียวกัน การศึกษาอีกครั้งใน 30 คน แสดงให้เห็นว่าการเติมน้ำผึ้งลงในผ้าพันแผลช่วยเพิ่มการรักษาแผลเท้าเบาหวานประมาณ 43% หลังจากสามเดือน ในขณะเดียวกัน การวิจัยอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่าน้ำผึ้งอาจเป็นการรักษาที่มีประโยชน์สำหรับสภาพผิว เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ และเริม
4.เป็นทางเลือกที่ดีกว่าน้ำตาลทรายขาว ในขณะที่น้ำตาลทรายขาวให้พลังงานเพียงอย่างเดียว น้ำผึ้งให้สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น กรดฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ นอกจากนี้ การศึกษายังชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลทรายขาวอาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ รวมทั้งคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอล “ไม่ดี” LDL เพื่อสนับสนุนสุขภาพหัวใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้ำผึ้งจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าน้ำตาลทรายขาว แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพ
5.น้ำผึ้งมีน้ำตาลและแคลอรี่สูง โดยมีประมาณ 64 แคลอรี่ต่อหนึ่งช้อนโต๊ะ (21 กรัม) แม้ว่าอาจดูไม่มาก แต่การรับประทานเพียงเล็กน้อยต่อวันก็สามารถสะสมแคลอรี่ได้ ในระยะยาว อาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีการปรับเปลี่ยนอาหารอื่นๆ เพื่อชดเชย
น้ำผึ้งดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพกันแน่
อย่างไรก็ตามแต่ก็มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ ในความเป็นจริง การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจเชื่อมโยงกับโรคอ้วน การอักเสบ ความดื้อต่ออินซูลิน ปัญหาตับ และโรคหัวใจ การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคซึมเศร้า ภาวะสมองเสื่อม และแม้แต่บางชนิดของมะเร็ง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากประโยชน์ที่อาจเกี่ยวข้องกับน้ำผึ้งคือการเลือกแบรนด์คุณภาพสูงและใช้มันเพื่อทดแทนสารให้ความหวานที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำเชื่อห์ข้าวโพดฟรุกโตสสูงหรือน้ำตาลทรายขาว อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะและใช้อย่างประหยัดเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อสุขภาพ
ไม่ใช่น้ำผึ้งทุกชนิดมีคุณภาพเท่ากัน ในความเป็นจริง บางแบรนด์คุณภาพต่ำมักผสมกับน้ำเชื่อเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร แม้ว่าอาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่การเลือกซื้อน้ำผึ้งดิบคุณภาพสูงเป็นวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพในการรับประกันว่าคุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนของคุณ ไม่เหมือนกับน้ำผึ้งทั่วไป น้ำผึ้งดิบไม่ได้ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ กรอง หรือแปรรูป ทำให้สามารถรักษาคุณสมบัติทางยาและสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติไว้ได้ นอกจากนี้การเลือกน้ำผึ้งดิบยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าน้ำผึ้งของคุณปราศจากน้ำเชื่อหรือส่วนผสมเพิ่มเติมที่อาจลดประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น โปรดจำไว้ว่าไม่ควรให้น้ำผึ้งดิบกับเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งขวบ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อโรคโบทูลิซึมในเด็ก ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากสารพิษของแบคทีเรียโคลอสทริเดียม โบทูลินัม หลังอายุหนึ่งปี ระบบย่อยอาหารมักพัฒนาเพียงพอที่จะต่อสู้กับสารพิษที่อาจเป็นอันตรายและลดความเสี่ยงของโรค
น้ำผึ้งเป็นที่รู้จักกันดีในด้านสรรพคุณทางยาที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ เร่งการสมานแผล และเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การบริโภคน้ำผึ้งในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลและแคลอรี่สูง ดังนั้น การบริโภคน้ำผึ้งในปริมาณที่พอเหมาะและใช้แทนน้ำตาลชนิดอื่นๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับประโยชน์จากน้ำผึ้ง หากคุณเลือกใช้น้ำผึ้งคุณภาพสูงและควบคุมปริมาณการบริโภค น้ำผึ้งก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีประโยชน์และสมดุลได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/12/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,250.00 | 43,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,802.00 | 42,478.32 | 43,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,521.80 | 38,230.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,241.60 | 33,982.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,261.00 | 19,116.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 981.00 | 14,871.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,904.00 | 44,024.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 36.35 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.98 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.64 | 33.64 | 34.24 | 33.64 | 33.64 | – | 33.64 | 33.64 | 33.64 | 33.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.39 | 33.39 | – | – | – | – | – | – | – | 33.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 44.04 | – | – | – | 49.81 | – | 44.54 | 44.19 | – | 44.04 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 31.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |