สาระน่ารู้ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2568

5เดือนแรก-ครึ่งปีหลังสารพัดปัจจัยรุมเร้าฉุดอสังหาฯ ทรุดยาว

5เดือนแรก-ครึ่งปีหลังสารพัดปัจจัยรุมเร้าฉุดอสังหาฯ ทรุดยาว ยอดโอนกรรมสิทธิ์หดตัว เหตุแผ่นดินไหว จีนหาย คอนโดซึม กำแพงภาษีทรัมป์ กำลังซื้อคนไทยเปราะบาง  หนี้ครัวเรือน-แบงก์เข้มสินเชื่อมรสุมการเมือง- ข้อพิพาทไทย-กัมพูชาตึงเครียด มาตรการรัฐช่วยได้บางกลุ่ม

ปี2568 ผ่านมา 5 เดือน ซึ่งเพียงพอที่จะเห็นถึงความเป็นไปได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวซึ่งอาจจะส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แตกต่างจากการของหลายฝ่าย ที่คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 มากกว่าปี 2567และต้องปรับประมาณการกันใหม่

แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์-จีนหาย

เนื่องจากประเทศไทยยังเจอกับปัจจัยลบค่อยข้างมากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ รวมไปถึงปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามามีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัจจัยจากภายนอกประเทศที่มีผลต่อการส่งออกซึ่งเป็น 1 ในรายได้หลักของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องของกำแพงภาษีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา

ปัจจัยลบอีกอย่าง คือ การลดลงของกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจากข่าวไม่ดีเกี่ยวกับประเทศไทยในเรื่องของความปลอดภัย เช่น การหลอกลวง การลักพาตัว เหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้วมีปัญหาเรื่องตึกถล่ม และคอนโดมิเนียมในประเทศไทยหลายแห่งประสบปัญหา แม้ว่าในความรู้สึกคนไทยแล้วอาจจะไม่มีอะไรแค่เหตุการณ์จากภัยธรรมชาติเท่านั้น แต่ภาพข่าวที่ออกไปสู่ประเทศอื่นๆนั้นน่ากลัว 

ทำให้คนจีนส่วนหนึ่งเลือกไปประเทศอื่นๆ แทนประเทศไทย แน่นอนว่าการลดลงของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ

อีกทั้งยังมีผลต่อเนื่องไปยัง “ตลาดคอนโดมิเนียม” ด้วยเช่นกัน อาจจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป และเอเชียอื่นๆ เข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นแต่อาจจะยังไม่สามารถทดแทนกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนได้ จำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 14,362,694 คนลดลงจาก 5 เดือนแรกของปี2567 ประมาณ 2.7% ปัจจัยหลักคือการลดลงของชาวจีนที่ลดลงไปประมาณ 32.7% จากปีที่แล้วหรือหายไปประมาณ 1 ล้านคน

มรสุมการเมือง-ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา

ปัญหาการเมืองภายในประเทศที่มีข่าวไม่ดี หรือข่าวลือออกมาเสมอๆ ว่าอาจจะอยู่ไม่ครบวาระ รวมไปถึงปัญหากับประเทศกัมพูชา และปัญหาอื่นๆ ที่กลายเป็น 1 ในเป้าให้ทั้งสังคมรวมไปถึงนักการเมืองนำมาเป็นจุดโจมตีได้โดยง่าย ซึ่งอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่หรือสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปในระยะยาว

ดังนั้น นโยบายหรือมาตรการจากรัฐบาลจึงอาจจะดูไม่ต่อเนื่อง ติดขัด หรือไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ณ ปัจจุบันของประเทศไทย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ นอกจากการแจกเงิน 10,000 บาทแล้วไม่มีอะไรที่คาดหวังให้เกิดแรงกระเพื่อมได้

กำลังซื้อหด -มาตรการรัฐช่วยได้เฉพาะกลุ่ม

มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยของรัฐบาลที่ออกมาไม่ได้มีผลบวกอะไรมากนัก เพราะเป็นมาตรการเดิมที่เคยออกมาเมื่อปีที่แล้ว แต่อาจจะดีสำหรับผู้ซื้อบางกลุ่มที่ไม่ได้จำเป็นต้องขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงิน เพราะช่วงเวลาเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกประกาศยกเว้นมาตรการ LTV เช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้คนที่ต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะต้องการซื้อมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบ 100% ซึ่งการยกเว้น LTV จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อกลุ่มนี้มากขึ้น

ปัญหาใหญ่ในประเทศไทยอีกอย่าง คือ กำลังซื้อของคนไทยลดลง ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 เพราะช่วงเวลานั้นคนไทยใช้เงินเก็บ เงินในอนาคตจากการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตต่างๆ รวมไปถึงสินเชื่อนอกระบบกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อกำลังซื้อของคนไทย ภาระหนี้สินจากสินเชื่อประเภทต่างๆ ของคนไทยและครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจจะลดลงบ้างในบางไตรมาสเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศ แต่สัดส่วนของหนี้ครัวเรือนไทยเมื่อเทียบกับ GDP ยังสูงถึง 88% ณ สิ้นปี 2567

หนี้ครัวเรือนตัวแปร-แบงก์เข้มสินเชื่อ

ปัญหาเรื่องของหนี้สินครัวเรือนในประเทศไทยเป็น 1 ในปัญหาสำคัญที่มีผลต่อการใช้จ่ายต่างๆ ของคนไทย โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินจำนวนมาก เช่น การซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นการสร้างภาระหนี้สินระยะยาว เพราะคนไทยเกือบ100% ซื้อที่อยู่อาศัยโดยใช้สินเชื่อธนาคารในการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้น เมื่อคนไทยยังไม่มั่นใจในภาวะการเงินและการทำงานของตนเอง การซื้อที่อยู่อาศัยอาจจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรือว่าเรื่องที่จำเป็นมากนักในภาวะแบบนี้ แม้ว่าที่อยู่อาศัยจะเป็นสิ่งจำเป็นก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นแบบนี้ การชะลอซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย มองว่า  การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นปัญหาอีกอย่างที่มีผลต่อการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยแบบชัดเจนที่สุด เพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณา

สินเชื่อที่อยู่อาศัยมาก ซึ่งเป็นแบบนี้ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมาความเข้มงวดนี้สร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยเพื่อขายค่อนข้างมาก เพราะเงินจำนวนในสัดส่วนที่มากที่สุดที่จะโอนเข้าผู้ประกอบการจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ และถ้าผู้ซื้อไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้งจากเรื่องการขอ

สินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เงินในสัดส่วนที่มากที่สุดนั้นก็จะไม่เข้าสู่ระบบการเงินของผู้ประกอบการ และแน่นอนว่าถ้าการโอนกรรมสิทธ์ที่อยู่อาศัยไม่สามารถเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมากจะส่งผลกระทบโดยตรงแน่นอนกับผู้ประกอบการเพราะเงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการจะมีผลปัญหา ซึ่งจากการที่ผู้ประกอบการหลายรายออกมาเปิดเผยถึงสัดส่วนการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อโครงการที่อยู่อาศัยของพวกเขาก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ผล

กระทบ เพราะสัดส่วนการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมามากถึง 60 – 70%  บางโครงการอาจจะมากกว่านี้ และการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นได้กับที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา แต่อาจจะมีสัดส่วนมากกว่าในระดับราคาตํ่ากว่า 3 ล้านบาทลงไป เพราะกลุ่มนี้มีสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนค่อนข้างมาก และมีปัญหาเรื่องของเครดิตบูโรมากกว่ากลุ่มผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาอื่นๆ

 สถาบันการเงินมีความกังวลในเรื่องของการผ่อนชำระหนี้สินทั้งในส่วนของหนี้ครัวเรือนอื่นๆ และหนี้สินที่อยู่อาศัยเพราะจากข้อมูลล่าสุดของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ในไตรมาสที่ 1 ปี2568 หนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโรมีมูลค่ารวมถึงประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีจำนวนมากถึง 5.2 ล้านล้านบาทหรือประมาณ 38.5% และ

หนี้ครัวเรือนในกลุ่มของที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5% จากปีก่อนหน้านี้ และจำนวนบัญชีหนี้เสียในกลุ่มที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นขึ้นเป็น 156,644 บัญชี  โดยปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 6.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในกลุ่มที่อยู่อาศัยและหนี้เสียของกลุ่มที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงกดดันให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้มากขึ้นอีก ซึ่งจะสวนทางกับความต้องการของผู้ประกอบการ และผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่ด้วยสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งมีสถาบันการเงินเป็น

ผู้ควบคุมเกมหรือการขยายตัวของตลาดที่แท้จริงคงยากที่สถาบันการเงินจะผ่อนคลายเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยในภาวะที่หนี้ครัวเรือนและหนี้เสียในกลุ่มที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นแบบนี้

ชะลอเปิดโครงการ

ผู้ประกอบการโครงการที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เลือกที่จะชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ในปี2568 เพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ต่างๆ การตัดสินใจเปิดขายโครงการใหม่ลดลงเพื่อเป็นการลดการลงทุนใหม่ แต่ไปเน้นการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่สร้างเสร็จแล้วหรือพร้อมโอนกรรมสิทธิ์มากกว่าเพื่อที่จะได้รายได้เข้ามาหมุนเวียนมากขึ้น

            โดยอาศัยการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองกับการยกเว้น LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความน่าสนใจและรีบตัดสินใจซื้อ รวมไปถึงที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้เป็นที่อยู่อาศัยที่ใช้ต้นทุนก่อสร้างเดิม ซึ่งผู้ประกอบการพยายามนำเสนอเรื่องนี้กันหลายรายเพราะที่อยู่อาศัยที่เปิดขายปีนี้หรือหลังจากนี้มีราคาขายที่มากขึ้น ไม่ตํ่ากว่า 5-10% โครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงหลังจากแผ่นดินไหวเป็นต้นมาส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เป็นอาคาร 7-8 ชั้น และบางโครงการมีการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมเรื่องของการออกแบบโครงสร้างเพื่อรับแผ่นดินไหว ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีมีเพียงเรื่องของ EIA เท่านั้น

 ช่วงเวลา 5 เดือนที่ผ่านมาน่าจะทำให้เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปี2568 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการต้องเฝ้าระวังและจับตามองต่อเนื่อง เนื่องจาก ปัจจัยลบในตลาดและสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยมีมากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าหลายปัจจัยคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ หรือเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บริทาเนีย” เปิด 3 โครงการใหม่ ลุยทำเลศักยภาพ มูลค่ารวม 4.5 พันล้าน

“บริทาเนีย” เดินเกมรุก ส่ง 3 โครงการใหม่ลุยตลาดบ้านหรู ทำเลเด่นเชื่อมเมือง-ดีไซน์สวย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ถึงครอบครัวใหญ่

บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เดินหน้ารุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ด้วยการเปิดตัว 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท ภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตแบบ “CRAFT a life you love” ชูจุดเด่นทั้งเรื่องทำเล การออกแบบ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกเจเนอเรชัน

ดร.ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทฯ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริทาเนียตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 6 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 7,500 ล้านบาท โดย 3 โครงการแรกที่เปิดตัวในช่วงเดือนมิถุนายน ได้แก่ GRAND BRITANIA กรุงเทพกรีฑา–สุวรรณภูมิ, BRITANIA สุขสวัสดิ์–ประชาอุทิศ และ BRITANIA บางแสน

โครงการ GRAND BRITANIA กรุงเทพกรีฑา–สุวรรณภูมิ มูลค่ารวม 1,550 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนร่มเกล้า พื้นที่รวม 34 ไร่ จำนวนบ้าน 122 หลัง ราคาเริ่มต้น 14–20 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ 3 แบบ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 225–300 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยการออกแบบแนว Universal Design

ถูกออกแบบเพื่อรองรับการใช้ชีวิตทุกวัย และ Seamless Design เชื่อมต่อทุกฟังก์ชันในบ้านอย่างลงตัว ตกแต่งด้วยสไตล์จอร์เจียนร่วมสมัย พร้อมคลับเฮาส์สุด ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องทำงาน ห้องประชุม และสวนขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ อยู่ใกล้รถไฟฟ้า Airport Rail Link สนามบินสุวรรณภูมิ และทางด่วนพระราม 9

สำหรับ BRITANIA สุขสวัสดิ์–ประชาอุทิศ โครงการบ้านเดี่ยวในย่านประชาอุทิศ 90 พื้นที่ 49 ไร่ จำนวน 222 ยูนิต มูลค่า 1,750 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 6.99–14 ล้านบาท เน้นดีไซน์ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สไตล์อังกฤษสมัยใหม่

ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Endless Happiness Living with Nature” มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกาย พื้นที่ทำงาน สนามบาสฯ เลนจักรยาน ทางเดินในสวน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะเดียวกันในตลาดต่างจังหวัด ได้เปิดตัว BRITANIA บางแสน โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 158 ยูนิต มูลค่ารวม 1,250 ล้านบาท ตั้งอยู่ใจกลางบางแสน ใกล้ถนนข้าวหลามและถนนมิตรสัมพันธ์ บนพื้นที่โครงการกว่า 35 ไร่ ราคาเริ่มต้น 5.39–10 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Your Balanced Passion”

ถูกแแกแบบโดยเน้นการผสมผสานระหว่างความหรูหราแบบอังกฤษกับความเรียบง่ายในสไตล์โมเดิร์น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น คลับเฮาส์ขนาดใหญ่ ห้องฟิตเนส ล็อบบี้เลานจ์ ห้องพักผ่อน พื้นที่สีเขียว สนามเด็กเล่น พื้นที่สัตว์เลี้ยง และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการอยู่ใกล้หาดบางแสน แหลมแท่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษาชั้นนำ เดินทางสะดวกสู่กรุงเทพฯ ด้วยทางหลวงพิเศษหมายเลข 7

อย่างไรก็ตาม ทั้งสามโครงการแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ของบริทาเนียในการเลือกสรรทำเลศักยภาพ การออกแบบที่ใส่ใจในรายละเอียด และการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้าน อีกทั้งยังคาดว่าโครงการทั้งหมดจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดีในปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มิ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าแถวโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ยกเว้นว่า เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติมที่ชัดเจน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มิ.ย.2568 ที่ระดับ  32.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.64 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างและอาจสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ดี เราคงขอเน้นย้ำว่า ราคาทองคำ คือ ปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาท โดยเฉพาะในจังหวะที่ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ เช่น โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดก็อาจพร้อมรอทยอยขายทำกำไรทองคำ

กดดันให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลงได้ หากไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม โดยเรามองว่า สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจเป็นเพียงแค่ “Noise” ในระยะสั้น ที่จะช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน แต่จะไม่สามารถหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้

ยกเว้นว่า สถานการณ์ความตึงเครียดดังกล่าวทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า ในระหว่างที่สหรัฐฯ กับอิหร่านพยายามเดินหน้าเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์นั้น ทั้งสองฝ่ายก็อาจพยายามไม่ให้สถานการณ์ความตึงเครียดบานปลายมากขึ้นได้

ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจอยู่กับตลาดการเงินในระยะสั้น และอาจหนุนราคาทองคำ รวมถึงเงินบาท แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้เช่นกัน

โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่ผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันของผู้เล่นในตลาด

(จากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตของเรา พบว่า ราคาน้ำมันดิบมักจะเคลื่อนไหวสวนทาง กับเงินบาทในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวขึ้นเร็ว แรง ในระยะสั้น)

นอกจากนี้ เราคงมองว่า เงินบาทจะยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอแถวโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ยกเว้นว่า เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติมที่ชัดเจน

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.53-32.69 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ (ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ)

หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ระดับ 2.4% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็ออกมาที่ระดับ 2.8% ต่ำกว่าคาดเช่นกัน ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเงินเฟ้อลงบ้าง

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็เพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ จากราว 70% เป็น 100% พร้อมมองว่า ในปีหน้าเฟดมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง และมีโอกาสราว 20% ที่จะลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีหน้า

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่างปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับ อิหร่านที่กลับมาร้อนแรงขึ้น

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง เนื่องจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว (และรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด) ได้หนุนให้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นกว่า +4.1% เช่นกัน ทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับการซื้อน้ำมันดิบของผู้เล่นในตลาด

อานิสงส์จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด กลับถูกบัดบังด้วยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่กลับมาร้อนแรงขึ้น

ในช่วงที่สหรัฐฯ กับอิหร่านกำลังเดินหน้าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์รอบใหม่ ส่งผลให้หุ้นหลายกลุ่มในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ยกเว้นหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Exxon Mobil +2.0% ที่ได้แรงหนุนจากการพุ่งสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.27%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.27% หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อรอจับตารายละเอียดเพิ่มเติมของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อาทิ Rheinmetall +2.9% ที่ได้รับอานิสงส์จากความหวังว่า บรรดาประเทศในสหภาพยุโรปอาจเดินหน้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม

ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.40% โดยการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาว ก็ถูกจำกัดลงบ้าง หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรงจากความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

อนึ่ง เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส

ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)

ที่ได้แรงหนุนจากทั้งความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่แคบลง หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.4-99.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง กอปรกับความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์  อีกครั้ง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินสภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของอังกฤษ และดุลการค้าในเดือนเมษายน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.45-32.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.14 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นผ่านแนว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงการแข็งค่าของเงินเอเชีย และเงินหยวนรับทิศทางการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือนพ.ค. ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด (US CPI +2.4% ในเดือนพ.ค. ตลาดคาดที่ +2.5%)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ต่างชาติ  ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า  และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


มีผลทันที! FIVB สั่งลงโทษแบน “ลูกยางสาวโปแลนด์” ห้ามยุ่งเกี่ยวเกมวอลเลย์บอล

กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ประกาศผ่านเว็บไซต์เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า คามิลา วิตคอฟสก้า นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติโปแลนด์ จะถูกลงโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการลูกยางยาวถึง 8 เดือน

โดย นักตบลูกยางสาววัย 33 ปี โดนสุ่มตรวจนอกการแข่งขัน เมื่อช่วงเดือนเมษายน ปี 2024 ซึ่งผลออกมาเป็นบวกหลังถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้นต้องห้าม แคนรีโนน (canrenone)

ซึ่งจากคำตัดสินของ ศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา ได้ชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎข้อบังคับ 2.2 ทางการแพทย์และต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของ FIVB ทำให้ถูกสั่งแบน 8 เดือน โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2025

พร้อมกันนี้ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ ได้ออกมายืนยันว่าจะปกป้องนักกีฬาที่บริสุทธิ์ และรักษาแนวทางที่ไม่ยอมรับการใช้สารกระตุ้นในกีฬาวอลเลย์บอลอย่างเด็ดขาด

สำหรับ คามิลา วิตคอฟสก้า ลงเล่นในตำแหน่งบอลเร็วให้กับ ทีมชาติโปแลนด์ ในการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ลีก ปี 2023 และการแข่งขันโอลิมปิก เมื่อปี 2024 อย่างไรก็ตามหลังมีปัญหาเรื่องสารกระตุ้นเธอก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดลุยศึกเนชันส์ลีก 2025

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


6 วิธีเช็คสุขภาพไทรอยด์ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องพึ่งหมอทุกเดือน

สาว ๆ รู้ไหมคะว่าไทรอยด์ คือ ตัวการที่ทำให้เราน้ำหนักขึ้นง่าย เหนื่อยง่าย หงุดหงิดเก่ง หรือผมร่วงแบบไร้สาเหตุ ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ใส่ใจ มีสิทธิ์สุขภาพรวนไปทั้งระบบ แต่ไม่ต้องกังวล! วันนี้เรามี 6 วิธีเช็คสุขภาพไทรอยด์ง่าย ๆ ที่ทำได้เองที่บ้านมาแนะนำกันค่ะ

เช็กเลย 6 สัญญาณเตือนไทรอยด์ผิดปกติ

1.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และระดับพลังงาน

คุณผู้หญิงเคยรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ไหมคะ? หรือมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล หรือซึมเศร้า โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน นี่อาจเป็นสัญญาณแรก ๆ ของไทรอยด์ที่ทำงานผิดปกติได้ค่ะ ถ้าไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ) คุณอาจจะรู้สึกกระสับกระส่าย วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น นอนไม่หลับ หรือถ้าไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์) คุณอาจจะรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา ไม่มีแรง เฉื่อยชา ขาดสมาธิ ซึมเศร้า การจดจำแย่ลง ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่ามีอาการเหล่านี้ต่อเนื่องหรือไม่ ถ้ามี ควรจดบันทึกไว้เพื่อแจ้งแพทย์เมื่อไปตรวจค่ะ

2.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว

น้ำหนักตัวก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพของไทรอยด์ได้ค่ะ ถ้าไทรอยด์ทำงานมากเกินไป คุณอาจจะสังเกตว่าน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ แม้จะทานอาหารเยอะกว่าเดิม เพราะระบบเผาผลาญในร่างกายจะทำงานเร็วขึ้นมาก แต่ถ้าไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป คุณอาจจะรู้สึกว่าน้ำหนักขึ้นง่ายผิดปกติ แม้จะทานน้อยลงหรือควบคุมอาหารแล้วก็ตาม เพราะระบบเผาผลาญในร่างกายจะทำงานช้าลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่ายขึ้น จึงควรลองชั่งน้ำหนักตัวเองเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติไป

3.ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ผม และเล็บ

ไทรอยด์มีผลต่อสุขภาพผิวหนัง ผม และเล็บของเราโดยตรง ถ้าไทรอยด์ทำงานมากเกินไป คุณอาจจะสังเกตว่าผิวชื้น เหงื่อออกง่าย ผมบางลง หรือผมร่วงเยอะผิดปกติ เล็บเปราะและฉีกหักง่าย หรือถ้าไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป คุณอาจจะสังเกตว่าผิวแห้งมาก หยาบกร้าน ผมแห้งเสีย ผมร่วง ผมเปราะบาง หรือเล็บเปราะฉีกง่ายเช่นกัน ลองสังเกตการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ดูนะคะ เพราะเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ค่ะ
4.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย

ระบบขับถ่ายก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนไทรอยด์ ถ้าไทรอยด์ทำงานมากเกินไป คุณอาจจะมีอาการท้องเสียบ่อยขึ้น ถ่ายบ่อยกว่าปกติ แต่ถ้าไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป คุณอาจจะมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ขับถ่ายยากขึ้น ท้องอืดบ่อย ๆ หากระบบขับถ่ายของคุณเปลี่ยนไปจากเดิมมากและต่อเนื่อง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการให้แน่ชัด

5.คลำหาความผิดปกติบริเวณลำคอ

วิธีนี้เป็นวิธีที่สำคัญมาก ๆ และทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยการยืนหน้ากระจก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จิบน้ำแล้วกลืนช้า ๆ สังเกตบริเวณลำคอส่วนล่าง เหนือกระดูกไหปลาร้าและใต้ลูกกระเดือกว่ามีก้อนนูน บวมโต หรือไม่เรียบหรือไม่ ลองคลำเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว หากพบความผิดปกติ เช่น มีก้อน แข็ง หรือมีอาการเจ็บเมื่อคลำ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ แต่อย่าพยายามคลำหรือบีบแรงนะคะ แค่สังเกตและคลำเบา ๆ ก็เพียงพอ

6.ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายพื้นฐานตอนเช้า

วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมในกลุ่มคนที่ศึกษาเรื่องฮอร์โมนด้วยตัวเอง โดยก่อนลุกจากเตียงตอนเช้า ให้วัดอุณหภูมิร่างกายบริเวณรักแร้ด้วยปรอทวัดไข้ดิจิทัล (วัดนาน 10 นาที) ทำติดต่อกัน 5 วัน หากอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 36.5 องศาเซลเซียสอย่างต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ได้ค่ะ วิธีนี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคได้ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษบางรายก็อาจมีอุณหภูมิปกติหรือสูงขึ้นเล็กน้อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำนะคะ

การดูแลสุขภาพไทรอยด์เป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนต่าง ๆ ที่ร่างกายส่งมาให้ จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากคุณผู้หญิงลองเช็คตัวเองแล้วพบว่ามีอาการเหล่านี้หลายข้อ หรือรู้สึกกังวลใจ อย่าลังเลที่จะไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเลือดและวินิจฉัยอย่างละเอียดนะคะ เพราะการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ คือก้าวแรกสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษ มีกี่แบบใช้อย่างไรบ้าง พร้อมตัวอย่างประกอบ

นอกเหนือจากประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถามแล้ว คำว่า “ประโยค” ในภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้จบเพียงแค่นั้น แต่ยังมีรูปแบบประโยค หรือ Sentence Types ให้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกด้วย โดยรูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษนั้นมี 4 รูปแบบ และในบทความนี้ทาง Engduo Thailand ได้นำมาให้เรียนรู้กันเพื่อทำความเข้าใจการใช้ พร้อมกับตัวอย่างของแต่ละรูปแบบประโยคอีกด้วย

ประโยคในภาษาอังกฤษ มี 4 รูปแบบ คือ

1. Simple sentence หรือ ประโยคความเดียว

ประโยคความเดียวจะมี ประธานตัวเดียว กริยาตัวเดียว เป็นประโยคที่สามารถเข้าใจได้ง่าย จบได้ในเพียงประโยคเดียว ไม่ต้องมีประโยคอื่นมาเสริม ก็สามารถเข้าใจได้ทันที

ตัวอย่าง 

  • I drink coffee every day.

ฉันดื่มกาแฟทุกวัน

  • Pim likes the cat.

พิมพ์ชอบแมว

  • Jason has the big black dog.

เจสันมีสุนัขสีดำตัวใหญ่

  • Ket go to school by car.

เคทไปโรงเรียนโดยรถยนต์

  • Pim went to the supermarket yesterday.

พิมพ์ไปซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวานนี้

2. Compound sentence หรือ ประโยคความรวม

ประโยคความรวม เป็นการรวมประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน เพื่อลดกล่าวซ้ำ โดยจะใช้คำสันธานหรือคำเชื่อมมาเชื่อมประโยค เช่น and, or, but, for แต่ประโยคความรวมเมื่อแยกประโยคออกจากกันได้ แต่ยังคงให้ความหมายที่สมบูรณ์ 

ตัวอย่าง

  • Pim likes the cat and the bird.

พิมพ์ชอบแมวและนก

  • Jason like coffee, but Pim like tea.

เจสันชอบดื่มกาแฟ แต่พิมพ์ชอบดื่มชา

  • Ket wants to meet Pim or Bam.

เคทต้องการพบพิมพ์ หรือแบม

  • You can go now, or you can go tomorrow.

คุณจะไปตอนนี้ หรือคุณจะไปพรุ่งนี้ก็ได้

  • I not only lost my bag but also my phone was stolen.

ฉันไม่เพียงแค่ทำกระเป๋าหายเท่านั้น แต่โทรศัพท์ของฉันถูกขโมยอีกด้วย

3. Complex sentence ประโยคความซ้อน

ประโยคความซ้อนเป็นการรวมประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน ที่ประโยคความเดียวจะไม่สามารถแยกประโยคออกจากกันได้ เพราะถ้าหากประโยคใดประโยคหนึ่งหายไป จะทำให้ความหมายของประโยคนั้นมีความไม่สมบูรณ์

ตัวอย่าง

  • Pim hits the cat that bites her bird.

พิมพ์ตีแมวที่กัดนกของเธอ

  • While Ket walking in the park, She met Jason.

ในขณะที่เคทเดินอยู่ในสวนสาธารณะ เธอก็เจอเจสัน

  • The girl whom you are talking about is my sister.

เด็กผู้หญิงที่คุณกำลังพูดถึงคือน้องสาวของฉันเอง

  • The car which is over there is very cool.

รถยนต์คันที่จอดอยู่ตรงนั้นเท่มาก

4. Compound-Complex sentence ประโยคความซ้อนและความรวม

ประโยคความซ้อนและความรวม เป็นประโยคที่มีประธานและกริยาตั้งแต่ 3 ชุดขึ้นไป ประกอบด้วย ประโยคที่มีใจความสมบูรณ์อย่างน้อย 2 ประโยค และประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ 1 ประโยค 

ตัวอย่าง

  • While I was eating dinner, It started to rain.

ตอนที่ฉันกำลังกินข้าวเย็น ฝนเริ่มตก

  • Although Pim doesn’t like the dog, She goes to Jason’s house and plays with it.

ถึงแม้พิมพ์จะไม่ชอบสุนัข แต่เธอไปที่บ้านของเจสันและเล่นกับมัน

  • Ket said that she wanted to meet Pim or Bam.

เคทบอกว่าเธอต้องการพบพิมพ์ หรือแบม

  • Pim missed the bus because she got up late, so she rode a bike to school.

พิมพ์ตกรถบัสเพราะว่าเธอตื่นสาย เธอจึงขี่จักรยานไปโรงเรียน

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


คพ. ลุยปราบปรามลักลอบทิ้ง ‘กากของเสียอุตสาหกรรม’ เดินหน้าฟ้องแพ่ง-อาญา

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) โชว์ผลงานจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิ่งแวดล้อม (EPU) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ปราบปรามการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ฟ้องเรียกค่าเสียหายแล้วหลายคดี รวมมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท พร้อมเดินหน้าจัดการของเสียตกค้าง และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ภายใต้การนำของศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Unit: EPU) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังในการแก้ไขปัญหามลพิษจากการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม โดยผนึกกำลังกับหน่วยงานสำคัญ อาทิ กรมโรงงานอุตสาหกรรม, กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.), สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อติดตามตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินคดี และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำผิดตามมาตรา 96 และ 97 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535

ผลการดำเนินคดีสำคัญที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว

  • บริษัท วิน โพรเสส จำกัด จังหวัดระยอง: ศาลพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนกว่า 1,743 ล้านบาท
  • อ่างเก็บน้ำลุ่มน้ำโจน แห่งที่ 16 จังหวัดฉะเชิงเทรา: ศาลพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนกว่า 2,265 ล้านบาท
  • บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล จำกัด จังหวัดราชบุรี: ศาลพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนกว่า 36 ล้านบาท

คดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมาย

คพ. ยังคงเดินหน้าดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในอีกหลายกรณี ได้แก่ โกดังเก็บสารเคมี อำเภอภาชี, บริษัท เอกอุทัย จำกัด (สาขาอุทัย), บริษัท ซันเทค เคมิคอล จำกัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, บริษัท ชวสิงห์ จำกัด และบริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมนเนจเม้นท์ 2017 จำกัด จังหวัดชลบุรี

การจัดการของเสียตกค้างและการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม

สำหรับกรณีที่ยังคงมีกากของเสียตกค้างอยู่ในพื้นที่ และอยู่ระหว่างการจัดการนำของเสียออกไปกำจัด ได้แก่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด จังหวัดระยอง, โกดังเก็บสารเคมี อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบริษัท เอกอุทัย จำกัด (สาขาอุทัย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำลังเร่งเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการกำจัดกากของเสียที่ยังคงเหลืออยู่ภายในโรงงาน

โดย คพ. จะดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำผิดต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามหลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) และสร้างมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งในการปกป้องสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


แจกสูตรทำชาถั่วอะซูกิ ชาเพื่อสุขภาพและความงามของคุณผู้หญิง

ช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่คนเราป่วยได้ง่ายเนื่องจากอากาศที่แห้งและเย็นซึ่งเป็นเหตุให้ไวรัสอยู่รอดในชั้นบรรยากาศได้นาน อีกทั้งความหนาวยังทำให้ตัวเย็นซึ่งเป็นสาเหตุให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เครื่องดื่มอุ่นๆ จึงเป็นทางเลือกเพื่อการต่อสู้ความหนาวที่ดี เครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นนิยมใช้ดื่มเพื่อสุขภาพและความงามคือชาจากถั่วอะซูกิ (Azuki bean) มารู้ประโยชน์ของถั่วอะซูกิและวิธีการทำชาอะซูกิอย่างง่ายกันค่ะ

ประโยชน์ของถั่วอะซูกิ

ถั่วอาซูกิเป็นถั่วแดงชนิดหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนำมาใช้ประกอบอาหาร เช่น ข้าวหุงถั่วอะซูกิ ต้มรับประทานกับสลัด และทำถั่วแดงกวนเพื่อใช้ทำขนมหวานญี่ปุ่นหลากหลายชนิด ถั่วอะซูกิอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญดังนี้

1. ซาโปนิน (Saponin)

สารสำคัญที่ช่วยเสริมการเผาผลาญไขมัน ระงับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยลดอาการบวมน้ำของร่างกาย

2. เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ

ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและส่งผลในการช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

3. โพลีฟีนอล

สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอความแก่ ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง และป้องกันโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน

4. โปรตีนคุณภาพดี

ถั่วอะซูกิอุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็นจึงช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

นอกจากนี้ ถั่วอะซูกิยังมีฤทธิ์ในการทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ส่งผลให้มีสารอาหารไปเลี้ยงทั่วส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพิ่มการเผาผลาญพลังงานและช่วยต่อสู้กับความหนาวได้ดี

วิธีทำชาอะซูกิ

ชาอะซูกิเป็นชาที่มีรสชาติหวานอร่อยตามธรรมชาติและมีผลช่วยให้การไหลเวียนเลือดดี ช่วยบรรเทาความหนาว ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายและบรรเทาอาการตัวบวม ด้วยไม่มีคาเฟอีนจึงสามารถดื่มได้ทุกเพศวัยและทุกเวลา โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักมีอาการตัวเย็นได้ง่าย

วัตถุดิบ

  • ถั่วอะซูกิ 60 กรัม
  • น้ำ 600 มิลลิลิตร

วิธีทำ

1. นำถั่วอะซูกิมาล้างให้สะอาดและวางไว้ให้สะเด็ดน้ำ นำไปเกลี่ยบนอลูมิเนียมฟอยล์ที่วางไว้บนถาดสำหรับอบ แล้วอบที่ 200 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 8 นาที หรืออบในเตาย่างขนมปังเป็นเวลา 7 นาที จนถั่วมีสีดำ

2. นำถั่วที่ผ่านการอบมาเทใส่หม้อ เติมน้ำลงไป และต้มจนน้ำเดือด จากนั้นต้มเคี่ยวด้วยไฟอ่อนต่อเป็นเวลาอีก 10 นาที แล้วจึงปิดไฟ

3. กรองเอาน้ำต้มถั่วไว้เพื่อนำมาดื่มได้ทั้งวัน โดยหากชอบรสชาติหวานก็อาจเติมน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อยในขณะที่กำลังต้ม สำหรับถั่วที่เหลือจากการเตรียมชาก็อย่าทิ้งให้ไร้ค่า นำมาหุงกับข้าวหรือใส่แกงกะหรี่ได้ตามชอบ

ไม่เฉพาะแต่ช่วงอากาศหนาว แต่ช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือนผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะมีอาการตัวเย็นและรู้สึกไม่สบายตัว ลองเตรียมชาจากถั่วอะซูกิดื่มเป็นประจำเพื่อความงามจากภายในและสุขภาพที่แข็งแรงดูค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก .sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/06/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,650.0051,750.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,339.0050,619.2452,550.00
ทองรูปพรรณ 90%3,005.1045,557.32n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,671.2040,495.39n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,502.5522,778.66n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,168.6517,716.73n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,460.1052,455.12n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1448.8449.8448.8441.14
เบนซิน 9540.8448.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า