คอนโดภูเก็ตบูมสนั่น!ออริจิ้นผุด3โครงการมูลค่า5.5พันล้าน เสิร์ฟไทย-ตปท.
ออริจิ้น สยายปีกบุกภูเก็ตต่อเนื่องผุดคอนโด3โครงการมูลค่ารวม 5,500 ล้าน กระจายโซนเชิงทะเล-กะตะ-ใจกลางเมือง เสิร์ฟลูกค้าไทย-ต่างชาติรองรับตลาดท่องเที่ยวโต
นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เนื่องจากเป็นทั้งเมืองท่องเที่ยว เมืองแห่งธุรกิจ เมืองแห่งเวชศาสตร์ฟื้นฟู เมืองพักผ่อนตากอากาศ รวมถึงเป็นบ้านหลังที่สองของชาวต่างชาติ โดยเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากส่วนกลางรายแรกๆ ที่เดินหน้าเข้ามาบุกตลาด และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง บนทำเลฮอตของภูเก็ต 3 ทำเล มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้ รองรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงไฮซีซั่น
สำหรับทั้ง 3 โครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ใกล้เซ็นทรัล ภูเก็ต เพียง 2 นาที* ต่อยอดความสำเร็จของโครงการดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต ในทำเลใกล้เคียงกัน ซึ่งเปิดตัวในปี 2566 และสามารถปิดการขายได้ใน 6 สัปดาห์ 2.โซ ออริจิ้น กะตะ ภูเก็ต คอนโดมิเนียมใกล้หาดกะตะ เพียง 500 เมตร ตอบโจทย์คนรักกีฬาทางน้ำ และ 3.โซ ลากูน เชิงทะเล คอนโดมิเนียมลักชัวรี 8 ชั้น ใกล้ Boat Avenue ที่จะเป็นพื้นที่เฟสแรกของโครงการเมกะโปรเจกต์มิกซ์ยูส “ออริจิ้น ลากูน เชิงทะเล ภูเก็ต”
ทั้งนี้ ออริจิ้น ลากูน เชิงทะเล ภูเก็ต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 16 ไร่ เตรียมผนึกกำลังหลากหลายบริษัทในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ให้เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่บูรณาการทุกองค์ประกอบของการท่องเที่ยวและการพักผ่อนเข้าด้วยกัน เติมเต็มไลฟ์สไตล์ได้อย่างสมบูรณ์ ผสมผสานระหว่างลักชัวรี วิลลา ภายใต้ชื่อ บัลโค เชิงทะเล ภูเก็ต Lifestyle Hotel ตลอดจนศูนย์เวลเนส และมีคอนโดมิเนียม โซ ลากูน เชิงทะเล เป็นพื้นที่เฟสแรก ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในเดือน พ.ย.นี้
“เมื่อช่วงต้นปี เราเปิดตัวโครงการโซ ออริจิ้น บางเทา บีช ภายใต้มิกซ์ยูสออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต และได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลาย มียอดขายสะสมสูงถึงกว่า 80% เรามองว่าการพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสำคัญ และช่วยสร้างสีสันให้กับจังหวัดภูเก็ต เราจึงมั่นใจว่าการเริ่มต้นพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่นี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับโซ ลากูน เชิงทะเล เป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low-rise 3 อาคาร 511 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ บนทำเลเชิงทะเล-บางเทา ติดถนนบ้านดอนเชิงทะเล มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท* มีแบบห้องหลากหลายตั้งแต่สตูดิโอจนถึง 3 ห้องนอน ขนาด 26-105 ตร.ม. รายล้อมด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์หรูหรา และเป็นศูนย์กลางการเดินทางเพื่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ของภูเก็ตได้อย่างสะดวก อยู่ไม่ไกลจากหาดบางเทา หาดที่ขึ้นชื่อว่าพระอาทิตย์ตกสวยที่สุดในภูเก็ต ราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1498
ขณะที่ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต เป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น 3 อาคาร 585 ยูนิต และ 2 ร้านค้า ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท โครงการนี้ตั้งอยู่ใจกลางภูเก็ต ห่างจากห้างเซ็นทรัลภูเก็ต ฟลอเรสต้า เพียง 2 นาที ทำให้เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติที่มองหาความสะดวกสบายใจกลางเมือง จุดเด่นของโครงการมีพื้นที่ส่วนกลางใหญ่กว่า 1 ไร่ พร้อม Clubhouse เเบ่งออกเป็น Fitness, Sauna, Steam พร้อมสระว่ายน้ำยาวกว่า 30 เมตร พร้อมที่จอดรถกว่า 45%. ไฮไลท์สำคัญของโครงการคือรูปเเบบห้องหน้ากว้างกว่า 5 เมตร เริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน ขนาด 26-30 ตร.ม,และ 2 ห้องนอนขนาด 48 ตร.ม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1.89 ล้านบาท
ด้านโซ ออริจิ้น กะตะ ภูเก็ต เป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น 4 อาคาร 686 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ใกล้หาดกะตะ เพียง 500 เมตร มูลค่าโครงการราว 1,650 ล้านบาท ตัวโครงการตั้งอยู่บน Surfer Destination ของเกาะภูเก็ต ตอบโจทย์คนรักกีฬาทางน้ำด้วยทำเลใกล้หาดกะตะ สามารถเดินไปได้เพียง 5 นาที โครงการตกแต่งเป็น Resort Lifestyle จัดเต็มกับพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ รวมกว่า 2,700 ตร.ม. อาทิ Pool Lounge, Party Room, Play Room, Cabana Yard และ ให้คุณได้ดื่มด่ำวิวพระอาทิตย์ขึ้นจาก Rooftop รูปแบบห้องพักภายในโครงการประกอบด้วย ห้องสตูดิโอ แบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 26-65 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ลุยรถไฟฟ้า สายสีส้มตะวันตก -ตะวันออก จุดพลุทำเลทองอสังหาเชื่อม รถไฟฟ้า 8 สาย
รฟม.-BEM คิกออฟ ลงมือก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม บูมทำเลทอง เชื่อม รถไฟฟ้า 8 สาย กูรูอสังหาฯ “สุรเชษฐ กองชีพ” Property DNAยัน โซนตะวันออกบูม ผังเมืองใหม่กดปุ่มผุดตึกสูงดันราคาที่ดินพุ่งทะยาน
การเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วง บางขุนนนท์- มีนบุรี(สุวิทวงศ์) ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร จำนวน 29 สถานี มูลค่า1.4 แสนล้านบาทของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ บริษัท ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM คู่สัญญาสัมปทาน
ล่าสุดเริ่มต้นก่อสร้างงานโยธา รถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก (บางขุนนนท์- ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) มีระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย) มีความก้าวหน้าในภาพรวม ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 ที่ 1.9% โดยเป็นไปตามแผนงาน ขณะรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี )ระยะทาง22.57กิโลเมตร จำนวน7สถานี ก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ100% โดยทาง BEM คาดการณ์ว่า ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกจะเปิดให้บริการเป็นของขวัญปีใหม่ ปี2570 หรือเร็วกว่าแผนเดิม ที่รฟม.กำหนดไว้ที่ปี2571
จุดเด่นของรถไฟฟ้าสายสีส้มเส้นนี้ เป็น “Heavy Rail” วิ่งเชื่อมโยงฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวเส้นทางเริ่มต้นที่สถานีบางขุนนนท์และสิ้นสุดที่สถานีแยกร่มเกล้าที่จะช่วย รับส่งผู้โดยสารจากนอกเมืองเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกรวดเร็ว คาดการณ์ว่าจะรับส่งผู้โดยสารได้กว่า 3 แสนคนต่อเที่ยววัน
ที่เป็นไฮไลต์ ยังเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่น มากที่สุดถึง 8 เส้นทาง ได้แก่ สายสีนํ้าเงิน สายสีแดง สายสีเขียว แอร์พอร์ตลิงก์ สายสีเทา สายสีนํ้าตาล สายสีเหลืองและสายสีชมพู ไล่ตั้งแต่ ปลายทาง สายสีส้มตะวันตก สถานีบางขุนนนท์ เชื่อมต่อ 2เส้นทาง สายสีนํ้าเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ) และสายสีแดง ตามด้วย สถานีราชเทวีเชื่อมต่อกับสายสีเขียว (สายสุขุมวิท) ส่วนสถานีราชปรารถ เชื่อมกับแอร์พอร์ตลิงก์
ขณะสถานีศิริราช เชื่อมกับสายสีแดง ส่วนสายสีส้มส่วนตะวันออก เริ่มจากสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯเชื่อมกับ สายสีนํ้าเงิน (บางซื่อ-ศูนย์วัฒนธรรมฯ-หัวลำโพง) สถานีวัดพระราม 9 เชื่อมกับ สายสีเทา( วัชรพล-ทองหล่อ) ตามด้วย สถานีมีนบุรี เชื่อมกับ สายสีชมพู(ศูนย์ราชการนนทบุรี-วัดพระศรีมหาธาตุ-มีนบุรี) สถานีแยกลำสาลี เชื่อมกับ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)และ สายสีนํ้าตาล(แคราย-ลำสาลี) จุดพลุจุดตัดหรือจุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทาง และเปิดพื้นที่พัฒนารอบสถานีที่ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่4) กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินรองรับ ความหนาแน่น ตึกสูงเพื่อการอยู่อาศัย พาณิชยกรรม มิกซ์ยูส ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับสูง ส่วนการพัฒนาของภาคเอกชน เริ่มเห็นกันเนืองแน่นแล้วในหลายทำเลศักยภาพ
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การที่เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย- บางขุนนนท์) เริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าเพียง 1.90% ณ สิ้นเดือนตุลาคม พ.ศ.2567 ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม เพราะสายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี) ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% รอเพียงการหาผู้รับผิดชอบการเดินรถไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งก็ได้แล้วหลังจากที่มีการอนุมัติการก่อสร้างฝั่งตะวันตก
ดังนั้น เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกหนึ่งเส้นทางที่ผ่านใจกลางเมืองในแนวนอนจากทิศตะวันออกไปตะวันตกอย่างแท้จริงจะมีกำหนดเปิดให้บริการที่ชัดเจนแล้ว คือ เส้นทางสายสีส้มฝั่งตะวันออกจะเปิดบริการปีพ.ศ.2571 ส่วนฝั่งตะวันตกจะเปิดบริการปีพ.ศ.2573 หรือมีความเป็นไปได้ที่ฝั่งตะวันออกจากเปิดให้บริการในปีพ.ศ.2570 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลอดแนวเส้นทางสายสีส้มฝั่งตะวันออกมีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวถนนรามคำแหงซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่สายสีส้มฝั่งตะวันออกผ่านเกือบตลอดทั้งเส้นทาง
การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกอาจจะเห็นได้ชัดเจนในพื้นที่ที่อยู่ตามแนวถนนรามคำแหง เพราะมีผู้ประกอบการจำนวนมากเข้าไปซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากตั้งแต่ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะชะลอตัวไปบ้างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะภาวะเศรษฐกิจรวมไปถึงรอความชัดเจนในเรื่องของปีเปิดให้บริการ
และรอความชัดเจนในเรื่องของผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครที่มีผลต่อศักยภาพการพัฒนาที่ดินพอสมควร เนื่องจากพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มบางพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของศักยภาพในการพัฒนาที่จะมากขึ้นทั้งงในพื้นที่ตามแนวถนนรามคำแหง ต่อเนื่องไปถึงถนนรามอินทรา และพื้นที่รอบๆ สถานีมีนบุรีซึ่งเป็นปลายทางของสายสีส้มและเป็นสถานีร่วมกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด คือ เรื่องของจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีมากขึ้นในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มโดยเฉพาะฝั่งตะวันออกที่เป็นพื้นที่ใหม่มีที่ดินที่สามารถพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้อีกมากโดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม โดยจำนวนคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2552 เป็นต้นมามีทั้งหมดประมาณ 37,160 ยูนิต และเกือบทั้งหมดนั้นอยู่ในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันออก
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความชัดเจนมาก่อนฝั่งตะวันตก และเป็นพื้นที่ที่มีที่ดินเหลือขายหรือที่ดินที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม แต่ที่น่าสนใจ คือ ก่อนหน้านี้มีการลงทุนหรือเข้าไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการหลายราย แต่อาจจะมีการเปิดขายหรือเห็นการพัฒนาไม่มากนัก ที่ดินบางแปลงที่ก่อนหน้านี้ยังคงรอความชัดเจนในเรื่องกำหนดเปิดให้บริการของสายสีส้มตะวันออกจึงอาจจะเริ่มเปิดเผยโครงการออกมามากขึ้นหลังจากนี้
ขณะเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกปัจจุบันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะการพัฒนาเต็มทุกพื้นที่แล้ว แต่ในอนาคตอาจทุบทิ้งอาคารเก่า และก่อสร้างสร้างใหม่ให้ทันสมัยขึ้นก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13พ.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.89 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจเริ่มมีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง เมื่อเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ35.00 บาทต่อดอลลาร์ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอลง เห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยบ้าง ควรระวังแรงกดดันจากการอ่อนค่าของเงินหยวน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13พ.ย.2567 ที่ระดับ 34.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.85 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่
โดยเฉพาะหลังเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (หากเงินบาทยังสามารถอ่อนค่าลงทะลุโซนดังกล่าวได้ ก็มีโอกาสอ่อนค่าได้ถึง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี จากการประเมิน การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ อีกทั้งฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในช่วงหลังตลาดรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2016 (Trump 1.0) ซึ่งผลการเลือกตั้งก็คล้ายกับภาพในปัจจุบัน
ทำให้เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ นอกจากนี้ เรามองว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มชะลอลง
โดยล่าสุด เริ่มเห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยบ้างจากนักลงทุนต่างชาติในวันก่อนหน้า นอกจากนี้ หากราคาทองคำยังพอมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นได้ ก็อาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง
อย่างไรก็ดี ควรระวังแรงกดดันเงินบาทจากการอ่อนค่าของเงินหยวนจีน (CNY) ในระยะสั้นเช่นกัน เนื่องจากในช่วงนี้ เงินหยวนจีนได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมากพอสมควร (Correlation 30 วัน สูงราว 83%)
ซึ่งเงินหยวนจีนก็อาจยังคงถูกกดดันจากความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนจากนโยบายรัฐบาล Trump 2.0 ได้ จนกว่าตลาดจะมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนมากขึ้น ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีนในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เพราะหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของ Core CPI ไม่ได้ชะลอลงชัดเจน หรือปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาด
อาจยิ่งกดดันให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าใน Dot Plot หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ทว่า ภาพดังกล่าวก็รับรู้โดยผู้เล่นในตลาดไปมากแล้ว ทำให้เรากังวลในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจชะลอลงกว่าคาด ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้ กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสย่อตัวลง
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.65-35.00 บาท/ดอลลาร์ (ความระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 34.73-34.90 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่ในช่วงวันก่อนหน้า เงินบาทได้เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 34.65 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ได้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 34.85-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากโซนแนวรับก่อนหน้า เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ทองคำบ้าง
ทว่า เงินบาทก็กลับมาอ่อนค่าลงบ้างในช่วงดึก ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากมุมมองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งต่างเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า Dot Plot พอสมควร
นอกจากนี้ มุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดยังหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ทะลุโซน 4.40% ได้อีกครั้ง และการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ พร้อมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็กลับมากดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงกลับสู่โซนแนวรับ 2,590-2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงกดดันจากการขายทำกำไรบรรดาหุ้นธีม Trump Trades โดยเฉพาะ Tesla -6.2% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia +2.1% ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.29%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงหนัก -1.98% ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล Trump 2.0 ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและยุโรป
นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงระยะสั้นก็ออกมาไม่สดใสนัก เช่นเดียวกันกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และ ยูโรโซน (ZEW Economic Sentiment) เดือนพฤศจิกายน ก็ออกมาแย่กว่าคาดพอสมควร
ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงจนทะลุโซน 4.40% อีกครั้ง ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 อาจส่งผลให้ เฟดทยอยลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot พอสมควร ตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง
ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็อาจชะลอลงช้า หรือ เร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นเข้าสู่โซนที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาส ในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นหรือลดลงราว 50bps (0.5%)
จะเห็นได้ว่าในเชิงของผลตอบแทนรวม (Total Return) การทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรนั้น ก็ยังมี Risk-Reward ที่น่าสนใจ ทำให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนเร่งการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จนเกือบแตะโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น และ
แม้ว่าเงินดอลลาร์จะยังได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า Dot Plot ล่าสุด ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 106 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.7-106.2 จุด)
การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่เราได้ประเมินไว้ในบทวิเคราะห์ค่าเงินบาทเดือนพฤศจิกายน สำหรับกรณี Republican Trifecta ทำให้เราประเมินว่า เริ่มมีโอกาสที่เงินดอลลาร์อาจเริ่มชะลอการแข็งค่าขึ้นและทยอยแกว่งตัวในกรอบ Sideways ได้
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นทะลุโซน 2,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ และแกว่งตัวแถวโซน 2,600-2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจพอเป็นแนวรับระยะสั้นได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจยังคงอยู่แถวระดับ 2.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน ก็อาจยังอยู่แถว 3.3%
หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลมากขึ้น ว่า เฟดอาจยิ่งชะลอการลดดอกเบี้ยและอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุดพอสมควร ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะหลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 3 เดือนครั้งใหม่ที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.68-34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาบางส่วน (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้) ขณะที่แรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วนตามแรงขายเพื่อปรับโพสิชั่นในช่วงระหว่างที่ตลาดรอติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในคืนนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.60-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะค่าเงินหยวน ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ และสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
9 วิธีรักษาตาแห้งที่พบได้ทุกเพศทุกวัย
ตาแห้งถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก ซึ่งเป็นภาวะที่ปริมาณน้ำตาไม่เพียงพอที่จะไปหล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวตา ทั้งนี้โรคตาแห้งยังสามารถพบได้ในทุกเพศและทุกวัย และแม้ว่าอาการของตาแห้งโดยส่วนใหญ่จะไม่ได้รุนแรงมากมาย แต่ก็สามารถก่อปัญหาและสร้างความกวนใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งหากปล่อยไว้นานก็อาจทำให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรังจนสร้างความเสี่ยงให้เกิดภาวะตาบอดได้เช่นกัน วันนี้เราจึงขอนำวิธีการรักษาตาแห้ง เพื่อให้สาวๆ สามารถนำไปใช้ในการดูแลตัวเองเมื่อเผชิญกับภาวะตาแห้งกันค่ะ
1.น้ำตาเทียมกลุ่มที่มีสารกันเสีย
น้ำตาเทียมกลุ่มที่มีสารกันเสียคือหนึ่งในวิธีการรักษาที่แพทย์แนะนำให้ใช้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ซึ่งน้ำตาเทียมกลุ่มนี้ควรใช้ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง ทั้งนี้ในน้ำตาเทียมกลุ่มที่มีสารกันเสียจะใช้สารกันเสียอยู่หลายประเภท ซึ่งบางประเภทจะสลายไปเมื่อโดนตาหรือโดนแสง
2.น้ำตาเทียมกลุ่มที่ไม่มีสารกันเสีย
ในส่วนของน้ำตาเทียมกลุ่มที่ไม่มีสารกันเสีย แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้บ่อยๆ ตลอดวันในกรณีที่มีอาการตาแห้งมากๆ ซึ่งน้ำตาเทียมกลุ่มนี้จะมีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆ เมื่อเปิดใช้แล้วจะมีอายุเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ส่วนที่เป็นขวดจะมีลักษณะแบบระบบวาล์วพิเศษ ซึ่งใช้ได้นานถึง 6 เดือน น้ำตาเทียมกลุ่มนี้สามารถใช้ได้บ่อยตามต้องการ หรือทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรงมาก รวมทั้งคนตาแห้งทั่วไปก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
3.ยากระตุ้นทำให้เกิดน้ำตา
ยากระตุ้นทำให้เกิดน้ำตา หรือ Secretogogue เช่น ยา Diquafosol เป็นยาที่ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำ
4.ยาลดการอักเสบของเปลือกตา
ในส่วนของยาที่ช่วยลดการอักเสบของเปลือกตา จะเป็นยาจำพวกยาปฏิชีวนะ Doxycycline เป็นต้น
5.ยาลดการอักเสบของตากลุ่ม steroids
ยาลดการอักเสบของตาในกลุ่ม steroids จะเป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบของผิวตา ในกรณีที่ผิวตามีอาการอักเสบจากตาแห้ง
6.ยากดภูมิคุ้มกัน
สำหรับยากดภูมิคุ้มกัน หรือที่เรียกว่า Immunosuppressant เป็นชนิดแบบหยอด เช่น ยา Cyclosporine ชนิดหยอด มีส่วนช่วยลดการอักเสบ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตา และช่วยลดอาการตาแห้ง
7.ทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่น
การใช้วิธีรักษาตาแห้งโดยการทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่น หรือที่เรียกว่า Warm Compression and Lid Hygiene ทำได้ด้วยการใช้แชมพูเด็กผสมให้เจือจาง หรืออาจจะใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะในการทำความสะอาดเปลือกตา วิธีนี้จะช่วยลดอาการต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน แถมยังช่วยทำให้ไขมันของน้ำตาดีขึ้นด้วย
8.Autologous Serum
วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาตาแห้งที่มีอาการรุนแรง ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ เนื่องจากมีสารที่ช่วยในเรื่องของการฟื้นตัวให้กลับคืนสู่ปกติของเนื้อเยื่อ โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดของผู้ป่วยไปปั่นและแยกเตรียมเป็น serum จากนั้นจะนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม
9.การอุดท่อระบายน้ำตา
ในส่วนของการใช้วิธีอุดท่อระบายน้ำตา หรือที่เรียกว่า Punctual Plug จะเป็นการอุดบริเวณช่องทางที่ไหลออกของน้ำตาลงสู่โพรงจมูก จะมีทั้งแบบอุดชั่วคราวและอุดถาวร โดยแพทย์จะทำการใส่ Silicone Plug หรือ Punctual Cautery โดยจะจี้ไปที่บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา เป็นการอุดบริเวณไหลออกของน้ำตาแบบภาวะในกลุ่มผู้ที่มีอาการตาแห้งแบบรุนแรงมากนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าวิธีการรักษาอาการตาแห้งนั้นมีอยู่หลากหลาย ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาตามความรุนแรงของอาการเป็นหลัก ทั้งนี้หากรู้ว่าตัวเองอยู่ในภาวะที่มีอาการตาแห้ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะนั่นอาจทำให้เกิดความเสี่ยงตาบอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“พี-โอโม่” พ่ายคู่จีนหวุดหวิด ร่วงรอบแรกแบดมินตัน เจแปน มาสเตอร์ส
3 นักแบดมินตันไทย “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตน์สกุล , “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล และ “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ พาเหรดตกรอบแบดมินตัน คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2024
การแข่งขันแบดมินตันรายการ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ที่เมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันอังคารที่ 12 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก และ รอบเมนดรอว์ มีนักแบดมินตันไทยลงสนาม 2 คู่
ประเภทชายเดี่ยว รอบคัดเลือก รอบแรก “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตน์สกุล มืออันดับ 57 ของโลก แพ้ให้กับ เคตะ มากิโนะ มืออันดับ 338 ของโลกจากญี่ปุ่น 0-2 เกม 15-21 ,15-21
ประเภทชายคู่ รอบแรก “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มืออันดับ 29 ของโลก พลาดท่าแพ้ให้กับ เหอ จีติง กับ เหริน เซียงหยู คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากจีน ไปอย่างเสียดาย 1-2 เกม 21-18, 14-21 และ 12-21
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
R&D ไทย จะไปทางไหน
การวิจัยและพัฒนา (R&D) ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศ แต่งานวิจัยของไทย มักถูกกล่าวหาว่า เป็นงานวิจัย “ขึ้นหิ้ง” ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
จากข้อมูลสถานภาพการพัฒนาด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ จัดทำโดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สอวช.) พบว่า สัดส่วนค่าใช้จ่าย R&D ของไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GERD/GDP) ปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 1.21 เมื่อเทียบกับปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 0.21 ในช่วงเวลา 15 ปีเติบโตถึง 6 เท่า ถือว่าประเทศไทยได้เพิ่มความสำคัญของ R&D โดยภาคเอกชนลงทุนด้านวิจัยฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 75 ของงบวิจัยฯ ทั้งหมด
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จำนวนบุคลากร R&D เพิ่มจาก 6.5 คน เป็น 24 คนต่อประชากร 10,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่า แต่หากหันมามอง “ผลผลิต” ของงานวิจัยแล้ว พบว่า จำนวนบทความด้านวิทยาศาสตร์ เพิ่มขึ้นจาก 1,727 บทความในปี 2550 (ข้อมูลจาก สวทน. ณ ปี 2554) เป็น 13,673 บทความในปี 2564 ส่วนจำนวนสิทธิบัตรคนไทยยื่นขอจดทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจาก 1,130 ฉบับเป็น 1,548 ฉบับ แต่เมื่อดูเทียบจำนวนสิทธิบัตรต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคนแล้ว ตัวเลขกลับลดลงจาก 14.1 เหลือ 10.5 เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีผลผลิตทางวิชาการในแง่การตีพิมพ์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่การสร้างเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่นำไปสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ผ่านการจดสิทธิบัตรนั้น ยังมีจำกัดและเติบโตในอัตราที่น้อยกว่ามาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงมีเสียงเรียกร้องให้นักวิจัย สร้างผลงานวิจัยที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอุดมศึกษาของไทย ถูกคาดหวังให้ทำงานวิจัยตอบโจทย์ประเทศ นำไปสู่การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงแก้ปัญหาชุมชนในท้องถิ่นได้จริง
ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ใช้ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในระดับนานาชาติก็คือ รายได้จากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนการนำผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยไปใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ หลายมหาวิทยาลัยก็ผลักดันเรื่องนวัตกรรม นำไปสู่การบ่มเพาะสร้าง “สตาร์ตอัป” โดยนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัย นอกเหนือไปจากมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีสถาบันวิจัยของรัฐ ที่มีนักวิจัยเต็มเวลาและได้รับเงินอุดหนุนของรัฐ สถาบันวิจัยอิสระ หรือภาคประชาสังคม เช่น มูลนิธิ หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร ที่ขอรับเงินอุดหนุนวิจัยจากภาครัฐเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะต่างๆ อีกหลายแห่ง
ในการปฏิรูปการอุดมศึกษาที่ผ่านมา มีการรวมศูนย์ทำให้เกิดกองทุนส่งเสริมวิจัยที่มีขนาดใหญ่ แต่กลไกการบริหารจัดการระบบวิจัย มีความสลับซับซ้อน เพราะเรามีหน่วยงานจำนวนมากในระบบ ทั้งหน่วยงานนโยบาย หน่วยงานจัดสรรทุน หน่วยงานวิจัย และหน่วยงานส่งเสริมการนำไปใช้ประโยชน์ ทุกปีจะมีการเปิดให้ขอรับทุนส่งเสริมวิจัยและพัฒนา และงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการเสนอจาก “นักวิจัย” แบบล่างขึ้นบน มากกว่าจะเป็นการกำหนดโจทย์ที่ท้าทายจากภาคอุตสาหกรรมหรือจากนโยบายของประเทศ
คำถามคือ หากคาดหวังให้งานวิจัยนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง การบริหารจัดการระบบวิจัยควรจะต้อง “ปรับเปลี่ยน” อย่างไร บางที อาจจะต้องเริ่มจากการปรับบทบาทและความคาดหวังที่มีต่อหน่วยงานในระบบวิจัยเสียก่อน
ภารกิจหลักในอดีตของมหาวิทยาลัยคือการผลิตบุคลากรระดับสูงให้กับประเทศ แต่การวิจัยและพัฒนา ได้กลายมาเป็นภารกิจหลักที่สอง เพราะคณาจารย์ ต้องมีองค์ความรู้ที่ก้าวหน้าเท่าทันในศาสตร์ของตน จึงต้องสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่สามารถตีพิมพ์และอ้างอิงถึงในระดับนานาชาติได้
ดังนั้น มหาวิทยาลัยยังคงต้องเน้นงานวิจัยพื้นฐาน สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการที่ก้าวหน้า เพื่อให้เชื่อมโยงและแข่งขันได้ในระดับโลก เป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการของประเทศ แต่ในยุคที่ประสบการณ์ในการนำความรู้ไปใช้งานจริงมีความสำคัญ ไม่ไปน้อยกว่าความรู้ทางวิชาการในตำรา คณาจารย์ก็ต้องทำงานบริการวิชาการหรืองานวิจัยประยุกต์เพื่อสาธิตความเป็นไปได้หรือนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ด้วย
สถาบันวิจัยของรัฐ ที่มีนักวิจัย “เต็มเวลา” และมีภารกิจหลักคืองานวิจัยนั้น ต้องเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อ “ส่งต่อ” ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น ไม่ควรทำงานวิชาการแข่งกับมหาวิทยาลัย หรือทำธุรกิจแข่งขันกับเอกชน ในการวัดผลการดำเนินงาน ควรพิจารณาจากจำนวนผลงานวิจัยที่มีการต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์หรือนำไปใช้จริงเท่านั้น ทั้งนี้ โจทย์ต้องเริ่มมาจากความต้องการของภาคอุตสาหกรรมหรือสังคม ไม่ใช่มาจากนักวิจัยเป็นหลัก
นอกจากนี้ ควรสนับสนุนให้เกิด การสร้างศูนย์เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในระดับประเทศ โดยมุ่งเป้าเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมหรือสถาบันวิจัยระดับโลก ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างหน่วยงานใหม่ อาจใช้วิธีการส่งเสริมสถาบันวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาหรือของรัฐที่มีอยู่ ที่มีความเข้มแข็งในด้านนั้นๆ ทั้งนี้ ต้องกำหนดให้ศูนย์ดังกล่าว สร้างเครือข่ายวิจัยที่มีความยั่งยืน โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและให้ทุนวิจัยร่วมกับภาคเอกชน
ส่วนหน่วยงานที่มีหน้าที่สนับสนุนนวัตกรรม ควรจะเน้นการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งไม่มีกำลังที่จะทำงานวิจัยและพัฒนาด้วยตนเอง นั้น นำผลงานวิจัยไปใช้หรือสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตหรือการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ
หากเราเห็นภาพของผู้เล่นในระบบแล้ว บทบาทของหน่วยงานจัดสรรทุนวิจัย ก็ควรจะปรับเปลี่ยนจากการเน้นกลไกการให้ทุนตามผลผลิตที่คาดหวัง ไปสู่ การมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดกับอุตสาหกรรมโดยการสร้างองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีใหม่ ที่จะยกระดับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมให้ได้
ท้ายสุดแต่สำคัญที่สุด คือ ภาคเอกชนหรืออุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม ที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากงานวิจัยที่แท้จริง ต้องมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดโจทย์วิจัยด้วย จึงจะมีโอกาสนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริงครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
การสื่อสารภาษาอังกฤษในที่ทำงาน
บทสนทนาภาษาอังกฤษในออฟฟิศ พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน
ตัวอย่างบทสนทนาภาษาอังกฤษ “การทักทาย เพื่อนร่วมงาน”
ตัวอย่างบทสนทนาภาษาอังกฤษ ทักทาย เพื่อนร่วมงาน ระหว่างวัน
A: Hey! How’s your day going?
B: Hey there! It’s going well, thank you. How about yours?
A: Pretty good so far. Any plans for the afternoon?
B: Not much, just working on a few projects. What about you?
A: I have a meeting later, but other than that, I’m free.
B: Sounds busy. Wishing you a productive day ahead!
A: Thanks, same to you! Catch up with you later.
ตัวอย่างบทสนทนาภาษาอังกฤษ ทักทายตอนเช้า
A: Good morning! How are you today?
B: Good morning! I’m doing well, thank you. How about you?
A: I’m great, thank you for asking. Did you have a good weekend?
B: Yes, it was quite relaxing. How about yours?
A: It was good too. Ready to start the week?
B: Absolutely! Let’s make it a productive one.
A: Sounds like a plan. Have a great day!
B: You too! Take care
ตัวอย่างบทสนทนาภาษาอังกฤษ ทักทายเพื่อนร่วมงาน ได้ทั้งวัน
A: Hey! How’s your day going so far?
B: Hey there! It’s been pretty busy, but productive. How about yours?
A: Likewise, lots to do but making progress. Any interesting updates?
B: Actually, I just finished a presentation that went really well. How about you?
A: That’s great to hear! I’ve been working on a new project, and it’s coming along nicely.
B: Awesome! We should catch up later to exchange ideas. Have a fantastic day!
A: Definitely, let’s plan a meeting. Thanks, you too! Take care.
ตัวอย่างบทสนทนาภาษาอังกฤษ ทักทายเพื่อนร่วมงาน ใกล้เลิกงาน
A: Hey! Wrapping up the day soon?
B: Hi there! Yes, just finishing up a few things. How about you?
A: Same here, tying up loose ends before heading out. Any plans for the evening?
B: Not much, just relaxing and catching up on some reading. How about yourself?
A: Sounds nice! I’m meeting some friends for dinner. Have a great evening!
B: Thank you! Enjoy your dinner and have a wonderful evening too!
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
4 ผลไม้น้ำตาลต่ำ (แต่ยังหวาน) ควรมีติดบ้าน ผู้ป่วยเบาหวานทานได้
การรวมผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำเข้าไปในมื้ออาหารของคุณสามารถช่วยรักษาระดับพลังงาน และยังให้สารอาหาร ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย” คริส มอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและโภชนาการจาก Fortune Recommends Health กล่าว “ผลไม้เหล่านี้มักจะมีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งเหมาะสำหรับทุกคนที่พยายามควบคุมน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง”
ไฟเบอร์เป็นกุญแจสำคัญของอาหารที่สมดุล และ “ไฟเบอร์ในผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำยังช่วยชะลอการย่อยอาหารและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป” แคสซานดรา พาดูลา เบิร์ก นักโภชนาการจดทะเบียน โค้ชไตรกอลอน และเจ้าของ Catalyst Performance Lab กล่าว
4 ผลไม้น้ำตาลต่ำ (แต่ยังหวาน)
1.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รีเหล่านี้มีน้ำตาลต่ำ อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการ และสามารถนำมารับประทานเป็นอาหารเช้าและของว่างได้ “เบอร์รี่หนึ่งถ้วยมีน้ำตาลประมาณ 5-7 กรัม ทำให้เป็นตัวเลือกที่มีไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้” เบิร์กกล่าว นอกจากนี้ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ มอร์อธิบายว่า “ตัวอย่างเช่น สตรอว์เบอร์รีเป็นแหล่งวิตามินซีและแมงกานีสที่ดีเยี่ยม และบลูเบอร์รี่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์ ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจ
2.กีวี
“กีวีหนึ่งผลมีน้ำตาลประมาณ 6 กรัม และเข้ากันได้ดีกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี (โดยเฉพาะสตรอว์เบอร์รี)” เบิร์กอธิบาย นอกจากนี้ กียียังอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ เช่น “วิตามินซี วิตามินเค และโฟเลต ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพกระดูก สุขภาพผิว และการเจริญเติบโตของเซลล์” เธอกล่าว
กีวีเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดีเยี่ยมโดยมีไฟเบอร์ 3 กรัมต่อผลซึ่งมอร์กล่าวว่าเหมาะสำหรับระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ “กีวียังมีเอนไซม์ย่อยอาหารที่เรียกว่า แอคทินิดิน ซึ่งช่วยย่อยโปรตีน” เขากล่าวเสริม
3.ลูกพีช
“ลูกพีชขนาดเล็ก (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 นิ้ว) มีน้ำตาลประมาณ 6 กรัม ทำให้เป็นตัวเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี” เบิร์กกล่าว “นอกจากนี้ ลูกพีชยังมีวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และสุขภาพหัวใจโดยควบคุมความดันโลหิต”
4.อะโวคาโด
แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจผิดว่าอะโวคาโดเป็นผัก แต่จริงๆ แล้วอะโวคาโดเป็นผลไม้ และยังมีปริมาณน้ำตาลต่ำอีกด้วย ทำให้อะโวคาโดเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน “อะโวคาโดหนึ่งผลมีน้ำตาลประมาณหนึ่งกรัม อุดมไปด้วยไขมันดี และอุดมด้วยไฟเบอร์ รวมถึงวิตามินอี ซี และบี6” มอร์กล่าว ไขมันในอะโวคาโดช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดอื่นๆ ทำให้อะโวคาโดเป็นส่วนผสมที่หลากหลายในการปรุงอาหาร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/11/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,800.00 | 42,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,772.00 | 42,023.52 | 43,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,494.80 | 37,821.17 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,217.60 | 33,618.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,247.00 | 18,904.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 970.00 | 14,705.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,873.00 | 43,554.68 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/11/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.95 | 35.95 | 36.55 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.58 | 35.58 | 36.18 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.84 | 33.84 | 34.44 | 33.84 | 33.84 | – | 33.84 | 33.84 | 33.84 | 33.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.59 | 33.59 | – | – | – | – | – | – | – | 33.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.54 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.54 |
เบนซิน 95 | 44.24 | – | – | – | 49.81 | – | 44.74 | 44.39 | – | 44.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |