เจาะทำเลบ้านชานเมืองแนวรถไฟฟ้า เลือกซื้อที่ไหนคุ้มค่า โดนใจ

เจาะทำเลบ้านชานเมืองแนวรถไฟฟ้า เลือกซื้อที่ไหนคุ้มค่า โดนใจ อยู่อาศัยก็ได้ซื้อเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนในระยะยาวก็ย่อมดี
หากคุณกำลังมองหาทำเลที่อยู่อาศัยในชานเมืองกรุงเทพฯ ที่ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตและเป็นที่ต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ทำเลที่น่าสนใจเรียกว่าซื้อเพื่ออยู่อาศัยก็ได้ซื้อเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนในระยะยาวก็ย่อมดี มีที่ไหนบ้างไปดูพร้อมๆกัน
มีนบุรี – บางกะปิ
ทำเลนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเส้นกรุงเทพกรีฑาสายใหม่ ซึ่งมีการเติบโตของราคาบ้านและคอนโดมิเนียมอย่างเห็นได้ชัด โดยราคาบ้านเดี่ยวในพื้นที่นี้เติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 10%
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตถึง 2 สาย ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่เปิดให้บริการแล้วและรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่จะเปิดในอนาคตอันใกล้ ช่วยสนับสนุนให้การเดินทาง
พัฒนาการ
อีกทำเลที่น่าสนใจ ที่มีการพัฒนาค่อนข้างมากแล้ว และยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการเชื่อมต่อกับถนนสายหลักหลายเส้นทาง และมีการเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่สถานีพัฒนาการ นอกจากนี้ยังมีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย
รามอินทรา
มาที่รามอินทรา เวลานี้ปริมาณจราจรคับคั่ง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ การมาของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เปิดให้บริการอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าและโครงการที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่นี้เป็นที่ต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์
บางบัวทอง – เมืองนนทบุรี
ทำเลนี้มีความพร้อมทั้งในด้านระบบคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวก มีโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบให้เลือกในราคาที่ไม่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ ผ่านทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น
วงเวียนใหญ่ – ตลาดพลู – วุฒากาศ
ขณะที่โซนฝั่งธนบุรี ทำเลศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี นี้ทำเลนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัวของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่เชื่อมต่อสถานีตากสินมายังวงเวียนใหญ่ วุฒากาศ และบางหว้า ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้นและส่งผลให้ราคาที่ดินและคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
บางหว้า – โพธิ์นิมิตร
ทำเลศักยภาพที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย เช่น รถไฟฟ้า BTS และ BRT
ท่าพระ – จรัญสนิทวงศ์
อีกทำเลที่น่าจับตานี้มีความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีแหล่งช้อปปิ้งและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้างสรรพสินค้า The Mall ท่าพระ และคอมมูนิตี้มอลล์ The Circle ราชพฤกษ์
ราชพฤกษ์ – เพชรเกษม
ทำเลนี้เป็นที่ตั้งของคอมมูนิตี้มอลล์ที่น่าสนใจ เช่น The Bloc ราชพฤกษ์ ซึ่งมีการออกแบบที่ทันสมัยและเหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่หลากหลาย
ทำเลชานกรุงเทพฯ มีอีกหลายทำเลนับวันจะมีคนอยู่อาศัย ทำให้ราคาที่ดินขยับสูงขึ้นและบ้านมีต้นทุนสูงตามไปด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“กรุงเทพกรีฑา” ทำเลทอง “Luxury Living” ขุมทรัพย์แสนล้านโซนตะวันออกกทม.

“กรุงเทพกรีฑา”ทำเลทอง “Luxury Living” ขุมทรัพย์แสนล้านโซนตะวันออกกทม. บิ๊กอสังหาฯแห่ปักหมุดอยู่อาศัย ราคากว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป อยู่อาศัย หรือลงทุนสร้างผลตอบแทนทำกำไร ในระยะยาวราคาที่ดินพุ่ง1.5แสนบาทต่อตารางวาอัพ
ในยุคที่การลงทุนมีทางเลือกหลากหลาย “การลงทุนในคอนโดมิเนียม” ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่หลายๆ คนคุ้นเคยและเลือกลงทุน เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลง ทุนได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ หรืออย่างน้อยก็มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ รวมไปถึงมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากหรือดอกเบี้ยทุกประเภทที่สถาบันการเงินจ่ายให้กับเจ้าของบัญชี แต่ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมาการซื้อ “บ้านหรู” กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักลงทุนระดับบนหันมาให้ความสนใจมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของการปล่อยเช่าที่มั่นคงได้ดี และมีโอกาสเติบโตสูง

ในระยะยาว เพราะสามารถดึงดูดผู้เช่าระดับผู้บริหาร ชาวต่างชาติ หรือกลุ่มครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่มีลูกหลานเรียนอยู่ในโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งผู้เช่ากลุ่มนี้พร้อมจะจ่ายค่าเช่าสูงเพื่อคุณภาพชีวิต ทำให้บ้านหรูมีอัตราค่าเช่าที่สูงกว่าตลาดทั่วไป
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า เทรนด์การปล่อยเช่าบ้านหรูกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวในทำเลใกล้เมืองที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัย ซึ่งมีกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้บริโภคจำนวนมากที่มองหาการเช่าบ้านหรู ที่สำคัญกลุ่มผู้เช่าบ้านหรูมักจะดูแลบ้านเป็นอย่างดี ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว และยังสามารถเลือกปล่อยเช่าระยะยาวให้กับบริษัทหรือชาวต่างชาติได้
โดยเฉพาะความต้องการจากชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน หรือใช้ชีวิตในประเทศไทย ทำให้ตลาดบ้านหรูกลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญให้เกิดการลงทุนในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะในโครงการจัดสรรราคาแพงที่มีราคาขายเริ่มต้นไม่ตํ่ากว่า 30-40 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งมีกลุ่มนักลงทุนเข้าไปซื้อเพื่อนำมาปล่อยเช่าจำนวนไม่น้อย ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า
(Rental Yield) ก็อยู่ในระดับสูงกว่าอสังหาฯประเภทอื่นในบางทำเล โดยผลตอบแทนสุทธิจากการปล่อยเช่าบ้านหรูอาจสูงถึง 4– 6% ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับความมั่นคงและศักยภาพในการปรับราคาค่าเช่าในอนาคต ถือเป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่า”

แม้ว่าในความเป็นจริงความต้องการบ้านเช่าในโครงการระดับหรูหรานั้นจะมีหลากหลายระดับราคาแตกต่างกันไปตาม ทำเลหรือรูปแบบบ้าน และระดับราคาขายของโครงการ แต่สิ่งที่ทำให้บางโครงการหรือบางทำเลได้รับความสนใจ รวมไปถึงสามารถเรียกค่าเช่าได้อัตราสูงอาจจะมาจากปัจจัยอื่นๆ
นอกโครงการ เช่น โรงเรียนนานาชาติที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และคุณภาพเป็นที่ยอมรับในกลุ่มของชาวต่างชาติ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในพื้นที่นั้นๆ มีความสะดวกเช่น พื้นที่ค้าปลีกประเภทต่างๆ โรงพยาบาลอินเตอร์ ความปลอดภัยของชุมชนโดยรอบ การเดินทางเข้า-ออกเมืองชั้นในหรือแหล่งงานสำคัญของกรุงเทพฯและปริมณฑลได้ง่าย เป็นต้น
สำหรับทำเลศักยภาพของบ้านหรู เช่น กรุงเทกรีฑาตัดใหม่, ศรีนครินทร์, พัฒนาการ หรือ บางนา-ตราด กำลังกลายเป็นทำเลทอง ยอดนิยมที่ได้รับปัจจัยหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน และศูนย์ธุรกิจ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการระดับมหาชนเข้ามาปักหมุดเปิดตัวบ้านหรูไปจนถึงระดับลักชัวรีในทำเลย่านนี้จำนวนมาก
โดยเฉพาะย่าน “กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่” กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาระบบคมนาคมใหม่ เช่น ถนนตัดใหม่ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีส้ม ที่กำลังจะเปิดให้บริการในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และสนามบินสุวรรณภูมิ ที่อยู่ไม่ไกลจากย่านนี้ ทำให้ที่ดินในย่านกรุงเทพกรีฑามีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหาซื้อได้ยากขึ้น เพราะมีที่ดินเปล่าติดถนนใหญ่เหลือไม่มาก ปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินในย่านนี้สูงมากกว่า 150,000 บาทต่อตารางวาไปแล้ว
ขณะที่ผู้ประกอบการบางรายมีการเปิดขายโครงการราคาแพงในทำเลนี้มากกว่า 1 โครงการ และสามารถปิดการขายหรือมีอัตราการขายที่สูงมากๆ ในทุกโครงการที่เปิดตัว เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาซื้อเพื่อปล่อยเช่าระยะยาวให้กับคนที่ต้องการบ้านในทำเลนี้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งราคาค่าเช่าที่เป็นที่ต้องการมีตั้งแต่ในระดับมากกว่า 100,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป จนถึงระดับ 300,000 – 400,000 บาทต่อเดือน และระดับ ค่าเช่า 600,000 – 800,000 บาทต่อเดือน ให้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับ 7 – 10%
โดยหนึ่งในผู้ประกอบการระดับมหาชนที่เข้ามาเปิดตัวโครงการบ้านหรูในทำเลย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่มากกว่า 1โครงการ คือ แสนสิริ โดยเฉพาะ โครงการณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นบ้านจัดสรรในกลุ่มลักชัวรีที่ตั้งอยู่ใน กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ ที่มีที่ดินผืนใหญ่รวมกันกว่า 500 ไร่ และมีโครงการบ้านจัดสรรหลายระดับราคาเปิดขายอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
สำหรับ โครงการณรินสิริ กรุงเทพกรีฑา เป็นบ้านเดี่ยวสังคมส่วนตัวจำนวนแค่ 36 ยูนิต บนที่ดินประมาณ 22 ไร่ ราคาขายเริ่มต้น 45 ล้านบาทขึ้นไปถึง 100 ล้านบาท มีลูกค้าซื้อบ้านแล้วนำไปลงทุนปล่อยเช่ากันที่ระดับราคา 400,000 – 500,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าพิจารณาจากค่าเช่าระดับนี้และราคาขายถือว่าสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้สูงถึง 9% ต่อปีเลยทีเดียว แม้ว่าช่วงนี้ตลาดอสังหาฯอาจจะลดความร้อนแรงลงไปเยอะพอสมควร รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติบางกลุ่มจะหายไปเพราะความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ไทย แต่ก็ยังมีกลุ่มชาวต่างชาติที่ต้องการพักอาศัยในประเทศไทยระยะยาวและเข้ามาลงทุนทำธุรกิจแบบถูกต้องตามกฎหมายมีความต้องการบ้านเช่าในลักษณะนี้อยู่ไม่น้อย
ส่งผลให้การลงทุนบ้านเพื่อหวังผลตอบแทนจากการเช่ายังมีความเป็นไปได้ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดเป็นของผู้ซื้อเหมือนเช่นในปัจจุบัน นอกจากจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตราที่สูงแล้ว ยังมีโอกาสทำกำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้านและโครงการ (Capital Gain) ในอนาคตอีกด้วย
จะเห็นว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบ้านในระดับราคาขายมากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ที่เปิดขายในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่ “กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่” มากกว่า 50-60% ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนในทำเลนี้มากกว่า 100,000 ล้านบาทขึ้นไป และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นไปอีกในอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนหรือมีการเปิดตัวโครงการในพื้นที่นี้อยู่แล้วก็ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง รวมไปถึงโครงการพาณิชยกรรมอื่นๆ ที่มีความเป็นได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตามมา
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13มิ.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ยังสะท้อนภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน แนะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่ากรอบเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.42 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางนั้น
แม้จะช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทผ่านอานิสงส์ของการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทว่า สถานการณ์ดังกล่าวก็หนุนให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน และเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ หรืออย่างน้อยก็ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
นอกจากนี้ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องไปมากในระยะสั้น หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมาพอสมควรแล้ว จนล่าสุด มุมมองของผู้เล่นในตลาดถือว่าใกล้เคียงกับมุมมองของเฟดล่าสุด ใน Dot Plot การประชุม FOMC เดือนมีนาคม ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจรอติดตามการประชุม FOMC เดือนมิถุนายน ในสัปดาห์หน้า เพื่อรอลุ้น Dot Plot ใหม่ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจนต่อไป
อีกทั้ง หากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทยอยคลี่คลายลงได้ (ซึ่งเราคาดหวังให้เป็นแบบนั้น เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น) ราคาทองคำก็มีแนวโน้มย่อตัวลงได้ และจะกลับมาเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง
ยกเว้น ราคาทองคำจะได้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม จนทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งเราจะคอยติดตามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำได้ปรับเปลี่ยนไปหรือไม่
เพราะหากผู้เล่นในตลาดเข้าสู่ช่วง Fear of Missing Out (FOMO) แล้วไล่ราคาซื้อทองคำ ก็อาจทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทเปลี่ยนจาก เคลื่อนไหวสอดคล้องกัน เป็น เคลื่อนไหวสวนทางกัน หรือ ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
อนึ่ง เราคงมองว่า เงินบาทจะยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอแถวโซนแนวรับ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ยกเว้นว่า เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติมที่ชัดเจน
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.47 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ
ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งมีรายงานข่าวว่า อิสราเอลอาจเปิดฉากโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยปฏิบัติการทางทหารดังกล่าว อาจขึ้นกับการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน รอบที่ 6 ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน นี้
อย่างไรก็ดี ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางดังกล่าว ยังคงหนุนให้ ราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ราว +2.3% ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดังกล่าว อาจช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ออกมาต่ำกว่าคาด ขณะเดียวกัน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็เพิ่มสูงขึ้น แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้
ทำให้ ผู้เล่นในตลาดก็เพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ และปีหน้า (เดิมผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยรวม 4 ครั้ง ภายในปีหน้า ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 54% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 5 ครั้ง ภายในปีหน้า)
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น Oracle +13.3% ที่รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ตามการเติบโตของธุรกิจ AI ก็ส่งผลบวกต่อบรรดาหุ้นธีม AI ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง Nvidia +1.5% ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงจำกัดการเดินหน้าเพิ่มความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.33% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงขึ้นก็ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรออกมาเพิ่มเติม ยกเว้น หุ้นกลุ่มพลังงาน TotalEnergies +2.2% ที่ยังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ
ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด
รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.32% ซึ่งเรามองว่า ความเสี่ยงของการปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังพอมีอยู่บ้าง หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ
หรือปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ระดับล่าสุด อาจไม่ใช่ระดับที่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ หรือไม่แนะนำให้ Follow Buy ไล่ราคาซื้อ โดยเราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ออกมาแย่กว่าคาด
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง จากการขายทำกำไรสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด หลังเงินดอลลาร์ได้อ่อนค่าลงพอสมควร อีกทั้ง หากไม่มีปัจจัยกดดันอื่นๆ เงินดอลลาร์ก็อาจพอได้แรงหนุนบ้าง ท่ามความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 97.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-98.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง กอปรกับความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 3,434 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนมิถุนายน ซึ่งในรายงานเดียวกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะ 1 ปี และ 5 ปี เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่าง การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า
เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 32.43-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.11 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดนิวยอร์กวานนี้ที่ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนกลับมาบางส่วน พร้อมๆ กับสกุลเงินปลอดภัยทั้งเงินเยน และเงินสวิสฟรังก์ รวมถึงสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
เนื่องจากตลาดรอติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ถอดรหัสกีฬาลูกยาง: ทำไม “วอลเลย์บอลหญิง” ได้รับความนิยมมากกว่า “วอลเลย์บอลชาย”?

ในโลกของกีฬาสากล วอลเลย์บอล ถือเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ ไม่ว่าจะในเวทีระดับโลกหรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง “วอลเลย์บอลหญิง” มักได้รับความสนใจจากผู้ชม สื่อ และผู้สนับสนุน มากกว่า “วอลเลย์บอลชาย” อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่เรื่องของการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างนักกีฬาและแฟนคลับ ตลอดจนบทบาทของสื่อและการตลาดที่ทำให้ทีมวอลเลย์บอลหญิงก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในใจของผู้คน สวนทางกับกีฬาประเภททีมอื่นๆ ที่เกือบทั้งหมด “ชาย” จะได้รับความนิยมมากกว่า “หญิง”
บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความนิยมที่แตกต่างกันนี้ ว่าทำไม “ตบสาว” ถึงสามารถครองใจผู้ชมได้อย่างล้นหลาม และเหตุใดวอลเลย์บอลหญิงจึงกลายเป็นหัวใจหลักของกีฬาประเภทนี้ในสายตาแฟนๆทั่วโลก
จังหวะเกมที่ดูสนุกและเข้าถึงง่าย
เกมวอลเลย์บอลหญิงมักมีจังหวะที่เร็วพอดี ไม่เร็วเกินไปจนตามไม่ทัน และไม่ช้าเกินไปจนขาดความตื่นเต้น ทำให้ผู้ชมทั่วไปสามารถติดตามได้ง่าย จุดเด่นคือเกมรับและการเล่นเป็นทีมเวิร์กที่แข็งแรง ดูแล้วลุ้นสนุก แถมมีการเล่นบอลยาวให้ได้เชียร์กันหลายจังหวะ ต่างจากวอลเลย์บอลชายที่มักมีพลังตบแรงและจบแต้มเร็ว ทำให้บางจังหวะรู้สึกสั้นและขาดความต่อเนื่องในการลุ้น
ความผูกพันกับนักกีฬา
วอลเลย์บอลหญิงหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย มักมีนักกีฬาที่อยู่กับทีมชาติมานาน ทำให้แฟนกีฬาเกิดความผูกพันและติดตามอย่างต่อเนื่อง เช่น “ตบสาวไทย” ที่กลายเป็นขวัญใจแฟนกีฬาทั้งประเทศ นักกีฬาหญิงยังมักเปิดเผยความเป็นตัวตนผ่านสื่อโซเชียลมากกว่านักกีฬาชาย จึงช่วยสร้างฐานแฟนคลับได้ดี
สื่อและการตลาดที่ชัดเจน
ภาพลักษณ์ของวอลเลย์บอลหญิงถูกสื่อสร้างให้เข้าถึงได้ง่าย มีทั้งมุมน่ารัก เข้มแข็ง และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้สามารถนำไปต่อยอดในเชิงการตลาด การออกอีเวนต์ หรือการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ได้หลากหลายกว่า ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ของผู้ชมในวงกว้าง
ความสำเร็จและการต่อเนื่องของผลงาน
หลายประเทศ รวมถึงไทย ทีมวอลเลย์บอลหญิงมักสร้างผลงานได้ดีกว่าและต่อเนื่องกว่า เช่น การเข้ารอบชิงแชมป์โลก หรือ โอลิมปิก ทำให้เกิดการติดตามและให้กำลังใจอย่างยาวนาน และเมื่อทีมประสบความสำเร็จ ก็ยิ่งกลายเป็นแรงดึงดูดให้แฟนใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โครงสร้างลีกและรายการแข่งขันที่แข็งแรง
วอลเลย์บอลหญิงมีลีกอาชีพที่มั่นคงและได้รับความนิยมในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน ตุรกี อิตาลี และ เกาหลีใต้ รวมถึงรายการใหญ่ของ FIVB อย่าง VNL (Volleyball Nations League) ก็ให้ความสำคัญกับการแข่งขันฝั่งหญิงในเชิงสื่อและตารางออกอากาศ ทำให้มีการเข้าถึงง่ายขึ้น
บทสรุป
แม้ว่า “วอลเลย์บอลชาย” จะมีความสนุกและความแข็งแกร่งกว่า แต่หลายปัจจัยทั้ง จังหวะเกม ความสัมพันธ์กับนักกีฬา การสนับสนุนจากสื่อ และความต่อเนื่องของความสำเร็จ ล้วนมีส่วนทำให้ “วอลเลย์บอลหญิง” กลายเป็นกีฬายอดนิยมที่ครองใจผู้ชมทั่วโลกมาหลายทศวรรษ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เหงื่อออกน้อย ผิดปกติหรือไม่? เช็กสาเหตุและวิธีรับมืออย่างปลอดภัย

หลายคนรู้สึกดีเมื่อเหงื่อออกน้อยเพราะไม่เหนียวตัว แต่นั่นอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีเสมอไป โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายหนักแล้วเหงื่อยังไม่ออก อาจสะท้อนความผิดปกติบางอย่างของร่างกายได้
เหงื่อคืออะไร และทำไมร่างกายต้องขับเหงื่อ
เหงื่อ คือกลไกสำคัญของร่างกายในการระบายความร้อน โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น เช่น เวลาที่ออกกำลังกาย อยู่ในที่ร้อน หรือมีไข้ ต่อมเหงื่อจะทำหน้าที่ขับน้ำออกมาเพื่อระบายความร้อนให้ผิวเย็นลงอย่างเป็นธรรมชาติ
เหงื่อออกน้อย ผิดปกติหรือไม่
ในบางกรณี การเหงื่อออกน้อยอาจเป็นเพียงลักษณะทางพันธุกรรม หรือเกิดจากการปรับตัวของร่างกาย เช่น คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอาจมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพจนเหงื่อออกช้ากว่าปกติ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าร้อน ออกแรง หรืออยู่ในที่อับชื้นแล้วเหงื่อยังออกน้อยกว่าคนทั่วไป นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่เรียกว่า “Hypohidrosis” หรือภาวะเหงื่อออกน้อยผิดปกติ ซึ่งควรระวัง
สาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกน้อยกว่าปกติ
- โรคทางระบบประสาท เช่น เบาหวาน เส้นประสาทถูกทำลาย
- ความผิดปกติของต่อมเหงื่อ โดยกำเนิดหรือเกิดจากการติดเชื้อ
- ภาวะขาดน้ำ ร่างกายไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการขับเหงื่อ
- ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาต้านฮิสตามีน ยารักษาโรคซึมเศร้าบางชนิด
- โรคทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ปิดรูเหงื่อ
- อายุที่เพิ่มขึ้น ต่อมเหงื่อทำงานลดลงตามวัย
เหงื่อออกน้อยผิดปกติ ส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย
เมื่อร่างกายไม่สามารถขับเหงื่อได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในภาวะที่ควรมีเหงื่อ เช่น ออกกำลังกาย อยู่กลางแดด หรือมีไข้ อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายด้าน
- ภาวะร้อนสะสมในร่างกาย (Heat retention): เมื่อขาดกลไกระบายความร้อน ร่างกายจะร้อนจัด ส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก อุณหภูมิภายในสูงขึ้น และเสี่ยงเกิด heat exhaustion หรือแม้แต่ heatstroke ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ผิวหนังแห้งและไวต่อการระคายเคือง: เพราะเหงื่อช่วยหล่อเลี้ยงผิวและควบคุม pH เมื่อไม่มีเหงื่อ ผิวอาจแห้ง แตก ลอก หรือเกิดอาการแพ้ง่ายขึ้น
- ระบบระบายของเสียทำงานลดลง: เหงื่อมีหน้าที่ขับของเสียบางส่วน เช่น โซเดียมและยูเรีย หากเหงื่อออกน้อย ร่างกายจะต้องพึ่งการขับถ่ายผ่านไตมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวอาจเพิ่มภาระการทำงานของไต
- เสี่ยงต่อการเป็นลม เวียนศีรษะ หรือหมดสติ: โดยเฉพาะในคนที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือออกแรงในที่อากาศร้อน
- ฟื้นตัวช้าจากการออกกำลังกาย: เพราะกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนไม่ได้รับการระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายอาจเหนื่อยง่าย ปวดกล้ามเนื้อมากขึ้น
เหงื่อออกน้อยช่วงออกกำลังกายอันตรายไหม
หากคุณออกกำลังกายหนัก แต่ยังเหงื่อออกน้อยหรือไม่ออกเลย พร้อมกับมีอาการร้อนในตัวมาก หน้ามืด ใจเต้นเร็ว หรือเหนื่อยล้า อาจเสี่ยงต่อภาวะ heatstroke (ลมแดด) ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน
วิธีเช็กตนเองและแนวทางดูแลเบื้องต้น
- สังเกตว่าเหงื่อออกน้อยเฉพาะบางช่วงหรือเป็นตลอดเวลา
- ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว
- หลีกเลี่ยงห้องปรับอากาศเย็นจัดตลอดวัน
- ปรึกษาแพทย์หากมีอาการร่วม เช่น เวียนหัว หายใจเร็ว ผิวแห้งร้อน
- หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่อาจกดการทำงานของต่อมเหงื่อ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดใช้ยา)
เหงื่อออกน้อยไม่ใช่เรื่องเล็ก ควรใส่ใจ
แม้หลายคนจะมองว่าเหงื่อออกน้อยเป็นข้อดี แต่หากมีอาการผิดปกติร่วมด้วย ควรระวังเรื่องความร้อนสะสมในร่างกาย เพราะกลไกระบายความร้อนทำงานผิดปกติ อาจนำไปสู่ภาวะอันตรายได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เหตุ Google Cloud ล่มสะเทือนโลก บริการดิจิทัลดังสะดุดเป็นโดมิโน

ผู้เชี่ยวชาญเตือนธุรกิจทบทวนแผนสำรองระบบ หลัง Google Cloud ล่ม! ส่งผลกระทบบริการดิจิทัลดังทั่วโลก หยุดชะงักเป็นรวมถึง Gmail, YouTube, Maps และ AI Gemini
ระบบโครงสร้างพื้นฐานของ Google Cloud ประสบปัญหาขัดข้องในหลายภูมิภาคเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา (13 มิ.ย. ตามเวลาไทย) ส่งผลให้บริการยอดนิยมทั่วโลกตั้งแต่ YouTube, Gmail, Google Maps ไปจนถึงระบบ AI อย่าง Gemini ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว

พร้อมส่งแรงกระเพื่อมไปยังแพลตฟอร์มชื่อดังที่ใช้บริการจาก Google Cloud เช่น Spotify, Discord, Snapchat, Shopify และแม้แต่ Cloudflare ที่มีบทบาทสำคัญในระบบความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตระดับโลก
เหตุขัดข้องเริ่มต้นเมื่อเวลาประมาณ 00.50 น. ตามเวลาไทย โดยมีผู้ใช้งานจำนวนมากเริ่มรายงานปัญหาการเข้าถึงบริการ Google Cloud จากนั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จำนวนการแจ้งเตือนปัญหาทะยานขึ้นเกิน 14,700 รายในเว็บไซต์ Downdetector บ่งชี้ว่าความเสียหายขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว สู่บริการสำคัญทั้งของ Google และของผู้ให้บริการรายอื่น
Cloudflare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ CDN และระบบป้องกันภัยไซเบอร์ ได้ออกมายืนยันว่าตนได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ด้วย สะท้อนว่าความเสียหายไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริการปลายทางของ Google แต่ลามไปถึงระดับโครงข่ายของอินเทอร์เน็ตโดยรวม
แม้ Google จะสามารถกู้ระบบกลับมาได้บางส่วนในเวลาประมาณ 02.27 น. และประกาศว่าบริการทั้งหมดกลับมาใช้งานได้ตามปกติภายในเวลา 04.41 น. แต่บริษัทก็ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคของสาเหตุในครั้งนี้ โดยเบื้องต้นมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น ระบบจัดการการรับส่งข้อมูลหรือการกระจายโหลดในเครือข่าย (network routing / load balancing)
จุดที่สร้างความกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญคือ “ความเชื่อมโยง” ของระบบไอทีในยุคใหม่ ที่พึ่งพาโครงสร้างร่วมกันผ่านผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ ทำให้การขัดข้องในจุดใดจุดหนึ่งอาจลุกลามเป็นวิกฤตในระดับโครงสร้างพื้นฐานโลก ตัวอย่างชัดเจนคือ Gemini ระบบ AI ของ Google เอง ซึ่งแม้แต่เทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ก็ไม่รอดจากผลกระทบ
เหตุการณ์นี้กลายเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับองค์กรทั่วโลกที่ฝากความหวังไว้กับผู้ให้บริการคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็น Google Cloud, Amazon Web Services หรือ Microsoft Azure ถึงแม้บริการเหล่านี้จะมีมาตรฐานความน่าเชื่อถือสูง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ “ไม่มีวันพัง”
หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเสนอแนะให้องค์กรเร่งทบทวนแผนสำรองข้อมูล ระบบสำรองข้ามภูมิภาค หรือแม้แต่การเตรียมผู้ให้บริการสำรองเพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมทั้งตรวจสอบข้อตกลง SLA (Service Level Agreement) ว่าผู้ให้บริการมีข้อกำหนดรับผิดชอบหรือชดเชยอย่างไรในกรณีระบบล่ม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เคล็ดลับการ ฟังภาษาอังกฤษ ให้เข้าใจง่ายและสนุกขึ้นทุกวัน

บทความนี้เราจะมาเผยเคล็ดลับการฝึก ฟังภาษาอังกฤษ อย่างเป็นระบบ เรียนภาษาอังกฤษ เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง เหมาะสำหรับผู้ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษให้สนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมแนะแนวทางฝึกสำเนียงที่หลากหลายจากเจ้าของภาษา
1) ทำไม ฟังภาษาอังกฤษ ไม่เข้าใจ? เข้าใจปัญหา ก่อนเริ่มฝึกให้ถูกจุด
หลายคนที่เริ่มต้น เรียนภาษาอังกฤษ มักพบกับอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งคือ “ฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ” ถึงแม้จะรู้คำศัพท์หรือเรียนไวยากรณ์มามาก แต่เมื่อได้ยินเจ้าของภาษาพูดจริง ๆ กลับจับใจความไม่ได้เลย ทำให้รู้สึกท้อหรือกลัวการสื่อสาร นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะกับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย หรือผู้ที่เรียนผ่านตำราโดยไม่เคยได้ยินเสียงเจ้าของภาษาจริง ๆ
หนึ่งในสาเหตุหลักคือ เราไม่ได้ฝึกให้คุ้นชินกับการออกเสียงจริงของเจ้าของภาษา เช่น การพูดเร็ว การเชื่อมคำ การลดรูปเสียง หรือแม้แต่สำเนียงที่หลากหลาย เช่น สำเนียงอเมริกัน บริติช หรือออสเตรเลียน ซึ่งล้วนมีความแตกต่างกันมาก การฟังไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่าเราไม่มีความสามารถ แต่อาจเป็นเพราะเรา “ยังไม่ได้ฝึกในวิธีที่เหมาะสม”
หากเข้าใจปัญหาตั้งแต่ต้น เราจะสามารถเลือกแนวทาง เรียนภาษาอังกฤษ ที่เหมาะกับตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกฟังจากแหล่งที่เหมาะสมกับระดับ หรือการค่อย ๆ เพิ่มระดับความยากของเนื้อหาอย่างมีขั้นตอน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ควรเริ่มฝึกฝนจากสื่อที่ชัดเจน ไม่เร็วเกินไป และมีบทพูดให้ฝึกควบคู่ไปพร้อมกัน
2) เทคนิคการฝึก ฟังภาษาอังกฤษ ให้เข้าใจและได้ผล
การฝึกฟังไม่ใช่เพียงแค่ “เปิดฟังไปเรื่อย ๆ” แล้วหวังว่าจะเข้าใจเอง เทคนิคที่ได้ผลต้องมีเป้าหมายและขั้นตอนที่ชัดเจน หนึ่งในเทคนิคที่แนะนำคือการ “ฟังแบบ Active Listening” หมายถึงการตั้งใจฟังเพื่อจับคำสำคัญ จับโครงสร้าง หรือเดาความหมายจากบริบท
ลองเริ่มจากคลิปสั้น ๆ ที่มีเนื้อหาที่เราสนใจ เช่น ซีรีส์ วิดีโอ YouTube หรือ Podcast ในหัวข้อที่เราชอบ การเลือกสื่อที่เราชอบจะช่วยให้ เรียนภาษาอังกฤษ อย่างต่อเนื่องและไม่เบื่อ เมื่อฟังรอบแรก พยายามฟังโดยไม่ดูคำบรรยาย แล้วจดสิ่งที่ได้ยินไว้ จากนั้นฟังอีกรอบพร้อมดูคำบรรยายหรือ transcript เพื่อเช็กว่าฟังถูกไหม แล้วจึงฟังอีกรอบพร้อมพูดตาม วิธีนี้จะช่วยให้พัฒนาทักษะการฟังและพูดไปพร้อมกัน
การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น “วันนี้จะเข้าใจคลิปนี้ให้ได้ 70%” หรือ “จะเรียนรู้ศัพท์ใหม่ 5 คำจากคลิปนี้” ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้คุณไม่รู้สึกท้อ โดยเฉพาะหากคุณ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การมีเป้าหมายที่จับต้องได้จะทำให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเองชัดเจนขึ้น สำหรับผู้ที่ลงคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษ การนำเทคนิคนี้ไปใช้ร่วมกับบทเรียน เช่น ฟังบทสนทนาหลังเรียน อ่านซ้ำ แล้วพูดตามบทเรียนอีกครั้ง จะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3) การฝึกฟังสำเนียงภาษาอังกฤษให้หลากหลาย
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญของผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษ คือการฟังไม่เข้าใจเพราะเจอสำเนียงที่ไม่คุ้นเคย หลายคนอาจฝึก ฟังภาษาอังกฤษ แค่สำเนียงอเมริกันจนชิน แต่เมื่อเจอบริติชหรือออสเตรเลียนก็จะฟังไม่ออก ทั้งที่เนื้อหาหรือคำศัพท์เป็นเรื่องง่าย แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการฝึกฟังสำเนียงที่หลากหลาย
วิธีง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริงคือ การเลือกสื่อที่มาจากหลากหลายประเทศ เช่น ดูซีรีส์จากอังกฤษ ฟังข่าวจากออสเตรเลีย หรือติดตาม YouTuber ชาวอินเดีย หรือฟิลิปปินส์ เพื่อฝึกการฟังสำเนียงที่หลากหลาย ในโลกความจริง เราไม่ได้ฟังแค่เจ้าของภาษา เราอาจต้องพูดคุยกับคนจากหลากหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
การฟังสำเนียงที่หลากหลายยังช่วยให้คุ้นชินกับจังหวะเสียงต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการพูดควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะหากคุณ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ที่มีผู้สอนจากหลายเชื้อชาติ การเปิดใจรับฟังสำเนียงต่าง ๆ จะทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสารกับคนทั่วโลก หากคุณ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเอง ลองเลือก Playlist บน YouTube ที่รวบรวมเสียงพูดจากหลากหลายสำเนียงไว้ หรือใช้แอปอย่าง ELSA Speak หรือ LingQ ที่มีบทเรียนจากเจ้าของภาษาหลายสำเนียง ก็จะช่วยให้ฝึกฟังได้อย่างต่อเนื่อง
การ ฟังภาษาอังกฤษ ให้เข้าใจง่ายและสนุกขึ้นทุกวัน ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากคุณเริ่มต้นจากการเข้าใจปัญหาของตัวเอง เลือกใช้เทคนิคการฝึกที่เหมาะสม และเปิดใจฝึกฟังจากหลากหลายสำเนียง การ เรียนภาษาอังกฤษ จะไม่ใช่แค่การนั่งจำศัพท์หรือท่องไวยากรณ์ แต่เป็นการฝึกที่สนุกและมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งการฝึกฟังอย่างมีวินัย คือกุญแจสำคัญ เพราะเมื่อฟังได้เข้าใจ ความมั่นใจในการพูดและการสื่อสารก็จะตามมา
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
สาหร่ายวากาเมะ กินแล้วอ้วนไหม? พร้อมประโยชน์และโทษ

สาหร่ายวากาเมะ เป็นวัตถุดิบยอดนิยมในอาหารญี่ปุ่น เช่น ซุปมิโสะและสลัด รสชาติอร่อย เคี้ยวเพลิน แถมยังขึ้นชื่อเรื่องคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่หลายคนอาจสงสัยว่า กินสาหร่ายวากาเมะทุกวันดีไหม กินแล้วอ้วนหรือไม่ มาหาคำตอบกันในบทความนี้
สาหร่ายวากาเมะคืออะไร?
สาหร่ายวากาเมะ คือ สาหร่ายสีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในอาหารญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นแผ่นบาง นุ่ม ลื่น มีรสชาติอ่อน ๆ นิยมนำไปใส่ในซุปมิโสะ สลัด หรือเมนูสุขภาพต่าง ๆ อุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย เช่น ไอโอดีน แคลเซียม เหล็ก และใยอาหาร
ประโยชน์ของสาหร่ายวากาเมะ
- บำรุงต่อมไทรอยด์
เพราะสาหร่ายวากาเมะ มีไอโอดีนสูง จึงช่วยให้การทำงานของต่อมไทรอยด์เป็นปกติ - ช่วยควบคุมน้ำหนัก
แคลอรี่ต่ำ แต่ใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มนานและลดความอยากอาหาร - บำรุงกระดูกและฟัน
มีแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง - ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
สารฟูโกแซนทิน (Fucoxanthin) ในสาหร่ายวากาเมะ อาจช่วยลดไขมันในเลือดและป้องกันโรคหัวใจ - ต้านอนุมูลอิสระ
มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคเรื้อรัง
โทษของสาหร่ายวากาเมะ
แม้สาหร่ายวากาเมะจะมีประโยชน์ แต่หากกินมากเกินไปอาจส่งผลเสีย เช่น
- ไอโอดีนเกินความจำเป็น
การบริโภคไอโอดีนมากเกินไป อาจทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เช่น ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) - เสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนัก
สาหร่ายบางแหล่งอาจปนเปื้อนโลหะหนัก เช่น สารหนูหรือปรอท หากกินบ่อยและมากเกินไป อาจสะสมในร่างกาย - ปัญหาทางเดินอาหาร
หากกินในปริมาณมาก อาจทำให้ท้องอืดหรือแน่นท้องได้
กินสาหร่ายวากาเมะอ้วนไหม
สาหร่ายวากาเมะ เป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ โดยวากาเมะแห้ง 5 กรัม ให้พลังงานเพียงประมาณ 16-18 กิโลแคลอรี่ แต่เมื่อแช่น้ำแล้ว สาหร่ายจะพองตัวขึ้นหลายเท่า น้ำหนักอาจเพิ่มเป็น 30-50 กรัม แต่พลังงานยังเท่าเดิม
ดังนั้น ถ้ากินในปริมาณที่พอดี สาหร่ายวากาเมะไม่ทำให้อ้วน แต่ควรระวังเมนูที่ใส่น้ำสลัดหวานหรือโซเดียมสูง เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มโดยไม่รู้ตัว
กินสาหร่ายวากาเมะทุกวันได้ไหม
การกินสาหร่ายวากาเมะทุกวันในปริมาณพอเหมาะ เช่น 5-10 กรัมต่อวัน ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่หากมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
สาหร่ายวากาเมะเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้ประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่การกินอย่างพอดีและหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการบริโภคสารอาหารบางชนิดมากเกินไป ควรเลือกซื้อสาหร่ายวากาเมะ จากแหล่งที่เชื่อถือได้ และล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,450.00 | 52,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,391.00 | 51,407.56 | 53,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,051.90 | 46,266.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,712.80 | 41,126.05 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,525.95 | 23,133.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,186.85 | 17,992.65 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,513.99 | 53,272.09 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.09 | 29.09 | – | – | – | – | – | – | – | 29.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.54 | 49.24 | 49.84 | 49.24 | – | – | – | – | – | 41.54 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.21 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |