วิกฤติเชื่อมั่นฉุด‘บ้านหรู’ขายฝืด หันลุยต่างชาติภูเก็ต-โรงแรม

อสังหาฯ ฝ่าวิกฤติเชื่อมั่นทุบตลาดบ้านหรูดีมานด์หด เอสซี ส่งสัญญาณขายฝืดคนเปลี่ยนก็บเงินสด แสนสิริ มุ่งหน้าภูเก็ตเจาะดีมานด์กลุ่มเวลธ์ แอสเซทไวส์ลุยภูเก็ต-โรงแรม
เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง สงครามในหลายพื้นที่ ตลอดจนนโยบายเศรษฐกิจจากมหาอำนาจโลก ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและทิศทางการลงทุนโดยตรง
ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มตลาดบน บ้าน-คอนโดมิเนียมลักชัวรี ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เคยเป็น “น่านน้ำใหม่” ของดีเวลลอปเปอร์ที่หนีจากตลาดกลาง-ล่าง ที่มีปัญหา “กำลังซื้อ” หากแต่วิกฤติรอบด้านฉุดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง กำลังลามกระทบตลาดหรูที่เผชิญการตัดสินใจซื้อที่ช้าลง ยอดขายเริ่มอืดมากขึ้น
จากการวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทานตามระดับราคาของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ประเมินแนวโน้มตลาดบ้านหรูค่อนข้าง”ทรงตัว” หรือขยายตัวอย่างระมัดระวัง ซึ่งการสะสมอุปทานบ้านแนวราบราคาสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดเริ่ม”ชะลอตัว”
โดยเฉพาะบ้านในช่วงราคา 10-40 ล้านบาท ที่ครองยอดขายรวมกว่า 75% ของตลาดแต่ปริมาณหน่วยขายบ้านตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ถึง เม.ย.2568 ชะลอตัวลงอยู่ที่ 1,000-1,500 ยูนิต สะท้อนความระมัดระวังในการตัดสินใจของ “ผู้ซื้อ” ในภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ จะยังมีศักยภาพ แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ จึงใช้เวลาในการพิจารณาและเลือกซื้อมากขึ้น
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดบ้านเดี่ยวระดับบนที่เคยคึกคักจากกำลังซื้อของกลุ่มเงินสด กำลังสะดุดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ซื้อที่เคยถือเงินสดกลับเลือกชะลอการใช้จ่าย หรือพึ่งพาการขอสินเชื่อมากขึ้น แต่กระบวนการอนุมัติที่เข้มงวดทำให้ยอดขายชะงัก
“พฤติกรรมคนเปลี่ยน ใช้เงินสดลดลง พึ่งพาการกู้มากขึ้น แต่การปล่อยสินเชื่อยากขึ้น บ้านหรูเวลานี้ขายยากกว่าเดิม”
สถานการณ์เวลานี้ทำให้ผู้ประกอบการต้องเน้นบริหารสภาพคล่องเป็นหลัก การแข่งขันลดลง แต่การทำตลาดยังคงต้องมีอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์ราคา โปรโมชัน และแคมเปญเพื่อเร่งระบายสต็อก แม้ภาวะตลาดจะตึงตัว แต่คอนโดมิเนียมยังพอมีแรงซื้อจากชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน เมียนมา และรัสเซีย ส่วนคนไทยยังคงระมัดระวัง โดยเฉพาะในแง่ความปลอดภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมหลายแห่งต้องเลื่อนเปิดตัวไปในไตรมาส 3
“ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 อาจไม่ใช่ปีแห่งการเติบโต แต่คือบททดสอบของตัวจริงในวงการ เป็นปีของการเอาตัวรอด ผู้เล่นที่สามารถผ่านพ้นภูเขาน้ำแข็ง ทั้งต้นทุน ดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือน และดีมานด์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ จะกลายเป็นผู้เล่นที่เข้มแข็งกว่าในอนาคต”
นายณัฐพงศ์ ย้ำว่า ปี 2568 นับเป็นปีที่ท้าทายที่สุดในรอบ 30 ปีของธุรกิจอสังหาฯ ยอดขายทั้งอุตสาหกรรมหดตัว การเปิดโครงการใหม่ลดลงอย่างชัดเจน สต็อกบ้านเดี่ยวล้นตลาด ต้องใช้เวลา 5 ปีจึงจะดูดซับได้หมด ขณะที่เศรษฐกิจโตไม่ทันภาระหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ และใช้วิธีขอสินเชื่อมากขึ้น แต่การขอสินเชื่อก็ยากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ตลาดบ้านหรูระดับ 20 ล้านบาทขึ้นไปยังได้รับผลกระทบ
นายณัฎฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด กล่าวว่า แนวโน้มขณะนี้พบว่าลูกค้าติดปัญหา “กู้ไม่ผ่าน” มากขึ้น ทำให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น 12% จากเดิมอยู่ที่ 7-8% ลามจากกลุ่มกลาง-ล่างมาถึงกลุ่มบ้านราคา 10 ล้านบาท ขณะที่กลุ่ม 5-10 ล้านบาท ยอดการปฏิเสธสินเชื่อเท่าเดิม ส่งผลให้เฉลี่ยยอดการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น
โฟกัสตลาดภูเก็ตดึงดีมานด์ต่างชาติ
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยลบในตลาดที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว เหตุการณ์แผ่นดินไหว ผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์ เข้ามากดดันทำให้คนเกิดความไม่มั่นใจในการสร้างหนี้ระยะยาว และต้องการสภาพคล่องเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดจนกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อทั้งในกลุ่มต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่กู้ไม่ผ่าน และกลุ่มบ้าน คอนโดราคาแพงระดับราคา 10-20 ล้านบาท
“คนลังเลที่จะเป็นหนี้ระยะยาว เพราะกลัวความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หลายคนเน้นเก็บสภาพคล่องไว้เพื่อพยุงธุรกิจหรือค่าใช้จ่ายจำเป็น”
แนวทางการปรับตัวของบริษัทต้องระมัดระวังกระแสเงินสด์ และรีเจ็กต์เรตที่ลูกค้าซื้อแล้วจะกู้ผ่านหรือไม่ จากเดิมเฉลี่ย 30-40% ขณะนี้้อาจเฉลี่ยไปถึง 50% ในตลาดกลาง-ล่าง โดยแอสเซทไวส์หันมารุกตลาดอสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยวภูเก็ต เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีดีมานด์และกำลังซื้อสูง พร้อมซื้อทั้งคอนโดและวิลล่า
พร้อมกันนี้ ได้ขยายธุรกิจ Hospitality เป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทเพื่อสร้างแหล่งรายได้ประจำ (Recurring Income) เสริมความแข็งแกร่งระยะยาว ล่าสุดเตรียมเปิดโรงแรม “voco Phuket Bangtao” ย่านบางเทา หนึ่งในทำเลศักยภาพของภูเก็ต ซึ่งมีทั้งหาดทรายขาว สถานที่ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ โดยโรงแรมมีทั้งหมด 175 ห้อง คาดเปิดบริการปลายปี 2570 วางเป้าหมายขยายให้ได้ 5 แห่ง ภายในระยะ 5 ปี อาทิ หาดในยาง และกะตะ ขนาดห้องพักไม่เกิน 200 ห้อง งบลงทุนแห่งละ 600-800 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตธุรกิจโรงแรมจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม
ดันภูเก็ตฮับอสังหาฯเจาะกลุ่มเวลธ์
นายภูมิชาย มัธยมภพภิญโญกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ มองเห็นศักยภาพภูเก็ตในฐานะเมืองท่องเที่ยว และเมืองที่คนเลือกมาอยู่อาศัย หรือมาลงทุนได้จริงโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความมั่งคั่ง(Wealth)
ทั้งไทยและต่างชาติ ภายใต้แผนลงทุนระยะ 5 ปี (2568-2572) แสนสิริ เตรียมเปิด 29 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 33,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 13 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ครั้งนี้เป็นการวางรากฐานให้ภูเก็ตเป็นสนามลงทุนในระดับนานาชาติด้วยการจับกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในไทย (Expat) ระยะยาว นักลงทุนต่างชาติจากประเทศใหม่ๆ เช่น อิสราเอล รัสเซีย อินเดีย รวมถึงกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่มองหาสังคมเปิดกว้างและปลอดภัย
หนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตคือ “หน้าใหม่” ของผู้ซื้อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย ดีมานด์ต่างชาติเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนพฤติกรรม อย่างชัดเจน นักลงทุนจากตลาดใหม่ เช่น กลุ่มประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย อิสราเอล อินเดีย กลุ่มอดีตผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ที่ต้องการคุณภาพชีวิตระดับโลกแต่เข้าถึงได้ กลุ่ม LGBTQIAN+ ที่ได้รับแรงจูงใจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูเก็ตเป็นทางเลือกสำหรับการใช้ชีวิตและวางแผนระยะยาว
ทั้งนี้ แสนสิริ มีการพัฒนากว่า 28 โครงการ มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ในภูเก็ต ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “เศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต” บ้านเดี่ยวแนวโมเดิร์นบนทำเลเงียบสงบเกาะแก้ว พร้อมขยายตลาดแนวราบที่ยังมีช่องว่างการเติบโต
“ภูเก็ต จะไม่ใช่แค่บ้านพักตากอากาศ มาพักร้อนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นเมืองลงทุนระดับโลก ของอสังหาฯ และธุรกิจทุกแขนง รองรับดีมานด์ที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศทั่วโลก
เพอร์เฟคมุ่งบ้านราคาปานกลาง
นายศานิต อรรถญาณสกุลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค รับมือความท้าทายรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแรงลงต่อเนื่อง ด้วยแผนระยะ 3 ปี มุ่ง 3 กลยุทธ์หลักเดินหน้าฝ่าวิกฤติ กล่าวคือลดภาระหนี้ สร้างยอดขายเพิ่มรายได้ และปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง
แนวทางสำคัญคือการ“ปรับโครงสร้างทางการเงิน” มุ่งลดภาระหนี้ลง 50% ภายในปี 2570 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินทั้งมีแผนขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก (Non-Core Assets) เริ่มจากปี 2569 ขายสินทรัพย์มูลค่า 300 ล้านบาท ปี 2570 มูลค่า 2,500 ล้านบาท และปี 2571 มีเป้าหมายขายสินทรัพย์เพิ่มอีกกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแผนการลดหนี้และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
พร้อมมุ่งฟื้นรายได้ผ่านการสร้างยอดขายให้เติบโตกลับมาสู่ระดับ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2571 กลยุทธ์หลักมุ่งไปที่สินค้ากลุ่มบ้านระดับราคาปานกลาง ซึ่งยังมีดีมานด์ในตลาด
ขณะเดียวกันจะทยอยลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มคอนโด ปัจจุบันมีสินค้าพร้อมขายรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 2,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3,500 ล้านบาท โดยจะเร่งระบายสต็อกในโครงการที่รับรู้รายได้ทันทีนอกจากนี้ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2,220 ล้านบาท จะทยอยสร้างรายได้ต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Green Asset แต้มต่อในสมรภูมิอสังหาฯสู่ยุควัสดุคาร์บอนต่ำ

KKP ดันอสังหาฯ ไทยสู่ Green Asset ผ่านพาร์ตเนอร์ 6 ราย ชูโมเดล Green Transition สร้างความยั่งยืน-ลดคาร์บอน พร้อมหนุนผู้พัฒนาอสังหาฯ เปลี่ยนผ่านสู่ยุควัสดุคาร์บอนต่ำ
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ “ความยั่งยืน” ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์เชิงภาพลักษณ์ แต่กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่นักลงทุนและผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างแท้จริง
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) เดินหน้าโครงการ “KKP Shaping Tomorrow” เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาฯ ไทยสู่ Green Transition อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการผนึกกำลัง 6 พันธมิตรเอกชนที่ครอบคลุมตั้งแต่วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ ไปจนถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในอาคาร
“อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในระดับระบบได้ หากเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วัสดุและเทคโนโลยีที่ใช้” สุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ประธานสายสินเชื่อธุรกิจและประธานสายสินเชื่อบรรษัท
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
จากธนาคาร…สู่ที่ปรึกษา ESG ครบวงจร
KKP ยกระดับบทบาทจาก “แหล่งเงินทุน” ไปสู่ “ผู้เร่งปฏิกิริยา” ของความเปลี่ยนแปลง โดยการพัฒนาสินเชื่อและบริการที่ผสาน ESG เข้าเป็นแกนกลาง พร้อมดึงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาเชื่อมต่อกับลูกค้าอสังหาฯ ให้พร้อมรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Green Asset
โครงการนี้แบ่งพันธมิตรออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
1. กลุ่มวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ
ลด Embodied Carbon จากกระบวนการก่อสร้างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
- เบเยอร์ ผู้นำสีสูตร Zero VOC และระบบคำนวณการลดคาร์บอนจากการทาสี
- ยิปมั่นเทค รายแรกในไทยที่ได้รับ “ฉลากทองคาร์บอน” สำหรับฝ้าเพดานและผนังเบา
- อินโน พรีคาสท์ ผู้ผลิต Precast Concrete รายแรกที่ได้รับฉลาก CFR ลดคาร์บอนจาก อบก.
2. กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและระบบอากาศ
ลด Operational Carbon ตลอดอายุการใช้งานของอาคาร
- บีเอฟพี โปร ผู้ให้บริการระบบ Solar & Home Service
- คาซ่า เทค ผู้เชี่ยวชาญระบบถ่ายเทอากาศ ERV และโซลูชันประหยัดพลังงาน
- คอรัล ไลฟ์ ผู้นำด้านระบบ Energy Recovery Ventilation (ERV) เพื่ออาคารยั่งยืน
Green Asset คือแต้มต่อใหม่
ข้อมูลจากสหประชาชาติระบุว่า Embodied Carbon คิดเป็น 11% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก ขณะที่ Operational Carbon จากการใช้งานอาคารตลอดอายุโครงการยังเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นั่นจึงทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สีเขียวไม่ใช่แค่การทำเพื่อ “ลดคาร์บอน” แต่คือการสร้างความได้เปรียบในตลาดที่นักลงทุนและผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น
“Green Asset ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือข้อได้เปรียบทางธุรกิจของอนาคต”
จากสินเชื่อสีเขียว สู่ระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน
KKP เชื่อว่าทุกการตัดสินใจของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัสดุ การออกแบบ หรือเทคโนโลยีที่ใช้ ล้วนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมระยะยาว จึงออกแบบระบบสินเชื่อที่สนับสนุน Green Project โดยเฉพาะ พร้อมเสริมด้วยที่ปรึกษาและเครื่องมือวิเคราะห์คาร์บอนให้แก่ผู้ประกอบการ
แนวทางนี้ไม่เพียงส่งเสริมให้เกิดโครงการอสังหาฯ สีเขียวในเชิงปริมาณ แต่ยังช่วย “ยกระดับคุณภาพ” ให้ตลาดอสังหาฯ ไทยตอบโจทย์มาตรฐานโลก ทั้งด้านการเงิน พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13ส.ค.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังเผชิญความเสี่ยงเคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ลุ้น ผลการประชุมกนงบ่ายวันนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 8 สิงหาคม)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.50 บาทต่อดอลลาร์)
โดยมีจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย หลังเงินดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นและมีจังหวะทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังในช่วงคืนที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายน จากรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ล่าสุด ที่ออกมาผสมผสาน
โดยอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงทรงตัวที่ระดับ 2.7% น้อยกว่าคาดเล็กน้อย (2.8%) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สูงขึ้นสู่ระดับ 3.1% สูงกว่าคาดเล็กน้อย (3.0%) อนึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ BOE แต่ยังคงมั่นใจว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมรอลุ้น ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งในรายงานเดียวกันนั้น จะมีรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว
พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่ทางเฟดจับตาใกล้ชิด หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในข้อมูลที่ผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของทั้ง ECB และ BOE ในปีนี้ลง
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน
อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึงราคาบ้านใหม่ และราคาบ้านมือสอง ในเดือนกรกฎาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายน
▪ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนสิงหาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.50% ได้
อย่างไรก็ดี เรามองว่า กนง. อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยไปก่อนได้ หลังทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ได้ต่างจากสมมติฐานของ กนง. ก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และคณะกรรมการ กนง. ส่วนใหญ่อาจยังคงให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ย ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่มีจำกัด
และหาก กนง. เลือกที่จะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เรามองว่า ภายใต้ผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ที่มาพร้อมกับคณะกรรมการนโยบายการเงินคนใหม่ 1 ท่าน (ดร. เชาว์ เก่งชน) กนง. ก็อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม
ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมืออื่นๆ เพิ่มเติม ในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย โดยในเบื้องต้น เราประเมินว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยถึงระดับ 1.25% ภายในต้นปี 2026 และมีโอกาสที่อาจจะลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ประเมินได้
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเราประเมินว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน และการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ไปพอสมควรแล้ว
ทำให้เรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ ในกรณีที่ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเรามองว่าต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็เริ่มสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำมากขึ้น
ทำให้ เรามองว่า ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำด้วยเช่นกัน ซึ่งบรรยากาศในตลาดการเงินก็จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ หลังตลาดได้รับรู้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอควรแล้ว
หากผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ย เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ
และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน
ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองเงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ได้ลุ้นเกือบทุกเซต! “สาวไทย” พ่าย บัลแกเรีย ศึกวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก ยู-21 ปี

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก รุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี รอบแบ่งกลุ่ม ที่เมืองซูราบายา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568
“ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ลงสนามเกมสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มดี พบกับ บัลแกเรีย ทีมจากทวีปยุโรป ที่มีผลงานชนะ 1 แพ้ 3 หลังผ่าน 4 นัด
ผลการแข่งขันปรากฎว่า ทีมสาวไทย พยายามสู้แบบสุดตัวก่อนพ่ายไป 0-3 เซต (20-25, 24-26 และ 23-25) ทำให้จบรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นอันดับ 4
อย่างไรก็ตามการจบอันดับ 4 ของกลุ่ม ก็ยังดีพอที่จะทำให้ ทีมไทย สามารถคว้าตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไปได้สำเร็จ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
โรคระเบิดอารมณ์ คืออะไร จากกรณีเด็กนักเรียนทำร้ายร่างกายครู

การระเบิดอารมณ์โกรธ ปัญหาส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นกับเด็กโดยไม่ยั้งคิด แต่พ่อ-แม่ ผู้ปกครองต้องรีบแก้ไข เพราะอาจทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมเกเรและก้าวร้าวรุนแรง
จากกรณีนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายร่างกายครู หลังไม่พอใจผลสอบได้คะแนนน้อย กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงในโซเซียลหลากหลายมุมมอง ซึ่งหนึ่งในนั้นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านจิตเวช
เพราะเด็กคนดังกล่าวเรียนดีมาตลอด แต่พฤติกรรมแสดงออกเหมือนกำลังระเบิดอารมณ์รุนแรง ซึ่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนหลายคนเรียกว่า “โรคระเบิดอารมณ์” หรือ “ภาวะสติแตก”
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุไว้ว่า การระเบิดอารมณ์โกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้มักเกิดจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิด เช่น การใช้คำพูดด่าทอหรือทำลายข้าวของ การร้องไห้หรือกรีดร้องอย่างหนัก การทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นจนคนรอบข้างกลัว
โดยภาวะสติแตกเกิดจากการตอบสนองต่อความเครียด หรือความวิตกกังวลอย่างรุนแรง การเข้าใจและรับรู้สัญญาณเตือนการระเบิดอารมณ์ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและจัดการกับอารมณ์โกรธอย่างเหมาะสม หากความโกรธไม่ได้รับการจัดการ จะนำไปสู่ความเครียดสะสม และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
พญ.ชนม์นิภา บุตรวงษ์ แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต กล่าวว่า การระเบิดความโกรธของเด็ก ถือว่าปัญหาที่พ่อ-แม่ ต้องรีบแก้ไข

ต้องตระหนักรู้ว่าอาการที่เด็กหงุดหงิดและโมโหง่ายเกิดจากอะไร มีวิธีดูแลอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและห่ทางรักษาให้ทันท่วงที
เนื่องจากพฤติกรรมก่อกวนหลายอย่างมักแสดงออกเป็นรูปแบบความโกรธ ความหงุดหงิด ซึ่งล้วนเป็นอาการหลักของโรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder) และพฤติกรรมเกเรก้าวร้าวรุนแรง (Conduct disorder)
หากมีความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ ร่วมด้วย จะมีความเสี่ยงที่เด็กจะมีพฤติกรรมก่อกวน โกรธ และก้าวร้าวมากขึ้น ด้วยผลการศึกษางานวิจัย ดังนี้
- อัตราความชุกของพฤติกรรมก่อกวนมีตั้งแต่ 14 – 35%
- ในเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นพบความชุกมากขึ้นเป็น 14 – 62%
- ในเด็กที่มีความวิตกกังวลพบความชุก 9 – 45%
ปกติในเด็กอายุ 1-4 ปีระดับความโกรธจะแสดงพฤติกรรมการร้องไห้ กระทืบ ผลัก ตี และ เตะ และมีความถี่ตั้งแต่ 5-9 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 5-10 นาที แต่ความรุนแรงและความถี่ของการโกรธส่วนใหญ่ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเด็กเติบโตและมีอายุเพิ่มขึ้น
วิธีจัดการความโกรธ
1. รู้ทันอารมณ์โกรธ ผู้ที่มัภาวะดังกล่าวจะต้องสามารถยอมรับตนเองได้ว่ารู้สึกโกรธ รู้เท่าทันอารมณ์ อยู่ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมที่ช่วยลดสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ได้ จนนำไปสู่การเกิดสมาธิพอที่จะมีสติรู้ตัวมากขึ้น
2. การผ่อนคลายลมหายใจ จากกล้ามเนื้อด้วยการหายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ โดยที่ยังรู้สึกหายใจสะดวก ส่วนกล้ามเนื้อในร่างกายจะหดเกร็งอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่ใบหน้า บ่า ฝ่ามือ แขน ขาทั้ง 2 ข้าง แล้วค่อยๆ จินตนาการว่ากล้ามเนื้อนั้นๆ กำลังยืดและคลายตัว
3. เมื่ออารมณ์สงบขึ้นแล้ว ต้องพิจารณาหาวิธีจัดการแก้ไข้ปัญหา เช่น การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ การพูดคุยช่วยให้ความรู้สึกรุนแรงสงบลง และช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเรามากขึ้น
4. การได้ยินตัวเองพูดออกมาดังๆ จะช่วยให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าเวลาการถูกความคิดและความรู้สึกถูกกักไว้ภายใน
พญ.ชนม์นิภา กล่าวว่า แม้การรับมือกับความโกรธจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การควบคุมความโกรธเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่อง อาจช่วยกำจัดความรู้สึกโกรธออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง ไม่ให้ถูกครอบงำจนสติแตก หรือระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บทเรียนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี : ธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง สู่อนาคตด้วย AI | มองมุมใหม่

- รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ วิเคราะห์ปัจจัยของผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2 ของบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี
- มีการนำ AI มาผสมผสานกับธุรกิจหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรายได้ เช่น การใช้ AI ในระบบค้นหาของ Google หรือในธุรกิจโฆษณาของ Meta
- บทเรียนสำคัญคือการปรับตัวและขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่มีกำไรสูง เช่น ธุรกิจบริการและคลาวด์ โดยต่อยอดจากความสำเร็จของธุรกิจเดิม
ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบางและการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ประเด็นที่น่าจับตามองคือผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยี ที่ไม่เพียงส่งผลต่อผู้ถือหุ้น แต่บริษัทเหล่านี้ยังเป็นผู้นำตลาดและเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตของโลกธุรกิจ
จากผลประกอบการในไตรมาสสองของบริษัทอย่าง Alphabet (Google), Amazon, Apple, Meta, Microsoft, Netflix ที่เพิ่งประกาศออกมาล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัทเหล่านี้ และเป็นบทเรียนที่น่าศึกษาสำหรับธุรกิจในประเทศไทย
Alphabet หรือ Google มีรายได้เพิ่มขึ้น 14% โดยมาจาก Search และ Cloud การที่ Google นำ AI Overview มาผสมผสานกับ Search ก็ช่วยให้รายได้จากการโฆษณาบน Search เพิ่มขึ้นถึง 12%
สำหรับ Amazon มีรายได้โต 13% และกำไรโต 35% ซึ่งก็มาจากสองธุรกิจหลักคือ Cloud (AWS) และค้าปลีกออนไลน์ที่ยังคงเติบโตอยู่
Apple มีรายได้เพิ่มขึ้น 10% โดยหลักๆ มาจากยอดขาย iPhone ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะมาจากลูกค้าที่เร่งซื้อก่อนที่นโยบายภาษีจะถูกบังคับใช้ ขณะที่รายได้จากธุรกิจบริการของ Apple ก็เพิ่มขึ้นถึง 13% และเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตต่อไปในอนาคต ธุรกิจบริการนั้นมีอัตราส่วนกำไรสูงกว่า 70% และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด
Meta มีการเติบโตของรายได้ 22% ซึ่งมาจากค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ โดยจำนวนการใช้งานในแต่ละวันในทุกๆ แพลตฟอร์มของ Meta ก็เพิ่มขึ้นถึง 6%
ส่วน Microsoft มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 22% กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเกินกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ($ 4 Trillion) เป็นบริษัทที่สองของโลกต่อจาก Nvidia การเติบโตหลักๆ มาจากธุรกิจ Cloud (Azure) และรายได้จากระบบ Subscription
Netflix รายได้โต 16% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 46% มาจากความสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิก การขึ้นราคา (เริ่มจากอเมริกา) การเติบโตขึ้นของรายได้จากโฆษณา (ในบางประเทศ) โดยสมาชิกที่เพิ่มขึ้นก็มาจากรายการที่น่าสนใจ การหันมาเน้นเรื่องการถ่ายทอดสดและกีฬามากขึ้นด้วย
จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ พบประเด็นร่วมอยู่หลายประการด้วยกัน ได้แก่
1. ทำธุรกิจหลักให้แข็งแรง บริษัทเหล่านี้ยังมุ่งเน้นการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลัก และรายได้ที่เกิดขึ้น ก็กลายเป็นแหล่งทุนสำหรับการลงทุนอนาคต โดยเฉพาะใน AI บริษัทเหล่านี้ต่างใช้ธุรกิจหลักที่สร้างรายได้สูงและมีกำไรดี เป็นฐานในการลงทุนในธุรกิจใหม่
2. การลงทุนใน AI กลายเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตต่อไปในอนาคต AI ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจนว่าเป็นตัวเร่งการเติบโต ตั้งแต่ Amazon และ Microsoft ที่เน้นการลงทุนใน Cloud และ AI
ขณะที่ Google มองว่า AI จะเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้าในการค้นหา ขณะที่ Meta ก็มีการลงทุนใน AI อย่างมากและเริ่มสร้างผลตอบแทนในธุรกิจโฆษณา
3. การปรับตัวและเปลี่ยนนิยามธุรกิจใหม่ เพื่อคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี
เช่น Microsoft จากเป็นเพียงผู้ขายซอฟต์แวร์กลายเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud หรือ Google ซึ่งเคยเน้นการครองตลาด Search ก็ปรับตัวสู่ยุค AI ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีใหม่เข้ากับผลิตภัณฑ์หลัก
หรือ Netflix ที่ในอดีตเน้นรายได้จากการสมัครสมาชิกรายเดือนเพียงอย่างเดียว มาสู่การมีรายได้จากโฆษณามากขึ้น
4. ให้ความสนใจกับธุรกิจบริการที่มีอัตรากำไรที่สูงกว่า แทนพึ่งพาการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว เช่น Apple ที่ธุรกิจบริการมีอัตรากำไรสูง หรือ Netflix มุ่งขยายธุรกิจโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งรายได้ใหม่
หรือ Amazon ได้ประโยชน์จากธุรกิจคลาวด์ที่ทำกำไรสูงควบคู่กับธุรกิจขายของออนไลน์เป็นหลัก แต่ทั้งหมดนั้นก็มีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจหลักของแต่ละบริษัทที่แข็งแกร่ง
จากกรณีความสำเร็จของบริษัทเหล่านี้ นำไปสู่คำถามสำหรับผู้บริหารได้ว่า
“1. ธุรกิจหลักแข็งแรงพอจะเป็นฐานสำหรับอนาคตหรือยัง?
2. มีกลยุทธ์และทิศทางที่ชัดเจนสำหรับ AI หรือยัง?
3. ได้ใช้ธุรกิจหลักในวันนี้เพื่อสร้างอนาคตหรือยัง?”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
20 คำศัพท์ การเขียน Essay เรียงความภาษาอังกฤษ

การเขียน Essay
การเขียน Essay (เอสเส) คือ การเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ โดยการเขียน Essay นั้นมีหลากหลายประเภท เช่น การอธิบาย การเขียนรายงานและแบบการเปรียบเทียบ และเป็นหนึ่งในพาร์ทของการสอบ IELTS Writing ในส่วนของ task 2 ที่จะให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ
เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงรวมคำศัพท์ เพื่อเป็น Tips ในเขียน Essay ที่จำเป็นมาให้เพื่อนๆ ได้ลองนำไปฝึกเขียนกันค่ะ
20 คำใช้บ่อยในการเขียน Essay
อย่างไรก็ตาม (แสดงความขัดแย้ง)
- However
- Nevertheless
- On the other hand
- On the contrary
- By contrast
อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้า
- As mentioned previously,
- As stated previously,
- As explained above,
เพื่อสนับสนุนไอเดียก่อนหน้านี้
- To supplement the idea,
- In order to supplement the previous notion,
- In order to supplement the previous evidence,
เพราะ
- Because …
- With the reasons that …
- As a result of …
เนื่องจาก … จึง…
- Due to …,
- Because of …,
อ้างอิง…
- Referring to …,
- According to …,
- (ชื่อคน, ชื่อวิจัย) provided …
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
“แมกนีเซียม” บรรเทาอาการ “ไมเกรน” ได้จริงหรือ?

เมื่ออาการปวดหัวไมเกรน เข้าโจมตีคุณเมื่อไร อาการปวดนั้นก็จะทำให้คุณทุกข์ทรมาน หลายๆ คนก็อาจจะหาวิธีในการบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนว่าควรทำอย่างไร และแน่นอนว่าการใช้ แมกนีเซียมบรรเทาอาการไมเกรน อาจจะผ่านตาหลายๆ คนมาบ้างแล้ว แต่หลายคนคงมีคำถามในใจว่า แล้วแมกนีเซียมนั้นมีส่วนช่วยในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้จริงหรือไม่
Hello คุณหมอ ได้รวบรวมข้อมูลที่มีความน่าสนใจนี้มาให้อ่านกัน
ประเภทของแมกนีเซียม
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยในการสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้แมกนีเซียมยังมีบทบาทและประโยชน์อื่นๆ ต่อร่างกายอีกด้วย แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีหลายประเภท ดังนี้
- แมกนีเซียมออกไซด์ (magnesium oxide) เป็นแมกนีเซียมในปริมาณสูง มักใช้ในการรักษาไมเกรน และใช้เพื่อเสริมในผู้ที่มีภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
- แมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) เป็นอาหารเสริมที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้
- แมกนีเซียมคาร์บอเนต (magnesium carbonate) เป็นเกลืออนินทรีย์ที่มีระดับแมกนีเซียมสูง ส่วนใหญ่แล้วต้องผ่านกระบวนการเผาเพื่อให้ได้ แมกนีเซียมออกไซด์
- แมกนีเซียมคลอไรด์ (magnesium chloride) เป็นสารตั้งต้นที่มักจะนำมาผลิตสารประกอบแมกนีเซียมอื่นๆ แมกนีเซียมซิเตรต (magnesium citrate) เป็นแร่ธาตุที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมาก มักใช้เพื่อกระตุ้นในการขับถ่าย มีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ
แมกนีเซียมบรรเทาอาการไมเกรนได้อย่างไร
จากการวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีปัญหาไมเกรนนั้นมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายที่ต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีปัญหาไมเกรน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าการบริโภคแมกนีเซียมเป็นประจำนั้นมีส่วนช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้ถึงร้อยละ 41.6 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการได้รับอาหารเสริมแมกนีเซียมมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดไมเกรนที่มาจากประจำเดือนได้อีกด้วย
อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม
สำหรับผู้ที่มีปริมาณแมกนีเซียมต่ำ และต้องการเสริมแมกนีเซียมให้ร่างกาย อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่มีแมกนีเซียมอยู่ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะพบแมกนีเซียมในผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักใบเขียวหนึ่งถ้วยให้แมกนีเซียมมากถึงร้อยละ 38-40 ของปริมาณที่แนะนำต่อวันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ที่มีปริมาณแมกนีเซียมอีกมากมาย ดังนี้
- เมล็ดพืช เช่น เมล็ดฟักทอง
- อัลมอนด์
- ปลาทูน่า
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ
- ถั่วดำและพืชตระกูลถั่ว
- อะโวคาโด
- มะเดื่อ
- กล้วย
- ดาร์กช็อกโกแลต
หากคุณต้องการเพิ่มปริมาณแมกนีเซียม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมตามธรรมชาติจะช่วยเพิ่มพลังที่ดีกว่า นอกจากร่างกายจะได้รับปริมาณแมกนีเซียมแล้ว ยังได้วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย
ข้อควรระวังในการรับประทานแมกนีเซียม
แม้แมกนีเซียมจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แต่สำหรับบางคนที่มีอาการป่วยเหล่านี้ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานแมกนีเซียม หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้แมกนีเซียม
- ผู้ที่มีความผิดปกติในการไหลของเลือด เพราะแมกนีเซียมอาจทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้า
- มีโรคเบาหวาน
- ภาวการณ์สูบฉีดโลหิตของหัวใจห้องล่างและบนไม่ประสานกัน (heart block)
- ปัญหาไตหรือไตวาย
- มีปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้อักเสบ ติดเชื้อในกระเพาะอาหาร
ปัญหาข้างต้นที่ได้กล่าวมานั้น อาจส่งผลต่อการดูดซึมปริมาณแมกนีเซียมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังทำปฏิกิริยากับยาบางชนิดอีกด้วย หากคุณกำลังอยู่ในระหว่างที่ใช้ยาเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้แมกนีเซียม
- ยาปฏิชีวนะ
- ยาขับปัสสาวะ
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยารักษาโรคหัวใจ
นอกจาก หากอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานแมกนีเซียม
การรับประทานแมกนีเซียมในปริมาณที่มีความปลอดภัยต่อร่างกายนั้น มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรับประทานแมกนีเซียมนั้นมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยาในการรักษาไมเกรน แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะรับประทานแมกนีเซียมแล้วมีอาการไมเกรนดีขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่จะใช้แมกนีเซียมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ เพื่อความปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,250.00 | 51,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,313.00 | 50,225.08 | 52,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,981.70 | 45,202.57 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,650.40 | 40,180.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,490.85 | 22,601.29 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,159.55 | 17,578.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,433.16 | 52,046.71 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.55 | 32.55 | 33.05 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.18 | 32.18 | 32.68 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.34 | 30.34 | 30.84 | 30.34 | 30.34 | – | 30.34 | 30.34 | 30.34 | 30.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 40.84 | – | – | – | 49.81 | – | 41.34 | 40.99 | – | 40.84 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |