บริทาเนียปั้นThe Brilliant อสังหาฯ วิถีใหม่ลงทุนพร้อมอยู่อาศัย

- บริทาเนียเปิดตัว “The Brilliant” โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ที่ผสมผสานคอมมูนิตี้มอลล์เข้ากับที่อยู่อาศัย
- ชูแนวคิด “Live-Work-Own” หรือ “บ้านธุรกิจ” ที่สามารถอยู่อาศัยและลงทุนทำธุรกิจได้ในที่เดียวกัน
- เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคา 50-200 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ เช่น ราชพฤกษ์ รามคำแหง และกรุงเทพกรีฑา
- มุ่งสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่เจ้าของร่วมกันทำธุรกิจ (Business Synergy) เพื่อเพิ่มมูลค่าของโครงการในอนาคต
สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือออริจิ้น กล่าวว่า The Brilliant โปรเจกต์ล่าสุดในเครือออริจิ้น ปักหมุดแนวคิดใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผสาน “คอมมูนิตี้มอลล์” กับ “ที่อยู่อาศัย” ภายใต้โมเดล “Live-Work-Own” สร้างคอมมูนิตี้ของเจ้าของร่วม ที่อยู่อาศัยได้ ลงทุนได้ และเติบโตไปด้วยกันในอนาคต
หัวใจของโครงการอยู่ที่แนวคิด Lifestyle Mixed Use Residences ที่ผสานระหว่างชีวิตและธุรกิจไว้ในพื้นที่เดียวกัน วาง “คอมมูนิตี้มอลล์” เป็นแกนกลางของการออกแบบ ชั้น 2-3 ดีไซน์เป็นพื้นที่เพื่อการค้า ชั้น 4-6 คือเพนต์เฮ้าส์หรูสำหรับอยู่อาศัย สะท้อนแนวคิด “อยู่ได้-ทำได้-ลงทุนได้” อย่างครบวงจร ระดับราคา 50–200 ล้านบาท อาจดูสูง แต่คือการลงทุนใน “บ้านธุรกิจ” ที่มีทั้งศักยภาพทำเลและโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว
สิริพงศ์ อธิบายว่า หากมีเจ้าของราว 10-20 ราย ที่มาร่วมกันดำเนินธุรกิจในคอมมูนิตี้เดียวกัน จะเกิดพลังทางเศรษฐกิจ (Business Synergy) ที่ช่วยผลักดันมูลค่าทรัพย์สินให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “The Brilliant” จึงไม่ใช่เพียงโครงการอสังหาฯ แต่เป็นการสร้าง “เศรษฐกิจชุมชนยุคใหม่” ที่ผู้อยู่อาศัยมีบทบาทเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการในเวลาเดียวกัน
“ในเวลา 7-10 ปี มูลค่าขาย หรือค่าเช่าจะเติบโต เพราะพื้นที่ถูกพัฒนาให้กลายเป็นศูนย์รวมธุรกิจท้องถิ่น เจ้าของแต่ละรายคือฟันเฟืองในการขับเคลื่อนคอมมูนิตี้นี้ให้เดินหน้าต่อไปได้เอง”

7 ทำเลศักยภาพเจาะกำลังซื้อแตกต่าง
โครงการเตรียมเปิดตัวใน 3 ทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ จากทั้งหมด 7 ทำเล ประกอบด้วย ราชพฤกษ์ รามคำแหง กรุงเทพฯ กรีฑา บางนา ลาซาล พระราม 2 และพระราม 5 สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ยกตัวอย่าง ทำเลราชพฤกษ์ (หลังโรบินสัน) เจาะกลุ่มคนเมืองชั้นกลางตอนบน ชอบความสะดวกและไลฟ์สไตล์ร้านอาหารคุณภาพ ระดับราคา 50 ล้านบาท
ทำเลรามคำแหง ใกล้เตรียมอุดมน้อมเกล้า และรถไฟฟ้าสายสีส้ม เหมาะกับกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่เชื่อมต่อเมือง ระดับราคา 50-70 ล้านบาท ทำเลกรุงเทพฯ กรีฑาตัดใหม่ พื้นที่ของผู้มีความมั่งคั่งสูงที่มองหาทรัพย์สินระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไป เป็นการลงทุนในทำเลที่มูลค่าที่ดินยังมีแนวโน้มขาขึ้น
“แต่ละทำเลจึงมีคาแรกเตอร์ของผู้บริโภคชัดเจน จากครอบครัวนักธุรกิจ ไปจนถึงแพทย์ นักลงทุน เจ้าของกิจการ ที่มองหาบ้านซึ่งสามารถทำงานและสร้างรายได้ในตัว”

อสังหาฯ วิถีใหม่-ลงทุนในชีวิตจริง
แม้โมเดลนี้อาจดูซับซ้อนสำหรับตลาดไทยที่คุ้นชินกับบ้านแนวราบหรือคอนโด แต่ “The Brilliant” กำลังเปิดประตูสู่วิถีการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเพียงทรัพย์สินเพื่อพักอาศัย แต่คือ สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ได้ในตัวเอง
ในเฟสแรก คาด มีจำนวน 40 ยูนิต มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท กระจายไปในแต่ละทำเล ใช้พื้นที่ไม่มากนัก เพื่อเปิดหน้าดินในโครงการให้เป็นที่รู้จักก่อนขยายไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบของคอนโดมิเนียม หรือแนวราบในอนาคต คาดเปิดตัวทางการปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569
“เรากำลังสร้างโมเดลอสังหาฯ ที่ให้เจ้าของมีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้ เป็นทั้งผู้ใช้และผู้สร้างมูลค่าในเวลาเดียวกัน แต่ละหลังจะมีการพูดคุยกันก่อนที่จะก่อสร้างในลักษณะเป็น Tailor-Made เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยและฟังก์ชั่นที่รองรับการทำธุรกิจไม่ว่าเป็นคลินิก ธุรกิจออนไลน์ ร้านไฟน์ไดนิ่ง ฯลฯ”
สิริพงศ์ ระบุว่า บริทาเนีย จะไม่หยุดอยู่ที่หมู่บ้านจัดสรรอีกต่อไป ซึ่งโปรเจกต์ The Brilliant จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ใส่ความเป็นตัวตนในธุรกิจของตัวเอง อาคารต่อจากนี้ ไม่ใช่แค่บ้าน 2 ชั้น เพื่ออยู่อาศัย แต่สามารถค้าขาย ทำธุรกิจ และพักอาศัยได้ อยู่ในอาคารเดียวกัน ถือเป็นโมเดลใหม่ในวงการอสังหาฯ ที่ผสานบ้านกับธุรกิจ สร้างคอมมูนิตี้เจ้าของร่วม

ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง “ที่อยู่อาศัย” และ “พื้นที่ธุรกิจ” เริ่มเลือนราง บริทาเนีย บริษัทในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแนวคิดใหม่ที่ฉีกทุกกรอบของตลาดอสังหาฯ ผ่าน “The Brilliant” หมู่บ้านจัดสรรที่ไม่จำกัดบทบาทแค่ “บ้าน” แต่คือคอมมูนิตี้มอลล์ที่พักอาศัยได้ และเป็น “ทรัพย์สิน” ที่เจ้าของสร้างมูลค่าเพิ่มเองได้
เมื่อบริบทเปลี่ยนไป อสังหาฯ ไทยต้องการ “เรื่องราวใหม่” เพื่อปลุกความต้องการซื้อในตลาดระดับบน “The Brilliant” ของออริจิ้นอาจเป็นต้นแบบของ “บ้านในอนาคต” ที่ไม่ได้ขายเพียงพื้นที่ใช้สอย แต่ขายแนวคิดของการอยู่ร่วมและเติบโตไปพร้อมกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เมเจอร์ฯ ชี้หมดยุคคอนโดแพงเกินจริง! ราคาต่ำกว่าตลาด 20% ขายดี

- ผู้บริโภคปัจจุบันพิจารณาความคุ้มค่ามากขึ้น ทำให้คอนโดที่ตั้งราคาสูงเกินจริง (Overpriced) ขายได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
- โครงการคอนโดที่ตั้งราคาต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 20% ยังคงเป็นที่ต้องการและสามารถขายได้ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอยู่ในช่วงที่เรียลดีมานด์ยังมีอยู่ แต่ผู้ซื้อคำนึงถึงราคามากขึ้น หากโครงการใดตั้งราคาสูงเกินจริง (Overpriced ) หรือ แพงเกินความคุ้มค่า การตัดสินใจซื้อจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เทียบ 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
“ผู้บริโภคถือเงินสดมากขึ้น การซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม รอจนกว่าจะเจอดีลที่เหมาะสม หากราคาสูงเกินไป ยอดขายจะไม่โตตามที่คาดหวัง”
ทั้งนี้ กลุ่มอสังหาฯ ที่ขายได้ดี คือ โครงการที่ราคาต่ำกว่าตลาดประมาณ 20% โดยเฉพาะในกลุ่ม Mid Market หากราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 120,000 บาท/ตร.ม. และมีโครงการขายในราคา 90,000-100,000 บาท/ตร.ม. ความต้องการซื้อยังคงสูง ผู้ซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การตั้งราคาที่เหมาะสมจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงดีมานด์
“ราคาที่เหมาะสมทำให้ตลาดยังไปต่อได้ และช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจเร็วขึ้น”
ล่าสุด เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ เปิดตัวโครงการใหม่ “มาวิสต้า พร้อมพงษ์” คอนโดอัลตร้าลักชัวรีมูลค่า 4,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 32 ชั้น 45 ยูนิต ทุกยูนิตเป็นเพนต์เฮ้าส์ ขนาด 204-517 ตร.ม. มี 3-5 ห้องนอน ราคา 70-200 ล้านบาท เฉลี่ย 400,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันเปิดขายรอบ VVIP มียอดขายเกือบ 50% หรือราว 2,000 ล้านบาท
“ห้องใหญ่สุด 517 ตร.ม. ราคากว่า 200 ล้านบาท ขายหมดเรียบร้อย ก่อสร้างเริ่มปี 2569 แล้วเสร็จปี 2572 คาดก่อนก่อสร้างเสร็จ ยอดขายจะถึง 85-90%”
ระดับราคาของ มาวิสต้า พร้อมพงษ์ 400,000 บาท/ตร.ม. ถือว่าค่อนข้างเหมาะสม เมื่อเทียบคอนโดอัลตร้าลักชัวรีอื่นๆ ในย่านเดียวกัน มีราคา 800,000-1,000,000 บาท/ตร.ม. การตั้งราคาเกินไปอาจทำให้ยอดขายช้าลง
สำหรับการเลือกทำเลซอยสุขุมวิท 39 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! สุริยา ระบุว่า ที่ดินซัพพลายในโครงการอัลตร้าลักชัวรีแทบไม่มีแล้ว หากมีส่วนใหญ่เป็นโครงการเก่า เมื่อสำรวจตลาดพบว่าความต้องการห้องขนาดใหญ่ยังคงสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการคอนโดเพนต์เฮ้าส์
ชะลอเปิดโครงการใหม่ 2-3 ปี
ปัจจุบัน เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ มีแบ็คล็อก (Backlog) ประมาณ 10,000 ล้านบาท จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ อาทิ ปี 2568 โครงการย่านลาดพร้าว ปี 2570 โครงการมารุจุฬา และปี 2572 โครงการมาวิสต้า พร้อมพงษ์ คาดปี 2568 จะมีรายได้ราว 3,000 ล้านบาท
สำหรับแผนระยะกลางจะ “ชะลอ” เปิดโครงการใหม่ 2-3 ปี เพื่อมุ่งทำตลาดโครงการเดิม และควบคุมต้นทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ
“เราต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจและสภาพตลาด เพื่อให้บริษัทอยู่รอดและรอให้ตลาดฟื้นตัว”
ปีนี้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวตามเศรษฐกิจ ผู้ซื้อระมัดระวังการลงทุน กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมักเป็นเรียลดีมานด์มากกว่ากลุ่มนักลงทุน สำหรับโครงการที่ตั้งราคาสูงเกินจริงหรือแพงเกินความคุ้มค่า การขายจะช้าลง ในทางกลับกัน กลุ่มคอนโดราคาต่ำกว่าตลาดยังคงขายดีและเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดให้มีสภาพคล่อง
กลยุทธ์ “ราคาเหมาะสม” คือคำตอบ
สิ่งที่ผู้ประกอบการอสังหาฯต้องเรียนรู้คือ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผลสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
“ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ หากโครงการใดแพงเกินไป แต่ถ้าราคาเหมาะสมและชัดเจน ผู้ซื้อจะไม่ลังเล และตลาดยังคงมีชีวิตอยู่”
นอกจากนี้ การเลือกทำเลที่ดี และจับกลุ่มเรียลดีมานด์ชัดเจน เช่น ห้องขนาดใหญ่หรือคอนโดอัลตร้าลักชัวรี ยังคงขายได้แม้เศรษฐกิจไม่สดใส ผู้ซื้อที่มีเงินสดยังสามารถหาดีลที่ดีได้ โดยเฉพาะโครงการที่ราคาต่ำกว่าตลาด 20% การเปิดตัวคอนโดหรูราคากลาง-บน ถือเป็นสัญญาณว่า ตลาดยังคงมีความต้องการจริง โดยเฉพาะกลุ่มเพนต์เฮ้าส์
และการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาด ด้วยการตั้งราคาที่เหมาะสม ทำตลาดเรียลดีมานด์ ยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสภาพคล่องและสร้างยอดขาย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13พ.ย.”แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจถูกชะลอการแข็งค่าลงบ้าง เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐ-การทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนและทั้งผู้นำเข้า ผู้เล่นในตลาดพลังงานรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13พ.ย.2568ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน หลังภาวะ US Government Shutdown อาจยุติลงได้ภายในวันนี้ (ขณะที่เรากำลังเขียนอยู่นั้น ทางสภาผู้แทนฯ ของสหรัฐฯ อาจกำลังลงคะแนนโหวตกันอยู่)
ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ได้ โดยหลังจากที่หน่วยงานทางการของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาทำงานตามปกติ เรามองว่า ภายใน 2 วัน อาจจะสามารถทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน
ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็อาจทยอยรับรู้ ยอดการจ้างงานฯ ในเดือนตุลาคม ได้
รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ทำให้ เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) ด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้ หากราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น
โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมาเชื่อมั่นว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เพิ่มเติม อย่างในการประชุมเดือนธันวาคม ก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ไม่ยาก ยิ่งในช่วงนี้ ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ ราคาทองคำกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้
ก็อาจหนุนให้ เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าสู่โซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง หลังในช่วงนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุด ได้อ่อนค่าเกือบทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ ทั้งฝั่งผู้นำเข้า และฝั่งผู้เล่นในตลาดพลังงาน ตามการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานในช่วงนี้ อีกทั้ง แรงขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังมีอยู่ในช่วงระยะสั้น
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น หลังจากอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.51 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง (ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ Trend-Following ราคาทองคำได้กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง)
ตามการตอบรับของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในวันพฤหัสฯ นี้ (ตามเวลาประเทศไทย) เปิดทางให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
และปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่อง ก็มีส่วนช่วยหนุนราคาทองคำเพิ่มเติม
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม แม้ว่าภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในเร็ววันนี้ ซึ่งช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ
ทว่า แรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังคงมีอยู่ อาทิ Oracle -3.9%, Meta -2.9% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.06% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.26%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.71% หนุนโดยความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน
อาทิ Shell -1.1% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากรายงานของกลุ่ม OPEC+ ล่าสุด ที่ประเมินว่า อุปทานน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มล้นตลาดเล็กน้อยในปี 2026 จากเดิมที่เคยประเมินไว้ว่า จะเกิดภาวะอุปทานตึงตัวในรายงานครั้งก่อน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.07% หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว จากแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่ยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยรายงานได้อีกครั้ง หลังภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้
อนึ่ง เราคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ภาวะ US Government Shutdown ของสหรัฐฯ อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ เปิดทางไปสู่การทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้
ขณะเดียวกัน การทยอยแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลักฝั่งยุโรป อย่าง เงินยูโร (EUR) เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์ เพิ่มเติม
ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม อีกทั้งผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.4-99.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึง ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว
โดยผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ เปิดทางไปสู่การรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนตุลาคม
และในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 รวมถึง ภาวะภาคการผลิต ผ่านรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนกันยายน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังภาวะ Government Shutdown ที่ยืดเยื้ออาจยุติลงได้ในวันนี้
และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดูบอลสด ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติสิงคโปร์ เย็นนี้ เวลา 19:30 น.

ถ่ายทอดสด บอลไทยวันนี้ ฟุตบอลอุ่นเครื่องตามปฏิทิน ฟีฟ่า เดย์ ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติสิงคโปร์ ลิงก์ดูบอลสด เวลา 19:30 น. ดูบอลสดออนไลน์ ดูบอลสดวันนี้ ผลบอลสด ดูได้ช่องทางไหนบ้าง
โปรแกรมถ่ายทอดสด ฟุตบอลอุ่นเครื่องตามปฏิทิน ฟีฟ่า เดย์ ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติสิงคโปร์ วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน 2568 เวลา 19:30 น. ที่สนามกีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต
รับชมถ่ายทอดสดผ่านทางไหนบ้าง
- ไทยรัฐ ทีวี เอชดี 32
วิเคราะห์บอล สถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุด : ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติสิงคโปร์
- 2024/12/17 อาเซียน คัพ สิงคโปร์ 2-4 ไทย
- 2024/06/11 คัดบอลโลก ไทย 3-1 สิงคโปร์
- 2023/11/21 คัดบอลโลก สิงคโปร์ 1-3 ไทย
- 2021/12/18 อาเซียน คัพ ไทย 2-0 สิงคโปร์
- 2018/11/25 อาเซียน คัพ ไทย 3-0 สิงคโปร์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตระหนักรู้เรื่อง “ปอด” การผ่าตัดทรวงอกรักษาโรคสำหรับผู้ป่วย

- การผ่าตัดปอดและทรวงอกในไทยได้พัฒนาสู่มาตรฐานสากล โดยเน้นเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery) มากขึ้น
- โรงพยาบาลวชิรพยาบาลเป็นผู้นำด้านการผ่าตัดปอดของประเทศ เพิ่มจำนวนการผ่าตัดได้เกือบ 800 รายต่อปี ด้วยอัตราความสำเร็จสูงและภาวะแทรกซ้อนต่ำ
- ทีมแพทย์ไทยมีศักยภาพในการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนสูง เช่น ผู้สูงอายุเกิน 80 ปี และผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉินรุนแรง
- แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่การตระหนักรู้และตรวจพบโรคปอดตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อโอกาสในการรักษาให้หายขาด
รศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดปอดและทรวงอก ประจำโรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า การรักษาโรคปอดและการผ่าตัดทรวงอกในประเทศไทย ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อนำมาตรฐานการรักษาเข้าสู่ระดับนานาชาติ
ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปอดด้วยวิธีการส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery) ประมาณ 20% ขณะที่ส่วนใหญ่กว่า 80% ยังเป็นการผ่าตัดแบบเปิดอก ดังนั้น การยกระดับการผ่าตัดปอดสู่มาตรฐานสากล ด้วยเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องจึงถือว่าเป็นเรื่องใหม่
ปัจจุบันโรงพยาบาลวชิรพยาบาล สามารถเพิ่มจำนวนการผ่าตัดเฉพาะปอดจากอดีต 40 กว่ารายต่อปี ให้เป็นเกือบ 800 รายต่อปีได้ และเป็นสถานที่รับการผ่าตัดเฉพาะปอดมากที่สุดในประเทศไทยติดต่อกันมา 2 ปี ผ่านการผ่าตัดส่องกล้อง
โอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดส่องกล้องสำเร็จสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 80-90% เทียบเท่ากับต่างประเทศ ทำให้ความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดปอดลดลงเหลือน้อยกว่า 1% เรียกได้ว่าเทคโนโลยีและเทคนิคเทียบเท่านานาชาติ
“เราสามารถพัฒนาศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนสูงได้ รวมถึงผ่าตัดผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ซึ่งได้ผ่าตัดแล้วมากกว่า 100 ราย รวมถึงช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ที่มีภาวะหลอดลมอุดตันจนหายใจไม่ได้ ซึ่งต้องใช้ทีมผ่าตัดขนาดใหญ่ (30-40 คน) และเครื่องพยุงหัวใจเทียม (ECMO) ให้กลับมาหายใจได้และกลับบ้านได้ในไม่กี่วัน”
อย่างไรก็ตาม การตระหนักถึงสุขภาพจะเป็นโอกาสในการรักษาให้หายขาดและลดค่าใช้จ่ายให้ถูกลง แม้ประเทศไทยจะมีเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย รวมทั้งงานวิจัยรองรับในระดับนานาชาติ แต่การตรวจพบโรคอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาทุกโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Google ยืนยัน Gemini มาแทน Assistant ตั้งแต่การเรียกชื่อเพื่อค้นหา

หลังจากที่ Gemini ฟีเจอร์ Generative AI ของ Google เริ่มมีบทบาทมากขึ้นแล้วล่าสุดนี้ Google กำลังเดินหน้าผลักดัน Gemini เข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Android อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการนำมาแทนที่ Google Assistant เดิมและไม่ได้มาเล่นๆ เพราะปรับรอบนี้คือมาจัดเต็มเลย
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า Gemini ถูกวางตัวให้เป็นผู้ช่วยดิจิทัลยุคใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ Google Assistant ที่เรารู้จักกันมานาน
แม้ว่า Google Assistant จะเคยครองตำแหน่งผู้ช่วยที่ดีที่สุด แต่ Gemini ซึ่งเป็น LLM (Large Language Model) AI Chatbot ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เหนือกว่าอย่างก้าวกระโดด แม้จะมีความเสี่ยงที่ AI อาจจะให้ข้อมูลผิดพลาดบ้างในบางครั้ง
จุดเด่นของ Gemini คือความสามารถในการลงไปในคำสั่งหรือคำถามที่ซับซ้อน ให้คำตอบและข้อมูลเชิงลึกที่ Google Assistant ไม่สามารถทำได้ ในขณะเดียวกัน ฟังก์ชันพื้นฐานที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การตั้งนาฬิกาปลุก หรือการจับเวลา Gemini ก็ยังคงรองรับการทำงานเหล่านี้ได้เหมือนเดิม

จะเรียก “Hey Google” หรือ “Hey Gemini” ดี ?
แม้ว่าระบบเบื้องหลังจะเปลี่ยนเป็น Gemini แต่ในปัจจุบัน ผู้ใช้ยังคงต้องใช้คำสั่งเสียง “Hey Google” เพื่อเรียกใช้งานอยู่
มีการตั้งข้อสังเกตจากผู้ใช้งานว่า Google ควรอัปเดตให้ผู้ใช้สามารถพูดว่า “Hey Gemini” หรือ “Hello Gemini” ได้โดยตรง เพื่อสร้างความชัดเจนในการสื่อสาร และยังเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการโปรโมตแบรนด์ Gemini ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น

ยกเครื่องดีไซน์ Google Voice Search UI ใหม่
นอกจากการอัปเกรด AI แล้ว Google ยังได้ปรับปรุงหน้าตา ของการค้นหาด้วยเสียงใหม่ทั้งหมด โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
- เมื่อแตะไอคอนไมโครโฟน จะเปิดหน้าใหม่ที่มีโลโก้ “G” อยู่ด้านบน พร้อมข้อความ “What’s on your mind?”
- แอนิเมชันถูกเปลี่ยนเป็น “เส้นโค้ง” (Arc) ที่ด้านล่าง ซึ่งดูเรียบง่ายและทันสมัยกว่า
- หน้าค้นหาเพลง ถูกออกแบบใหม่ โดยมีคำแนะนำ 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน: Play (เล่น), Sing (ร้อง), Hum (ฮัม) เพื่อให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลเพลงที่ต้องการค้นหาได้ง่ายขึ้น
ส่วนการอัปเดตนั้นในขณะนี้ UI ใหม่ยังอยู่ในช่วงทดสอบและทยอยปล่อย ให้ผู้ใช้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น มีรายงานว่าแม้แต่ในอุปกรณ์อย่าง Pixel 6 Pro ที่ใช้ Android 16 QPR2 beta ก็ยังไม่ได้รับอัปเดตนี้
คาดว่า Google กำลังรวบรวมข้อเสนอแนะ (Feedback) จากผู้ใช้กลุ่มเล็กๆ ก่อนที่จะปล่อยอัปเดตนี้ให้ผู้ใช้ Android ทั่วไปได้ใช้งานกันในวงกว้างในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
50+ คำศัพท์ที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับสภาพอากาศภาษาอังกฤษ

50+ คำศัพท์เกี่ยวกับ สภาพอากาศภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยที่สุด
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสภาพอากาศ – สภาวะอากาศ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ | แปล | |
| 1 | Bright /brait/ | สว่าง |
| 2 | Breeze /bri:z/ | สายลมที่พัดเบา |
| 3 | Clear /kliə[r]/ | แจ่มใส |
| 4 | Cloudy /’klaʊdi/ | มีเมฆมาก |
| 5 | Dry /drai/ | แห้ง |
| 6 | Fine /fain/ | ไม่มีเมฆไม่มีฝน |
| 7 | Foggy /’fɒgi/ | มีหมอกลง |
| 8 | Haze /heiz/ | หมอก, เมฆหมอก |
| 9 | Humid /’hju:mid/ | ชื้น |
| 10 | Gloomy /’glu:mi/ | อึมครึม |
| 11 | Mild /maild/ | อบอุ่น |
| 12 | Partly cloudy /’pɑ:∫əli/ /’klaʊdi/ | ท้องฟ้ามีเมฆบางส่วน |
| 13 | Overcast /,əʊvə’kɑ:st/ | มืดครึ้ม |
| 14 | Sunny /’sʌni/ | แดดจัด แสงแดดส่องเข้ามามาก |
| 15 | Wet /wet/ | เปียก |
| 16 | Windy /’windi/ | มีลมแรง |

คำศัพท์เกี่ยวกับสภาพอากาศ – อุณหภูมิ
| 17 | baking hot /beɪk hɑːt/ | ร้อนระอุ |
| 18 | cold /koʊld/ | หนาว |
| 19 | chilly /ˈtʃɪli/ | หนาวยะเยือก |
| 20 | Celsius /ˈselsiəs/ | องศาเซลเซียส |
| 21 | degree /dɪˈɡriː/ | องศา (หน่วยวัดอุณหภูมิ) |
| 22 | Fahrenheit /ˈfærənhaɪt/ | องศาฟาเรนไฮต์ |
| 23 | freezing /’fri:ziɳ/ | หนาวจัด |
| 24 | frosty /ˈfrɔːsti/ | หนาวจัด |
| 25 | hot /hɑːt/ | ร้อน |
| 26 | warm /wɔ:m/ | อบอุ่น |
คำศัพท์เกี่ยวกับสภาพอากาศ – ปรากฏการณ์สภาพอากาศ
| 27 | blizzard /’blizəd/ | พายุหิมะ |
| 28 | blustery /’blʌstri/ | ซึ่งมีลมพัดแรง |
| 29 | damp /dæmp/ | อากาศชื้น |
| 30 | drizzle /’drizl/ | ฝนตกปรอยๆ |

| 31 | flood /flʌd/ | น้ำท่วม อุทกภัย |
| 32 | hail /heil/ | ลูกเห็บ |
| 33 | hurricane /’hʌrikən/ | พายุเฮอริเคน |
| 34 | gale /geil/ | พายุ |
| 35 | rain /rein/ | ฝน |
| 36 | rainbow /’reinbəʊ/ | สายรุ้ง |
| 37 | rainstorm /ˈreɪnˌstoɚm/ | พายุฝน |
| 38 | mist /mist/ | หมอก |
| 39 | lightning /’laitniη/ | ฟ้าผ่า |
| 40 | thunder /’θʌndə[r]/ | ฟ้าร้อง |
| 41 | thunderstorm /’θʌndəstɔ:m/ | พายุฝนฟ้าคะนอง |
| 42 | shower /’∫aʊə[r]/ | ฝนที่สาดลงมาเพียงชั่วครู่ |
| 43 | snow /snəʊ/ | หิมะ |
| 44 | snowflake /’snəʊfleik/ | เกล็ดหิมะ |
| 45 | snowstorm /’snəʊstɔ:m/ | พายุหิมะ |
| 46 | storm /stɔ:m/ | พายุ |
| 47 | typhoon /taɪˈfuːn/ | พายุไต้ฝุ่น |
| 48 | tornado /tɔ:’neidəʊ/ | พายุทอร์นาโด |
| 49 | weather forecast: /’weðə[r]/ /’fɔkɑ:st/ | พยากรณ์อากาศ |
คำศัพท์เกี่ยวกับสภาพอากาศ – ปริมาณฝน
| 50 | downpour /ˈdaʊn.pɔːr/ | ฝนตกหนักมาก |
| 51 | rainfall | ปริมาณน้ำฝน |
| 52 | torrential rain | ฝนหนักมากเสมือนน้ำตก |
สำนวนที่ใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสภาพอากาศ
| สำนวน | ตัวอย่าง |
| Under the weather (รู้สึกไม่สบายตัว) | I’m sorry, I can’t go with you today. I’m feeling a bit under the weather. (ขอโทษนะ วันนี้ฉันไปกับเธอไม่ได้ ฉันรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย) |
| It’s raining cats and dogs. (ฝนตกหนักมาก) | We have to cancel the holiday. It’s raining cats and dogs outside. (เราต้องยกเลิกการเดินทาง ข้างนอกฝนตกหนักมาก) |

| something in the wind (ข่าวลือ) | There must be something in the wind among my colleagues. (ต้องมีข่าวลือบางอย่างระหว่างเพื่อนร่วมงานของฉัน) |
| break the ice (ทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจเมื่อเพิ่งรู้จักใครสักคน) | His joke has really helped break the ice. (เรื่องตลกของเขาทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจจริงๆ) |
| come rain or shine (ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น) | Come rain or shine, the party will begin this Sunday. (ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น งานปาร์ตี้จะยังคงเริ่มในวันอาทิตย์นี้) |
| as cold as ice (คนที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง) | Is Andy mad at me? He is as cold as ice every time he sees me. (แอนดี้โกรธฉันเหรอ? เขาเย็นชาเหมือนน้ำแข็งทุกครั้งที่เห็นฉัน) |
| (to) be a breeze (ง่ายมาก) | The final exam turned out to be a breeze. (การสอบปลายภาคเป็นเรื่องง่ายมาก) |
| the calm before the storm (ความเงียบสงบก่อนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่) | The meeting seems to be peaceful now, but it is only the calm before the storm. (ขณะนี้การประชุมดูเงียบสงบ แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบก่อน “พายุ”เท่านั้น) |
| Every cloud has a silver lining. (ในเหตุร้ายก็มีพร) (สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะย่ำแย่ก็อาจมีสิ่งที่ดีซ่อนอยู่) | I got rejected from all of my dream schools. Yet, every cloud has a silver lining, my current college is really suitable for me and I love it! (ฉันถูกปฏิเสธจากโรงเรียนในฝันทั้งหมด แต่ในเหตุร้ายก็มีพร |
| have one’s head in the clouds (ยื่นศีรษะไปในก้อนเมฆ เพ้อฝัน ไม่อยู่กับความเป็นจริง) | Linda must have had her head in the clouds when our teacher reminded us to submit the exercise before 9pm (ลินดาคงเพ้อฝันเมื่อครูเตือนให้เราส่งการบ้านก่อน 21.00 น) |
ขอบคุณข้อมูลจาก th.elsaspeak.com
เคล็ดลับทำกระเจี๊ยบเขียวให้กินง่ายและอร่อย ทั้งเมือก ความเหนียว และกลิ่นแก้ได้!

เทคนิคจัดการความ “เมือก” ของกระเจี๊ยบเขียว กินอร่อยขึ้น ดีต่อสุขภาพ ไม่เลี่ยน
กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ทั้งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและบำรุงระบบขับถ่าย อย่างไรก็ตาม หลายคนมักจะไม่ชอบผักชนิดนี้เพราะความ “เมือก” ที่ออกมามากเกินไป ทำให้กินได้ยาก วันนี้เราจึงมีเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยลดเมือกกระเจี๊ยบเขียว ทำให้คุณสามารถทานได้อย่างอร่อยและนุ่มลื่นโดยไม่รู้สึกเลี่ยน
สาเหตุที่กระเจี๊ยบเขียวมีเมือกมาก
เมือกที่อยู่ในกระเจี๊ยบเขียวนั้นมาจากสารที่เรียกว่า มิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดที่สามารถละลายน้ำได้ สารนี้มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการช่วยในการเคลื่อนไหวของลำไส้และทำหน้าที่เคลือบกระเพาะอาหาร อย่างไรก็ตาม หากมีการปรุงที่ไม่ถูกวิธี สารมิวซิเลจจะออกมาในปริมาณมากจนทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกไม่ชอบในการรับประทาน
วิธีจัดการความเมือกของกระเจี๊ยบเขียวให้กินง่ายขึ้น
การจัดการกับเมือกของกระเจี๊ยบเขียวสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความกรอบและลดความหนืดลง ทำให้ผักชนิดนี้มีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่น่ารับประทานยิ่งขึ้น
1. การแช่น้ำเกลือก่อนการปรุงอาหาร
เทคนิคแรกคือการหั่นปลายฝักของกระเจี๊ยบเขียวออก จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางประมาณ 10–15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณเมือกและกลิ่นเฉพาะตัวของกระเจี๊ยบเขียวออกไปได้มาก ก่อนนำไปปรุงอาหารตามปกติ
2. การลวกด้วยน้ำเดือดจัดอย่างรวดเร็ว
ให้ทำการลวกกระเจี๊ยบเขียวในน้ำที่เดือดจัดเป็นเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น จากนั้นต้องรีบนำขึ้นมาแช่ในน้ำเย็นหรือน้ำที่มีน้ำแข็งทันที การทำเช่นนี้จะทำให้เนื้อสัมผัสมีความกรอบ ในขณะที่การแช่น้ำเย็นจะช่วยหยุดกระบวนการที่ทำให้ผักปล่อยเมือกออกมา
3. การปรุงร่วมกับส่วนผสมที่มีรสเปรี้ยว
การเพิ่มส่วนผสมที่มีรสเปรี้ยวเข้าไปในการปรุงอาหาร เช่น น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก หรือน้ำส้มสายชู จะช่วยลดความหนืดของเมือกได้เป็นอย่างดี รสเปรี้ยวเล็กน้อยยังช่วยเพิ่มมิติและทำให้จานอาหารมีรสชาติที่สดชื่นขึ้นอีกด้วย
4. การผัดหรือย่างแทนการนำไปต้ม
สำหรับผู้ที่ไม่ชอบเนื้อสัมผัสที่เละจากการต้ม ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีผัดหรือย่างในกระทะที่ร้อนจัดโดยที่ไม่ต้องเติมน้ำ การปรุงด้วยความร้อนแห้งจะทำให้กระเจี๊ยบเขียวปล่อยเมือกออกมาน้อยกว่า และยังช่วยให้ผักมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากขึ้น
5. การจับคู่กับเมนูที่มีรสชาติเข้มข้น
การรับประทานกระเจี๊ยบเขียวร่วมกับอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน เช่น น้ำพริก ปลาย่าง หรือแกงส้มที่มีรสชาติเข้มข้น จะช่วยให้ความเมือกลดบทบาทลงได้ เมื่อจับคู่กันแล้ว กระเจี๊ยบเขียวจะช่วยตัดรสและทำให้รสชาติโดยรวมของเมนูนั้น ๆ มีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ด้านสุขภาพของกระเจี๊ยบเขียวที่น่าสนใจ
นอกเหนือจากการจัดการเรื่องความเมือกแล้ว กระเจี๊ยบเขียว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่ส่งผลดีต่อร่างกายหลากหลายด้าน ดังนี้:
- ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นผักที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารให้เป็นปกติ ด้วยปริมาณไฟเบอร์ที่สูง
- อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ จากความเสื่อม
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด หากมีการรับประทานอย่างสม่ำเสมอ
จะเห็นได้ว่ากระเจี๊ยบเขียวไม่ได้เป็นผักที่กินยากอย่างที่คิด การแก้ไขปัญหาความเมือกนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่การแช่น้ำเกลือ การลวกอย่างรวดเร็ว หรือการปรุงรสชาติเปรี้ยวเข้ามาช่วย เพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนผักที่มีเมือกให้กลายเป็นเมนูที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 64,300.00 | 64,400.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,157.00 | 63,020.12 | 65,200.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,741.30 | 56,718.11 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,325.60 | 50,416.10 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,870.65 | 28,359.05 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,454.95 | 22,057.04 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,307.77 | 65,305.79 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.14 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







