ไร้สัญญาณแบงก์ปลดล็อกสินเชื่อ! ฉุดคอนโดฯ ใหม่วูบ71%แข่งทุบราคาระบายสต็อก
- ไนท์แฟรงค์ เผยไตรมาส 3 ไร้สัญญาณแบงก์ปลดล็อกปล่อยสินเชื่อ!
- ฉุดคอนโดมิเนียมเปิดใหม่วูบ 71%
- ค่ายอสังหาฯ แข่งทุบราคาระบายสต็อกส่งผลคอนโดมิเนียมกลางกรุงลดลง 4.1% เหลือเฉลี่ย 2.39 แสนบาทต่อตารางเมตร
แม้ช่วงไตรมาส 2 ตลาดคอนโดมิเนียมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากอัตราการโอนกรรมสิทธิ์ขยับขึ้นจากช่วงก่อนหน้า แต่แรงกดดันจากธนาคารที่คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ ผนวกกับกำลังซื้อหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ไตรมาส 3 อัตราการโอนกรรมสิทธิ์กลับลดลงอีกครั้ง! การแข่งขันด้านราคายังคงรุนแรง ราคาคอนโดมิเนียมกลางกรุงลดลง 4.1% เหลือเฉลี่ย 2.39 แสนบาทต่อตารางเมตร เพื่อเร่งระบายสต็อกสินค้าในมือ
ณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ฉายภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาว่า อยู่ในภาวะทรงตัว แม้จะมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% แต่การโอนกรรมสิทธิ์ลดลงโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับราคา 3-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มกลาง-ล่างที่มีสัดส่วนขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 86%
“เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้กลุ่มผู้บริโภคกลาง-ล่าง หันไปขอสินเชื่อบัตรเครดิตเพื่อใช้ดำรงชีพมากกว่า ส่วนหนึ่งทำให้การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้ลดลง”
ทั้งนี้ ยังมีอุปทานในตลาดที่ยังขายไม่หมดราว 30,000 หน่วยจากโครงการที่สร้างเสร็จ ขณะที่ “อุปทานใหม่” ไตรมาส 4 ลดลง 71.4% เทียบไตรมาส 2 โดยมีหน่วยเปิดขายใหม่ทั้งหมด 2,093 หน่วย ส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับราคา 100,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ส่วนโครงการที่มีระดับราคาต่ำกว่า 80,000 บาทต่อตารางเมตรมีเพียง 400 หน่วยเท่านั้น! เนื่องจากดีเวลลอปเปอร์หันไปจับตลาดบนแทน
โดยทำเลของอุปทานใหม่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ คิดเป็น 12.5% ราว 263 หน่วย ซึ่งแต่ละโครงการมีจำนวนน้อยลง เน้นความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ขณะที่บริเวณรอบใจกลางเมืองครองสัดส่วน 28.6% ส่วนใหญ่มีระดับราคาตั้งแต่ 120,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ขณะที่โครงการชานเมืองกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 58.9% ส่วนใหญ่ราคามากกว่า 120,000 บาทต่อตารางเมตร เท่ากับโครงการรอบใจกลางเมือง
“การเปิดตัวอุปทานใหม่ในไตรมาสนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในการพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้าน Inventory และปัญหาการขอสินเชื่อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
ณัฏฐา ระบุว่า ในไตรมาส 3 หน่วยขายใหม่ และยอดจองในตลาดคอนโดมิเนียม “ชะลอตัว” โดยหน่วยขายใหม่มีเพียง 25% ของ 2,093 หน่วยที่เปิดขาย นอกจากนี้หน่วยขายในโครงการที่สร้างเสร็จแล้วก็ “ลดลง” เช่นกัน สะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลง เป็นผลมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) หลายคนก่อหนี้บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ทำให้มีอุปสรรคในการยื่นกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพราะมีภาระหนี้อื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว
สำหรับหน่วยขายใหม่แบ่งออกเป็นโครงการเกรด B จำนวน 7,000 หน่วย มีกลุ่มผู้ซื้อที่สามารถซื้อในระดับราคา 3.5-7 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังในการผ่อนชำระ โครงการระดับราคา 2.5-3 ล้านบาท กลุ่มนี้ส่วนมากเป็น “นักลงทุน” กลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยเองมักจะ “เลือกเช่ามากกว่าซื้อ” ชานเมืองเหลือขาย 64.7%
ด้านราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมโดยรวมปรับตัว “ลดลง” ดังนี้ เขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ราคาเสนอขายอยู่ที่ 239,504 บาทต่อตารางเมตร ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 4.10% เขตรอบศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) ราคาอยู่ที่ 123,216 บาทต่อตารางเมตร ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 3.3% เขตชานเมือง ราคาคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 72,703 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
“เมื่อคำนวณราคาเสนอขายเฉลี่ยรวมทุกพื้นที่ พบว่าราคาโดยรวมลดลง 0.8% สะท้อนถึงความพยายามของผู้ประกอบการในการปรับลดราคาเพื่อระบายหน่วยที่เหลือในตลาด”
อย่างไรก็ดี แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมยัง “ชะลอตัว” เพราะยังต้องเผชิญกันแรงกดดันด้านกำลังซื้อ และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อใหม่จะปรับลดลง 0.25% ในภาพรวมยังคงไม่ฟื้นตัวในไตรมาส 4 นี้ สอดคล้องกับการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่า ความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยในอีก 3 เดือนข้างหน้ายังมีแนวโน้มลดลง
แม้ว่า 6 เดือนข้างหน้า รายได้ส่วนบุคคลอาจฟื้นตัวขึ้น ส่งผลความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ สะท้อนจากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยที่อยู่อาศัยยังคงชะลอตัว รวมถึงความระมัดระวังการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินตามความเสี่ยงของเครดิตผู้กู้ ตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท ได้รับผลกระทบหนักที่สุด!
เป็นความท้าทายผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องรับมือ และหาแนวทางลดความเสี่ยงในการระบายสต็อกที่ยังเหลืออยู่อาจต้องใช้กลยุทธ์ราคากระตุ้นการขาย เช่น ข้อเสนอการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือโปรแกรมผ่อนดาวน์แบบเงินดาวน์ไม่สูง เพื่อจูงใจการตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เอพี เปิดตัว“GOOD DAY” คอนโดแบรนด์ใหม่ครั้งแรกจับอีโคโนมีคลาสราคา1.7ล้าน
เอพี เปิดตัว“GOOD DAY” คอนโดแบรนด์ใหม่ครั้งแรกเจาะกลุ่มอีโคโนมีคลาสราคา1.7ล้าน ทำเล สุขุมวิท 93 มูลค่า 1,100 ล้าน คอนโดสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 604 ยูนิต ห่างจาก BTS บางจากเพียง 1.3 กิโลเมตร
นางสาวนิยมาพร โต๊ะสงวนพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด และการขายธุรกิจ กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมยังคงดำเนินงานภายใต้เป้าหมายใหญ่ของเอพี ไทยแลนด์ ในการส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ อยู่เสมอ และในวันนี้เราพร้อมเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ “GOOD DAY” เพื่อให้คอนโดมิเนียมเอพีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในเมือง
โดย “GOOD DAY สุขุมวิท 93” จะเป็นคอนโดมิเนียมตัวแรกภายใต้แบรนด์ใหม่นี้ ด้วยจุดขาย The Five GOOD Concept ห้าองค์ประกอบของพื้นที่สร้างมาตรฐานคุณภาพชีวิตดีๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ กับห้องชุด 1 ห้องนอนเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท ในทำเลเมืองใกล้ BTS บางจาก ต่อติดทุกความต้องการของชีวิต พิเศษกับห้องชุดตกแต่งพร้อมอยู่แบบ Fully Furnished อัดแน่นด้วยฟังก์ชันการใช้งานทั้งในยูนิตที่อยู่อาศัย และ Facilities ภายในโครงการ
การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ GOOD DAY ในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่ง”จิ๊กซอว์”ที่เข้ามาเติมเต็ม”ช่องว่าง”ของโปรดักต์คอนโดเอพีเราในเซกเมนต์ Economy Class ที่ยังคงมีดีมานด์สูง
โดยตั้งใจพัฒนา GOOD DAY ให้เป็นจุดเริ่มต้นของวันดีๆ ผ่านการออกแบบที่ตอบโจทย์การมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในวันนี้และอนาคต กับพื้นที่ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการอยู่อาศัยในระยะยาว พร้อมมาตรฐานการอยู่อาศัยที่ครบครัน รายล้อมด้วยความสะดวกทุกด้าน ในราคาที่เข้าถึงได้ทุกคน
ทั้งนี้ คอนโดแบรนด์ GOOD DAY พัฒนาขึ้น เพื่อตอบกลุ่มลูกค้า The Dreamer ด้วยจุดขาย
The Five GOOD Concept หรือ 5องค์ประกอบของพื้นที่สร้างมาตรฐานคุณภาพชีวิตดีๆ ซึ่งประกอบด้วย
1. GOOD ACCESS – กลางเมืองทุกทิศทาง ตำแหน่งของโครงการทุกโครงการมีลักษณะพิเศษเป็นเครือข่ายการคมนาคมที่สะดวก สามารถเดินทางเข้าออกได้ทุกทิศทาง เชื่อมต่อเมืองทั้งส่วนในและส่วนนอกได้อย่างรวดเร็ว
2. GOOD CONVENIENCE – รายล้อมด้วยทุกความสะดวก ต่อติดทุกความต้องการของชีวิต
ด้วยตำแหน่งที่ตั้งเชื่อมต่อกับทุกความต้องการของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น คอมมิวนิตีมอลล์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาด ร้านอาหาร และสาธารณูปโภคทุกประเภท
3. GOOD DESIGN – ออกแบบทุกองศาให้ฟีลกู้ด ให้คุณมีกู้ดเดย์ในทุกวัน ไม่ว่าจะเส้นสายทางสถาปัตยกรรม งานออกแบบภายในที่เน้นความละมุนละไมกับความรู้สึก ไปจนถึงการดึงธรรมชาติ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งหมดเพื่อให้คุณได้สัมผัสกับความรู้สึกอ่อนโยนและได้ชาร์จพลังชีวิตในทุกเวลา
4. GOOD FACILITY – ส่วนกลางฟังก์ชันครบครัน ส่วนกลางเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของการใช้งานทุกพื้นที่ การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด รวมไปจนถึงทางเดิน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหรือทำกิจกรรมได้ในทุกจุด เน้นความเป็นส่วนตัวในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ หรือพื้นที่สวนสีเขียว ให้สามารถใช้งานได้จริงและเป็นสัดส่วน
5. GOOD LAYOUT – ปรับเปลี่ยนได้ทุกไลฟ์สไตล์ ห้องยูนิตที่ปรับเปลี่ยนได้พร้อมการเติบโต Concept ของพื้นที่ภายในห้องที่สามารถปรับเปลี่ยน มีความคล่องตัวในการจัดพื้นที่ Layout ใหม่ ไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปในบทบาทไหน มีงานอดิเรกใหม่ หรือต้องการพื้นที่ใหม่ภายในพื้นที่เดิมก็สามารถทําได้
โครงการ GOOD DAY สุขุมวิท 93 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 604 ยูนิต ห่างจาก BTS บางจาก 1.3 กิโลเมตร เดินทางสะดวกทุกทิศทาง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกชนิดครบครัน
โดยห้องชุดภายในโครงการจะมี 2 Types ให้เลือก ซึ่งจะมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เฉพาะแบบ Fully Furnished อัดแน่นด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ราคาเฉลี่ย 69,000 บาท/ตร.ม. หรือเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ส่องรายได้ – กำไร 9 เดือนอสังหาฯปี67 แสนสิริ -เอพี-ศุภลัย ท็อปทรี
ส่องรายได้ – กำไร 9 เดือนอสังหาฯปี67 บิ๊กคอร์ป แสนสิริ -เอพี-ศุภลัย ท็อปทรี แสนสิริ รั้งเบอร์หนึ่งรายได้ 28,877 ล้าน เอพี รายได้รวม 27,676 ล้าน ศุภาลัย 22,792 ล้าน
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึงช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลายๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็นอันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ
อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯเช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ13,534 ล้านบาท ตามลำดับ
ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรก ที่มีกำไรสทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกันโดย ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ มีกำไร“ลดลง” เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะ”ไม่มี”การเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ
ปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่นๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริงๆ
ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทปิดตลาดวันที่13พ.ย.ที่ระดับ 34.68 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทฟื้นตัวกลับมาสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และราคาทองคำในตลาดโลกขณะที่เงินดอลลาร์ เผชิญแรงเทขายเพื่อทำกำไร และปรับโพสิชั่น
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 3 เดือนที่ 34.90 ก่อนจะกลับมาปิดตลาดที่ระดับ 34.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.80 บาทต่อดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทฟื้นตัวกลับมาสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และราคาทองคำในตลาดโลก (ที่ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 2,600 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์อีกครั้ง)
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงเทขายเพื่อทำกำไร และปรับโพสิชั่นก่อนการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติสลับกลับมาซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 165.91 ล้านบาท และ 435 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วนค่าเฉลี่ย Indicative forward points ของธุรกรรมระยะ 3 เดือนสำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ 50-200 ล้านบาทต่อปี รายงานข้อมูล ณ 10.00 น. วันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จากเว็บไซต์ ธปท. อยู่ที่ -23.67 สำหรับผู้ส่งออก (ขายเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า) และที่ -20.03 สำหรับผู้นำเข้า (ซื้อเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.60-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ สัญญาณเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“บาส-เฟม”โค่นเต็ง 2 “วิว กุลวุฒิ-เมย์ รัชนก” ลิ่วรอบสองแบดมินตันเจแปน มาสเตอร์ส
“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่ผสมไทย ระเบิดฟอร์มเก่ง โค่นคู่มือวาง 2 อย่าง เฉิน ตังเจี๋ย กับ เตียว อี้เว่ย จากมาเลเซีย 2 เกมรวด ส่วน “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมือ 5 ของโลก ตบ อึ้ง กาลอง อังกุส มือ 19 จากฮ่องกง เข้ารอบสองแบดมินตัน คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2024
การแข่งขันแบดมินตันรายการ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ที่เมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันพุธที่ 13 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 3 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลก พบกับ อึ้ง กาลอง อังกุส มืออันดับ 19 ของโลกจากฮ่องกง เกมนี้ วิว กุลวุฒิ โชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปแบบง่ายดาย 2-0 เกม 21-19 และ 21-12 วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ชิ ยูเจ็น มืออันดับ 30 ของโลกจากไต้หวัน
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 201 ของโลก พบกับ เฉิน ตังเจี๋ย กับ เตียว อี้เว่ย คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 9 ของโลกจากมาเลเซีย เกมนี้ คู่ บาส กับ เฟม ระเบิดฟอร์มเก่งพลิกล็อกชนะไปได้ 2 เกมรวด 21-15 และ 21-12 “บาส” เดชาพล กับ “เฟม” ศุภิสรา ผ่านเข้ารอบสองไปรอพบผู้ชนะระหว่าง แมดส์ เวสเตอร์การ์ด กับ คริสติน บุช คู่มืออันดับ 26 ของโลกจากเดนมาร์ก หรือ โรบิน ทาเบลลิ่ง กับ อเล็กซานดร้า โบเจ้ คู่มืออันดับ194 ของโลกจาก เดนมาร์ก/เนเธอร์แลนด์
“เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 171 ของโลก แพ้ให้กับ รินอฟ ริวัลดี้ กับ พิต้า ฮานิงทยาส เมนทารี่ คู่มือวางอันดับ 7 ของรายการ คู่มืออันดับ 15 ของโลกจากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 15-21 ,12-21 ,
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 18 ของโลก พบกับ อาซูกะ ทากาฮาชิ มืออันดับ 57 ของโลกจากญี่ปุ่น เกมนี้ เมย์ รัชนก เล่นได้อย่างง่ายดาย แม้เกมที่สองรูปเกมจะออกมาสูสีแต่ก็ยังนิ่งพอที่จะเอาชนะไปได้ 2-0 เกม 21-7 และ 22-20 “เมย์” รัชนก ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ เกรกลอเลีย มาริสก้า ตุนจุง มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลกจากอินโดนีเซีย
“แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 47 ของโลก แพ้ หวัง ซี่ยี่ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 3 ของโลกจากจีน 0-2 เกม 14-21 , 12-21 , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 11 ของโลก แพ้ ปุซาลา วี.สินธุ มืออันดับ 20 ของโลกจากอินเดีย 0-2 เกม 12-21 , 8-21
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มืออันดับ 19 ของโลก พลาดท่าแพ้ให้กับ กอง ฮียอง กับ คิม ฮเยจอง คู่มืออันดับ 107 ของโลกจากเกาหลีใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 21-18 ,19-21,12-21
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
แพทย์เตือน “ไอกรน” โรคอันตราย แพร่ระบาดง่าย เด็กเสี่ยงถึงชีวิต
แพทย์เตือน “ไอกรน” โรคอันตราย แพร่ระบาดง่าย เด็กเสี่ยงถึงชีวิต ส่วนผู้ใหญ่แม้ปลอดภัยแค่คือพาหะนำโรค
จากกรณีโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ประกาศหยุดการเรียนหลังพบโรค “ไอกรน” ระบาด นายแพทย์รีบเตือนไม่ควรประมาทและทุกคนควรรู้จักโรคไอกรนเพราะเป็นอันตรายในเด็กโดยมีผู้ใหญ่เป็นพาหะนำโรค
โรคไอกรน คืออะไร
นายแพทย์วีรพันธ์ สุวรรณนามัย หรือ หมอวี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคสมองและระบบประสาท โพสคลิปเป็นสาธารณะผ่านเฟสบุก Veerapun Suvannamai อธิบายถึง โรคไอกรน ว่ามีความสำคัญอย่างมาก ด้วยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ไม่ใช่ไวรัสเหมือนไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่เป็นโรคระบาดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Bordetella pertussis สามารถติดกับคนทุกวัย แต่ในผู้ใหญ่มักไม่รุนแรง แต่หากติดเชื้อในเด็กมีโอกาสเสียชีวิตได้
“ถ้าติดเชื้อในผู้ใหญ่ต้องบอกว่าไม่รุนแรงมาก แต่ถ้าเป็นเด็กเสียชีวิตได้นะครับ เพราะฉะนั้นสำคัญจริงๆ” หมอวีกล่าว
ไอแบบวู้ป แพร่กระจายสูง
หมอวีอธิบายต่อว่า “การแพร่กระจายแบคทีเรียในโรคไอกรน แพร่ได้ง่ายมาก คนที่เป็นไอกรน 1 คน จะกระจายไปให้คนอื่นได้ถึง 13 – 15 คน ซึ่งถือว่าเป็นการกระจายที่เยอะมาก และรวดเร็วด้วย”
“อาการของโรคไอกรน เริ่มต้นจะมีไข้ต่ำ น้ำมูกไหลเล็กน้อย เจ็บคอ ไอเล็กน้อย แต่อาการจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และจะมีการไอลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า Whooping cough ก็คือมีการหายใจเอาอากาศเข้าไปแล้วก็ไอออกมาเป็นชุด (มีเสียงวู้ปจากการหายใจเข้าแล้วก็ไอออกหลายครั้ง) ถ้าไอลักษณะนี้ต้องรีบต้องรีบไปตรวจ”
“โรคไอกรน ถ้าเป็นผู้ใหญ่อาจจะไม่อันตราย แต่ถ้าผู้ใหญ่คือผู้ที่ตั้งครรภ์หากติดเชื้อโรคนี้รุนแรงเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องได้ หรือถ้ามีเด็กเล็กๆ ภายในบ้านก็เป็นอันตรายนะครับ” คุณหมอย้ำ
วิธีป้องกันโรคไอกรน
คุณหมออธิบายต่อว่า วิธีป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีน ซึ่งในเด็กพวกเรามักจะได้รับการฉีดมาแล้วคือวัคซีนที่รวมสามตัว คือ โรคไอกรน โรคบาดทะยัก และโรคคอตีบ ในผู้ใหญ่เป็นวัคซีนอีกชนิดแต่ป้องกันทั้งสามโรคนี้เช่นกัน เป็นวัคซีนที่ทุกคนควรฉีดป้องกัน และควรฉีดวัคซีนทุก 10 ปีเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หากสงสัยควรรีบพบแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการ
ไอกรนไม่ใช่หวัด
หมอวีอธิบายต่อว่า คนเป็นโรคไอกรนจะคล้ายคนเป็นหวัด เพราะฉะนั้นบางคนอาจจะนึกว่าตัวเองเป็นหวัดแล้วก็จะรักษาตามอาการ แต่โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เพราะฉะนั้นการรักษาจะต้องกินยาปฏิชีวนะโดยเฉพาะกลุ่ม อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) หรืออิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ซึ่งเป็นยาที่ค่อนข้างเฉพาะ
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นหวัดมีไข้ในช่วงนี้ ถ้าเป็นไปได้อยากให้รีบไปตรวจวินิจฉัยโรคนี้ตั้งแต่ต้น เพื่อรับยาปฏิชีวนะอย่างมีประสิทธิภาพจะมีโอกาสที่จะหายได้อย่างรวดเร็ว
“ไอกรนเป็นโรคที่มีความสำคัญ เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยเป็นอะไร แต่ว่าเราจะเป็นพาหะที่เอาเชื้อโรคไปติดเด็กเล็กๆ ในบ้านได้ เพราะฉะนั้นทุกคนควรรู้จักและป้องกันโรคนี้นะครับ” หมอวีกล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน มีประโยคไหนต้องติดปาก ไว้รับมือทุกสถานการณ์
การสื่อสารเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เนื่องจากคนเราจำเป็นต้องพูดคุย สร้างปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันตลอดเวลา อาทิ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แบ่งปันความสุขทุกข์ ตลอดจนไถ่ถามเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาในรูปแบบใหม่ ๆ จากบุคคลรอบข้าง ด้วยเหตุนี้ การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จึงเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะหลีกเลี่ยงไม่สื่อสารกับผู้อื่นได้ เราจึงยกตัวอย่างมาให้เพื่อนๆกัน ซึ่งเป็นประโยคที่เราได้ใช้ในทุกวัน ได้แก่
1. ทักทาย ผูกมิตร กับผู้คนทั่วไป
2. ถามเส้นทางการสัญจรไปไหนมาไหน
3. พูดคุยเรื่องสุขภาพทั่วไป กับคนรอบข้าง หรือเมื่อตัวเองเจ็บป่วยในต่างแดน
4. พูดคุยเรื่องอาหารในชีวิตประจำวัน (สั่งอาหาร – สอบถามเรื่องเมนู)
ทว่าในกรณีที่เราจำเป็นต้องพูดคุยในชีวิตประจำวันเป็นประโยคภาษาอังกฤษ อาจทำให้ใครหลายคนกังวลและสูญเสียความมั่นใจ จนนำมาซึ่งอาการคิดประโยคที่ต้องใช้สื่อสารไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง วันนี้เราจึงรวบรวมประโยค การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ตามแต่ละสถานการณ์มาแบ่งปัน เพื่อฝึกฝน หรือนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้คล่องแคล่วติดปากมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีประโยคใดและสถานการณ์ใดบ้างนั้น เราจะนำเสนอเป็นแต่ละสถานการณ์ โดยเริ่มจาก
1. ทักทาย ผูกมิตร กับผู้คนทั่วไป
แน่นอนว่าในการผูกมิตรสัมพันธ์หรือการพูดคุยกับผู้คนทั่วไป การกล่าวคำทักทายเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องสื่อสารออกมาให้ดีก่อนเสมอ เพราะไม่ว่าจะสื่อสารกับชาติใด การทักทายก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่าเป็นการเริ่มต้นบทสนทนาที่ดี
ยกตัวอย่างประโยคการทักทายกับคนทั่วไป
- Hello, my name is … (สวัสดี ฉันชื่อ …)
- Good morning, how are you? (สวัสดีตอนเช้า คุณสบายดีไหม?)
- Good night. (ราตรีสวัสดิ์)
- Good afternoon. (สวัสดียามบ่าย)
- What’s up? (สบายดีรึเปล่า?) ประโยคนี้ใช้กับเพื่อนสนิทเท่านั้น
- Nice to meet you. (ยินดีที่ได้รู้จัก)
- I really appreciate … (ฉันรู้สึกขอบคุณเรื่อง ….)
- Thanks so much. (ขอบคุณมาก ๆ)
- I’m good. (ฉันสบายดี)
- Not bad. (ก็ดีนะ)
2. ถามเส้นทางการสัญจรไปไหนมาไหน
ทุกครั้งที่เราต้องออกเดินทางไกล ไม่ว่าจะเพื่อท่องเที่ยวหรือทำงาน การสื่อสารให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะช่วยให้การเดินทางของเราไปถึงที่หมายได้ถูกต้องรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างประโยคการสอบถามการเดินทาง
- What time does the plane depart? (เครื่องบินจะออกกี่โมง?)
- Where do I check-in? (ฉันจะตรวจเอกสารเดินทางได้ที่ไหน?)
- Where is the nearest train station? (สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?)
- Where can I get a taxi? (ฉันสามารถเรียกแท็กซี่ได้ที่ไหน?)
- What’s the free luggage allowance? (ให้น้ำหนักสัมภาระฟรีกี่กิโลกรัม?)
- I have missed my flight. Could you help me please? (ฉันตกเครี่อง คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม?)
- Can I have a window/aisle seat? (ฉันขอที่นั่งริมหน้าต่าง/ติดทางเดิน ได้หรือไม่?)
- I’m lost. Help me please (ฉันหลงทาง ช่วยฉันด้วยนะ)
- Have a good trip. (เที่ยวให้สนุกนะ)
- Where’s the toilet? (ห้องน้ำอยู่ทางไหนหรือครับ/คะ?)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
HERE เผยคนไทยกังวลเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน หาพึ่งพาระบบ ADAS
ผลสำรวจจาก HERE Technologies เผยคนไทยกังวลเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน แม้เชื่อมั่นในมาตรการความปลอดภัยที่มีอยู่ ส่วนใหญ่สนับสนุนเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) เพื่อลดความเสี่ยง
ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ
- ความกังวลยังสูง: กว่าครึ่ง (53%) เคยประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนใน 2 ปีที่ผ่านมา 97% กังวลเรื่องอุบัติเหตุ โดยเฉพาะจากการขับรถประมาท
- ผู้ขับขี่ยานพาหนะสองล้อเสี่ยง: 63% ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และสกู๊ตเตอร์เคยประสบอุบัติเหตุ 92% รู้สึกไม่ปลอดภัยบนท้องถนน
- ระบบหักคะแนนได้ผล: 76% มองว่าระบบหักคะแนนช่วยปรับปรุงพฤติกรรมการขับขี่
- ADAS คือทางออก: 90% เห็นว่า ADAS สำคัญต่อความปลอดภัย 74% ต้องการซื้อรถยนต์ที่มาพร้อม ADAS โดย 67% เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก
- เรียกร้องรัฐสนับสนุน: 85% เชื่อว่า ADAS ช่วยลดอุบัติเหตุ 83% อยากให้รัฐบาลส่งเสริม ADAS
เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ
- มิตซูบิชิ: ย้ำความสำคัญของความปลอดภัย พร้อมเผยเทคโนโลยีความปลอดภัยต่างๆ เช่น Mitsubishi Motors’ Diamond Sense, AYC, RISE Body และ ASC
- HERE Technologies: ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยี ADAS เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย
- Counterpoint Research: เน้นย้ำถึงความสำคัญของ ADAS ในการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์
- AWS: มองว่า ADAS คืออนาคตของการคมนาคม ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการขับขี่
ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยตระหนักถึงปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนน และมองว่า ADAS เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยลดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ และหน่วยงานภาครัฐ ในการร่วมมือกันพัฒนา และส่งเสริมการใช้ ADAS ให้แพร่หลายมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 เทคนิคดื่ม “น้ำมะนาว” ให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพมากที่สุด
น้ำมะนาวเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยและชื่นใจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากน้ำมะนาว ควรหมักน้ำมะนาวให้ถูกวิธีและดื่มในตอนเช้า นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มรสชาติอื่นๆ เช่น ผลไม้และสมุนไพรลงไปในน้ำมะนาวเพื่อเพิ่มความอร่อยและหลากหลายได้อีกด้วย
1.วิธีทำน้ำมะนาว
- เตรียมส่วนผสม: เตรียมมะนาวครึ่งลูก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ และน้ำกรอง 240 มิลลิลิตร
- หมักน้ำมะนาว: ใส่ชิ้นมะนาวลงในแก้วหรือเหยือก จากนั้นเทน้ำกรองลงไป หมักทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที หรือจนกว่าน้ำมะนาวจะมีรสชาติที่ต้องการ
- น้ำมะนาวรสอ่อน: หมักเพียง 5 นาที
- น้ำมะนาวรสเข้มข้น: หมักในน้ำอุ่น 30-45 นาที หรือน้ำเย็น 2-3 ชั่วโมง
2.เทน้ำอุ่นลงบนมะนาวหั่นเพื่อดึงวิตามินซี
น้ำอุ่นช่วยดึงสารอาหารทั้งหมดในมะนาวออกมา รวมถึงวิตามินซี ให้ความร้อนกับน้ำในระดับที่คุณต้องการ โดยใช้กาต้มน้ำไฟฟ้าหรือไมโครเวฟ จากนั้นนำมะนาวใส่แก้วก่อนเทน้ำลงไป ควรควบคุมอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ต่ำกว่าจุดเดือด หากน้ำร้อนเกินไป เปลือกมะนาวจะทำให้น้ำมีรสขม
3.ดื่มน้ำมะนาวตอนเช้าเพื่อเติมน้ำให้ร่างกาย
ร่างกายของคุณอาจขาดน้ำในช่วงกลางคืน เนื่องจากการสูญเสียน้ำ ดังนั้น การดื่มน้ำมะนาวหนึ่งแก้วหรือหนึ่งถ้วยในตอนเช้าจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์มากมาย เช่น เพิ่มพลังงานในตอนเช้า น้ำมะนาวมีสารอาหารสำคัญอย่างโพแทสเซียม ซึ่งเป็นอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยป้องกันการเกร็งกล้ามเนื้อระหว่างออกกำลังกาย นอกจากนี้ โพแทสเซียมซึ่งพบได้ในผลไม้ตระกูลส้มหลายชนิด ยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอตลอดทั้งวัน คุณยังสามารถใช้เวลาตอนเช้านี้เพื่อผ่อนคลายและวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
4.ใช้หลอดดื่มน้ำมะนาวเพื่อป้องกันฟันผุ
หนึ่งในผลเสียของการดื่มน้ำมะนาวคือ มีกรดซิตริกสูง ซึ่งสามารถทำลายเคลือบฟันได้ ดังนั้น เมื่อดื่มน้ำมะนาว ควรใช้หลอดโดยให้หลอดอยู่ด้านหลังฟัน หรือบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลังจากดื่มน้ำมะนาว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/11/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,350.00 | 42,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,743.00 | 41,583.88 | 42,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,468.70 | 37,425.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,194.40 | 33,267.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,234.00 | 18,707.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 960.00 | 14,553.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,842.00 | 43,084.72 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/11/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 36.55 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.28 | 35.28 | 36.18 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.54 | 33.54 | 34.44 | 33.54 | 33.54 | – | 33.54 | 33.54 | 33.54 | 33.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.29 | 33.29 | – | – | – | – | – | – | – | 33.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.24 |
เบนซิน 95 | 43.94 | – | – | – | 49.81 | – | 44.44 | 44.09 | – | 43.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |