สาระน่ารู้ประจำวันที่ 14 มีนาคม 2568

อสังหาจี้รัฐขอ‘ยาแรง-ยาเร็ว’ปลุกดีมานด์หวั่นช้าฉุดตลาดซึมยาว

3สมาคมฯอสังหาจี้รัฐขอ‘ยาแรง-ยาเร็ว’ไตรมาสแรกหวังเร่งปลุกดีมานด์หวั่นช้ากว่านี้ฉุดตลาดย่ำแย่ ซึมยาว! เศรษฐกิจดิ่งเหวครึ่งปีหลัง

วานนี้ (12 มี.ค.68) 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปี “อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2025”  โดยร่วมอภิปราย “แนวโน้มภาวะการตลาดอสังหาริมทรัพย์และกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2025” ภายใต้สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล เผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ “ชะลอตัว” ดีมานด์ “ลดลง” สวนทางกับซัพพลายเหลือเพิ่มขึ้น! ขณะที่รายได้คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ 50% ซื้อบ้านได้ไม่เกินระดับ 3 ล้านบาท ทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะ “ชะลอ” การเปิดตัวโครงการใหม่ รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการระดับราคาสูง ที่มีแนวโน้ม “ชะลอตัว” เช่นกันจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและการซื้อที่แผ่วลง

สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความสัมพันธ์กับจีดีพีค่อนข้างมาก จากข้อมูลบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่กำไรลดลง 80% เหลือรอด 1ใน 5 สาเหตุราคาบ้านของบริษัทในตลาดตรึงราคาอยู่ และบางส่วนลดราคา ส่งผลให้ผลประกอบการมี “กำไรลดลง” ขณที่บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ประสบปัญหาขาดทุนกันถ้วนหน้าสาเหตุใหญ่จากอัตรารีเจกต์เรตทำให้ต้องนำสินค้ามาวนขายใหม่ ทำให้เกิดต้นทุนทางการตลาดเพิ่มขึ้น และมีการบำรุงรักษาบ้านเพิ่มอีก โดยรวมเพิ่มขึ้น 6% ทำให้การดำเนินธุรกิจเต็มไปด้วยความยากลำบากจึงอยากให้ภาครัฐออกมาตรการเข้ามากระตุ้นตลาด

“จากมาตรการที่ขอไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ได้ ยกตัวอย่างค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมโอน เป็นตัวแปรสำคัญที่ผู้บริโภครอคอย สังเกตได้ว่าในปี 2567 ช่วง 2 เดือนแรก ม.ค.-ก.พ ตัวเลขนิ่ง สะท้อนว่ากำลังซื้อในตลาดน้อยลง ถ้ามาตรการรัฐออกมาช้าเกินไปจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ แย่ลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมแย่ลงไปอีกกว่านี้ วันนี้เรื่องของสปีดเป็นเรื่องสำคัญในการช่วยภาคอสังหาฯไม่ควรเกินไตรมาสแรกปีนี้ ”

ปัจจุบันเวลาผ่านไปแล้ว 1ใน4 ของปี  “สปีด” เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากพิจารณาแนวโน้มบ้านใหม่ “ติดลบ” แน่นอน หากปล่อยตลาดอสังหาริมทรัพย์ติดลบ ไม่มีการก่อสร้าง ซัพพลายเชนหยุดนิ่ง จะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เร็ว

ทั้งนี้ ในปี2567 ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ของแนวราบ ติดลบ 23-24% ฉะนั้นหากไม่มีมาตรการรัฐออกมากระตุ้นในปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึมยาวแน่นอน เพราะความมั่นใจหลักมาจากจีดีพี อัตราดอกเบี้ย และมาตรการรัฐ ซึงเป็นรูปธรรม คือ ค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมโอน และมาตรการแอลทีวี หรือการหักลดหย่อนภาษีจากการผ่อนซื้อบ้าน จะเป็นตัวเสริมที่มีผลต่อบ้านระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป

จากข้อมูลยังพบว่า อัตราการรีเจกต์เรตในปี2567 ตลาดบนระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป ได้รับผลกระทบแล้วไม่ใช่แค่ตลาดล่าง ราคา 1-3 ล้านบาท ดีมานด์สูงมากแต่รีเจกต์สูงถึง 55%  ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องการมาตรการช่วยเหลือจากรัฐเต็มรูปแบบ รวมถึงภาษีธุรกิจเฉพาะหากผู้ประกอบการได้รับจะทำให้ราคาในตลาดลดลงได้ ขณะที่กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท อัตรารีเจกต์เฉลี่ย 40%

เปิดคาถารอดปี 2568

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า นโยบายทรัมป์กระทบไทยแน่นอน โดยเฉพาะการส่งออก แต่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยยังคงเติบต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ดินในโซนนิคมอุตสาหกรรมขายดี เพราะต่างชาตินิยมสร้างสมาร์ตแวร์เฮ้าส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

“อสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่แค่บ้านยังมีโอกาสโตต่อ ผู้ประกอบหันไปมองอสังหาริมทรัพย์อื่น เช่น โรงแรม ที่มีดีมานด์สูงมาก โดยเฉพาะภูเก็ต ห้องเริ่มเต็ม ทำให้มีการปรับอาคารเก่าพัฒนาโรงแรม ซึ่งมีโอกาสที่รัฐปรับกฎหมายให้ทำได้ถูกกฎหมายในอนาคต ขณะเดียวกันแคมปัสคอนโดโซนมหาวิทยาลัยน่าสนใจเพราะมีดีมานด์ต่อเนื่อง”

ต้องการยาแรงและยาเร็ว

ทางด้าน ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ปีนี้โจทย์ยาก กระทบตลาดกลางบน ต้องรัดเข็มขัด ตลาดล่างยังไม่ฟื้น อสังหาริมทรัพย์ปีนี้ต้องการ “ยาแรง” และ “ยาเร็ว” จากรัฐบาล บวกนโยบายการคลังและการเงินเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงการ เพราะไตรมาส 3 ปี2567 ทุกตลาดติดลบทุกระดับราคา

“ปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ฝนตกทั่วฟ้าไม่มีใครกำไรดี ดังนั้นในปีนี้เราต้องการมาตรการมาช่วยในการโอน จากแอลทีวี หรือการลดค่าธรรมเนียมโอน เพราะวันนี้ทุกคนรอมาตรการรัฐ เพราะการโอนรออยู่ที่แบงก์ เพราะทุกคนรอมาตรการรัฐ”

อย่างไรก็ดี คาถารอดในปีนี้ คือ ดีมานด์ต่างประเทศ เพราะเป็นดีมานด์ขนาดใหญ่ ฉะนั้นถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องจัดระเบียบ เพราะกำลังซื้อต่างประเทศจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอนาคต ด้วยความเป็น โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ (Global Property)

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


คอนโด-สำนักงานซัพพลายล้น! โรงแรม-อุตสาหกรรม-โลจิสติกส์ โตต่อ

ไนท์แฟรงค์ ส่งสัญญาณ “คอนโด-อาคารสำนักงาน” เผชิญภาวะซัพพลายล้น ยอดขาย-อัตราเช่า ชะลอตัว ขณะที่ “โรงแรม” รับอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้น ภาคอุตสาหกรรม-โลจิสติกส์ โตต่อ

ช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง “ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย” สัมมนาออนไลน์ “Knight Frank Foresight 2025 : Collaboration” นำเสนอข้อมูลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เพียงแค่ทำนายอนาคต แต่สะท้อนความท้าทายและโอกาสที่ซ่อนอยู่ใน 4 เซกเตอร์หลัก คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม และ โรงงาน

ณัฐฐา คหะปาณา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า แม้ตลาด “คอนโดมิเนียม” มีซัพพลายล้นตลาด! แต่ความต้องการห้องขนาดใหญ่ขึ้นและทำเลที่ดีจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก  ขณะที่ “อาคารสำนักงาน” ยังต้องเผชิญซัพพลายส่วนเกิน เจ้าของอาคารจำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานความยั่งยืนเพื่อรักษาและดึงดูดผู้เช่าใหม่ ในทางกลับกัน “ธุรกิจโรงแรม” และ “ภาคอุตสาหกรรม” ได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)  โดยเฉพาะในโซนเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งสะท้อนศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

“เป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้พัฒนาโครงการที่สามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับตลาด โดยเน้นนวัตกรรม การพัฒนาโครงการที่ตรงความต้องการและการบริหารจัดการที่ยั่งยืนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว”

ปัจจัยเสี่ยง “ซัพพลายล้น-กำลังซื้อหด”

สัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไตรมาส 4 ปี 2567 มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดราว 9,800 ยูนิต เพิ่มขึ้นกว่า 360% เทียบไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 9.9% ทำให้สัดส่วนยอดขายรวมยังคงอยู่ที่ 35% ต่ำกว่าระดับ 40% ที่ถือเป็นเกณฑ์ที่ดีของตลาด

โดยอุปทานใหม่นี้กว่า 51% กระจายไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ และอีก 45% อยู่ในพื้นที่ชานเมืองตามแนวรถไฟฟ้า ส่วนคอนโดมิเนียมย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เปิดตัวลดลงและส่วนใหญ่เป็นโครงการเกรด A ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ย 236,000 บาทต่อตร.ม. พื้นที่ชานเมืองและรอบนอกกรุงเทพฯ 127,000 และ 72,000 บาทต่อตร.ม. ตามลำดับ

ตลาดคอนโดมิเนียมหรูระดับ Prime และ Super Prime มีราคามากกว่า 200,000-250,000 บาทต่อตร.ม. อุปทานใหม่ ปี 2567 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยระดับ Super Prime มีราว 6,500 ยูนิต ระดับ Prime อยู่ที่ 7,200 ยูนิต ทั้ง 2 กลุ่มมียอดขายเกิน 80% ทำให้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 

อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะ “ชะลอตัว”  ซึ่งคาดว่าจำนวนโครงการใหม่ในปีนี้จะ “ลดลง” เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุปทานที่ยังคงสูงและกำลังซื้อลดลง!

หวังดีมานด์ Expat กระตุ้นซื้อปล่อยเช่า

ปัจจัยที่อาจช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์คือการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ (Expat) ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 ขยายตัว 7.1% กลุ่มใหญ่สุดมาจากจีน 28% ฟิลิปปินส์ 25% และญี่ปุ่น 14% แนวโน้มนี้ส่งผลให้ตลาดเช่าเติบโตขึ้น! ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนให้กลับมาสนใจคอนโดมิเนียมในทำเลที่เหมาะสม นอกจากนี้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอาจช่วยเพิ่มความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้วตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังคงต้องจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคต่อไป

แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย กล่าวเสริมว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ที่ผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ยังคง “ชะลอ” การเปิดตัวโครงการใหม่ มีเพียง 2-4  โครงการ ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ บางรายเริ่มออกจากตลาดกรุงเทพฯ หันไปพัฒนาโครงการในภูเก็ตแทน หรือขยายสู่ตลาดบ้านแนวราบ

 คอนโดลักชัวรี-อัลตราลักชัวรี ยังไปต่อ

ขณะที่สต็อกคอนโดมิเนียมที่ยังขายไม่ออก! ถูกนำกลับมาทำตลาดใหม่ในราคาลดพิเศษ ทำให้ปีนี้ยังคงเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือความนิยมของโครงการระดับลักชัวรีและอัลตราลักชัวรี มีราคาตั้งแต่ 320,000 บาทต่อตร.ม.ขึ้นไป ยังได้การตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้มีฐานะ และต้องการยูนิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ

รวมทั้งโครงการ “มิกซ์ยูส” เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ต้องการลดเวลาเดินทาง และใช้ชีวิตในที่เดียว นอกจากนี้ ตลาด “บ้านแนวราบ” ยังคงมีศักยภาพ โดยเฉพาะช่วงราคา 10-40 ล้านบาท แม้การแข่งขันเพิ่มขึ้นกลายเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” เช่นเดียวกับตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งทำเลศักยภาพยังได้รับความสนใจ ได้แก่ เพลินจิต ชิดลม ราชดำริ สาทร และริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นพื้นที่ที่มีโครงการระดับสูงเปิดตัวต่อเนื่อง

“ความต้องการที่อยู่อาศัยกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่มผู้ซื้อรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น ความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อกับพื้นที่ทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย”

“โลจิสติกส์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นรองรับแนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนไปคาดการณ์ว่าเส้นทางการค้าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยท่าเรือแหลมฉบัง และ EEC Logistics Corridor จะกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการขนส่งข้ามพรมแดน”

ขณะเดียวกัน เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) และเขตการค้าเสรี (FTZs) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วย“ดึงดูด”นักลงทุนให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก

อาคารสำนักงานอุปทานล้นตลาด

ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่าย Occupier Strategy & Solutions ส่วนงาน Office กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด โดยปี 2567 มีพื้นที่สำนักงานรวม 6.31 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน พื้นที่ถูกเช่ารวม 4.86 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% ภาพรวมยังคงเป็น “ตลาดของผู้เช่า” เนื่องจากมีอาคารสำนักงานใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอาคารเกรด A ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ เช่น สีลม สาทร และสุขุมวิท มีค่าเช่าเฉลี่ย 900-1,600 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน

“พื้นที่นอกเขต CBD เช่น พระราม 9 และบางนา-ตราด มีค่าเช่าเฉลี่ยต่ำกว่า 1,000 บาทต่อตร.ม. แม้ว่าค่าเช่าจะยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 3.3% เทียบปีก่อน แต่เจ้าของอาคารยังคงเสนอส่วนลดพิเศษ 10-25% เพื่อกระตุ้นดีมานด์”

แนวโน้มในปี 2568 อัตราการเช่าโดยรวมจะยังคง“ลดลง” ปัจจุบันอัตราการเข้าพื้นที่เช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ 77% ลดลง 1.3% จากปีก่อน และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปถึงปี 2570 ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ “ภาวะสมดุล” มากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด ได้แก่ แนวโน้ม “Flight to Quality” ที่องค์กรต่างๆ ย้ายไปอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้น การปรับพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม และการให้ความสำคัญกับอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มี.ค. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 33.77 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินฝั่งเอเชียอาจได้รับอานิสงส์บ้าง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มี.ค.2568ที่ระดับ  33.77 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.87 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าสำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways

ในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

โดยเรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินฝั่งเอเชียอาจได้รับอานิสงส์บ้าง และมีโอกาสเห็นแรงซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้

 นอกจากนี้ เรายังคงเห็นแรงขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง ในช่วงที่เงินบาททยอยอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน ทำให้ เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนักในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ขณะที่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวรับ 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้นำเข้า ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ ในช่วงเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง นอกจากนี้ เรายังคงกังวลว่า หากราคาทองคำย่อตัวลง หลังตลาดขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนราคาทองคำ ก็อาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.74-33.89 บาทต่อดอลลาร์)

หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) กลับสู่โซน 2,930-2,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามจังหวะการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ ชะลอลงสู่ระดับ 2.8%

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็ชะลอลงสู่ระดับ 3.1% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอ แต่อัตราเงินเฟ้อสูง) ลงบ้าง

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองทองคำ ท่ามกลาง ความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ

ที่เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ขณะเดียวกัน การรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ก็มีส่วนช่วยจำกัดการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ชะลอลงต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอ แต่อัตราเงินเฟ้อสูง) ลงบ้าง

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Tesla +7.6%, Nvidia +6.4% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.22% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.49%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.81% หนุนโดยความหวังการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม

จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ซึ่งภาพดังกล่าว ได้หนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ยุโรป รีบาวด์ขึ้น ตามหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ เช่นกัน อาทิ ASML +2.1%

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่า รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด จะออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลความเสี่ยงการเกิดภาวะ Stagflation ในสหรัฐฯ

แต่บรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัว Sideways แถวระดับ 4.31% ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย หนุนให้ตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 103.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.3-103.8 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยง แต่จังหวะย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และความต้องการถือทองคำ รับมือความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,940-2,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วงปลายเดือน หลังล่าสุด อัตราเงินเฟ้อ CPI ได้ชะลอลง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายลดการจ้างงานโดย DOGE ซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ และทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินของเฟดได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.77-33.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.42 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ยังเคลื่อนไหวเหนือแนว 2,900 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง [US CPI +2.8% YoY ในเดือนก.พ. ต่ำกว่า +3.0% YoY ในเดือน ม.ค. และ +2.9% YoY ที่ตลาดคาด]

อย่างไรก็ดี คงต้องติดตาม สถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึง Sentiment ของค่าเงินอื่น ๆ ในเอเชีย และประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ซึ่งอาจทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในระหว่างวัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.65-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.พ. 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วิว กุลวุฒิ ปราบหนุ่มจีน ลิ่วรอบสองแบดมินตันออล อิงแลนด์

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมือ 5 ของโลก ประเดิมสนามในศึกออล อิงแลนด์ โอเพ่น แบดมินตัน แชมเปี้ยนชิพ ได้อย่างสวยงาม ด้วยการปราบ เวง ฮองหยาง มือ 13 ของโลกจากจีนไปแบบสนุก 2-0 เกม ผ่านเข้ารอบสองไปได้สำเร็จ

การแข่งขันแบดมินตันรายการเก่าแก่ที่สุดในโลก “โยเน็กซ์ ออล อิงแลนด์ โอเพ่น แบดมินตัน แชมเปี้ยนชิพ 2025” รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 1,450,000 เหรียญ หรือประมาณ 49,300,000 บาท ที่ยูทิลิต้า อารีน่า เบอร์มิงแฮม เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 12 มี.ค.68 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก มีนักแบดมินตันไทยลงสนาม 7 คู่ 

ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลก พบกับ เวง ฮองหยาง มืออันดับ 13 ของโลกจากจีน 

เกมแรก วิว เริ่มต้นได้ดีกว่าในช้วงต้น แต่ เวง ฮองหยาง ตั้งเกมของตัวเองได้และทำแต้มรัวเป็นชุดใหญ่ สามารถคุมเกมไว้ได้เบ็ดเสร็จนำห่างถึง 17-11 จากนั้น วิว กุลวุฒิ สามารถตั้งหลักได้ มาทำแต้มรัวเป็นชุดคืนได้บ้างจนแซงขึ้นนำ 20-18 แม้ เวง ฮองหยาง มาเซฟ 2 เกมพอยต์ได้ แต่วิว กุลวุฒิ ยังเล่นได่้นิ่งกว่ามาปิดเกมแรกไปได้ที่ 22-20 

เกมสอง วิว กุลวุฒิ เล่นได้อย่างง่ายขึ้น พยายามแจกลูกใส่ เวง ฮองหยาง ที่เริ่มออกอาการล้าอย่างเห็นได้ชัด มาปิดแมตช์ไปได้ที่ 21-11 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-0 เกม วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปรอพบผู้ชนะระหว่าง อเล็กซ์ ลานิเยร์ มืออันดับ 10 ของโลกจากฝรั่งเศส หรือ ราสมุส เกมเก้ มืออันดับ 30 ของโลกจากเดนมาร์ก  

ด้าน ประเภทคู่ผสม รอบแรก “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มืออันดับ 19 ของโลก แพ้ เฝิง หยานเจ๋อ กับ เว่ย หยาซิน คู่มือวางอันดับ 5 ของรายการจากจีน 0-2 เกม 14-21 , 14-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


8 ท่านอนแนะนำ นอนท่านี้แล้วดี เลี่ยงเจ็บป่วย ร่างกายแข็งแรง

คุณเคยพิจารณาถึงความสำคัญของท่าทางการนอนที่ดีหรือไม่? แม้ว่าคุณอาจจะมีหรือไม่มีท่าทางที่คุณชอบเป็นการส่วนตัว แต่ท่าทางการนอนก็ส่งผลต่อสุขภาพของคุณ รวมถึงคุณภาพการนอนหลับของคุณด้วย

8 ท่านอนแนะนำ นอนท่านี้แล้วดี

1.นอนหงายโดยวางแขนไว้ข้างลำตัว โดยทั่วไปถือว่าเป็นท่าทางการนอนที่ดีที่สุดสำหรับศีรษะ กระดูกสันหลัง และคอของคุณ ตราบใดที่คุณไม่ได้ใช้หมอนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นอนหงายมีแนวโน้มที่จะนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับมากกว่าผู้ที่นอนในท่าอื่นๆ

2.นอนหงายโดยยกแขนขึ้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ปลาดาว” ท่าทางการนอนนี้ดีต่อหลังของคุณ และยังกล่าวกันว่าช่วยป้องกันริ้วรอยบนใบหน้าและสิวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับท่าทางการนอนหงายโดยวางแขนลงข้างลำตัว ท่านี้ก็สามารถทำให้เกิดอาการนอนกรนและปัญหาเกี่ยวกับกรดไหลย้อนได้เช่นกัน นอกจากนี้ การยกแขนขึ้นอาจทำให้เกิดแรงกดที่ไม่จำเป็นต่อเส้นประสาทในไหล่ของคุณ ทำให้เกิดอาการปวดและไม่สบายตัวได้

3.นอนคว่ำหน้า การนอนคว่ำหน้าอาจช่วยปรับปรุงการย่อยอาหารได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณยังไม่ได้พัฒนาวิธีการหายใจผ่านหมอน คุณจะต้องเอียงหน้า ซึ่งจะทำให้คอของคุณตึงมาก นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการปวดคอและหลังได้ เนื่องจากส่วนโค้งของกระดูกสันหลังของคุณไม่ได้รับการรองรับ

4.ท่านอนขดตัว การนอนในท่าขดตัว โดยขดตัวเป็นลูกบอล โดยงอเข่าเข้าหาอก และก้มคางลง อาจจะรู้สึกสบาย แต่ก็สามารถทำให้คอและหลังของคุณตึงได้ การขดตัวมากเกินไปในท่านี้ยังสามารถจำกัดการหายใจลึกๆ ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ท่าขดตัวนี้อาจเป็นท่าทางการนอนที่ดีที่สุด หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนกรน

5.นอนตะแคงโดยวางแขนไว้ข้างลำตัว กระดูกสันหลังของคุณได้รับการรองรับที่ดีที่สุดในส่วนโค้งตามธรรมชาติเมื่อนอนในท่านี้ สามารถช่วยลดอาการปวดหลังและคอ ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของการหยุดหายใจขณะหลับได้ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคืออาจทำให้ผิวหนังแก่ก่อนวัยอันควรเนื่องจากแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าและทรวงอกหย่อนคล้อย

6.นอนตะแคงโดยวางแขนออกไปด้านหน้า ท่านี้มีข้อดีหลายอย่างเช่นเดียวกับการนอนตะแคงโดยวางแขนลงตรงๆ ข้างลำตัว อย่างไรก็ตาม การนอนตะแคงอาจทำให้รู้สึกไม่สบายที่ไหล่และแขนเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดถูกจำกัด และแรงกดทับเส้นประสาท ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นได้หากวางแขนของคุณออกไปด้านหน้า

7.นอนตะแคงขวา หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่นอนตะแคงจำนวนมาก การนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งก็สร้างความแตกต่างได้ การนอนตะแคงขวาสามารถทำให้อาการแสบร้อนกลางอกแย่ลง ในขณะที่การนอนตะแคงซ้ายสามารถทำให้เกิดความเครียดกับอวัยวะภายในของคุณ เช่น ตับ ปอด และกระเพาะอาหาร แม้ว่าท่านี้อาจช่วยลดกรดไหลย้อนได้ก็ตาม โดยทั่วไปแล้วสตรีมีครรภ์จะได้รับคำแนะนำให้นอนตะแคงซ้าย เนื่องจากจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังทารกในครรภ์

8.การใช้หมอนรองรับ ไม่ว่าคุณจะชอบท่าทางการนอนแบบใด คุณมักจะได้รับการพักผ่อนในตอนกลางคืนที่ดีขึ้น โดยมีอาการปวดเมื่อยน้อยลงในตอนเช้า หากคุณรองรับร่างกายด้วยหมอน ผู้ที่นอนหงายสามารถวางหมอนใบเล็กไว้ใต้ส่วนโค้งของกระดูกสันหลัง ผู้ที่นอนตะแคงสามารถวางหมอนไว้ระหว่างเข่า ในขณะที่ผู้ที่นอนคว่ำสามารถวางหมอนไว้ใต้สะโพกเพื่อรองรับข้อต่อ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ผู้นำ ‘เก่งอยู่คนเดียว’ อาจพาทีมพัง งานติดคอขวดองค์กรไม่เติบโต

  • ผู้นำหรือหัวหน้างานแบบซุปเปอร์สตาร์อาจจะเปล่งประกายได้แค่ชั่วขณะ แต่ระบบงานที่ดีต่างหากที่สร้างรากฐานสำหรับความสำเร็จที่ยั่งยืน
  • หากขาดระบบการทำงานที่ดี ผลการดำเนินงานก็อาจย่ำแย่กว่าที่คิด เพราะเอาเข้าจริง คนๆ เดียวไม่สามารถทำงานทุกอย่างให้สำเร็จได้ แต่อยู่ที่ระบบการทำงานร่วมกันได้ดี มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว
  • วิจัยจาก MIT พบว่า องค์กรที่มีระบบทำงานที่ดี มีการกระจายอำนาจ ใช้เวลาเพียง 244 วันเท่านั้นในคว้าโอกาสทางธุรกิจและปรับตัวได้เร็ว แต่องค์กรแบบรวมศูนย์ กว่าจะปรับตัวให้แข่งขันได้ ต้องใช้เวลามากถึง 566 วัน

อะไรคือสิ่งที่กำหนดความสำเร็จขององค์กรในปี 2025 ? คำตอบอาจไม่ใช่ผู้นำหรือซีอีโอฉายเดี่ยวประเภท “ซุปเปอร์สตาร์” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกต่อไป แม้ผู้นำแบบนี้จะสามารถดึงดูดสื่อมวลชนและผู้ถือหุ้นได้ดี แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีผลงานที่ดีในระยะยาว 

คลื่นลูกต่อไปของความสำเร็จทางธุรกิจจะขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน มันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัจฉริยภาพของบุคคลเพียงคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของระบบการทำงานขององค์กรที่อยู่ยืนยาว ผนึกกำลังทำงานร่วมกันได้ดีกว่า และปรับตัวได้เหนือกว่าสิ่งที่คนๆ เดียวจะทำได้

เชอร์ซอด โอดิลอฟ (Sherzod Odilov) ผู้เชี่ยวชาญและโค้ชด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กรและนวัตกรรม วิเคราะห์ประเด็นนี้ผ่าน Forbes ไว้ว่า ความท้าทายทางธุรกิจในปี 2025 เรียกร้องให้ผู้นำบางคนต้องพัฒนาจากการเป็นซีอีโอผู้ดึงดูดความสนใจของผู้คน มาเป็นซีอีโอผู้สร้างระบบการทำงานที่ยั่งยืน เพราะผลลัพธ์การเติบโตขององค์กรธุรกิจในหลายๆ ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ผู้นำหรือหัวหน้างานแบบซุปเปอร์สตาร์อาจจะเปล่งประกายได้แค่ชั่วขณะ แต่ระบบงานที่ดีต่างหากที่สร้างรากฐานสำหรับความสำเร็จที่ยั่งยืน

ทำไมการเป็นผู้นำแบบซูเปอร์สตาร์ อาจพาองค์กรล้มเหลว?

งานวิจัยจาก Oxford Academic แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่มี “ซุปเปอร์สตาร์” เป็นซีอีโอ มักจะดึงดูดความสนใจจากสื่อมากขึ้น และผู้บริหารระดับสูงมักได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวบริษัทเหล่านี้มักทำผลงาน-ผลกำไร ได้ด้อยกว่าคู่แข่ง สาเหตุจริงๆ ก็คือ การพึ่งพาบุคคลคนเดียวมากเกินไปทำให้ธุรกิจเปราะบาง งานเกิดคอขวด จำกัดความสามารถในการปรับตัว การผูกโยงความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรเข้ากับการตัดสินใจของคนๆ เดียว แนวทางนี้อาจใช้ได้ผลในระยะสั้น แต่ไม่ใช่รากฐานสำหรับความอยู่รอดในระยะยาว

ดังนั้น คำถามที่ผู้นำทุกคนต้องถามตัวเองคือ คุณกำลังสร้างองค์กรที่เติบโตเพราะคุณคนเดียว หรือกำลังสร้างองค์กรที่มีความยั่งยืน สร้างธุรกิจและนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง ทำซ้ำได้ และขยายผลได้ แม้ว่าจะไม่มีคุณก็ตาม?

ลองคิดดู อะไรที่ทำให้ SpaceX, OpenAI หรือ Nvidia ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง? เป็นเพราะ อีลอน มัสก์ ประกอบจรวดด้วยตัวเองหรือไม่? เป็นเพราะ แซม อัลต์แมนเขียนโค้ดที่ปฏิวัติวงการของ ChatGPT หรือไม่? เป็นเพราะ เจนเซน หวงออกแบบ GPU ของ Nvidia ด้วยตัวเองหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่! บริษัทเหล่านี้เติบโตก้าวหน้าได้เพราะองค์กรมีระบบที่ส่งเสริมทีมงาน ขับเคลื่อนนวัตกรรม และขยายผลขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วยระบบงานที่ดี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้นำที่มีวิสัยทัศน์นั้นมีความสำคัญ แต่หากขาดระบบการทำงานที่ดี ผลการดำเนินงานก็อาจย่ำแย่กว่าที่คิด เพราะเอาเข้าจริงผู้นำเพียงคนเดียวไม่สามารถทำงานทุกอย่างให้สำเร็จได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ คือ การสร้างความสม่ำเสมอ อำนวยความสะดวกให้พนักงานในการทำงานร่วมกันได้ดี และให้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว เมื่อพลวัตของตลาดเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาขยายความเฉียบแหลมของคนหนึ่งคน ให้กลายเป็นระบบนิเวศการทำงานที่เอื้อให้ทุกคนสามารถทำงานด้วยความเฉียบแหลมนั้นได้เหมือนกัน

ดังนั้น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่มีวิสัยทัศน์ แต่ต้องเป็นนักออกแบบระบบ พวกเขาต้องสร้างกรอบที่กระตุ้นให้ทีมเกิดความคิดสร้างสรรค์ ลื่นไหล เกิดการเชื่อมต่อและพนักงานแต่ละฝ่ายสามารถตัดสินใจได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการอนุมัติส่วนตัวของซีอีโอในทุกเรื่อง เป้าหมายของคุณในฐานะผู้นำไม่ควรเป็นเพียงแค่การแก้ปัญหา แต่ควรเป็นการสร้างระบบที่สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องมีคุณ

3 วิธีสร้างระบบงานที่ดี มุ่งเน้นกระจายงานให้ทีมเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืน

การกระจายอำนาจการตัดสินใจให้ทีมงาน ถือเป็นพลังเงียบที่สำคัญในองค์กร รวมไปถึงการสร้างกระบวนการที่โปร่งใส และการวางรากฐานที่ทำให้ทุกคนในองค์กรรู้ว่า อะไรต้องทำก่อน-หลัง และมีเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานได้ดี เหล่านี้คือระบบงานที่จะช่วยปลดล็อกข้อได้เปรียบ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จในระยะยาว ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะเคล็ดลับการบริหารทีมที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้

1. สร้างระบบการกระจายงาน มอบผลลัพธ์แบบคงที่

ระบบการทำงานที่ดีช่วยให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณส่งมอบผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยผันผวนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจโลกหรือวิกฤติในตลาดงานต่างๆ ที่ไม่คาดคิด ระบบที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ทีมงานยังรันงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาได้อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าพอเจอปัญหาทีค่อยหาวิธีแก้ไขไปที 

จากการศึกษาโดยศูนย์วิจัยระบบสารสนเทศของ MIT พบว่า องค์กรขนาดใหญ่ที่ผู้นำบริหารงานแบบการกระจายอำนาจ ใช้เวลาเพียง 244 วันเท่านั้น ในการปรับตัวสู่การดำเนินงานหรือลงทุนในตลาดใหม่ (คว้าโอกาสทางธุรกิจได้เร็ว) โดยมีอัตรากำไรสุทธิและอัตราการเติบโตของรายได้สูงถึง 9.8% เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรที่บริหารงานแบบรวมศูนย์ ต้องใช้เวลานานกว่าถึง 566 วัน มีอัตรากำไรสุทธิและอัตราการเติบโตเพียง 6.2%  นี่แสดงให้เห็นว่าความคล่องตัวของระบบงานที่ดี ส่งผลโดยตรงต่อโอกาสทางธุรกิจและผลกำไร

2. สร้างนวัตกรรมในระดับที่ขยายผลได้

ความสำเร็จขององค์กรไม่ใช่การทำงานแบบฉายเดี่ยว แต่เป็นการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย ระบบการทำงานที่ดีช่วยให้ขยายนวัตกรรมไปทั่วทุกแผนก เสริมพลังให้ทีมหลายทีมได้ทดลอง ปรับปรุง และสร้างสรรค์ภายในกรอบที่เป็นเอกภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือ องค์กรจะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์หลากหลาย ไม่ใช่แค่จากผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่จากทุกภาคส่วนของทีมงาน

การศึกษาของ MIT เดียวกันนี้เปิดเผยว่า รายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการขององค์กรที่บริหารงานแบบกระจายอำนาจ สูงกว่าองค์กรแบบรวมศูนย์ถึง 1.5 เท่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์นี้เน้นย้ำถึงพลังของระบบนวัตกรรมแบบกระจายอำนาจที่แข็งแกร่งมากกว่า

3. สร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน

เมื่อระบบงานที่ดีเป็นกระดูกสันหลังขององค์กร ดังนั้นจึงไม่ต้องพึ่งพาการมีหรือไม่มีของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการจัดการความท้าทาย ระบบที่ยืดหยุ่น จะช่วยให้ทีมงานปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มั่นใจถึงความยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Quality & Reliability Management เน้นย้ำว่า ความโปร่งใสในการบริหารงานภายในองค์กร มีบทบาทสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน แชร์ไอเดีย องค์ความรู้ต่างๆ ระหว่างแผนก จึงช่วยเพิ่มความสามารถและเตรียมองค์กรให้พร้อมรับมือกับสภาวะที่ไม่พึงประสงค์

ผู้นำยุคใหม่ควรเริ่มต้นอย่างไร เพื่อสร้างระบบการทำงานที่ดีให้แก่องค์กร

เมื่อได้เห็นแล้วว่าระบบการทำงานที่ดีมีพลังที่ยิ่งใหญ่ คำถามต่อไปคือจะเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาอย่างไร ผู้นำอาจไม่สามารถปรับโครงสร้างองค์กรได้ในชั่วข้ามคืน แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง โอดิลอฟ มีคำแนะนำเบื้องต้นสองสามข้อ ได้แก่ ข้อแรก ให้ผู้นำองค์กรพิจารณากระบวนการทำงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อดูว่าขาดประสิทธิภาพตรงไหน? มีการตัดสินใจติดขัดในแผนกใดหรือไม่? พนักงานใช้เวลาแก้ปัญหางานมากกว่าการสร้างนวัตกรรมหรือไม่? หากเจอจุดอ่อนเหล่านี้ ให้เริ่มแก้ไขทันที 

ข้อถัดมาคือ ผู้นำควรเพิ่มทักษะให้กับบุคลากร และสร้างเครื่องมือที่เสริมพลังให้ทีมของคุณ เปลี่ยนโฟกัสจากคำสั่งจากบนลงล่าง ไปสู่การแก้ปัญหาจากล่างขึ้นบน บุคลากรที่มีความสามารถและได้รับการเสริมพลังคือระบบที่มีค่าที่สุดของคุณ ข้อสุดท้ายคือ ต้องให้รางวัลให้แก่การส่งเสริมความสำเร็จแบบขยายผลได้ อย่าเฉลิมฉลองความสำเร็จของบุคคล แต่ให้มุ่งเน้นที่ความพยายามของทีมที่ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน 

ท้ายที่สุด ผู้นำที่จะนำพาความสำเร็จมาสู่องค์กรนั้น ต้องเป็นผู้กำหนดภูมิทัศน์การบริหารงานใหม่ โดยการออกแบบระบบที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพวกเขาอยู่ในองค์กรก็ตาม ต้องเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ทีมงานปรับตัวได้เร็ว มีนวัตกรรม และความยืดหยุ่น มรดกของพวกเขาจะไม่ถูกวัดด้วยการปรากฏตัวในสื่อ แต่จะมองเห็นได้จากธุรกิจที่เติบโตรุ่งเรืองแม้ในวันที่พวกเขาออกจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ กับเรื่อง Conjunction

ประโยคพื้นฐานทั่วไปที่เราใช้กันไม่ว่าจะเป็นในภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ จะมีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน + กริยา + กรรม ( Subject + Verb + Object ) แต่เมื่อมีประโยค 2 ประโยคขึ้นไป ไม่ว่าจะมีความหมายเดียวกันหรือความหมายต่างกัน สิ่งที่จะมาทำให้ประโยคเชื่อมต่อกันให้เป็นประโยคที่สวยงามได้นั้น จะต้องใช้คำสันธานหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “ Conjunction ”

“ Conjunction ” คืออะไร

Conjunction หรือ คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำหรือข้อความให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ประโยคจะมีความกระชับ รัดกุม และสละสลวยขึ้น ยกตัวอย่างคำในภาษาไทย เช่นคำว่า และ แล้ว จึง แต่ หรือ เพราะ เหตุเพราะ เป็นต้น

ในภาษาอังกฤษก็มีคำ หรือวลีที่ใช้คล้ายคลึงกับคำสันธานในภาษาไทยเช่นกัน โดยในภาษาอังกฤษจะเรียกคำสันธานว่า “ Conjunction ” อย่างเช่นคำว่า and, yet, but, for, so, nor, neither และ or เป็นต้น

Conjunction ในภาษาอังกฤษ จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ Coordinating Conjunction, Subordinating Conjunction และ Correlative Conjunction โดยจะอธิบายหลักการ และวิธีการใช้ในลำดับต่อไป

หลักการใช้ Coordinating Conjunction

          Coordinating Conjunction คือ คำสันธานที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคที่เป็นประเภทเดียวกัน มีความหมายเดียวกัน หรือมีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยจะใช้เชื่อมระหว่าง คำกับคำ, วลีกับวลี หรือ ประโยคกับประโยคก็ได้ โดยจะมีกลุ่มคำดังต่อไปนี้

  • For ใช้เชื่อมประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลกันหรือสอดคล้องกัน มีความหมายว่า สำหรับ , เพื่อ , ให้ , ของ , เป็นเวลา , เพราะ , แก่ หรือแทน ยกตัวอย่างประโยคดังนี้

I tell her to leave, for I’m very tired.

ฉันบอกให้เธอไปก่อนเลย เพราะว่าฉันเหนื่อยมาก

  • And ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายไปในทางเดียวกันหรือเหมือนกัน มีความหมายว่า และ , กับ , รวมทั้ง หรือตลอดจน ยกตัวอย่างประโยคดังนี้

Lisa and Linda sing a song.

ลิซ่ากับลินดาร้องเพลง

  • So ใช้เชื่อมประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลกันหรือสอดคล้องกัน มีความหมายว่า ดังนั้น , แล้ว , เพราะฉะนั้น , เช่นนั้น , หรืออย่างนั้น เช่น

We haven’t enough beds, so I go to sleep on the floor.

พวกเรามีเตียงไม่พอ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไปนอนที่พื้น

  • Nor ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายไปในเชิงปฏิเสธทั้งคู่ มีความหมายว่า ไม่ , และไม่ หรือ และก็ไม่เหมือนกัน เช่น

My father nor your uncle play tennis.

พ่อของฉันกับลุงของคุณไม่ได้ตีเทนนิส

  • But ใช้เชื่อมประโยคที่มีความขัดแย้งกันมาก ๆ มีความหมายว่า แต่ ,แต่ว่า , ยกเว้น , ถ้าไม่ หรือแต่กระนั้น เช่น

My grandfather’s 75 but he still strong.

ปู่ของฉันอายุ 75 แล้ว แต่เขายังคงแข็งแรง

  • Yet ใช้เชื่อมประโยคที่มีความขัดแย้งกันมาก ๆ มีความหมายว่า แต่ หรือแต่ว่า เช่น

He studies very hard, yet failed exam

เขาเรียนหนักมากเลย แต่ก็ยังสอบตก

หลักการใช้ Subordinating Conjunctions

          Subordinating conjunction คือ คำสันธานที่นำมาใช้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน ใช้เชื่อมประโยคหลักกับประโยครองเพื่อให้ประโยคสวยขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ๆ ดังนี้

  • คำสันธานที่ใช้เกี่ยวกับเวลา เช่น while , when , after , before , as soon as , once , whenever และ until ตัวอย่างประโยคเช่น

While I am going to school, my phone is rang.

ขณะที่ฉันกำลังไปตลาด โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

  • คำสันธานที่ใช้เมื่อประโยคมีความขัดแย้งกัน เช่น although , though , even though และ whereas ยกตัวอย่างเช่น

Although you have a headache, you go to play basketball.

ถึงแม้ว่าคุณจะปวดหัว คุณก็ไปเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ดี

  • คำสันธานที่ใช้ในการบอกเหตุผล เช่น because , since , so that , as , in order that ยกตัวอย่างเช่น

My vase is broken because the cat jumps on the table.

แจกันของฉันแตก เพราะแมวกระโดดอยู่บนโต๊ะ

  • คำสันธานที่ใช้ในการบอกเงื่อนไข เช่น if , provided that , assuming that , as long as , even if และ unless ยกตัวอย่างเช่น

Her mom will buy the car for her if she pass her exam.

แม่ของเธอจะซื้อรถยนต์ให้เธอ ถ้าเธอสอบผ่าน

หลักการใช้ Correlative Conjunction

          Correlative conjunction คือคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคที่มีความสอดคล้องกัน และมีความเท่าเทียมกัน โดยจะเป็นคำที่ต้องใช้คู่กันเสมอ โดยจะมีกลุ่มคำดังต่อไปนี้

  • not only…..but also แปลว่า ไม่ใช่แค่จะ…….แต่ยัง ยกตัวอย่างประโยค เช่น

They not only eat the cakes but also drink the coffee.

พวกเขาไม่ใช่แค่จะกินเค้ก แต่ยังดื่มกาแฟด้วย

  • either…..or คือ คำสันธานที่ประธานของประโยคจะต้องเลือกกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างประโยค เช่น

You could either go to the beach or hike up the mountain.

คุณสามารถไปที่ชายหาดหรือเดินขึ้นเขาก็ได้

  • as…..as คือ คำสันธานที่แสดงให้เห็นถึงความเท่ากับ เสมอกัน หรือเหมือนกัน หรือใช้ในเชิงเปรียบเทียบบางสิ่งที่เท่ากัน ยกตัวอย่างประโยค เช่น

She drives the car as fast as him

เธอขับรถยนต์เร็วพอ ๆ กับเขา

คำสันธาน หรือ Conjunction ในภาษาอังกฤษนั้น เมื่อแบ่งตามวิธีการใช้แล้ว จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

  1. Coordinating Conjunction จะใช้เชื่อมประโยคที่มีความเหมือนกัน หรือต่างกัน โดยที่ความหมายของประโยคจะต้องมีน้ำหนักเท่ากัน โดยจะมีคำว่า for, and, nor, but, or, yet และ so
  2. Subordinating Conjunction นำมาใช้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน โดยที่ความหมายของประโยคจะต้องมีน้ำหนักไม่เท่ากัน โดยจะมีคำว่า while , when , after , before , as soon as , once , whenever , although , though , even though , because , since , so that , as , in order that , if , provided that , assuming that , as long as และ even if
  3. Correlative Conjunction ใช้เชื่อมประโยคที่มีความเหมือนกัน หรือต่างกัน และมีน้ำหนักเท่ากันเหมือนกับ Coordinating Conjunction แต่จะใช้คำสันธาน 2 คำขึ้นไป เช่น as…as , both…and , either…or , neither…nor , just as…so และ not only…but also

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


7 ประโยชน์ของ “กระเจี๊ยบเขียว” ที่คุณอาจไม่รู้

กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย การบริโภคกระเจี๊ยบเขียวเป็นประจำ อาจช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกายของเรา

ถ้าจะบอกว่าชาวญี่ปุ่นนิยมทาน กระเจี๊ยบเขียว มาก ทุกคนจะเชื่อหรือเปล่าคะ? ทานสดๆ นำไปประกอบอาหารต่างๆ สารพัดเมนูอีกต่างหาก ขนาดไปเวียดนาม ที่นั่นยังเสิร์ฟกระเจี๊ยบเขียวให้มาย่างทานกันสดๆ อีกด้วย ไม่ใช่แค่รสชาติที่ดี แต่เป็นเพราะสรรพคุณเจ๋งๆ ของกระเจี๊ยบเขียวนี่แหละ ที่ทำให้ใครต่อใครก็หามาทานกันมากมาย จะมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง มาดูกันค่ะ

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว

  1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และคนที่กำลังควบคุมน้ำตาล-น้ำหนัก
  2. ลดอาการท้องผูก เพราะมีเมือกที่ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวขึ้น และยังมีใยอาหารที่ดีต่อการขับถ่าย
  3. ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  4. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะอาหาร เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ และลำอักเสบได้
  5. ใครที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว การทานกระเจี๊ยบเขียวพร้อมเมือกเหนียวๆ ใสๆ จะช่วยเข้าไปเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
  6. ฝักกระเจี๊ยบต้มเกลืออ่อนๆ สามารถแก้อาการกรดไหลย้อนได้
  7. มีโฟเลตสูง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นสิ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้นจึงเหมาะกับหญิงมีครรภ์

วิธีรับประทานกระเจี๊ยบเขียว

สามารถหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทานสดๆ ได้เลย หรือจะนำไปประกอบอาหารกับเมนูอื่นๆ นำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆ หรือจะทานผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมะนาว หรือไอศกรีมก็ได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/03/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a46,900.0047,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,038.0046,056.0847,800.00
ทองรูปพรรณ 90%2,734.2041,450.47n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,430.4036,844.86n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,367.0020,723.72n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,063.0016,115.08n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,148.0047,723.68n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/03/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6535.1534.6534.6534.6534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.2834.2834.7834.2834.2834.2834.2834.2834.2834.28
แก๊สโซฮอล์ E2032.4432.4432.9432.4432.4432.4432.4432.4432.44
แก๊สโซฮอล์ E8530.7930.7930.79
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.2449.8449.8449.8443.24
เบนซิน 9542.9449.8143.4443.0942.94
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า