สาระน่ารู้ประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2568

พิษศก.คอนโดบ้านมือสองบูมคนแห่ยกเครื่องขาย-เช่ารับดีมานด์พุ่ง

พิษศก.หนุน‘คอนโด-บ้านมือสอง’บูม คนผ่อนต่อไม่ไหว นักลงทุนแห่ยกเครื่อง‘ขาย-เช่า’รับดีมานด์พุ่งแซงบ้านมือหนึ่ง

ในวันที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเผชิญภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง ผู้เล่นรายใหญ่บางรายเริ่มลดขนาดโครงการ หันไปจับตลาดไฮเอนด์ หรือแม้กระทั่ง “รัดเข็มขัด” เพื่อลดความเสี่ยง ขณะเดียวกัน มี “ผู้เล่นหน้าใหม่” โผล่ขึ้นมาท่ามกลางวิกฤติ เป็นพลังเงียบผลักดันตลาดขยับ

หนึ่งในกระแสที่น่าจับตา คือ “คอนโดมิเนียมและบ้านมือสอง” กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่มีการผนึกกำลังระหว่าง นายหน้าอสังหาริมทรัพย์และสถาปนิก ใช้กลยุทธ์ “รีโนเวทบ้านจากกรมบังคับคดี” ก่อนนำกลับมาขายต่อได้กำไรเฉลี่ย 10-15% ต่อหลัง สูงกว่า “บ้านใหม่” ที่บางรายอาจทำกำไรได้เพียงหลักเดียว

สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ซีอีโอ บริษัท สถาพร เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ปี 2567 สะท้อนภาพชัดเจนว่า “บ้านมือสอง” คือพระเอกของตลาด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 62% หรือ 217,072 หน่วย จากยอดโอนทั้งหมด 347,799 หน่วย ทิ้งห่างบ้านใหม่เพียง 38% หรือ 130,727 หน่วย

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ้านมือสองได้รับความนิยม คือ ‘ทำเล’ ส่วนใหญ่อยู่ตามซอยในย่านใจกลางธุรกิจ หรือ ซีบีดี และ ‘ราคา’ ที่ดึงดูดใจกว่าบ้านใหม่ราว 20% ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจชะลอ คนผ่อนไม่ไหว บ้านถูกยึด และเข้าสู่กรมบังคับคดีอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นโอกาสของนักลงทุนสายรีโนเวทที่เห็นมูลค่าตรงจุดนี้”

ทั้งนี้ บริษัทกำลังศึกษาธุรกิจคอนโดและบ้านมือสองเพื่อรองรับลูกค้าที่ยังไม่สามารถกู้ซื้อได้ทันทีในรูปแบบการเช่า ซื้อ ก่อนเหมือนหลายบริษัททำ เป็นไปตามเมกะเทรนด์ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มที่ทำจะเป็นนายหน้าอสังหาฯ และสถาปนิก มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจบ้านมือสอง เพราะสามารถบริหารจัดการต้นทุนในการปรับปรุงและเข้าถึงดีมานด์ของลูกค้าเป้าหมายได้ดี

สอดคล้องกับ ชญาณ์นันท์ กีรติเตชะนนท์ ซีอีโอ บริษัท เวลทิเนส เอสเตท จำกัด ตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวมีกลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะวิศวกร สถาปนิก ที่มีความรู้เข้าไปซื้อคอนโดที่ได้รับผลกระทบมีรอยแตกร้าว มาปรับปรุงเพื่อขายหรือปล่อยเช่า เพราะคอนโดส่วนใหญ่ที่ก่อสร้างหลัง ปี 2550 มีโครงสร้างที่มีมาตรฐานป้องกันแผ่นดินไหว และเชื่อว่า สุดท้ายแล้วลูกค้าจะเข้ามาซื้อหรือเช่าคอนโดอยู่ดี เพราะตอบโจทย์การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ส่งผลให้ตลาดบ้านและคอนโดมือสองปีนี้มีการเติบโตก้าวกระโดด

“กำลังซื้อคนมีอยู่จำกัด ทำให้บ้านและคอนโดมือสองตอบโจทย์วิถีชีวิตและรายได้ที่มีจำกัด ช่วยลดภาระและความเสี่ยงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงได้ดี”

อีกหนึ่งเสียงจาก ประวิทย์ อนุศิริ นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีบ้านว่างในตลาดรวมกว่า 1.4 ล้านหลัง เป็นบ้านมือหนึ่งประมาณ 4 แสนหลัง บ้านมือสอง 8-9 แสนหลัง มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นทรัพย์จากธนาคารและกรมบังคับคดีและมาตรการรัฐก็มีส่วนหนุนให้ตลาดเติบโตถึง30%

โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนองเหลือเพียง 0.01% ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายลดลงเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน กลุ่มอาชีพอิสระ เช่น หมอ วิศวกร สถาปนิก เข้าถึงตลาดบ้านมือสองอย่างจริงจัง เพื่อสร้างรายได้เสริมบางรายถึงขั้นป็นอาชีพหลัก

บ้านมือสอง…จากของเก่า กลายเป็นโอกาสใหม่

บ้านมือสองไม่เพียงเป็นทรัพย์ราคาดี แต่ยังมาพร้อม “ทำเลทอง” ในเมือง ที่หาบ้านใหม่ในระดับราคาเดียวกันได้ยาก อีกทั้งข้อได้เปรียบเชิงการเงิน เช่น ไม่ต้องวางเงินดาวน์ ขอสินเชื่อจากธนาคารทำได้ง่ายกว่า เพราะเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในระบบธนาคารอยู่แล้ว จึงไม่แน่แปลกใจที่จะมีดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่โดดเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง หนึ่งในนั้น “เอพี ไทยแลนด์” ได้เดินหน้าธุรกิจใหม่ ภายใต้ชื่อ HOMERUN (โฮมรัน) ซึ่งเป็น Proptech เน้นการบริหารจัดการอสังหาฯ มือสอง รับซื้อและขายบ้านรีโนเวทใหม่ในทำเลใจกลางเมือง

HOMERUN มีการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและแนวคิด Proptech เข้ามาในการทำงาน ด้วยการเข้าใจถึง Insight ทั้งผู้ที่อยากขายสินทรัพย์ และผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดใหญ่ในเมืองที่ราคาเอื้อมถึงได้ โดยไม่ต้องไปหาซื้อและรีโนเวทเอง 

“ปัจจุบันอสังหาฯ ทำเลใจกลางเมืองราคาสูงขึ้นและที่ดินหายาก มีจำนวนจำกัด ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองยังคงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตของผู้คนทำให้คอนโดและบ้านมือสอง เป็นที่ต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับทำเลเด่นที่ตลาดบ้านมือสองเติบโตมากที่สุดในปีนี้ ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี และนนทบุรี รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ที่กลุ่มนักลงทุนเริ่มหันมาสนใจทรัพย์ประเภทโรงงานและโกดังให้เช่า 

ในขณะที่ ภาพรวม “บ้านใหม่” ชะลอตัว และมีสต็อกคงค้างมากกว่า 200,000 หน่วย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาระบายไม่ต่ำกว่า 4 ปี แต่อีกฟากหนึ่ง “บ้านมือสอง” กลับแสดงศักยภาพในฐานะ “หัวหอก” ผลักดันตลาดให้เดินหน้า สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่จากผู้เล่นหน้าใหม่ในสายรีโนเวท อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดอสังหาฯ ไทยรอบนี้

“อสังหาฯ ไม่จำเป็นต้องใหม่เสมอไป ถ้ามูลค่าและทำเลแม้จะเก่าแก่แต่ทรงพลัง!”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


สงครามการค้า แรงส่งธุรกิจคลังสินค้าเร่งปักหมุดอาเซียน

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกถูกบดบังด้วยเมฆหมอกของความขัดแย้งทางการค้าและมาตรการภาษีนำเข้าที่ไม่แน่นอน ตลาดคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมในไทยกลับฉายแสง จากการวางเกมเชิงกลยุทธ์ของผู้เล่นหลักที่ไม่เพียงแค่รับมือ หากแต่ใช้สถานการณ์เป็น “แรงส่ง” ขยายการลงทุนเชื่อมโยงอาเซียน รับมือความปั่นป่วนของโลกด้วยความยืดหยุ่นและเฉียบคม

ในโลกที่สายพานการค้าโลกกำลังสั่นสะเทือน จากภาษีนำเข้าที่กลายเป็นเครื่องมือเชิงการเมืองระหว่างมหาอำนาจ หลายประเทศต่างรับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ในมุมหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลาดคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของไทยกลับได้รับ “อานิสงส์ทางอ้อม” อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จากวิกฤติสู่โอกาส…อาเซียนกลายเป็น‘คำตอบใหม่’

“ภาษีการค้าคือความท้าทาย แต่เรามองเห็นโอกาสในการโยกย้ายฐานผลิตเข้ามาในอาเซียน” เสียงสะท้อนจาก พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT สะท้อนภาพการวางยุทธศาสตร์ที่มองไกลเกินเพียงการรับมือ

เฟรเซอร์สฯ จึงเดินหน้าขยายฐานธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้ารายได้ในปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) ที่ กว่า 4,000 ล้านบาท เติบโต 19% จากปีก่อนหน้า ด้วยความเชื่อมั่นในจุดแข็งของภูมิภาคนี้ ทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความพร้อมของแรงงาน และตลาดบริโภคในประเทศที่กำลังเติบโต

มากกว่าพื้นที่คือ “พันธมิตรธุรกิจ”

FPT ไม่ได้เพียงให้บริการพื้นที่ แต่กำลังแปลงตัวเป็น “พันธมิตรธุรกิจเชิงกลยุทธ์” ด้วยพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารกว่า 3.77 ล้านตารางเมตร ครอบคลุม ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม พร้อมแลนด์แบงก์รองรับการพัฒนาเฉพาะทางเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ

“ลูกค้าที่ต้องการขยายหรือลดความเสี่ยงจากสงครามการค้า เรามีโครงสร้างรองรับการโยกย้ายฐานผลิตแบบไร้รอยต่อในภูมิภาค” พีระพัฒน์กล่าว

‘พรอสเพค รีท’ลดเสี่ยงด้วยความหลากหลาย

อรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้าน บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด บริหาร โครงการ Bangna Trad Free Zone (BFTZ) ศูนย์กลางของคลังสินค้าและโรงงานขนาดใหญ่ในภาคตะวันออก ระบุว่า แม้รายได้ในไตรมาสแรกปี 2568 จะปรับลดเล็กน้อยจากการที่ผู้เช่าบางกลุ่มที่ย้ายออก เช่น ธุรกิจ Solar Cell แต่ก็มีผู้เช่ารายใหม่เข้ามาแทนที่ทันที และจะรับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป

“ความหลากหลายของผู้เช่า ทั้งด้านอุตสาหกรรมและสัญชาติ คือเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุดในยุคนี้” อรอนงค์กล่าว พร้อมชี้ว่า ทิศทาง FDI ไตรมาสแรกปี 2568 ที่สูงถึง 267,664 ล้านบาท คือหลักฐานของความเชื่อมั่นที่นักลงทุนต่างชาติมีต่อศักยภาพของไทย

ไทยยังยืนหยัด แม้ถูกบีบจากภาษีนำเข้า

แม้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ จะเริ่มส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ของโลก แต่จากการสำรวจผู้เช่าในโครงการ BFTZ กลับพบว่า กลุ่มผู้เช่าที่ส่งออกไปยังสหรัฐ  มีสัดส่วนน้อย และยังไม่มีการย้ายฐานผลิตในช่วงใกล้นี้

“ไทยยังเป็นศูนย์กลางทางเลือกที่ยืดหยุ่นมากกว่าเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐานและระบบซัพพลายเชน” อรอนงค์ย้ำ

ทั้งนี้ผู้เช่าในพื้นที่กว่า 80% เป็นโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล, เวชภัณฑ์, ปิโตรเคมี, ยานยนต์ และเหล็ก ซึ่งมีอัตราการต่อสัญญาสูงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึง “ความมั่นใจระยะยาว”

คลังสินค้าไทยกำลังกลายเป็น ‘ทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์’ในสนามแข่งขันที่ไม่แน่นอน ความสามารถในการ “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” กำลังกลายเป็นปัจจัยชี้วัดความอยู่รอด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอย่าง FPT และ PROSPECT ไม่เพียงตอบโจทย์ปัจจุบัน แต่กำลังวางหมากรองรับอนาคต “คลังสินค้า” จึงไม่ใช่แค่สถานที่เก็บสินค้าอีกต่อไป แต่คือ “ทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์” ที่ช่วยยึดโยงการลงทุน ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวินาที

และประเทศไทย ก็กำลังเป็นศูนย์กลางแห่งความยืดหยุ่นนี้ในอาเซียน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้15พ.ค. “อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 33.43 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้15พ.ค. “อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 33.43 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน จากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ผู้ส่งออกและผู้เล่นในตลาดบางส่วนมองเงินบาทอ่อนค่า อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15พ.ค.2568ที่ระดับ  33.43 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.21 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น

 อาจมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ (Buy on Dip) หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงเข้าใกล้โซนแนวรับ ซึ่งหากราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้จากโซนแนวรับดังกล่าว อย่างน้อย +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ ทำให้ แนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ยังเป็นโซนแนวต้านที่อาจผ่านได้ยากในช่วงนี้

อย่างไรก็ดี หากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลุดโซนแนวรับดังกล่าว ก็อาจปรับตัวลดลงต่อได้อีกราว -2.5% ถึงโซนแนวรับสำคัญถัดไป ซึ่งหากประเมินจาก Beta ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ ราว 0.3-0.5 อาจสะท้อนได้ว่า เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีกราว 0.75%-1.25% ทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้

โดยเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อ พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้

(ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงตั้งแต่ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) ล้วนออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ พร้อมปรับลดโอกาสเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงชะลอตัวลงจนเข้าสู่ภาวะ Stagflation หรือแม้กระทั่ง Recession

อนึ่ง เรามองว่า บรรดาผู้ส่งออกและผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ในช่วงโซนแนวต้านของเงินบาทดังกล่าว ทำให้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป

 ทั้งนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ จะยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน โดยโซนแนวรับของเงินบาทยังอยู่ในช่วง 33.15 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีโซนแนวรับสำคัญแถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามเดิม

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.60 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 33.18-33.48 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด กอปรกับผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า

นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) จนเข้าใกล้โซนแนวรับสำคัญ หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติมในช่วงนี้ 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันบ้างจากแรงขายหุ้นกลุ่ม Healthcare ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากมาตรการควบคุมราคายาของรัฐบาล Trump 2.0 อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Nvidia +4.2%, Tesla +4.1% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.72% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.10%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.24% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะได้อานิสงส์จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาผสมผสาน

ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปในช่วงที่ผ่านมา อย่างกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH -2.2% นอกจากนี้ ความกังวลผลกระทบจากมาตรการควบคุมราคายาของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้กดดันให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ยุโรป ต่างปรับตัวลดลงต่อเนื่องเช่นกัน

ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ท่ามกลางความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.54%

โดยเราคงคำแนะนำเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวได้ (เน้น Buy on Dip) โดยเฉพาะในช่วงโซนสูงกว่า 4.50% 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามทิศทางการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็ดูเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 101 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.4-101.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ดิ่งลงกว่า -1.6% สู่ระดับ 3,185 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนดังกล่าว ซึ่งเป็นโซนแนวรับของราคาทองคำในช่วงนี้ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

รวมถึง ดัชนีภาคธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ สอดคล้องกับคาดการณ์ของเฟดใน Dot Plot เดือนมีนาคม

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของยูโรโซนและอังกฤษ ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยภาพดังกล่าว รวมถึงถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเป็นปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดใช้ประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้ง ECB และ BOE โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ของ ECB และ BOE ลง ท่ามกลางความหวังแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น หากสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าได้สำเร็จ 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในไตรมาสแรกเช่นกัน

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.39-33.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.21 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.22 บาทต่อดอลลาร์

โดยเงินบาทอ่อนค่าลง สวนทาง Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่ฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เฟดจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติม หลัง รมว. คลัง สหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการทำให้การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ เป็นประเด็นในการหารือเพื่อเจรจาการค้า

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.30-33.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์เงินหยวนและสกุลเงินในภูมิภาค สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ถ้อยแถลงของประธานเฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


รู้จักกับ “พิคเคิลบอล (Pickleball)” กีฬาลูกผสมที่กำลังมาแรงทั่วโลกในตอนนี้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Pickleball (พิคเคิลบอล) กลายเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ และเห็นในโลกออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง

โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีกลุ่มผู้เล่น Pickleball ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ด้วยความที่เป็นกีฬาที่เล่นง่าย สนุก และไม่ต้องใช้แรงมาก ทำให้ Pickleball เป็นกิจกรรมที่เหมาะกับคนทุกวัย

พิคเคิลบอล Pickleball คืออะไร?

Pickleball เป็นกีฬาที่มีลักษณะคล้ายลูกผสมระหว่าง เทนนิส, แบดมินตัน และปิงปอง ใช้อุปกรณ์หลักคือไม้ตี (เรียกว่า Paddle) และลูกบอลพลาสติกมีรู (Wiffle Ball) ซึ่งมีน้ำหนักเบา และสามารถเล่นได้ทั้งแบบเดี่ยว (1 ต่อ 1) และคู่ (2 ต่อ 2)

สนามของ Pickleball มีขนาดเล็กกว่าสนามเทนนิส ใช้สนามที่คล้ายสนามแบดมินตัน โดยมี “โซนห้ามตีวอลเลย์” หรือที่เรียกว่า “Kitchen” อยู่ใกล้ตาข่าย เพื่อจำกัดพื้นที่ในการเล่นลูกแบบกระโดดตบ

จุดเด่นของ Pickleball

  • เล่นง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานกีฬาใดมาก่อนก็เริ่มเล่นได้
  • ไม่ใช้แรงมาก จึงเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่ถนัดกีฬาใช้พลัง
  • สนุกและรวดเร็ว เกมมีจังหวะไว คล้ายปิงปองบนสนามใหญ่
  • ใช้พื้นที่น้อย สามารถเล่นในสนามแบดมินตัน หรือสนามกลางแจ้งขนาดเล็ก
  • เป็นกิจกรรมเข้าสังคมได้ดี นิยมเล่นกันเป็นกลุ่มในชุมชนหรือสโมสร

กติกาพื้นฐาน Pickleball

  • เริ่มเกมด้วยการเสิร์ฟ จากด้านขวา เสิร์ฟต้องเป็นแบบตีจากล่าง (Underhand) และต้องเสิร์ฟข้ามตาข่ายไปยังอีกฝั่งในแนวทแยง
  • ระบบนับแต้ม มีเพียงฝั่งเสิร์ฟเท่านั้นที่สามารถทำคะแนนได้
  • ลูกต้องเด้งหนึ่งครั้งก่อนตอบโต้ในแต่ละฝั่ง ในช่วงสองลูกแรกของเกม (Double Bounce Rule)
  • ห้ามตีลูกวอลเลย์ในเขต Kitchen เพื่อความปลอดภัยและเพิ่มความยุติธรรมในการเล่นใกล้ตาข่าย
  • เกมมักเล่นถึง 11 แต้ม ต้องนำอีกฝ่ายอย่างน้อย 2 แต้มจึงจะชนะ

Pickleball ในประเทศไทย

แม้ยังไม่แพร่หลายในวงกว้างเท่าต่างประเทศ แต่เริ่มมีการแนะนำ Pickleball ในหลายชมรมกีฬา โรงเรียน และฟิตเนสเซ็นเตอร์ในไทย โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มองหากีฬาใหม่ๆที่เล่นสนุก ไม่หนักจนเกินไป

Pickleball คือกีฬาน้องใหม่ที่กำลังมาแรงทั่วโลก ด้วยจุดเด่นที่เล่นง่าย สนุก และปลอดภัย จึงเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าคุณจะเล่นเพื่อออกกำลังกาย หรือเข้าสังคม Pickleball ก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก.sanook.com


หิวจริงหรือเครียด? พฤติกรรมกินจุบจิบอาจเป็นสัญญาณจากใจ ไม่ใช่ท้อง

เคยเป็นไหม เพิ่งกินข้าวอิ่มไปไม่ถึงชั่วโมง แต่กลับรู้สึกอยากหยิบขนมมากินอีก ทั้งที่ไม่ได้หิวจริงจังพฤติกรรมกินจุบจิบนี้ อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่ในระยะยาวสามารถส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและใจ ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากความเครียดหรือภาวะอารมณ์บางอย่างมากกว่าความหิว 

ทำไมถึงชอบกินจุบจิบทั้งที่ไม่หิว

การกินจุบจิบมักเกิดจาก “Emotional eating” หรือการกินเพื่อตอบสนองอารมณ์มากกว่าเพื่อตอบสนองความหิวจริง เช่น เครียดจากงาน เบื่อ เซ็ง นอนไม่พอ ใช้ของกินเป็นรางวัลให้ตัวเอง อาหารที่เลือกกินก็มักจะเป็นพวกของหวาน แป้ง หรือของมัน เพราะร่างกายต้องการ “โดพามีน” หรือสารแห่งความสุข เพื่อชดเชยอารมณ์ลบที่รู้สึกอยู่

เช็กสัญญาณว่าเรากำลังกินจุบจิบเพราะอารมณ์

หากคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ซ้ำๆ เป็นสัญญาณว่าอาจต้องจัดการที่อารมณ์ไม่ใช่แค่ควบคุมอาหาร

  • หิวแบบเฉียบพลัน อยากกินของหวานหรือของทอดทันที
  • กินเพลินจนหยุดไม่ได้
  • รู้สึกผิดหรือเสียดายหลังจากกิน
  • มักเกิดขึ้นตอนกลางคืนหรือหลังเจอเรื่องเครียด

วิธีรับมือกับนิสัยกินจุบจิบที่เกิดจากความเครียด

1. รู้ตัวและยอมรับ

แค่รู้ว่าเรากำลังกินเพราะเครียด ไม่ใช่หิว ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เริ่มแยกแยะได้ระหว่างความอยากกับความจำเป็น

2. หาทางระบายความเครียดแบบไม่ต้องพึ่งของกิน

  • เขียน Journal หรือบันทึกความรู้สึก
  • ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ
  • ฟังเพลงหรือเล่นโยคะ
  • คุยกับเพื่อน

3. วางของกินให้พ้นสายตา

ถ้าในบ้านมีขนมเยอะก็มีโอกาสหยิบกินมากขึ้น ลองเปลี่ยนมาเก็บไว้ในที่มองไม่เห็น หรือไม่ซื้อเข้าบ้านเลย ถ้าไม่อยากกินจริงๆ ก็จะไม่ลำบากใจ

4. กินอาหารมื้อหลักให้พอดีและอิ่มนาน

มื้อหลักที่มีโปรตีนและไฟเบอร์เพียงพอ จะช่วยให้ไม่เกิดความอยากอาหารตลอดเวลา เช่น ข้าวกล้อง ไข่ ผัก ผลไม้

5. ใช้เทคนิครอ 10 นาที

เมื่อรู้สึกอยากกินจุบจิบให้หยุดก่อน แล้วตั้งเวลารอ 10 นาที แล้วสังเกตว่าความอยากนั้นยังอยู่ไหม ถ้าหายไป แสดงว่าเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ใช่ความหิวจริง

หลายคนพยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้กินจุบจิบ แต่กลับล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะลืมมองว่าต้นเหตุอยู่ที่ความเครียดหรืออารมณ์ลบที่ยังไม่ได้รับการจัดการ การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร แต่คือการดูแลใจตัวเองด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สั่งปิดด่วน ศูนย์วิจัยเชื้อโรคร้ายแรง หลังคู่รักทะเลาะ เจาะรูชุดป้องกันอีกฝ่าย ในห้องแล็บ… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่

สั่งปิดด่วน ศูนย์วิจัยเชื้อโรคร้ายแรง หลังคู่รักทะเลาะ เจาะรูชุดป้องกันอีกฝ่าย ในห้องแล็บ

สั่งปิดด่วน ศูนย์วิจัยเชื้อโรคร้ายแรงสุดในโลก หลังคู่รักนักวิจัยทะเลาะในห้องแล็บ เจาะรูชุดป้องกันอีกฝ่าย หวั่นความปลอดภัย เกิดการรั่วไหลของเชื้อไวรัส

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดศูนย์วิจัยในเมืองเฟรเดอริก รัฐแมริแลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยที่ใช้ศึกษาโรคร้ายแรงที่สุดในโลก เนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัย หลังนักวิจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว 2 คน ทะเลาะกันในห้องแล็บ และเจาะรูชุดป้องกันอีกฝ่าย…

แหล่งข่าวของ HHS เผยว่า นักวิจัยคนหนึ่งเจาะรูบนอุปกรณ์ป้องกันของอีกฝ่ายในระหว่างที่ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรงในห้องแล็บที่ใช้วิจัยในห้องแล็บระดับ BSL-4 ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่อันตรายถึงชีวิต เช่น อีโบลา มาร์บูร์ก และไวรัสเฮนดรา

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้สั่งปิดห้องวิจัยอย่างเร่งด่วนเนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัยในศูนย์วิจัย พร้อมทั้งจำกัดการเข้าถึงเฉพาะบุคลากรที่จำเป็น

ขณะเดียวกัน ด้านดร.คอนนี ชมาลจอห์น ผู้อำนวยการศูนย์ ก็ถูกสั่งให้พักงานชั่วคราว เนื่องจากเธอไม่รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเจ้าหน้าที่ให้ทราบทันทีหลังเกิดเหตุ

ด้านนายไมเคิล โฮลบรูค รองผู้อำนวยการร่วมของศูนย์ เผยว่า ทางเรากำลังเก็บตัวอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้แน่ใจว่าการศึกษานี้ยังคงมีประโยชน์ และทางเรายังไม่มีคำสั่งให้ทำลายสัตว์ทดลองแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยแห่งนี้มีพนักงานประมาณ 168 คน รวมทั้งข้าราชการและผู้รับเหมา ได้รับการบริหารจัดการภายใต้สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ซึ่งเป็นหนึ่งในเพียงสิบกว่าศูนย์ทั่วสหรัฐ ที่ได้รับอนุญาตให้ศึกษาเชื้อไวรัสระดับ BSL-4 ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงสูงสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก khaosod.co.th


“เป็นห่วงนะ” ในภาษาอังกฤษพูดยังไง

ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดไวรัสโควิด-19 (COVID-19) อย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตรวมถึงหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราไม่ได้พบเจอกับคนรู้จักไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือเพื่อนฝูง การแสดงความห่วงใยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นปัญหาในครั้งนี้ไปได้

วันนี้ วอลล์สตรีท อิงลิช มีคำหรือประโยคที่แสดงความเป็นห่วงในภาษาอังกฤษมาแนะนำ เผื่อเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน มีคำไหนน่าสนใจบ้างไปดูกันเลย

คำที่แสดงความเป็นห่วงแบบตรง ๆ

ฉันเป็นห่วงเธอนะ

  • I do care about you.
  • I care about you.
  • I’m worried about you.
  • I worry about you.

คำที่แสดงความเป็นห่วงแบบอ้อม ๆ

  • Be Careful ระวังด้วยนะ
  • Be Cautious ระมัดระวังด้วย
  • Be Safe ขอให้ปลอดภัย
  • Don’t let anyone bring you down. อย่าให้ใครมาทำให้รู้สึกแย่
  • Don’t work too hard! อย่าทำงานหักโหมเกินไป
  • Get a lot of rest. พักผ่อนเยอะ ๆ
  • Get some me -time. รู้จักมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง
  • I’ll always be by your side. ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ
  • I’ll be there for you. ฉันจะอยู่ตรงนั้นกับเธอเอง
  • I’ll always be here for you. เป็นกำลังใจให้เธอเสมอนะ
  • I’m with you all the way. ฉันจะอยู่กับเธอตลอดเวลา
  • I’m worried about you. ฉันเป็นห่วงคุณ
  • Stay Healthy! ขอให้แข็งแรง
  • Stay Safe. ขอให้ปลอดภัย
  • Stay Strong. It will get better. สู้ ๆ นะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น
  • Take care of yourself. ดูแลตัวเองด้วย
  • You’ll get through this. เธอจะผ่านมันไปได้แน่ ๆ
  • How was your day? Tell me about it. วันนี้เป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยสิ
  • Is there anything I can do to help? มีอะไรให้ฉันช่วยรึป่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


คิดงานไม่ออกให้ลองอาบน้ำดูก่อน! ส่องเบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ขณะอาบน้ำ

เคยเป็นไหมคิดงานไม่ออกสักที แต่พอเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวแล้วปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัว ไอเดียกลับพุ่งเข้ามาไม่หยุด! เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่มีคำอธิบายจากงานวิจัยและหลักทางประสาทวิทยาศาสตร์รองรับ

ทำไมอาบน้ำแล้วถึงช่วยให้คิดออก

1. สมองเข้าสู่โหมด Default Mode Network

เมื่อเราทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้สมาธิมาก เช่น การอาบน้ำ สมองจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า Default Mode Network (DMN) ซึ่งเป็นช่วงที่เราปล่อยใจล่องลอย คิดอะไรเรื่อยเปื่อย คล้ายกับการฝันกลางวัน ซึ่งช่วงนี้เองที่สมองสามารถเชื่อมโยงข้อมูลหลากหลายเข้าด้วยกัน เกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น

2. น้ำอุ่นช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด

หยุดความเครียดจากการคิดงานไม่ออก และลองอาบน้ำอุ่นกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยกระตุ้นการหลั่งโดปามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวกับความสุข ความกระตือรือร้น และแรงจูงใจ เมื่อรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ก็มีโอกาสเบ่งบาน 

3. ไม่มีสิ่งรบกวน โฟกัสที่ดีขึ้น

ในห้องน้ำไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่มีคนมาขัดจังหวะ เราจึงมีพื้นที่ว่างทางความคิดที่เปิดกว้างให้ไอเดียใหม่ๆ ผุดขึ้นมาได้ง่ายกว่าตอนอยู่หน้าคอม

วิธีอาบน้ำเพื่อไอเดียดีๆ ในวันที่คิดงานไม่ออก

  • เลือกเวลาที่สมองตื้อสุดๆ เช่น ตอนบ่ายแก่ๆ หรือตอนเย็นหลังเลิกงาน
  • ไม่ต้องตั้งใจคิด ให้ปล่อยใจลอย ๆ แล้วคุณจะประหลาดใจกับไอเดียที่ไหลเข้ามา
  • มีที่จดไว้ใกล้มือ หลังออกจากห้องน้ำจะได้ไม่ลืมสิ่งที่ผุดขึ้นมา

หากคุณรู้สึกคิดงานไม่ออก ลองหยุดพักสักนิด เดินไปอาบน้ำแล้วปล่อยสมองให้ได้หายใจบ้าง ความคิดสร้างสรรค์อาจไม่ได้มาตอนที่เราตั้งใจคิด บางครั้งแค่ให้เวลาตัวเองผ่อนคลายและล่องลอยไปกับสายน้ำไอเดียใหม่ๆ ก็จะผุดมาแบบไม่รู้ตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/05/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a49,750.0049,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,223.0048,860.6850,650.00
ทองรูปพรรณ 90%2,900.7043,974.61n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,578.4039,088.54n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,450.0021,982.00n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,128.0017,100.48n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,340.0050,634.40n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/05/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4448.8449.8448.8441.44
เบนซิน 9541.1448.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า