ทั่วโลกตื่นตัวเลิกขายอสังหาริมทรัพย์ ให้ชาวต่างชาติ

ในขณะที่ประเทศไทยพยายามขายบ้าน ขายแผ่นดินให้ต่างชาติกันมาโดยตลอด รัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า แต่ในประเทศที่เจริญ (กว่าไทย) แล้ว เขาพยายามหยุดยั้งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติ
1.สิงคโปร์ กำหนดไว้ชัดเจน ต่างชาติที่มาซื้อห้องชุดต้องเสียภาษีซื้อถึง 60% เช่น ถ้าห้องชุดราคา 40 ล้านบาท ก็ต้องนำเงินอีก 24 ล้านบาท (60% ของราคา 40 ล้านบาท) ไปประเคนให้รัฐบาลสิงคโปร์นำไปพัฒนาประเทศ
เพื่อประโยชน์ของมหาชนชาวสิงคโปร์ ภาษีอย่างนี้ ไทยไม่เก็บและไม่เคยคิดจะเก็บ พวกที่พยายามจะ “ขายชาติ” ทั้งหลาย เห็นว่าไปศึกษาจากนานาชาติมามากมาย ไม่เคยยกเงื่อนไขนี้มาคิดพิจารณาเลย เงียบกริบ หวังจะ “ขายชาติ” กันสถานเดียว
2.มาเลเซีย กำหนดราคาขั้นต่ำที่ต่างชาติจะซื้อได้ คือ ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านริงกิต (หรือ 16 ล้านบาท) โดยเฉพาะในเขตกรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่ในกรณีประเทศไทย ต่างชาติมาซื้อได้ในทุกระดับราคา 2 ล้านบาทก็ซื้อได้
อย่างนี้ก็แย่งคนไทยซื้อ ทำให้ราคาเพิ่มมากขึ้น คนไทยซื้อบ้านได้ยากขึ้น การเปิดให้ต่างชาติซื้อห้องชุดแบบไม่มีราคาขั้นต่ำนี้ ก็คือการทำลายคนไทยด้วยกันเอง
3.อินโดนีเซีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทยหนึ่งเท่าตัว ก็กำหนดราคาขั้นต่ำไปประมาณ 330,000 ดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านบาทเช่นกัน แต่ “ไทยเฉย”
ถ้าเราดูเลยไปอีกนิดในเอเชีย เขาก็พยายามกีดกันต่างชาติไม่ให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน
1.ออสเตรเลีย กำหนดไว้เลยว่าใครก็ตามที่จะซื้อบ้านในออสเตรเลีย ซื้อได้เฉพาะบ้านมือหนึ่งที่สร้างใหม่ ห้ามซื้อบ้านมือสอง เพราะจะเท่ากับมาแย่งชาวออสเตรเลียซื้ออย่างชัดเจน
2.นิวซีแลนด์ ห้ามขาดต่างชาติไปซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้ว เขายืนยันว่าไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่พวกที่เกี่ยวข้องกับการขายบ้านก็พยายามเรียกร้องให้ “ขายชาติ” เช่นเดียวกันที่เย้วๆ ในประเทศไทย แต่รัฐบาลที่นั่นยึดแน่นในผลประโยชน์ของมหาชนมากกว่าของพวกนักธุรกิจ
3.เกาหลีใต้ ก็เริ่มเพิ่มความเข้มงวดมาตรการผู้ซื้อบ้านชาวต่างชาติด้วยระบบใบอนุญาตใหม่ ทั้งนี้เพราะมีชาวต่างชาติที่ร่ำรวยแต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศเกาหลีใต้กำลังซื้อบ้านหรูเพื่อการลงทุน ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
นับแต่นี้ ชาวต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อนซื้อบ้านในกรุงโซลและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ที่สุดของกระทรวงในการสกัดกั้นการไหลเข้าของเงินจากต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์
(กรุงโซล 23 เมืองและเทศมณฑลในจังหวัดคยองกี และ 7 เขตของอินชอน) และผู้ซื้อชาวต่างชาติต้องย้ายเข้าภายใน 4 เดือนนับจากวันที่ซื้อ และต้องอาศัยอยู่ในอสังหาริมทรัพย์นั้นอย่างน้อยสองปี
ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามนี้อาจเสี่ยงต่อการถูกปรับซ้ำหลายครั้งเป็นเงินสูงสุดถึง10% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ และอาจถูกยกเลิกการซื้อขาย ตามข้อมูลพบว่า ณ สิ้นปี 2567 ชาวจีนมีถือครองอสังหาริมทรัพย์ 56,301หน่วย รองลงมาคือชาวอเมริกัน 22,031 หน่วย ชาวแคนาดา 6,315 หน่วย และชาวไต้หวัน 3,360 หน่วย
4.จีน ต่างชาติไม่สามารถซื้อบ้านได้เลย ได้แต่เช่า 50-70 ปีเท่านั้น และผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้ที่ทำงานอยู่ในประเทศจีนแล้ว 1 ปี หรือมีใบกำกับภาษี และซื้อได้แค่หน่วยเดียว ไม่สามารถซื้อไว้เก็งกำไรได้ ไม่สามารถซื้อห้องชุดเป็นจำนวนมาก เช่นที่คนจีนทำในกรุงเทพมหานคร แล้วเปิดให้เช่าแบบ AirBnB สัญชาติจีนที่อุกอาจเอากุญแจห้องมาแขวนไว้ในที่สาธารณะให้แขกถือเข้าไปในห้องชุดได้โดยตรง
5.ญี่ปุ่น เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่า ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นเป็นเรื่องง่ายเกินไป ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อของชาวญี่ปุ่นเอง (ทุกประเทศในโลกมักเห็นแก่ประโยชน์ของชนในชาติมากกว่าประโยชน์ของนักธุรกิจที่ขายอสังหาริมทรัพย์ให้คนต่างชาติ)
การซื้อบ้านของคนต่างชาติในญี่ปุ่น ทำให้ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มคนซื้อที่ “น่ากลัว” ของญี่ปุ่นก็คือคนจีน ที่แห่ไปซื้อห้องชุดบ้าง บ้านร้างในชนบทบ้าง
6.อินเดีย กำหนดไว้ว่าต่างชาติจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอินเดียได้ต้องเป็น คนอินเดียที่ไม่ได้อยู่ในอินเดียและชาวอินเดียโพ้นทะเลเป็นหลัก ส่วนชาวต่างชาติอื่นๆ ต้องได้รับการอนุญาตให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นรายๆ ไปจากธนาคารกลางของอินเดียเท่านั้น
มาดูในอเมริกากันบ้างว่าเป็นอย่างไร
1.สหรัฐอเมริกาที่เคยเปิดกว้างเป็นพิเศษ ก็ปรากฏว่ามีการจำกัดการซื้อในบริเวณใกล้ฐานทัพ หรือบางรัฐก็เริ่มคิดที่จะมีข้อจำกัดกันบ้างแล้ว เพราะกำลังซื้อของต่างชาติโดยเฉพาะจีนมาแรงมากๆ
จนกระทั่งขนาดสหรัฐอเมริกายังหวั่นเกรงปัญหาภัยความมั่นคงของประเทศ ในสหรัฐมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายปี ภาษีกำไรจากการขายต่อ ที่ค่อนข้างสูงมาก
2.แคนาดา มีประกาศจากรัฐบาลกลางขยายระยะเวลาห้ามชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในแคนาดาออกไปอีก 2 ปี (ถึงปี 2570) ทั้งนี้เพื่อต้องการให้รักษาตลาดบ้านไว้ให้ชาวแคนาดา และราคาที่อยู่อาศัยไม่พุ่งพรวดพราดเพราะการซื้อขายของชาวต่างชาติ
รัฐบาลของเขาเห็นว่าที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวชาวแคนาดาจะไม่กลายเป็นสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการเก็งกำไร จึงมุ่งมั่นที่จะทำให้ที่อยู่อาศัยมีราคาที่เอื้อมถึงได้โดยชาวแคนาดาทั่วประเทศ
ในยุโรปก็ไม่แพ้กัน ปรากฏว่า
1.สเปน มีข้อเสนอภาษีใหม่ที่กำหนดให้ผู้ซื้อที่ไม่ใช่ชาวสหภาพยุโรปต้องเสียภาษีทรัพย์สิน 100% ขึ้นไป แต่การซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการเปิดใหม่ได้รับการยกเว้น เป้าหมายคือการควบคุมแรงกดดันจากการเก็งกำไรในตลาดที่อยู่อาศัย
2.ออสเตรีย ต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวอียูต้องได้รับอนุญาตในการซื้อที่อยู่อาศัย มีการกำหนดโควตาในการซื้อ และห้ามซื้อบ้านมือสอง และกระบวนการซื้อของคนต่างชาติก็ค่อนข้างซับซ้อนเพื่อพยายามกีดกันชาวต่างชาติเช่นกัน
นอกจากนี้ประเทศในยุโรปยังมีการจัดเก็บภาษีซื้อสำหรับคนต่างชาติ ภาษีมรดก ภาษีกำไรจากการขายต่อและภาษีมรดกอีกด้วย
ประเทศที่เจริญๆ เขาไม่คาดหวังลมๆ แล้งๆ ว่าต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ คงกระตุ้นแต่กระเป๋าของนักธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงประชาชนโดยรวมและความมั่นคงของประเทศเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เจน3 ‘ปรีดา เรียลเอสเตท’ ปั้น โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์ ทำเลเทียบชั้น สาทร-สีลม

- ปรีดา เรียลเอสเตส โดยทายาทรุ่นที่ 3 เปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส “โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์” มูลค่า 3,200 ล้านบาท
- ชูทำเลที่ตั้งย่านพหลโยธิน-ประดิพัทธ์ ซึ่งมีศักยภาพสูงใกล้สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยตั้งเป้ายกระดับให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่เทียบชั้นสาทร-สีลม
- สร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพที่เกินราคา ห้องพักขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งในราคาที่ใกล้เคียงกัน และมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่
- โครงการการันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับสากล สะท้อนถึงการเป็นคอนโดระดับ Mid-End ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับ Luxury
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความท้าทายรอบด้าน ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็กต่างชะลอการเปิดตัวโครงการเพื่อรอดูสถานการณ์ ในทางกลับกัน บริษัท ปรีดา เรียลเอสเตท จำกัด เครือปรีดา กรุ๊ป สร้างความท้ายเปิดตัวโครงการ มิกซ์ยูส “โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์”
หนึ่งเดียวบนที่ดินผืนศักยภาพทำเลใจกลางเมือง ใกล้สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ศูนย์กลางการเดินทางระบบรางของไทย เชื่อมการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯชั้นในได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงทางพิเศษ (ทางด่วน) ที่ประเมินว่าจะเป็นอีกทำเลที่สร้างความได้เปรียบของการอยู่อาศัย แหล่งงาน รวมถึงการช้อปปิ้งในอนาคตอันใกล้ ที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ ยกระดับเทียบชั้นย่านสาทร-สีลมอย่างไม่ยากเย็นนัก
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ สองพี่น้อง ทายาทรุ่นที่ 3 ตระกูล ปรีดานนท์ นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางสาวปิยะฉัตร ปรีดานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปรีดา เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทผู้มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สืบทอดธุรกิจมาอย่างยาวนาน 63 ปี ภายใต้ปรีดา ปรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทหลากหลายในการให้บริการ โดยอธิบายว่า ธุรกิจครอบครัวมี 3 รุ่น
มีจุดเริ่มต้นธุรกิจมาจาก รุ่นคุณปู่ ที่เป็นช่างไม้มาจากเมืองจีนและได้รับโอกาสได้ทำงานในวังและรุ่นคุณพ่อได้ศึกษาต่อเป็นวิศวกรและสร้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างของตนเอง โดยมีผลงานรับใช้ในวังและวัด ในเวลาต่อมา ได้เปลี่ยนจากผู้รับเหมาสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มจาก อพาร์ตเมนต์ และทาวน์โฮม
รวมถึง เคยสร้างคอนโดมิเนียม บางแคซิตี้ ในยุควิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งระยะแรกได้ปล่อยเช่าและต่อมาได้นำกลับมาปรับปรุงขายใหม่ การสร้างแบรนด์ โครงการแรกที่พัฒนาเองชื่อ “บ้านสามเสน คอนโดมิเนียม” ต่อมาได้สร้างแบรนด์ “Greene Condo” (จากคำว่า “Green”) เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์การเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

นับเป็นมิกซ์ยูสโครงการแรกของบริษัท มูลค่า3,200 ล้านบาท หนึ่งในทำเลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นที่จับตามองของนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “โลกความสุขแนวตั้งที่ครบที่สุด : Live Worldticle Life” รวมถึงการออกแบบรองรับมาตรฐานความปลอดภัยของโครงการแผ่นดินไหวสูงสุด 8 ริกเตอร์ ล่าสุดมีความคืบหน้าด้านงานก่อสร้างกว่า 35% พร้อมเดินหน้าสู่การส่งมอบภายในเดือนกันยายน 2569

นายปิติพัฒน์ และนางสาวปิยะฉัตร สะท้อนกลยุทธ์ สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการและธุรกิจให้เติบโตภายใต้สภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แม้ในระยะที่ผ่านมาตลาดจะเงียบ แต่โครงการยังคงมียอดขายอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่ามาจาก คุณภาพและราคา ที่เข้าถึงได้ โดยให้คุณภาพที่ดีเกินราคา และมีราคาที่ผู้คนสามารถจับต้องได้ การเน้นพื้นที่ส่วนกลางและทำเลโครงการเน้นการให้พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในพื้นที่ใกล้เคียง
โดยมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือเรื่องของทำเลที่ตั้งพื้นที่โครงการมีศักยภาพสูง จึงเลือกพัฒนาเป็นมิกซ์ยูสทั้งสำหรับที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และร้านค้า ขณะที่ความได้เปรียบด้านราคาและที่ตั้ง แม้จะอยู่ห่างจากเส้นรถไฟฟ้าหลักเล็กน้อย แต่ทำให้ราคามีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าโครงการที่ติดถนนสายหลักและยังมีการจัดรถรับส่งไปยังสถานีรถไฟฟ้า ที่จุดเด่นของโครงการตั้งอยู่ตรงกลางที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ง่าย ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีบางซื่อ หรือเดินทางด้วยรถยนต์ขึ้นลงทางด่วนได้สะดวก
“ทำเลมีศักยภาพในระยะยาว พื้นที่นี้มีเสน่ห์จากการเป็นแหล่งชุมชนเก่าแก่ที่มีของกินอร่อย เช่น อารีย์ สะพานควาย ศรีย่าน และราชวัตร นอกจากนี้ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ยังเป็น ศูนย์กลางการเดินทาง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เชื่อว่าพื้นที่นี้มีศักยภาพสูงมาก เปรียบเสมือนหัวลำโพงเมื่อ 100 ปีที่แล้ว และจะกลายเป็นเหมือนสีลม-สาทรในอนาคต”
ย้อนไปก่อนหน้านี้บริษัทได้มองหาที่ดินในบริเวณนี้มานาน 10 ปี หรือประมาณปี2558 ตั้งแต่ภาครัฐมีการวางแผนก่อสร้างสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยรวมแปลงที่ดินได้จำนวน 4ไร่ ในราคา 450 ล้านบาทซึ่งเป็น อาคารเก่าที่เป็นห้องแถว ปัจจุบันราคาประเมินของที่ดินแปลงนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 700 กว่าล้านบาท ซึ่งถือว่ามีกำไรจากการขายที่ดินแล้ว
แม้จะยังไม่ได้สร้างในทันทีจากการชะลอโครงการ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19แต่ได้ยื่นขออีไอเอไว้ ถือเป็นข้อดี ทำให้ผู้คนรู้จักสถานีกลางบางซื่อมากขึ้นจากการเป็นศูนย์ฉีดวัคซีน และพฤติกรรมผู้บริโภคหลังโควิด-19 ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การส่งของ การทำกิจกรรมที่บ้านมากขึ้น ทำให้บริษัทได้ ปรับปรุงฟังก์ชันของพื้นที่ส่วนกลาง ให้ตอบรับกับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต
ขณะที่ความแตกต่างจากคู่แข่งขนาดห้อง โครงการเน้นห้องขนาดใหญ่ โดยมีขนาดหลักที่ 34.5 ตร.ม. ซึ่งใหญ่กว่าห้องของคู่แข่งที่มักเป็น 25-28 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ใกล้เคียงกัน พื้นที่ที่เพิ่มขึ้น 6 ตร.ม. นี้ถือเป็นพื้นที่ใช้สอยที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้จริง ทำให้เหมาะสำหรับ ครอบครัวเริ่มต้น ที่อาจมีบุตรน้อย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับกิจกรรมของครอบครัวจุดเด่น ที่จอดรถ ที่ให้มากถึงถึง 64% ซึ่งสูงกว่าโครงการทั่วไปที่มักไม่ถึง 50% หรือตามกฎหมายที่ 30-40% โดยใช้ระบบจอดรถแบบผสมผสาน ทั้งแบบที่จอดรถปกติทั่วไป 9 ชั้น และ Automatic Parking เพิ่มอีก 120 คัน แม้จะมีต้นทุนสูง
การออกแบบมีจำนวนยูนิตไม่มาก มีทางเดินด้านเดียว ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดเสียงรบกวน และเพิ่มความปลอดภัย มีการนำแนวคิด Green Building มาใช้ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับคอนโดมิเนียมในไทย สิ่งที่ภูมิใจและเป็นแม่เหล็กการันตี คือ โครงการได้รับรางวัลจากเวทีระดับสากล ได้แก่ International Property Award ซึ่งจัดมานานกว่า 30 ปี และในปีนี้ยังได้รับรางวัล 5-star ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในประเภทนั้น และยังได้เป็น 1 ใน 3 ตัวแทนจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ร่วมกับสิงคโปร์และฮ่องกง) เพื่อไปแข่งขันในระดับโลก รางวัลเหล่านี้ได้มาด้วยคุณภาพของโครงการจริง ๆ ไม่ได้มาจากการซื้อ
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Thailand Property Award สาขา Best Mid-End Condo ซึ่งสะท้อนว่าโครงการให้คุณภาพเทียบเท่า Luxury แต่มีราคาอยู่ในระดับ Mid-End ที่ลูกค้าจับต้องได้ ที่ประมาณ 1.1-1.2 แสนบาทต่อตารางเมตร ที่มากไปกว่านั้นยังให้ความสำคัญ ด้านดูแลหลังการขาย นิติบุคคลภายในอาคารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเนื่องจากบริษัทมีแผนย้ายสำนักงานและการอยู่อาศัยมาที่โครงการดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามองค์ประกอบที่สมบูรณ์เหล่านี้ ทำให้บริษัทสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดอสังหา ริมทรัพย์ได้ โดยไม่เน้นการแข่งขันด้วยราคา แต่เน้นคุณภาพ ความซื่อสัตย์ และการดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ ซึ่งเป็นแนวทางที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ได้อย่างแท้จริงสำหรับ “ปรีดา เรียลเอสเตท”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ก.ย.ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk มีโอกาสที่อาจอ่อนค่าลงบ้าง หากทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ กรอบในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-31.85 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ก.ย.2568ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 31.71 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 31.75 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.70-31.79 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนกันยายน (รับรู้ในวันที่ 18 กันยายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย)
ส่วนราคาทองคำ (XAUUSD) ก็เผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงในลักษณะ Sideways Down สู่โซน 3,640-3,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อนึ่งในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์ได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าเพิ่มเติม ตามการอ่อนค่าลงบ้างของเงินยูโร (EUR) หลัง Fitch Rating ได้ปรับลดอันดับเครดิตเรทติ้งของฝรั่งเศสลงจากระดับ AA- สู่ระดับ A+ ท่ามกลางความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองและระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้น อีกทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ยังพุ่งสูงขึ้นมากกว่าคาด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, BOE และ BOJ พร้อมติดตามสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุม FOMC เดือนกันยายน โดยเรามองว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงหลังที่ชะลอตัวลงมากขึ้น (แต่ยังไม่เลวร้ายนัก) จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ เฟดลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00-4.25%
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น คาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด โดยเฉพาะในส่วนของคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งอาจสะท้อนว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้
และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีหน้าซึ่งน้อยกว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาด ที่ล่าสุด มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ
ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เป็นต้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ ทั้งข้อมูลตลาดแรงงาน อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
โดยในส่วนของการประชุม BOE นั้น เรามองว่า BOE อาจยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อในช่วงหลังได้ทยอยปรับสูงขึ้น ส่วนตลาดแรงงานก็ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจน ทว่า BOE ยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงสิ้นปี และครึ่งแรกของปีหน้า จบรอบการลดดอกเบี้ยที่ระดับ 3.25%
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึงราคาบ้าน (Home Prices) ในเดือนสิงหาคม
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม พร้อมจับตาผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเรามองว่า BOJ อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ท่ามกลางความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น
ส่วนธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ก็อาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.00% และ 5.00% ตามลำดับ เช่นกัน
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจสะท้อนการเติบโตของยอดการส่งออกที่ชะลอลงจากเดือนก่อนๆ
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC เดือนกันยายน ได้ โดยเงินบาท (USDTHB) ยังพอมีโซนแนวรับแถว 31.50 บาทต่อดอลลาร์ และแนวต้านในช่วง 31.85 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk โดยเรามองว่า ยังมีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าลงบ้าง (เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามกลยุทธ์ Trend-Following)
หรืออย่างน้อยการแข็งค่าขึ้นขอเงินบาทก็ควรชะลอลง หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยเท่าที่ตลาดคาดหวัง (6 ครั้ง จนถึงสิ้นปี 2026) ทว่า ควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทอาจแข็งค่าเร็ว แรงในระยะสั้น หากเฟดเร่งลดดอกเบี้ย 50bps สวนทางกับคาดการณ์ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่นในระยะสั้น ก็อาจกดดันเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้บ้าง ซึ่งอาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์ (หรืออย่างน้อยก็ชะลอการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์)
อนึ่ง เรายังคงมองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินหยวนจีน (CNY) อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของทั้งสองสินทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร โดยในส่วนของประเด็นราคาทองคำนั้น ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมาตรการอะไรเพื่อลดทอนผลกระทบจากราคาทองคำต่อเงินบาทได้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์สูงขึ้น หากเฟดลดดอกเบี้ย 25bps ตามคาด แต่ Dot Plot ใหม่สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาด (6 ครั้ง จนถึงสิ้นปีหน้า) ทว่าต้องระวังความเสี่ยงที่เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย 50bps พร้อมจับตาสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร
โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.35-32.10 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-31.85 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 31.75-31.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวันศุกร์ก่อนหน้าที่ 31.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามแรงขายเพื่อปรับโพสิชั่น (หลังจากที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากในช่วงก่อนหน้านี้ และธปท. ส่งสัญญาณในสัปดาห์ก่อนว่ายังคงติดตามการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างใกล้ชิด)
ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.65-31.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก
ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ส.ค. ของจีน และผลสำรวจภาคการผลิตเดือนก.ย. ของเฟดสาขานิวยอร์ก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทยทำได้ดีมาก! “ปธ.FIVB” ตอบชัดศึกชิงแชมป์โลก “ทำไมเพิ่มทีม+เปลี่ยนจัด 2 ปีครั้ง”

ควันหลงการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2025
ซึ่งตลอดทัวร์นาเมนต์ได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดานักกีฬา และแฟนๆ ลูกยางทั่วโลก รวมถึง สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ที่ก็พอใจเป็นอย่างมากกับการทำหน้าที่ของประเทศไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในครั้งนี้
ทำให้ ฟาบิโอ อาเซเวโด้ ประธานสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ถึงกับออกมาชื่นชมประเทศไทย ว่าเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และถือเป็นตลาดสำคัญอันดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชีย พร้อมกันนี้ยังได้เผยสาเหตุว่าทำไมจึงตัดสินใจเพิ่มจำนวนทีมเป็น 32 ทีม และปรับรูปแบบให้มีการแข่งขันทุก 2 ปีครั้ง
“เสียงตอบรับเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก เราทำในสิ่งที่ถูกต้องสำหรับกีฬาของเรา เรากำลังให้โอกาสทีมต่างๆ ได้ลงแข่งขันมากขึ้น”
“การจัดการแข่งขันชิงแชมป์โลกทุกๆ สองปี เพิ่มจำนวนเป็น 32 ทีม และการนำระบบคัดเลือกแบบสากลมาใช้ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีตัวแทนจากทุกทวีปที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็ยังคงมีทีมที่ดีที่สุดในการแข่งขันชิงแชมป์โลกอยู่”
“เราได้เห็นนักกีฬาดาวรุ่งมากมายแสดงฝีมือที่นี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้เห็นพวกเขามาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเวทีระดับโลกแล้ว” ประธานใหญ่กล่าว
พร้อมกันนี้ ประธานสหพันธ์ลูกยางนานาชาติ (FIVB) ยังได้ออกมากล่าวถึงเรื่องแผนการตลาดในโลกของวอลเลย์บอล ว่า “ในแง่ของการดำเนินงาน เรามีความบันเทิงที่ยอดเยี่ยม ยอดขายตั๋ว และแสงสีเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ เอเชียมีฐานแฟนวอลเลย์บอลทั่วโลกถึง 52 เปอร์เซ็นต์”
“ปีนี้ 7 ใน 8 รายการชิงแชมป์โลกจัดขึ้นในเอเชีย แม้จะดูเป็นการประกาศที่กล้าหาญ แต่ผมเชื่อว่าเอเชียมีไว้สำหรับวอลเลย์บอล เรากำลังตั้งตารอการแข่งขันวอลเลย์บอลชายชิงแชมป์โลก ที่ฟิลิปปินส์”
สำหรับ ความสำเร็จของประเทศไทย ในรายการชิงแชมป์โลก 2025 ทำให้ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) เดินหน้าผลักดันให้ ประเทศไทย กลับมาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศึกเนชันส์ลีก ในปี 2026 จํานวน 1 สนาม หลังจากในปีนี้ต้องหยุดทำหน้าที่เจ้าภาพเนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมในศึกชิงแชมป์โลก
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อย่ามองข้าม! 5 อันตรายที่ซ่อนอยู่จากการหาวบ่อยเกินไป

การหาวเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติของร่างกายที่บ่งบอกถึงความง่วงหรือความเหนื่อยล้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการหาวบ่อยๆ หรือหาวถี่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนของอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายได้ มาดูกันว่าการหาวที่ดูเหมือนธรรมดามีอะไรที่น่ากังวลบ้าง
5 อันตรายที่ซ่อนอยู่จากการหาวบ่อยเกินไป
1. ภาวะง่วงนอนมากเกินไปในเวลากลางวัน (Excessive Daytime Sleepiness: EDS)
การหาวเป็นอาการหลักของภาวะนี้ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น:
- โรคนอนไม่หลับ (Insomnia): นอนหลับยาก ตื่นบ่อย หรือหลับไม่สนิท ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea): ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นเป็นระยะๆ ขณะนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอและต้องตื่นขึ้นมาหายใจเป็นช่วงๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้การนอนไม่มีคุณภาพ
- โรคลมหลับ (Narcolepsy): เป็นโรคทางระบบประสาทที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการหลับและการตื่นได้ ทำให้รู้สึกง่วงนอนอย่างรุนแรงและหลับได้ทุกที่ทุกเวลา
หากปล่อยไว้ ภาวะเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
2. ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
แม้จะฟังดูไม่เกี่ยวกันโดยตรง แต่มีการศึกษาพบว่าการหาวบ่อยครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ เนื่องจากอาจบ่งชี้ถึง:
- ปัญหาการไหลเวียนโลหิต: การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่ดีพอ ทำให้ร่างกายพยายามปรับสมดุลด้วยการหาว
- ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน: การหาวที่มาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจถี่ เหงื่อออก และคลื่นไส้ อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหัวใจวายได้
หากคุณมีอาการหาวบ่อยๆ ร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ โดยเฉพาะอาการที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด
3. ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
ยาบางประเภทอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงซึมและหาวบ่อยขึ้น เช่น:
- ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines): ที่ใช้รักษาอาการแพ้
- ยาในกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs): ที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้า
- ยารักษาอาการเจ็บปวดบางชนิด
หากคุณสังเกตว่าเริ่มหาวบ่อยขึ้นหลังจากเริ่มใช้ยาตัวใหม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำ
4. ปัญหาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท
การหาวบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงได้ เช่น:
- โรคลมชัก (Epilepsy): การหาวที่ผิดปกติอาจเป็นอาการนำก่อนเกิดอาการชัก
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis): เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อสมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและหาวบ่อยครั้ง
- ภาวะสมองบวมหรือเนื้องอกในสมอง: ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด การหาวที่ผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงแรงกดดันในสมองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากภาวะสมองบวมหรือเนื้องอก
5. ปัญหาสุขภาพอื่นๆ
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การหาวบ่อยๆ ยังอาจเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพอื่นๆ ได้อีก เช่น:
- โรคเบาหวาน: การหาวที่มากเกินไปอาจเป็นอาการหนึ่งของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
- ปัญหาเกี่ยวกับตับ: การทำงานของตับที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อการทำงานของสมองและทำให้ง่วงนอนผิดปกติ
- ภาวะขาดน้ำ (Dehydration): ร่างกายที่ขาดน้ำอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและหาวบ่อยขึ้น
สรุป
การหาวเป็นเรื่องปกติ แต่การหาวที่มากเกินไปหรือหาวผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย หากคุณสังเกตว่าตัวเองหาวบ่อยจนผิดปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหนื่อยล้าผิดปกติ หายใจไม่สะดวก หรือรู้สึกไม่สบายตัว ไม่ควรละเลยและควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง การรู้เท่าทันและรีบเข้ารับการวินิจฉัยจะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่ถูกต้องและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เห็นด้วยยังไงให้เป๊ะ? ถอดรหัส การใช้ agree แบบเจ้าของภาษายกนิ้วให้

การกล่าวให้ผู้สนทนาทราบถึงการเห็นด้วยของเราเองนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อความหมายว่าเราเห็นด้วยนั้นก็มีหลายรูปแบบ บทความนี้จะอธิบาย การใช้ agree ในภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องตามหลักเจ้าของภาษา โดยเน้นโครงสร้างที่แตกต่างกัน เช่น agree with, agree on, agree about, agree to และ agree that พร้อมแจกแจงการใช้ในแต่ละกรณีอย่างชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้ได้เหมาะสมตามบริบท ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การตอบรับข้อตกลง หรือการพูดถึงข้อเท็จจริง นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเอง ผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย หรือผู้ที่กำลังลงคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ จุดเด่นของบทความคือเนื้อหาที่อ่านเข้าใจง่าย ใช้คำศัพท์ไม่ซับซ้อน เหมาะกับทุกระดับ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นที่ต้องการฝึกใช้ภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติและมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสาร
1) คำว่า agree ตามด้วยอะไรได้บ้าง?
คำว่า agree สามารถตามด้วยบุคคล ความคิดเห็น ข้อเสนอ หรือประเด็นต่างๆ ได้ แต่การเลือกใช้คำหรือโครงสร้างที่ตามหลัง agree ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการจะ “เห็นด้วย” ด้วย เช่น
– agree with + บุคคล หรือความคิดเห็น เช่น I agree with you.
– agree on/about + หัวข้อ ประเด็น เช่น We agree on the plan.
– agree to + เงื่อนไข ข้อเสนอ ข้อตกลง เช่น She agreed to the terms.
– agree that + ประโยคบอกเล่า เช่น I agree that this is important.
2) วิธี การใช้ agree with / agree on / agree about / agree that / agree to
Agree with ใช้เมื่อเห็นด้วยกับใครบางคน หรือเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา เช่น:
– I agree with my manager about the budget.
– We agree with your suggestion completely.
Agree on / Agree about ใช้เมื่อเห็นด้วยกับ “หัวข้อ” หรือ “ประเด็น” บางอย่างร่วมกัน:
– We finally agreed on the travel plan.
– They agreed about the need to change policy.
ทั้ง agree on และ agree about ใช้ในบริบทที่เราต้องการเน้นความเห็นพ้องในประเด็นเดียวกัน ช่วยให้บทสนทนาดูชัดเจนขึ้น
Agree to ใช้เมื่อเห็นด้วยหรือตอบรับข้อเสนอ ข้อตกลง หรือเงื่อนไข:
– I agreed to join the project.
– She didn’t agree to the new policy.
Agree that ใช้เพื่อแสดงความเห็นด้วยกับข้อความหรือความจริงบางอย่าง โดยตามด้วยประโยคเต็ม:
– I agree that learning English opens new opportunities.
– We all agree that communication is key.
3) ตัวอย่างประโยค การใช้ agree แบบเข้าใจง่าย
– I totally agree with my friend about the movie.
– Do you agree on the solution to the problem?
– They agreed to postpone the meeting.
– We agree that teamwork is essential.
การฝึกประโยคเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มคลังคำศัพท์และทำให้ เรียนภาษาอังกฤษ ได้อย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
หากคุณกำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ออนไลน์ หรือ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเอง ลองฝึกพูดหรือเขียนประโยคที่มี agree อย่างน้อยวันละ 3-5 ประโยค หรือใช้ในบทสนทนาจริงกับเพื่อนหรือใน คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ การฝึกสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ยิ่งใช้คำว่า agree ได้ถูกต้อง ก็ยิ่งทำให้ภาษาอังกฤษของคุณดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
‘Shadow AI’ เปิดช่องโหว่ภัยคุกคาม ขโมยข้อมูลบุคคล – องค์กร

“Synology” ชี้องค์กรทั่วโลกเร่งใช้งาน Generative AI เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ช่องโหว่ “Shadow AI” กำลังกลายเป็นภัยไซเบอร์ตัวฉกาจ เสี่ยงข้อมูลรั่ว-ผิดกฎหมายส่วนบุคคล
เร็กซ์ หวง ผู้อำนวยการฝ่ายแอปพลิเคชัน บริษัท ซินโนโลจี้ จำกัด (Synology) เผยว่า กระแสการนำ Generative AI มาใช้ในองค์กร กำลังเร่งตัวอย่างก้าวกระโดด ช่วยร่างเอกสาร สรุปงาน หรือทำงานซ้ำซ้อนแทนคนได้รวดเร็ว
แต่ด้านมืดของเทคโนโลยีนี้ก็กำลังสร้าง ช่องโหว่ความปลอดภัย จนอาจทำให้องค์กรต้องเผชิญปัญหา ข้อมูลรั่วไหลและถูกโจมตีไซเบอร์
การ์ทเนอร์ชี้ว่า ภายในปี 2570 ปัญหาข้อมูลรั่วที่เกี่ยวข้องกับ AI จะเพิ่มขึ้นกว่า 40% ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้เครื่องมือ AI ภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต
หรือที่เรียกว่า “Shadow AI” ส่งผลให้ข้อมูลสำคัญถูกส่งออกไปนอกระบบ และยากต่อการควบคุม ทั้งยังเสี่ยงผิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA และ GDPR
องค์กรจำเป็นต้องควบคุมทั้งการใช้งานและข้อมูล AI ให้ปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎหมาย และบริหารต้นทุนได้
ล่าสุด ซินโนโลจี้เปิดตัว “Synology AI Console” แพลตฟอร์มใหม่ที่ทำงานบน Private Cloud เพื่อเป็นศูนย์กลางควบคุมการใช้งาน AI ของทั้งองค์กร
จุดเด่นคือ ปิดช่องโหว่ Shadow AI, บล็อกเครื่องมือที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถควบคุมสิทธิ์และต้นทุน, กำหนดสิทธิ์การใช้งาน (Role-based Access Control) และจำกัดการใช้งานรายวัน-รายโมเดล
ขณะเดียวกัน ช่วยปกป้องข้อมูล มีระบบปิดบังข้อมูลส่วนบุคคล (de-identification) ก่อนส่งเข้าสู่ AI ภายนอก และตรวจสอบย้อนหลังได้ ระบบ Audit Logging เก็บประวัติการใช้งานอย่างละเอียด โปร่งใส และสอดคล้องข้อกำหนด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แค่ 25 เม็ดต่อวัน! สรุปเคล็ดลับการกินถั่วพีแคนให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ถั่วพีแคน (Pecan) เป็นหนึ่งในถั่วเปลือกแข็งที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ด้วยรสชาติที่มัน หอม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลายคนจึงรู้จักถั่วพีในฐานะส่วนผสมในขนมหวานและอาหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพาย, เค้ก, หรือไอศกรีม แต่รู้หรือไม่ว่า ถั่วชนิดนี้ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย
บทความนี้จะเจาะลึกถึงประโยชน์, โทษและข้อควรระวัง, และวิธีบริโภคถั่วพีแคนอย่างถูกต้อง เพื่อรับสารอาหารและคุณประโยชน์ที่มีคุณค่าที่เหมาะสมต่อร่างกายให้มากที่สุด
ประโยชน์ของถั่วพีแคน อร่อยและดีต่อสุขภาพ
ถั่วพีแคนเป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระและไขมันดี ดังนี้
- ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด: ถั่วพีแคนอุดมไปด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) ซึ่งเป็นไขมันดีที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: ถั่วพีแคนมีวิตามินอี, โพลีฟีนอล, และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ในปริมาณสูง ซึ่งช่วยต่อสู้กับความเสียหายของเซลล์ในร่างกายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอวัย
- มีใยอาหารสูง: การบริโภคถั่วพีแคนช่วยเพิ่มปริมาณใยอาหารให้กับร่างกาย ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดน้ำหนัก: แม้จะมีไขมันและแคลอรี่สูง แต่ถั่วพีแคนก็มีโปรตีนและใยอาหารที่ช่วยให้อิ่มนานขึ้น ทำให้ลดความอยากอาหารและช่วยควบคุมน้ำหนักได้
- บำรุงสมอง: กรดไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วพีแคนมีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์
โทษและข้อควรระวังในการทานถั่วพีแคน
แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การบริโภคถั่วพีแคนมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน ดังนี้
- แคลอรี่สูง: ถั่วพีแคนเป็นถั่วที่มีแคลอรี่สูง การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
- อาการแพ้: เช่นเดียวกับถั่วอื่นๆ การแพ้ถั่วพีแคนเป็นอาการที่พบได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ตั้งแต่เบาไปจนถึงรุนแรง เช่น ผื่นคัน, บวม, หรือหายใจลำบาก หากมีอาการแพ้ ควรหยุดบริโภคทันที
- ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ: สำหรับบางคนที่มีปัญหาระบบย่อยอาหาร การบริโภคถั่วในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือปวดท้องได้
วิธีบริโภคถั่วพีแคนอย่างถูกต้องและได้ประโยชน์
- ปริมาณที่เหมาะสม: ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ โดยทั่วไปแนะนำให้บริโภควันละประมาณ 1 ออนซ์ หรือประมาณ 20-25 เม็ด
- เลือกแบบไม่ปรุงแต่ง: ควรเลือกถั่วพีแคนแบบดิบหรืออบโดยไม่มีการปรุงแต่งรสชาติด้วยเกลือหรือน้ำตาล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
- เก็บรักษาอย่างถูกวิธี: ถั่วพีแคนมีไขมันสูงจึงมีโอกาสเหม็นหืนได้ง่าย ควรเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทและเก็บในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็งเพื่อยืดอายุการใช้งาน
ถั่วพีแคน คือหนึ่งในถั่วที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมและถูกวิธี การทำความเข้าใจในคุณสมบัติของถั่วชนิดนี้จะช่วยให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/09/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 54,650.00 | 54,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,533.00 | 53,560.28 | 55,550.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,179.70 | 48,204.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,826.40 | 42,848.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,589.85 | 24,102.13 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,236.55 | 18,746.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,661.14 | 55,502.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |