ศุภาลัย ไอคอน สาทร ทำเลทองปิดดีลร้านค้าเชิงพาณิชย์ 90%

ปิดดีลพื้นที่ร้านค้ากว่า 90% ของมิกซ์ยูสลักซ์ชัวรี “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” สะท้อนศักยภาพทำเลธุรกิจสาทรยังร้อนแรงไม่หยุด พร้อมดันโครงการสู่ไลฟ์สไตล์ฮับและ ออฟฟิศเกรด A
บนถนนสาทรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกรุงเทพฯ มาต่อเนื่องหลายทศวรรษ วันนี้ภาพการเติบโตของทำเลศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ถูกตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อโครงการมิกซ์ยูส“ศุภาลัย ไอคอน สาทร” ประกาศความสำเร็จด้วยการปิดดีลเช่าพื้นที่ร้านค้าภายในโครงการกว่า 90% ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือดของตลาดสำนักงานและค้าปลีกในเมืองใหญ่
การตอบรับที่ร้อนแรงนี้ไม่เพียงบ่งชี้ศักยภาพโครงการ แต่ยังสะท้อนพฤติกรรมคนเมืองที่กำลังมองหาพื้นที่ใช้ชีวิต-ทำงาน-พักผ่อนครบวงจรในจุดเดียว ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่
จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ สู่ “ไลฟ์สไตล์ฮับ” แห่งใหม่ของสาทร
บุศรินทร์ รุ่งรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายอาคารสูง บริษัท ศุภาลัยฯ เปิดเผยว่า แม้ตลาดอาคารสำนักงานย่าน CBD เผชิญการแข่งขันสูง แต่ศุภาลัย ไอคอน สาทร ยังคงดึงดูดผู้ประกอบการและองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง
พื้นที่ร้านค้าซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการต้นปี 2569 ประกอบด้วยร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อป ร้านสะดวกซื้อ พิลาทิส คลินิกกายภาพ และบริการไลฟ์สไตล์ครบเครื่อง สร้างระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ทั้งผู้อยู่อาศัยในคอนโด ผู้ทำงานในอาคารสำนักงาน และผู้มาเยือนรอบย่าน
ผลลัพธ์คือ การเปลี่ยนโครงการให้เป็น “ไลฟ์สไตล์ฮับใหม่ของถนนสาทร” ที่รวมฟังก์ชันครบเพื่อรองรับชีวิตคนเมืองยุคเร่งรีบได้อย่างลงตัว
ออฟฟิศเกรด A กว่า 19,000 ตร.ม. ดึงดีมานด์องค์กรต่อเนื่อง
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของโครงการ คือ พื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีมากกว่า 19,000 ตารางเมตรผังสำนักงานถูกออกแบบให้ยืดหยุ่น รองรับองค์กรทุกรูปแบบ ตั้งแต่สตาร์ทอัพ Co-working Space ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจยุคใหม่
โครงการยังผ่านมาตรฐานอาคารเขียว LEED ทั้งการเลือกใช้วัสดุ กระจก Double Glazing ระบบควบคุมอาคารอัจฉริยะ (BAS) และระบบปรับอากาศพร้อม UVC ฆ่าเชื้อ รวมถึงสวนสีเขียวกว่า 2,000 ตร.ม. ที่ช่วยสร้างบรรยากาศพักผ่อนสบายท่ามกลางตึกสูงใจกลางเมือง
ด้านความปลอดภัย ยกระดับด้วย Turnstile และระบบจดจำใบหน้า พร้อมจุดชาร์จรถ EV ครบครัน ขณะที่องค์กรยังสามารถตั้งเวลาการใช้พลังงาน เช่น การเปิด-ปิดแอร์ เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ทำเลสาทร ศูนย์กลางธุรกิจที่ยังโตไม่หยุด
ศุภาลัย ไอคอน สาทร ตั้งอยู่กลางโครงข่ายคมนาคมชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็น MRT ลุมพินี, BTS ช่องนนทรี-ศาลาแดง และเชื่อมต่อทางด่วนพระราม 4 – ด่านสาทร ได้อย่างสะดวก
จุดนี้ถือเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” ที่ทำให้โครงการโดดเด่นในสายตานักลงทุนและผู้เช่าองค์กร ซึ่งต่างมองหาพื้นที่ทำงานที่สมดุลระหว่าง ความคุ้มค่า–ฟังก์ชัน–การเดินทาง
ทั้งหมดนี้ส่งให้ศุภาลัย ไอคอน สาทร ขยับเข้าใกล้บทบาท “แลนด์มาร์กใหม่ของสาทร” ที่สามารถเติมเต็มทั้งการอยู่อาศัย การทำงาน และไลฟ์สไตล์ในโครงการเดียวแบบครบวงจร
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯ ไม่หวั่นยุบสภา หวังรัฐบาลใหม่ลุยแก้โครงสร้างระยะยาว

- ภาคอสังหาฯ ไม่กังวลผลกระทบระยะสั้นจากการยุบสภา เนื่องจากมาตรการกระตุ้นสำคัญ เช่น การผ่อนคลาย LTV มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2569
- ผู้ประกอบการคาดหวังให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่สะสมมานาน เช่น กฎหมายที่อยู่อาศัย และระบบสินเชื่อที่คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง
- ภาคเอกชนเตรียมเสนอแนวทางปฏิรูปหลายด้านต่อรัฐบาลใหม่ เช่น การปรับปรุงสัญญาเช่าระยะยาว และการนำเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ มาใช้เพื่อช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น
ตลาดที่อยู่อาศัยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมาคลุมทับบรรยากาศลงทุนในช่วงปลายปี ผู้ประกอบการต่างประเมินสถานการณ์ว่าจะกระทบต่อเส้นทางฟื้นตัวของตลาดมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มาตรการกระตุ้นหลายชุดกำลังใกล้สิ้นอายุ และคนซื้อบ้านกำลังชั่งใจระหว่าง “ความจำเป็นในชีวิต” กับ “ความเสี่ยงระยะยาว” ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตาหากรัฐบาลเปลี่ยนมือ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดมุมมองว่า การยุบสภาหรือเปลี่ยนรัฐบาลในจังหวะนี้ อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมาตรการที่อยู่อาศัยโดยตรงมากนัก เพราะมาตรการสำคัญอย่าง LTV ผ่อนคลาย รวมถึงมาตรการสำหรับบ้านราคามากกว่า 7 ล้านบาท ถูกกำหนดอายุให้ยาวไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งนานกว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ ทำให้โครงสร้างมาตรการชั่วคราวเหล่านี้ถูกวางไว้รองรับต่อเนื่องจนรัฐบาลถาวรชุดใหม่เข้ามาบริหารงานเต็มรูปแบบ
พร้อมอธิบายว่า แม้ความต่อเนื่องของนโยบายในระยะสั้นไม่ใช่ประเด็นน่ากังวล แต่ปัญหาใหญ่ของภาคอสังหาฯ อยู่ที่ “โครงสร้าง” ซึ่งไม่ได้รับการปรับปรุงมาหลายสิบปี ตั้งแต่กฎหมายที่อยู่อาศัย สัญญาเช่า ไปจนถึงระบบสินเชื่อที่คนจำนวนมากเข้าไม่ถึง ภาคเอกชนจึงตั้งใจเดินหน้ายื่นข้อเสนอชุดใหญ่ต่อรัฐบาลใหม่ทันทีที่มีการฟอร์มทีมเสร็จ โดยมองว่าอสังหาฯ ควรได้รับความสำคัญไม่ต่างจากการท่องเที่ยว เพราะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่าแค่การกระตุ้นระยะสั้นแบบที่ผ่านมา
ตัวอย่างข้อเสนอสำคัญ เช่นการจัดโครงสร้าง สัญญาเช่าระยะยาว สำหรับทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้การอยู่อาศัยและลงทุน ขณะเดียวกันสมาคมยังเตรียมผลักดันการนำเครื่องมือใหม่ เช่น Mortgage Insurance เข้ามาใช้ในตลาด รวมถึงแนวคิด “สินเชื่อปล่อยตามความเสี่ยง” หรือ Risk-based Lending เพื่อเปิดทางให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้กว้างกว่าเดิม ลดปัญหา Rejection Rate สูงลิ่วที่กลายเป็นกำแพงสำคัญของดีมานด์ระดับกลางและระดับล่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นายประเสริฐย้ำว่า ภาคธุรกิจอสังหาฯ พร้อมเดินหน้านำเสนอแนวทางปฏิรูปเหล่านี้ต่อรัฐบาลใหม่ในปีหน้า แต่ในระหว่างที่การเมืองยังไม่นิ่ง สิ่งที่ทำได้คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมประคองความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่กำลังรอดูทิศทางปีหน้า รวมถึงรัฐบาลชุดใหม่อย่างระมัดระวัง
ขณะเดียวกันนายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งนี้ “มีผลต่อความรู้สึก” มากกว่าผลทางเทคนิคของมาตรการ เขาชี้ว่าเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง เพราะผู้บริโภคมักจะชะลอการตัดสินใจซื้อทันทีที่มีสัญญาณการเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากกลัวว่านโยบายที่ช่วยลดต้นทุนการอยู่อาศัยอาจถูกยกเลิกโดยไม่ทันตั้งตัว
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือโครงการ “ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยผลักให้คอนโดฯ ใกล้สถานีได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา หากนโยบายนี้สะดุดหรือไม่ถูกรัฐบาลใหม่สานต่อ กรอบความคุ้มค่าที่ผู้ซื้อประเมินไว้จะเปลี่ยนทันที ทำให้ดีมานด์จำนวนมากเลือก “ยั้งมือ” จนกว่าจะเห็นทิศทางที่แน่นอนกว่า
นายสุนทรเสริมว่า แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะขยับขึ้นเล็กน้อยจากระดับต่ำสุด 46% มาอยู่ที่ราว 47-48% แต่ระดับดังกล่าวยังต่ำมากเมื่อเทียบก่อนโควิด และยังสะท้อนว่าความกังวลฝังลึกของผู้ซื้อยังไม่คลาย โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่ต้องผูกพันยาวหลายสิบปีอย่างบ้านและคอนโดฯ แม้ผู้คนจะยังอยากมีบ้าน แต่ก็พร้อมเลื่อนแผนออกไป หากรู้สึกว่าความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลยังสูงเกินไป
โดยสรุปแล้ว ในมุมมองของภาคอสังหาฯมีความเห็นพ้องกันว่าว่า สิ่งที่จำเป็นที่สุดตอนนี้ไม่ใช่เพียงมาตรการอุดหนุนชั่วคราว แต่คือรัฐบาลที่สามารถให้ภาพอนาคตที่มั่นคงและสานต่อแผนงานประเทศได้ต่อเนื่อง หากรัฐบาลใหม่สามารถยึดกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และส่งสัญญาณรักษานโยบายสำคัญ ไม่พลิกทิศกะทันหัน จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และต่อเนื่องมายังตลาดอสังหาฯ ให้มีโอกาสฟื้นตัวเร็วขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ธ.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 31.55 บาทต่อดอลลาร์

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ต่างมองว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของทั้งอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานอังกฤษ ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษ ก่อนรับรู้ผลการประชุม BOE ก็อาจสะท้อนภาพดังกล่าว
ส่วน ECB อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% จนกว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจน จนทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของ ECB อย่างมีนัยสำคัญ โดยนอกเหนือจากผลการประชุม BOE และ ECB
ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนธันวาคมของอังกฤษและยูโรโซน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังทางการสหรัฐฯ เดินหน้าเร่งหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชีย โดยบรรดานักวิเคราะห์ในตลาดต่างประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 0.75% หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น
และที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมายของ BOJ ได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ ในช่วง Press Conference เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ หลังผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1-2 ครั้ง ในปี 2026
ขณะที่ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.75% และ 2.00% ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนธันวาคมของญี่ปุ่น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤศจิกายน ของญี่ปุ่น
▪ ฝั่งไทย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเราประเมินว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 1.25% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจจากปัจจัยกดดันรอบด้าน (ในช่วงก่อนการประชุม กนง. เศรษฐกิจไทยก็เผชิญแรงกดดันจากปัญหาน้ำท่วมและความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา)
และช่วยบรรเทาภาระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบางและภาคธุรกิจ SMEs โดยการสอดประสานกับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ที่เจาะจง ทั้งนี้ เราจะรอจับตาท่าทีของ กนง. เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า เนื่องจากเรามองว่า กนง. อาจเลือกที่จะชะลอการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หลังจากการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ หากเศรษฐกิจไทยไม่ได้เผชิญหรือเสี่ยงเผชิญแรงกดดันที่รุนแรง
จนทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่กว่าที่ กนง. ได้ประเมินไว้อย่างมีนัยสำคัญ แต่หาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย เรามองว่า การลดดอกเบี้ยของไทยในอนาคตก็อาจเกิดขึ้นได้ยาก
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2025 จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ตามแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานอย่างช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว
ทว่าในช่วงระยะสั้นนั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะรอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่จากการประเมินสถานะถือครอง ผ่านข้อมูลของบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติ รวมถึงสัญญาณจาก 1-month Risk-Reversals ในตลาด Options
ทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้มากกว่าที่เราประเมินไว้ได้ หากราคาทองคำ (XAUUSD) ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน จากประเด็นความกังวลหุ้นธีม AI/Semiconductor ซึ่งภาพดังกล่าว อาจไม่ได้หนุนเงินดอลลาร์มากนัก และกลับกันอาจเป็นประเด็นที่กดดันเงินดอลลาร์ได้
และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เราจะเริ่มมองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ (โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ ต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ดีกว่าคาด จนทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ รวมถึงอาจต้องเห็นความอ่อนแอของเศรษฐกิจอื่นๆ หรือ BOJ อาจเซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการคงดอกเบี้ย กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าต่อ
ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวสองทิศทาง) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ BOJ ก็อาจกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้ ผ่านการเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.00-32.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.45-31.65 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ธ.ค. 2568 ที่ระดับ 31.55 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 31.58 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.50-31.65 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงที่ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้น
พร้อมกับการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ จากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง และเงินบาทได้พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 4.20% ตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน
โดยเฉพาะผู้ที่โหวตสนับสนุนการคงดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบล่าสุด ซึ่งระบุว่า การคงดอกเบี้ยอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า จากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับสูงและเสี่ยงที่จะมีแนวโน้มสูงขึ้นได้ โดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลงพอควร ขณะเดียวกัน ก็หนุนให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นบ้าง
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 1% หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลาง (BOT, BOE, ECB และ BOJ) และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมทั้งรอติดตาม พัฒนาการประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้ง การเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งจะเน้นที่ข้อมูลเดือนพฤศจิกายน เป็นหลัก และมีข้อมูลเดือนตุลาคมบ้าง จากผลกระทบของภาวะ US Government Shutdown ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global
ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ต่างมองว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของทั้งอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานอังกฤษ ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษ ก่อนรับรู้ผลการประชุม BOE ก็อาจสะท้อนภาพดังกล่าว
ส่วน ECB อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% จนกว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจน จนทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของ ECB อย่างมีนัยสำคัญ โดยนอกเหนือจากผลการประชุม BOE และ ECB
ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนธันวาคมของอังกฤษและยูโรโซน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังทางการสหรัฐฯ เดินหน้าเร่งหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชีย โดยบรรดานักวิเคราะห์ในตลาดต่างประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 0.75% หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น
และที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมายของ BOJ ได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ ในช่วง Press Conference เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ หลังผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1-2 ครั้ง ในปี 2026
ขณะที่ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.75% และ 2.00% ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนธันวาคมของญี่ปุ่น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤศจิกายน ของญี่ปุ่น
▪ฝั่งไทย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเราประเมินว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 1.25% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจจากปัจจัยกดดันรอบด้าน (ในช่วงก่อนการประชุม กนง. เศรษฐกิจไทยก็เผชิญแรงกดดันจากปัญหาน้ำท่วมและความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา)
และช่วยบรรเทาภาระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบางและภาคธุรกิจ SMEs โดยการสอดประสานกับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ที่เจาะจง ทั้งนี้ เราจะรอจับตาท่าทีของ กนง. เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
เนื่องจากเรามองว่า กนง. อาจเลือกที่จะชะลอการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หลังจากการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ หากเศรษฐกิจไทยไม่ได้เผชิญหรือเสี่ยงเผชิญแรงกดดันที่รุนแรง
จนทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่กว่าที่ กนง. ได้ประเมินไว้อย่างมีนัยสำคัญ แต่หาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย เรามองว่า การลดดอกเบี้ยของไทยในอนาคตก็อาจเกิดขึ้นได้ยาก
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2025 จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ตามแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานอย่างช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว
ทว่าในช่วงระยะสั้นนั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะรอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่จากการประเมินสถานะถือครอง ผ่านข้อมูลของบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติ รวมถึงสัญญาณจาก 1-month Risk-Reversals ในตลาด Options
ทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้มากกว่าที่เราประเมินไว้ได้ หากราคาทองคำ (XAUUSD) ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน จากประเด็นความกังวลหุ้นธีม AI/Semiconductor ซึ่งภาพดังกล่าว อาจไม่ได้หนุนเงินดอลลาร์มากนัก และกลับกันอาจเป็นประเด็นที่กดดันเงินดอลลาร์ได้
และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เราจะเริ่มมองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ (โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ ต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ดีกว่าคาด
จนทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ รวมถึงอาจต้องเห็นความอ่อนแอของเศรษฐกิจอื่นๆ หรือ BOJ อาจเซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการคงดอกเบี้ย กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าต่อ
ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวสองทิศทาง) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ BOJ ก็อาจกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้ ผ่านการเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.00-32.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.45-31.65 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทย พบ เวียดนาม : สถิติก่อนเกม, ช่องถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลหญิงซีเกมส์ 2025

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (Sea Games 2025) ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 10 – 15 ธันวาคม 2568
โปรแกรมถ่ายทอดสด การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 Sea Games 2025 ระหว่าง ทีมชาติไทย พบ เวียดนาม วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2568 เวลา 17.30 น. ที่สนาม อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก กรุงเทพมหานคร
โปรแกรมการแข่งขัน ไทย พบ เวียดนาม ถ่ายทอดสดช่องไหน
ไทย (อันดับ 18 ของโลก) พบ เวียดนาม (อันดับ 28 ของโลก)
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2568
เวลา 17.30 น.
สถานที่ : อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ
ถ่ายทอดสดทาง : PPTV36 และ TrueVisions NOW
เฮดทูเฮด 5 ครั้งหลังสุด : ไทย ชนะ 4, เวียดนาม ชนะ 1
10 สิงหาคม 2568 : เวียดนาม ชนะ ไทย 3-2 เซต (ซี วี.ลีก)
3 สิงหาคม 2568 : ไทย ชนะ เวียดนาม 3-2 เซต (ซี วี.ลีก)
11 สิงหาคม 2567 : ไทย ชนะ เวียดนาม 3-1 เซต (ซี วี.ลีก)
4 สิงหาคม 2567 : ไทย ชนะ เวียดนาม 3-2 เซต (ซี วี.ลีก)
7 ตุลาคม 2566 : ไทย ชนะ เวียดนาม 3-1 (เอเชียนเกมส์)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ปัสสาวะ” มีกลิ่นฉุนมาก เสี่ยงโรคอันตราย

ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนนิดหน่อยเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าฉุนมากเกินไป อาจจะเป็นสัญญาณโรคอันตรายได้
นพ. นิวัตน์ ลักษณาวงศ์ รพ. เจริญกรุงประชารักษ์ กรุงเทพฯ ระบุว่า ปัสสาวะประกอบด้วยน้ำ และของเสียที่ขับออกมาจากไต ของเสียเหล่านี้ที่ส่งผลต่อกลิ่นของน้ำปัสสาวะ โดยทั่วไปปัสสาวะจะมีลักษณะใสจนถึงสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นเฉพาะที่ไม่ฉุนรุนแรงจนเกินไป อาจมีกลิ่นเปลี่ยนไปบ้าง ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น อาหาร หรือ เครื่องดื่มที่รับประทาน
แต่หากปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นฉุนรุนแรงหรือกลิ่นลักษณะผิดปกติไป อาจบ่งบอกถึงภาวะหรือ โรคบางอย่างได้
“ปัสสาวะ” มีกลิ่นฉุนมาก เสี่ยงโรค
สาเหตุของกลิ่นปัสสาวะฉุนที่มาจากปัจจัยทั่วไป ไม่เป็นอันตรายมาก ได้แก่
- เครื่องดื่มหรืออาหารบางชนิด เมื่อรับประทานเข้าไปจะส่งผลต่อกลิ่นของปัสสาวะได้ เช่น กาแฟ หน่อไม้ฝรั่ง ยา หรือวิตามินบางชนิด
- ดื่มน้ำน้อย ก็จะทำให้ปัสสาวะเข้มข้นขึ้น (ปริมาณน้ำลดลงแต่ของเสียมากขึ้น) จึงมีกลิ่นฉุนขึ้น
สาเหตุเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดย ดื่มน้ำให้เพียงพอประมาณ 2 ลิตรต่อวัน และลองสังเกตตัวเองว่าถ้าไม่ทานอาหารหรือเครื่องดื่มเหล่านี้แล้ว กลิ่นดีขึ้นหรือไม่
สาเหตุของกลิ่นปัสสาวะฉุนที่มาจากอาการของโรคบางอย่าง เช่น
- โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- โรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลสูง
- โรคตับ
- โรคกระเพาะปัสสาวะมีรูรั่วต่อกับลำไส้หรือช่องคลอด
- โรคทางพันธุกรรมบางชนิด ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยกรดอะมิโนบางชนิด และเกิดการสะสมของสารดังกล่าวในน้ำปัสสาวะจำนวนมากจนเกิดกลิ่นผิดปกติ โดยกลิ่นจะมีลักษณะอับ หรือ กลิ่นเหมือนน้ำเชื่อม
หากปัสสาวะมีกลิ่นฉุนที่รุนแรงผิดปกติ หรือ ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนร่วมกับมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะเป็นเลือด มีไข้ ปวดท้อง ปวดหลัง ปัสสาวะกลิ่นหวาน (เบาหวาน) คลื่นไส้ อาเจียน อาการสับสน ตัวเหลือง-ตาเหลือง (โรคตับ) ฯลฯ ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วลีภาษาอังกฤษ ที่พบบ่อย หนุ่มสาววัยทำงานไม่รู้มี Out!

ความสำคัญของการรู้คำวลีในที่ทำงาน
ความสำคัญของภาษาอังกฤษในที่ทำงานไม่ได้มีแค่การพูดให้ถูกหลักไวยากรณ์และคำศัพท์ แต่ยังรวมถึงการรู้คำวลีที่พบบ่อยในที่ทำงาน เราที่ เรียนภาษาอังกฤษ มาก็สามารถนำไปปรับใช้กับเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวต่างชาติได้ หรือ แม้แต่คนในองค์กรที่นิยมสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ เพราะการใช้วลีสำหรับเจ้าของภาษาคือความเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างลึกซึ้ง และช่วยให้มีสกิลพูดที่มีชั้นเชิงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การสปีคในออฟฟิศ ไม่มีเอ้าท์ ใช้ได้ตลอด
20 คำ วลีภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในการสื่อสารเพื่อการทำงาน
- Call it a day = ขอเรียกว่าวัน
พอแค่นี้ก่อน หรือ เลิกงานและกลับบ้าน (หยุดทำสิ่งที่ทำอยู่ ไว้กลับมาทำใหม่)
- Learn the ropes = เรียนรู้เชือก
เรียนรู้งานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ หรือ เรียนรู้วิธีทำ (บางสิ่ง)
- Think outside the box = คิดนอกกล่อง
คิดนอกกรอบ ออกจากกรอบเพื่อริเริ่มความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากสิ่งเดิม
- Cut corners = ตัดมุมทิ้ง
ทำสิ่งที่ง่ายที่สุด ลดความซับซ้อนเพื่อให้เสร็จเร็วที่สุด (ทำแบบขอไปที)
- Climb the career ladder = ปีนบันไดอาชีพ
การพยายามขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่า ก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ
- Get your feet under the table = วางเท้าไว้ใต้โต๊ะ
คงความรู้สึกมั่นใจในการงาน หรือ สถานการณ์ใหม่ ๆ เอาไว้
- Work your fingers to the bone = ปั่นงานจนนิ้วหงิกไปถึงกระดูก
ทำงานหนักมากกว่าปกติ หรือ ทำงานตัวเป็นเกลียว
- A win-win situation = สถานการณ์ที่ชนะกันทั้งสองฝ่าย
สถานการณ์ที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
- Sleep on it = นอนทับมันไปก่อน
ขอเก็บไปคิด พิจารณาก่อน
- Hot potato = มันฝรั่งร้อนกรุ่น
ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยากจะจัดการ
- Cut to the chase = ตัดเข้าฉากไล่ล่า
เข้าประเด็น ตัดเข้าใจความสำคัญโดยเน้นเนื้อหา ไม่เน้นอารัมภบท
โดยมีต้นกำเนิดมาจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เพื่อดึงความสนใจจากผู้ชม
- Cool as a cucumber = เย็นเหมือนแตงกวา
เป็นคนใจเย็น มีสติ ประคองสติต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เหมือนแตงกวาที่เป็นผักฤทธิ์เย็น
- Go back to the drawing board ️= กลับไปที่กระดานวาดภาพ
เริ่มต้นใหม่อีกครั้งหลังจากที่แผนหรือแนวคิดไม่สำเร็จ หรือ ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ (เปรียบเหมือนกับไปร่างภาพใหม่อีกครั้ง)
- Kill two birds with one stone = ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว (ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว)
การลงมือทำอะไรเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับผลประโยชน์สองอย่าง
- In the same boat = ลงเรือลำเดียวกัน
อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือ กำลังเจอปัญหาเดียวกัน
- Read between the lines = อ่านระหว่างบรรทัด
คำพูด หรือ ลายลักษณ์อักษรทางอ้อมที่ไม่ได้พูดหรือสื่อออกมาโดยตรง
- Go the extra mile = ไปได้ไกลกว่าที่คิด
ทำเต็มที่ ทุ่มสุดตัวจนเป็นที่น่าพอใจ
- Pull the plug = ดึงปลั๊กออก
หยุดทำทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ตอนนั้นในทันที
- Hit the nail on the head = ตอกตะปูลงหัวพอดี
พูดได้ตรงประเด็น ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม
- From the ground up = จากพื้นดิน… สู่
การเริ่มต้นจากศูนย์, การสร้างมาตั้งแต่ต้นจนเสร็จ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ตลาดแรงงาน 90% ต้องการจ้างคนมีทักษะ AI เผย 5 อาชีพมาแรงแห่งยุค

- ผลสำรวจจากวิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล (MUIC) พบว่า 90% ของนายจ้างต้องการจ้างบุคลากรที่มีความเข้าใจและสามารถใช้เครื่องมือ AI และดิจิทัลได้
- นอกจากทักษะ AI นายจ้างยังให้ความสำคัญสูงสุดกับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ (93%) และความพร้อมในการทำงานจริง (75%) ซึ่งมองว่าสำคัญกว่าผลการเรียน
- ผลสำรวจได้ชี้ถึง 5 กลุ่มอาชีพดาวรุ่งแห่งอนาคต ได้แก่ สายงานดิจิทัล-ข้อมูล-AI, ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์, การท่องเที่ยว-บริการเชิงดิจิทัล, การดูแลสุขภาพ (Healthcare) และสายงานด้านความยั่งยืน (Green transformation)
วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดผลสำรวจผู้ประกอบการ “Annual Graduate Employer Survey 2025” จากองค์กรชั้นนำ ครอบคลุมภาคเอกชน ภาครัฐ และอาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตศึกษาต่อต่างประเทศนำ ควบคู่กับผลสำรวจความคิดเห็นบัณฑิตที่จบการศึกษาในปี 2025 พบ 3 เทรนด์ใหญ่ที่ตลาดแรงงานแห่งอนาคตต้องการ
ประกอบด้วย 1. นายจ้าง 93% ให้ความสำคัญกับทักษะ ‘การสื่อสารภาษาอังกฤษ’ สูงสุด และ 90% ต้องการคนที่เข้าใจและสามารถใช้ ‘AI และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ได้’
โดย 75% ชี้ว่า ‘ความพร้อมทำงานจริงในปีแรก’ สำคัญกว่าเกรด และ 60% กังวลบัณฑิตใหม่ขาดทักษะการจัดการด้านอารมณ์ (emotional intelligence) และสื่อสารในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง
พร้อมเสนอ “7 แนวทางปรับตัวของสถาบันการศึกษา” เปิด 5 สายอาชีพดาวรุ่ง พร้อมนำร่องปรับ 17 หลักสูตรปั้นบัณฑิตตอบโจทย์ทันที
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา โฉมฉาย คณบดี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Annual Graduate Employer Survey 2025 ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นจากบัณฑิตจำนวน 412 คน ควบคู่กับผู้ประกอบการ และผู้ว่าจ้าง จากองค์กรชั้นนำจำนวน 63 แห่งครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ธุรกิจบริการ โรงแรม, การให้คำปรึกษา, เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ ตลอดจนอาจารย์ที่ปรึกษาของบัณฑิตที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ ทั้งสองชุดข้อมูลสะท้อนเทรนด์ความต้องการแรงงานในอนาคต
โดยนายจ้างในประเทศไทยให้ความสำคัญกับทักษะหลัก 3 ด้าน ซึ่งจะเป็น “หัวใจของความพร้อมในการทำงาน” ได้แก่
(1) ทักษะการสื่อสารในระดับนานาชาติ (Global Communication)
(2) ความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี AI และดิจิทัล (AI & Digital Literacy)
(3) ความพร้อมในการทำงานจริงและการปรับตัวในสภาพแวดล้อมการทำงาน (Workplace Readiness)

โดยผลสำรวจพบว่า 93% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่สอง เป็นทักษะสำคัญที่สุดในการจ้างงานโดยเฉพาะในองค์กรที่ทำธุรกิจในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ต้องการบุคลากรที่สามารถ เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสามารถสื่อสารอย่างมั่นใจในระดับมืออาชีพ และมีความเคารพในความต่างทางวัฒนธรรม
แนวโน้มนี้ชี้ชัดว่า ในปี 2569 มหาวิทยาลัยควรปรับการเรียนการสอนภาษาให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานจริง เช่น การนำเสนอ การเจรจา และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม Cross Culture)

ในขณะผลสำรวจยังพบอีกว่า 90% ของนายจ้าง คาดหวังให้พนักงานมีความเข้าใจและสามารถใช้ เครื่องมือ AI ใน การวิเคราะห์ข้อมูล และระบบการทำงานแบบดิจิทัล ได้อย่างคล่องแคล่ว ทักษะเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะสายเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น ทักษะพื้นฐานของทุกสายอาชีพ ตั้งแต่การตลาด ธุรกิจ ไปจนถึงการบริการ เพราะ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุกวัน คนที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลและข้อมูลได้ดีจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคการศึกษาไทยต้องเร่งบูรณาการ ความรู้ด้าน AI และ Data Literacy ในทุกหลักสูตร พร้อมส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม
ขณะเดียวกันพบว่ามากกว่า 75% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการปรับตัวและลงมือทำงานได้จริงในปีแรก เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินศักยภาพของบัณฑิต มากกว่าผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา นายจ้างจำนวนมากต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ ฝึกงาน โครงงานจริง หรือการเรียนรู้จากสถานการณ์ในภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันนายจ้างยังมองว่าความมั่นใจและความฉลาดทางอารมณ์เป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งพัฒนา แม้ว่านายจ้างส่วนใหญ่พึงพอใจกับคุณธรรมและการทำงานเป็นทีมของบัณฑิต
แต่กว่า 60% พบว่าผู้จบการศึกษายังขาด “ความมั่นใจในการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์กดดัน” นายจ้างมองว่าทักษะด้านจิตใจและอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานในยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เนื่องจาก“ทักษะทางเทคนิคทำให้ได้งาน แต่ความฉลาดทางอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้คนเติบโตในงาน” สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับ การพัฒนา Soft Skills เช่น ความมั่นใจ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และความฉลาดทางสังคม เพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวต่อว่า MUIC ได้สรุป 7 แนวทางสำคัญที่สถาบันการศึกษาไทยควรปรับตัวทันที ได้แก่
1. AI & Data Literacy for All: ฝังทักษะ AI และ Data Analysis ลงในทุกหลักสูตร ไม่จำกัดเฉพาะสายไอที
2. Work – Integrated Learning (WIL): ผนวกการฝึกงานและเคสจริงจากองค์กร เพื่อลดช่องว่าง เรียนจบแต่ทำงานไม่เป็น”
3. Global Communication Bootcamp: เน้น “ภาษางาน” (Business Language) ที่ใช้ทำงานจริง เช่น ภาษาเพื่อการนำเสนอ, ภาษาเพื่อการเจรจา, การเขียนอีเมลธุรกิจ และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม (Cross-cultural Communication)
4. Critical Thinking Studio: จัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น Case-based Analysis, Decision Tree & Hypothesis-driven Thinking เพื่อลดปัญหา คิดไม่เป็น ตัดสินใจไม่ชัด
5. Emotional Resilience & Professional Etiquette: ฝึกการทำงานภายใต้แรงกดดันและความเป็นมืออาชีพ เพื่อเพิ่มวุฒิภาวะ
6. Career Tracks & Micro-Credentials: ออกแบบเส้นทางทักษะ (Skill Mapping) และใบรับรองทักษะเฉพาะทาง (Micro-Credential Certificates) ที่นายจ้างสามารถเข้าใจ เช่น Data–AI Track, Cybersecurity Track, Digital Hospitality Track, HealthTech Track และ ESG/Sustainability Track
7. Language as an Economic Skill: ปรับวิชาภาษาให้เป็น “วิชาทักษะทำงาน” ไม่ใช่เพื่อสอบเท่านั้น แต่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารในงานจริง การสรุปงาน การเจรจา และการนำเสนอ

ทั้งนี้ MUIC ได้ทำการวิเคราะห์จากข้อมูลข้างต้น และมีข้อสรุปออกมาว่า 5 กลุ่มสายอาชีพที่จะเติบโตสูงใน 5 ปีข้างหน้า ได้แก่
1. ดิจิทัล – ข้อมูล – AI เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรข้อมูล, ผู้เชี่ยวชาญด้าน Prompt/Automation
2.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ / การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านดิจิทัล (Digital Compliance) เช่น นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์, ผู้เชี่ยวชาญด้าน GRC (Governance, Risk & Compliance)/Privacy
3. การท่องเที่ยว–บริการเชิงคุณภาพแบบดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัลในธุรกิจโรงแรม, การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ให้ผู้เข้าพักประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ
4. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เน้นการป้องกันและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน (Healthcare and Wellness) โดยใช้ AI และ เครื่องมือดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพรายบุคคล, การสื่อสารด้านสุขภาพเฉพาะกลุ่ม
5. การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจและสังคมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น (Green transformation) เช่น นักวิเคราะห์และจัดทำรายงานประเมินด้านความยั่งยืนหรือ ESG (Environment, Social & Governance), การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน)
“เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว MUIC ได้นำร่องปรับหลักสูตรใหม่ 17 สาขา ครอบคลุมทั้งสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี บริหารธุรกิจ และศิลปศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปั้นบัณฑิตให้ ‘พร้อมทำงานจริง’ (Workplace Readiness) เราได้บูรณาการทักษะจำเป็นแห่งยุค AI และดิจิทัลเข้าไปในหลักสูตร และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านระบบ I-Design Elective ที่นักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาเสริมเพื่อสร้างทักษะเฉพาะตัว เรามั่นใจว่าบัณฑิตที่จบจากหลักสูตรใหม่นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานแห่งอนาคต ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ผักเคล” ราชินีผักใบเขียว กินผิดชีวิตเปลี่ยน ส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

ผักเคล ราชินีแห่งผักใบเขียว กินผิดชีวิตเปลี่ยน จากพระเอกกลายเป็นตัวร้าย
หากพูดถึงผักที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพทั่วโลก คงหนีไม่พ้น ผักเคล (Kale) จนได้รับสมญานามว่าเป็น “ราชินีแห่งผักใบเขียว” ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นจนถูกจัดให้เป็น Superfood บทความนี้จะพาไปเจาะลึกประโยชน์ของผักเคล วิธีการทานให้อร่อย และข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ
5 คุณประโยชน์มหัศจรรย์ของ “ผักเคล”
การบริโภคผักเคลถือเป็นการลงทุนทางสุขภาพที่คุ้มค่า เพราะเป็นพืชที่มีความหนาแน่นของสารอาหารสูงมาก โดยมีประโยชน์เด่นๆ ดังนี้
- แหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุ: อุดมไปด้วย วิตามินเค ที่ช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือดและกระดูก, วิตามินซี ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและสร้างคอลลาเจน, วิตามินเอ ที่ดีต่อสายตา และยังมี แคลเซียม ที่ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่านมวัวบางชนิด
- ต้านอนุมูลอิสระขั้นเทพ: มีสารเควอซิทิน (Quercetin) และแคมพ์เฟอรอล (Kaempferol) ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันโรคหัวใจ และปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย
- ดีต่อหัวใจ: ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจ โดยสารในเคลจะช่วยจับกรดน้ำดี ทำให้ร่างกายต้องดึงคอเลสเตอรอลไปใช้
- บำรุงสายตา: มีลูทีนและซีแซนทีนสูง เปรียบเสมือนครีมกันแดดธรรมชาติให้ดวงตา ช่วยกรองแสงสีฟ้าและลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม
- ตัวช่วยลดน้ำหนัก: เป็นผักที่แคลอรี่ต่ำแต่ไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มนาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และดีต่อระบบขับถ่าย
กิน “ผักเคล” อย่างไรให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
หลายคนอาจกังวลเรื่องรสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างแข็งของผักเคล แต่หากเตรียมถูกวิธี ผักชนิดนี้จะทานง่ายและอร่อยมาก
- สมูทตี้ (Smoothie): วิธีที่ง่ายที่สุดคือนำไปปั่นรวมกับผลไม้รสหวาน เช่น กล้วย สับปะรด หรือเบอร์รี เพื่อช่วยกลบรสชาติผัก
- สลัดเคล (Massage Salad): เคล็ดลับคือนำใบเคลมา “นวด” กับน้ำมันมะกอก เกลือ และน้ำมะนาวเบาๆ การนวดจะช่วยลดความแข็งกระด้าง ทำให้ใบนุ่มและทานง่ายขึ้น
- เคลอบกรอบ (Kale Chips): คลุกน้ำมันมะกอกและเครื่องปรุงเล็กน้อย นำไปอบจนกรอบ เป็นของว่างทานเล่นที่มีประโยชน์
- ปรุงสุก: นำไปผัดกระเทียมหรือใส่ในต้มจืดแทนผักอื่นๆ แต่ระวังอย่าปรุงนานเกินไปเพื่อรักษาวิตามิน
ข้อควรระวัง! ใครบ้างที่ต้องจำกัดการกินผักเคล
เหรียญย่อมมีสองด้าน แม้ผักเคลจะมีประโยชน์มหาศาล แต่สำหรับผู้ที่มีเงื่อนไขสุขภาพบางอย่าง ควรระมัดระวังในการบริโภค
- ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด: เนื่องจากเคลมีวิตามินเคสูงมาก ซึ่งช่วยในการแข็งตัวของเลือด หากทานมากไปอาจต้านฤทธิ์ยาได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับปริมาณให้เหมาะสม
- ผู้ที่มีปัญหาไทรอยด์: เคลดิบมีสารกอยโตรเจน (Goitrogens) ที่อาจขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน แนะนำให้ ทำให้สุกด้วยความร้อน ก่อนทาน เพื่อลดปริมาณสารนี้
- ผู้ที่เป็นนิ่วในไต: เคลมีสารออกซาเลต (Oxalates) สูง อาจจับตัวเป็นนิ่วได้ ควรทานแต่พอดี และแนะนำให้ทานคู่กับอาหารแคลเซียมสูง เช่น นม หรือโยเกิร์ต เพื่อช่วยลดการดูดซึมออกซาเลตเข้าสู่ร่างกาย
บทสรุป
ผักเคล คือทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งช่วยต้านโรค บำรุงผิวพรรณ และควบคุมน้ำหนัก แต่สิ่งสำคัญคือการเดินทางสายกลาง เลือกทานให้ถูกวิธีและหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่เกิดโทษตามมา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/12/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 64,400.00 | 64,500.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,163.00 | 63,111.08 | 65,300.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,746.70 | 56,799.97 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,330.40 | 50,488.86 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,873.35 | 28,399.99 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,457.05 | 22,088.88 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,313.99 | 65,400.09 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/12/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 29.94 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







