สาระน่ารู้ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2567

อสังหาฯรอปัจจัยหนุนลงทุนทำกำไร ชี้คอนโดปล่อยเช่ากลางเมืองผลตอบแทนรุ่ง

อสังหาฯรอปัจจัยหนุนลงทุนทำกำไร ชี้คอนโดปล่อยเช่ากลางเมืองผลตอบแทนรุ่ง “CBRE Thailand” ย้ำ ผลตอบแทน ย่านCBD สูงเกือบ 8% 

อสังหาริมทรัพย์ อีกเครื่องยนต์สำคัญ ที่ทุกรัฐบาลใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และแม้ว่าขณะนี้จะตกอยู่ท่ามกลางคลื่นลมแรงแต่มองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

ยังได้รับความนิยมเนื่องจาก มีความปลอดภัยสูง ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว  อีกทั้งมูลค่าที่ดินขยับขึ้นทุกปี เมื่อเทียบการลงทุนประเภทอื่น อย่าง ทองคำ ตลาดทุน ตราสารหนี้ ที่ยังมีความเสี่ยง จากความผันผวนสูง

ดังนั้นการเลือกทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าเศรษฐกิจจะซบเซาเพียงใด เชื่อว่ายังมีความนิยมต่อเนื่องสำหรับเศรษฐีเงินเย็นที่มักเลือกอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรือธงในการลงทุน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ที่นักลงทุนมองเรื่องผลตอบแทน เป็นหลัก

ทั้งจากการปล่อยเช่าระยะยาว การขายต่อทำกำไร เฉลี่ย 5-6% ที่เห็นกันมากสำหรับผู้ประกอบการค่ายใหญ่แบรนด์ดัง มักปักหมุดลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม ใกล้สถานศึกษา แหล่งงาน ย่านธุรกิจการค้า ศูนย์ราชการหน่วยงานของรัฐ ชุมชนขนาดใหญ่

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง การเข้าถึงที่อยู่อาศัยของคนไทยกับราคาขายถ่างช่องว่างไปทุกขณะ จากต้นทุนของผู้ประกอบการ ขณะรายได้ของผู้ซื้อไม่พอกับรายจ่าย การปฏิเสธสินเชื่อมีสูง

ส่งผลให้ตลาดเช่ามีผลดี และผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม ต่างนำโครงการที่มีอยู่นำปล่อยเช่าทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมถึงคนรุ่นใหม่ ซึ่งบางโครงการแม้จะขายได้แต่ผู้ประกอบการบางกลุ่มให้น้ำหนักไปยังตลาดเช่ามากกว่า

แต่ทั้งนี้ ทางออกที่ดีนอกจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์แล้ว เอกชนยังหวังให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ผ่อนปรนในเรื่องของการลดดอกเบี้ยนโยบายลง และผ่อนปรนมาตรการ LTV   (Loan to Value) ซึ่งเป็นเพดานสินเชื่อที่ธปท.กำหนดขึ้น เพื่อป้องกันเก็งกำไร สำหรับบ้านหลังที่สอง หากทำได้ จะจูงใจให้นักลงทุนซื้อมากขึ้น

เช่นเดียวกับนาง เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และนางสาว พิชญา ตันโสด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ริชี่เพลซ 2002 หรือ RICHY มองว่าตลาดเช่ามีทิศทางที่สดใส จึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสนำโครงการคอนโดมิเนียมรอการขายปล่อยเช่าให้ผลตอบแทนสร้างกระแสเงินสดเข้าบริษัท

ท่ามกลางการปฏิเสธสินเชื่อมีสูงและขีดความสามารถในการผ่อนมีต่ำ ขณะเดียวกันการลดดอกเบี้ยนโยบายและผ่อนปรนLTVจะช่วยสนับสนุนกลุ่มนักลงทุนนำเงินออกมาซื้อที่อยู่อาศัยปล่อยเช่าระยะยาวได้มากขึ้น 

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด เครือกลุ่มพฤกษา เคยระบุไว้ว่า พฤกษาประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมใกล้สถาบันการศึกษา ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนที่เหมายกฟลอร์

เพื่อให้นักศึกษาเช่าเช่นทำเลย่านรังสิต เช่นเดียวกับค่ายแสนสิริ เสนา แอสเซทไวส์ ออริจิ้น ฯลฯ ที่ปักหมุดโครงการคอนโดเจาะตลาดนักศึกษามากขึ้น

ทั้งนี้นอกจากทำเลและแบรนด์ ที่การันตี ค่าเช่าและการขายแล้ว ยังมีเรื่องของความสะดวกสบาย การสอดแทรกการบริการเสมือนพักอาศัยอยู่ในโรงแรมดัง  ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรีที่บริหารโดยเครือโรงแรมระดับห้าดาว หรือ Branded Residences แข่งขันกันมาก ทั้งในทำเลกลางใจกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต ส่งผลให้คอนโดมิเนียมจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้กันมาก 

อย่าง ดุสิต เรสซิเดนเซส โครงการที่พักอาศัยหรู บนที่ดินเช่าระยะยาว ในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค ที่จะเปิดอย่างเปิดทางการในปี2568  ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่ไปแล้ว กว่า 80% ทั้งทำเล แบรนด์ ความหรู การบริการ มีผลต่อการตัดสินใจสะท้อนว่าตลาดเช่ายังมีความต้องการในย่านกลางเมือง

จากการวิเคราะห์ของนางสาว อาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จํากัด หรือ CBRE Thailand  ระบุว่า ภาพรวมตลาดที่พักอาศัย ในครึ่งแรกของปี 2567 โครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในโครงการที่สร้างแล้วเสร็จทำเลใจกลางเมือง (downtown) มียอดขายเฉลี่ยสูงถึงกว่า 93% โดยเฉพาะบริเวณเซ็นทรัล ลุมพินี และสีลม-สาทร มียอดขายกว่า 96% และ 94% ตามลำดับ

ขณะโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรีมียอดขายสูงถึง 86% ซึ่งสูงกว่าเซกเม้นต์อื่นในทำเลเดียวกัน ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่า โครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรีที่บริหาร

โดยเครือโรงแรมระดับห้าดาว หรือ Branded Residences มียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 90% และหากมองในแง่การลงทุนโครงการที่พักอาศัยในรูปแบบนี้ จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) ที่สูงกว่าเซกเม้นต์อื่นๆ

ปัจจัยที่ทำให้โครงการรูปแบบนี้ประสบความสำเร็จอย่างดี ได้แก่ ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใน Prime Location ขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างแท้จริง การออกแบบให้ได้ตามมาตรฐานของแบรนด์ ดีไซน์ที่ร่วมสมัย พร้อมเซอร์วิสระดับห้าดาว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน

โดยโครงการที่ครบองค์ประกอบเหล่านี้ มีอยู่เพียงจำนวนน้อย จึงเป็นที่ต้องการในตลาดเช่าอย่างมาก โดยปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นผู้เช่าชาวต่างชาติอยู่ที่ 90% และผู้เช่าชาวไทย 10% ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงการปล่อยเช่าโครงการบนทำเล Super Core CBD และเซกเม้นต์นี้

พบว่ามีดีมานด์ที่สูงจากกลุ่มผู้เช่าที่มองหาที่พักอาศัยที่ดีที่สุดที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของตัวโครงการและเซอร์วิสซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าระดับบนต้องการ จึงสามารถสร้างผลตอบแทนต่อการลงทุน (Yield) ได้สูงถึง 7.9% ต่อปี ทั้งนี้เมื่อเทียบกับทำเลอื่นใน  CBD ทำเลนี้ยังสามารถปล่อยเช่าได้สูงถึง 2,000 บาทต่อตารางเมตร

ด้าน นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้มุมมองว่า ในปัจจุบันแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน ดังนั้น ควรแบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาวออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) คือการลงทุนด้วยกลยุทธ์บริหารเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูง ผ่านหลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบแบบ Risk-based approach

 เพื่อกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการควบคุมความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และพอร์ตลงทุนเสริม โดยแบ่งการลงทุนในหุ้นเติบโต ตราสารหนี้ และการลงทุนทางเลือก

อาทิ กองทุนทางเลือกที่มีกลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือการเลือกซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“ดิ อัมรินทร์” ชี้ “ศิริราช” ทำเลแห่งอนาคต เตรียมขึ้นแท่นเมืองแห่งการแพทย์

“ดิ อัมรินทร์” ชี้ “ศิริราช” ทำเลแห่งอนาคต เตรียมขึ้นแท่นเมืองแห่งการแพทย์ ระบุมีการทำข้อตกลงร่วมกับ รฟท. และ รฟม. ที่จะพัฒนาสถานีขนส่งมวลชนเพื่อสุขภาพและสาธารณสุขแห่งแรกของไทย

นายอรรถวุฒิ ธรรมเจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัท ดิ อัมรินทร์ จำกัด เปิดเผยว่า ที่ดินทำเลแถวโรงพยาบาลศิริราชเป็นที่ดินที่มีโอกาสและศักยภาพการเติบโตของทำเล โดยมีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และในอนาคตพื้นที่ดังกล่าวจะกลายเป็นเมืองแห่งการแพทย์ (Medical District) 

ทั้งนี้ โรงพยาบาลศิริราชมีแผนพัฒนาโครงการอาคารรักษาพยาบาลสูง 15 ชั้น และเชื่อมต่อกับสถานีศิริราช ซึ่งเป็นหน่วยบริการหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ศิริราช มีทางเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสายสีแดง 

รวมถึงเป็นสถานีขนส่งมวลชนเพื่อสุขภาพและสาธารณสุขแห่งแรกของประเทศไทย โดยที่ทางโรงพยาบาลศิริราชได้ทำข้อตกลงร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่จะร่วมมือพัฒนาโครงการดังกล่าวร่วมกัน 

อีกทั้งยังจะมีการพัฒนาพื้นที่ของ รฟท.ที่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลศิริราช เช่น การปรับปรุงอาคารที่พักของพนักงานและเจ้าหน้าที่รถไฟอายุกว่า 50-60 ปี การพัฒนาพื้นที่ระหว่างทางเชื่อมเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ เช่น ถนนคนเดิน ทำให้ทำเลดังกล่าวจะถูกพัฒนายกระดับมาตรฐาน และมีคนเข้ามาใช้บริการและอยู่อาศัยในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

นายอรรถวุฒิ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันที่ดินโดยรอบโรงพยาบาลศิริราช ถือว่าหามาพัฒนาโครงการได้ยาก เนื่องจากเจ้าของที่ดินไม่มีแผนขายที่ดิน ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้อยู่อาศัยเดิมที่อยู่มานานกว่า 30-60 ปี และเป็นที่ดินแปลงเล็ก หากต้องการซื้อเพื่อนำมาพัฒนาโครงการต้องซื้อรวมหลายแปลง ทำให้มีข้อจำกัดในการพัฒนา 

นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ไม่สามารถสร้างอาคารสูงเกิน 5 ชั้นได้ การพัฒนาโครงการจึงต้องขยายพื้นที่ออกมาด้านรอบนอก แต่ยังพบปัญหาที่ดินส่วนใหญ่ยังเป็นของการรถไฟฯ ที่ไม่สามารถซื้อขายมาพัฒนาโครงการได้ 

อย่างไรก็ดี บริษัทได้ดำเนินการพัฒนาโครงการอรุณ ศิริราช ทริปเปิ้ล สเตชั่น บนทำเลดังกล่าว มุ่งกลุ่มเป้าหมายผู้อยู่อาศัยจริง โดยเฉพาะกลุ่ม แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยใกล้เคียง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรและปล่อยให้เช่า

นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมทำเลมิดทาวน์/ชานเมืองซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่มีที่พักอาศัยอยู่หนาแน่น โดยครึ่งแรกของปี 2567 พบว่ามีซัพพลายที่แล้วเสร็จกว่า 751,987 ยูนิต และที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 100,163 ยูนิต 

โดยคอนโดมิเนียมกลุ่มนี้มีอัตราขายเฉลี่ยอยู่ที่ 63.1% ซึ่งเมื่อเจาะลึกย่านศิริราช ที่อยู่ในทำเลมิดทาวน์นั้น ถือได้ว่าเป็นทำเลทองในปัจจุบันและอนาคต โดยโครงการคอนโดมิเนียมบริเวณรอบทำเลศิริราชพบว่ามีซัพพลายเพียง 4,197 ยูนิต โดยโครงการที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ารัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตร มีอัตราขายเฉลี่ยสูงถึง 81% ในขณะที่คอนโดมิเนียมที่อยู่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าออกไปรัศมีเกิน 1 กิโลเมตร มีอัตราขายเฉลี่ยอยู่เพียง 64% ถือว่ารถไฟฟ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆในการเลือกที่พักอาศัย 

อีกทั้งยังได้ปัจจัยสำคัญอื่นมาสนับสนุน เช่น การเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ของบุคลากรด้านการแพทย์กว่า 17,000 คน เป็นแหล่งการศึกษา ทั้งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) และมหาวิทยาลัยศิลปากร รวมจำนวนนักศึกษากว่า 8,000 คน รวมถึงยังมีคนไข้เข้ามาใช้บริการของโรงพยาบาลศิริราชกว่า 12,000 คนต่อวัน ไม่นับรวมกับผู้ที่พักอาศัยในเขตบางกอกน้อยปัจจุบันกว่า 1 แสนคนด้วย จึงเป็นทำเลที่มีดีมานด์การอยู่อาศัยในพื้นที่อย่างมากมายและต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลอินไซท์ของบุคลากรทางการแพทย์ พบว่า โครงการที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล ใกล้รถไฟฟ้า มีพื้นที่ส่วนกลางที่เปิด 24 ชั่วโมง มีรถรับ-ส่งไปยังโรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงโครงการที่มีจำนวนยูนิตน้อย และมีความเป็นส่วนตัวสูง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งโครงการ อรุณ ศิริราช ทริปเปิ้ล สเตชั่น ตอบทุกโจทย์ของความต้องการที่กล่าวมา

นางสาวอาทิตยา กล่าวอีกว่า     ในอนาคตพื้นที่ย่านศิริราชจะมีการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์สำคัญ รวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้านการเดินทาง ซึ่งจะมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนและสายสีส้ม ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายในอนาคต คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2571 และ 2572 มาเชื่อมกับรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางขุนนนท์ ที่เปิดให้บริการในปัจจุบัน กลายเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้า 3 สาย ส่งผลให้การเดินทางไป-มาระหว่างพื้นที่ทำเลศิริราชและพื้นที่อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ มีความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งในอนาคตหากต้องการเดินทางสู่ย่านใจกลางเมืองอย่างสยาม ด้วยสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มจะรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที หรือห่างเพียง 7 สถานี และผู้โดยสารยังมีทางเลือกในการเดินทางได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นถนน รถไฟฟ้า รถไฟ หรือทางเรือ 

ด้วยปัจจัยบวกสำคัญของพื้นที่ ซึ่งจะถูกพัฒนาไปในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเมืองแห่งการแพทย์ การพัฒนาระบบคมนาคม และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของการรถไฟฯ ส่งผลให้ทำเลศิริราช เป็นทำเลทองในปัจจุบันและอนาคต ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก แต่การขึ้นโครงการที่อยู่อาศัยทำได้ค่อนข้างยาก เพราะที่ดินหายากและมีราคาสูง รวมถึงมีข้อจำกัดในการพัฒนาและข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย ทำให้เมื่อมีโครงการคอนโดออกมาขายจึงได้รับการตอบรับที่ดี เพราะมีความต้องการทั้งจากกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือปล่อยเช่า

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ต.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.33 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่ตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมกนง. ระวังความผันผวนก่อนรับรู้ผล-มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.50 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ต.ค.  2567ที่ระดับ  33.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.36 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่ตลาดจะทยอยรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นผลการประชุม กนง.

โดยหาก กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ตามที่เราประเมินไว้ อีกทั้งไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงโอกาสในการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า (ซึ่งอาจต้องเห็นโทนการสื่อสารของ กนง. ที่มีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น หรือมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจแย่ลงชัดเจน) เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ตามเดิม หรือแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยได้

ในกรณีที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% แต่มีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งหน้าที่ชัดเจนขึ้น (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดการณ์ไว้) เงินบาทก็อาจอ่อนค่าลงเล็กน้อยได้

แต่หาก กนง. “เซอร์ไพรส์” ตลาด ด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25bps สู่ระดับ 2.25% พร้อมเปิดโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้พอสมควร โดยเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

ทว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง จากแรงขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออก รวมถึงโอกาสที่บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจทยอยเข้าซื้อบอนด์ไทยได้บ้าง ในกรณีที่ แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของไทยมีความชัดเจน และที่สำคัญ หากราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.50 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.25-33.38 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงิน

และการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่ถูกกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นยุโรป ทว่าเงินบาทก็ยังได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD)

ซึ่งได้อานิสงส์จากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 98% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor หลังล่าสุด ASML เปิดเผยคาดการณ์ยอดขายที่น่าผิดหวัง กดดันให้บรรดาหุ้นในธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวลงแรง อาทิ AMD -5.2%, Nvidia -4.7% กดดันให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -1.01% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -0.80% กดดันโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นธีม AI/Semiconductor นำโดย ASML -15.6% หลังมีรายงานข่าวว่าผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการของ ASML อาจออกมาแย่กว่าคาด

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -3.4% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลความเสี่ยงที่อิสราเอลจะโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของอิหร่าน

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.04% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เรายังคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการถือเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) ที่อ่อนค่าทะลุโซนแนวรับ 1.09 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นยุโรป

ทว่าการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกจำกัดลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดและจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยงและการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้โซน 103.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103-103.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายน (รวมถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในปีหน้า) ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นสู่โซน 2,670-2,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราคาดว่า กนง. อาจมีมติ 6-1 หรือ 5-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50%

ทั้งนี้ เราจะจับตามุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ การปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ รวมถึงการส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งจะเร็วกว่าที่เราประเมินไว้ว่า กนง. อาจเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า

ส่วนทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนกันยายน เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว –36bps ครั้งในปีนี้ สะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่มั่นใจว่า BOE จะลดดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้ง หรือ -50bps ในปีนี้

ในฝั่งเอเชีย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจลดดอกเบี้ยลง -25bps สู่ระดับ 6.00% เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของ BSP

ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 6.00% เพื่อประเมินผลกระทบจากการลดดอกเบี้ย -25bps ในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้มีโอกาสที่ BI จะส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ ตามแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน ส่วนค่าเงินอินโดนีเซียรูเปียะห์ (IDR) ก็มีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่มีจังหวะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จน BI ต้องขึ้นดอกเบี้ยในช่วงต้นปีนี้

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“วิว กุลวุฒิ-เม ศุภนิดา” พาเหรดเข้ารอบสองแบดมินตันเดนมาร์ก โอเพ่น

การแข่งขันแบดมินตันรายการ วิคเตอร์ เดนมาร์ก โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,050,000 บาท ที่เมืองโอเดนเซ่ ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันอังคารที่ 15 ต.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก 

ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ แมด คริสโตเฟอร์เซ่น มืออันดับ 47 ของโลกจากเดนมาร์ก เกมนี้ วิว กุลวุฒิ งัดฟอร์มการเล่นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปแบบขาดลอย 2-0 เกม 21-18 และ 21-6 “วิว” กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ โคกิ วาตานาเบะ มืออันดับ 13 ของโลกจากญี่ปุ่น 

ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มืออันดับ 19 ของโลก แพ้ให้กับ จูเลีย ฟินเนอร์ อิปเซ่น กับ ไม เซอร์โรว์ คู่มืออันดับ 48 ของโลกจากเดนมาร์ก 0-2 เกม 10-21 ,15-21 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มืออันดับ 7 ของรายการ มืออันดับ 11 ของโลก เอาชนะ อาคาชิ คัชยัพ มืออันดับ 41 ของโลกจากอินเดีย 2-0 เกม 21-13 และ 21-12  “เม” ศุภนิดา ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ เหงียน ทุยลิน มืออันดับ 32 ของโลกจากเวียดนาม

“แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 38 ของโลก แพ้ให้กับ อัน เซยอง มืออันดับ 2 ของโลกจากเกาหลีใต้ 0-2 เกม 16-21 ,8-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


แพทย์แนะนำวิธีดูแลดวงตา อากาศหนาวเสี่ยง “ตาแห้ง”

เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว แม้ว่าอากาศในเมืองไทยจะไม่ได้หนาวมาก แต่ในหลายๆ จังหวัดในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจมีอากาศหนาวเย็นมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บช่วงหน้าหนาวก็เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สุขภาพทั่วไป ในกลุ่มผู้มี อาการตาแห้ง เป็นอีกกลุ่มที่ไม่ควรมองข้ามแนะหากมีอาการตาแห้งผิดปกติควรรีบพบจักษุแพทย์

อากาศหนาวเสี่ยง “ตาแห้ง”

นายแพทย์วีรวุฒิ  อิ่มสำราญ  รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ช่วงอากาศหนาวที่มาถึงนี้ นอกจากทำให้ผิวพรรณแห้งแตกเป็นขุยแล้ว ลมหนาวและแสงแดดที่ร้อนจัดยังทำให้เกิดปัญหากับดวงตา อาทิเช่น “ตาแห้ง” ได้  เพราะช่วงหน้าหนาวอากาศจะแห้งและเย็นมีผลให้น้ำที่หล่อเลี้ยงลูกตาตามธรรมชาติระเหยไปได้ง่ายกว่าปกติ 

สัญญาณอันตราย “ตาแห้ง” ผิดปกติ

ปัญหาตาแห้งอาจเกิดได้กับทุกคนโดยมีอาการและความรุนแรงของแต่ละคนแตกต่างกัน เมื่อน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยอาจไม่แสดงอาการผิดปกติหรือเกิดอาการระคายเคืองตา เหมือนมีฝุ่นทรายเข้าตาทำให้เกิดมีอาการตาแดง แสบตา โดยอาการอาจคล้ายโรคภูมิแพ้ขึ้นดวงตา กรณีตาแห้งรุนแรงที่สุดจะมีอาการอักเสบ เคืองตาอย่างรุนแรง ตาพร่ามัว

นายแพทย์เกรียงไกร  นามไธสง  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงหน้าหนาวอากาศแห้งและเย็น ทำให้น้ำที่หล่อเลี้ยงลูกตาอยู่ตามธรรมชาติระเหยไปได้ง่ายกว่าปกติ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามอาจจะเจอปัญหานี้ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละคน ผู้ที่ตาแห้งอาจมีอาการแสบตา ปวดตา เคืองตา มีขี้ตาเป็นเมือก ตาพร่ามัว มองไม่ชัด

กลุ่มเสี่ยงอาการตาแห้ง

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดปัญหาตาแห้ง คือ 

  • กลุ่มผู้สูงอายุ 
  • ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ 
  • กลุ่มบุคคลที่ทำงานอยู่กลางแจ้ง เจออากาศแห้งและลมแรง 
  • กลุ่มคนที่ใช้สายตามาก เช่นกลุ่มที่ทำงานต้องเพ่งนานๆ เช่น อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ 
  • กลุ่มที่รับประทานยาบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้ตาแห้งง่ายกว่าปกติ เช่น ยาลดความดัน ยาแก้แพ้ ดังนั้น 

หากมีปัญหากับดวงตาหรือมีอาการผิดปกติควรพบจักษุแพทย์

วิธีดูแลดวงตา ลดเสี่ยงตาแห้ง

สำหรับการดูแลดวงตาไม่ให้มีอาการตาแห้ง ทำได้ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการออกแดด หรือโดนลม สวมแว่นกันแดดหรือหมวกทุกครั้งที่ออกแดด
  2. หลีกเลี่ยงการใช้สายตา หรือการเพ่งนานๆ หากมีการใช้สายตา ควรพักสายตาเป็นระยะ ทุก 30-60 นาที
  3. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายเพื่อทำให้ตาชุ่มฉ่ำ และเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำเวลาอยู่กลางแจ้ง
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  5. รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ผัก ผลไม้ ปลา รวมถึงอาหารที่มีกรดไขมันจำเป็น กลุ่มโอเมก้า-3
  6. ใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการตาแห้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา มีทั้งชนิดน้ำและเจล โดยส่วนใหญ่อาการตาแห้งไม่ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อดวงตามากนัก แต่สร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วยมากกว่า

ประชาชนจึงควรที่จะรู้จักกับอาการตาแห้งเพื่อจะได้ไม่เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ รวมถึงจะได้สามารถตั้งรับ รู้วิธีการรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถสังเกตอาการง่ายๆ คือ รู้สึกไม่สบายตา ระคายเคือง แสบตา ให้สงสัยว่าอาจเข้าข่ายอาการนี้ หากมีอาการที่รุนแรงแนะนำให้พบจักษุแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


7 C’s of communication สื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ

หลักการสื่อสารภาษาอังกฤษ

องค์ประกอบหรือคุณสมบัติของการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดี มีอะไรบ้าง?

การสื่อสารภาษาอังกฤษ

7 C’s of Communication คือ รายการตรวจสอบ (checklist) ที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและเพิ่มโอกาสให้ผู้รับข้อมูลได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงตามความตั้งใจของผู้สื่อสาร

เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

7 C’s of Communication

สื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ

1. ชัดเจน (Clear)
ในการสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน ข้อมูลที่สื่อสารต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ชัดในเนื้อหาสาระ ใช้คำที่มีความหมายตรงตัว ไม่ต้องตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิด

2. ถูกต้อง (Correct)
ความถูกต้องของข้อมูล หมายถึงเป็นข้อเท็จจริง (fact) ตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับข้อมูลว่าไม่ได้ถูกหลอกให้หลงเชื่อ ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถูกต้องทั้งไวยากรณ์และตัวสะกด

3. ครบถ้วน (Complete)
การสื่อสารควรเป็นการส่งข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผู้รับข้อมูลควรทราบ ความครบถ้วนนี้จะต่างกันไปในแต่สถานการณ์ ไม่ตกหล่นเนื้อหาสาระที่สำคัญ เป็นข้อมูลที่สร้างแรงจูงใจ

4. หนักแน่นมีสาระ (Concrete)
ข้อมูลควรมีความจำเพาะเจาะจง หนักแน่น มีสาระ ไม่คลุมเครือหรือกว้างจนเกินไป มีข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ลดความน่าเชื่อถือ จำเพาะเจาะจงในประเด็นที่สื่อสาร มีความเป็นรูปธรรมในเรื่องที่สื่อสาร

5. กระชับ (Concise)
ข้อมูลควรกระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ชูเนื้อหาสาระหลักได้ชัดเจน ไม่กล่าววนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก

6. สมเหตุสมผล (Coherent)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีตรรกะ มีความเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงและสอดคล้องสัมพันธ์กับประเด็นหลัก สร้างมุมมองแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับเพื่อให้ได้รับการตอบสนองที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี เน้นไปในสิ่งที่เป็นไปได้

7. มีมารยาท (Courteous)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีลักษณะที่เป็นมิตร เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่มีประเด็นซ่อนเร้นหรือเหน็บแนมก้าวร้าว เลือกใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติ ไม่นำอคติใด ๆ มาบิดเบือนข้อมูลให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง คำนึงถึงความคิดเห็น มุมมอง ทัศนคติ ของผู้รับข้อมูล ไม่หักหาญหรือฝืนความรู้สึกนึกคิดของผู้รับ ใช้คำในเชิงบวก

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


Digital Twin: พลิกโฉมจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นด้วยความถี่ที่มากขึ้นและรุนแรงขึ้นในอนาคต แม้ประเทศไทยจะอยู่ในเขตที่เกิดภัยพิบัติไม่มากนัก แต่การเกิดขึ้นแต่ละครั้งก็ทำให้เราไม่ได้เตรียมตัวที่ดีหรือระมัดระวังอย่างเพียงพอ

การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่แต่ละครั้ง ประชาชนจำนวนมากก็มักจะรอจนน้ำมาถึงระดับหนึ่งแล้วจึงอพยพซึ่งอาจจะไม่ทันการณ์และทำให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ในประเทศที่ก้าวหน้าในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ได้นำเทคโนโลยี Digital Twin หรือ ฝาแฝดดิจิทัล มาใช้ร่วมในการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ

Digital Twins เป็นเทคโนโลยีที่จำลองสภาพแวดล้อมและระบบทางกายภาพในโลกจริงให้ไปอยู่ในรูปแบบ “โลกดิจิทัล” แบบจำลองของวัตถุ ระบบ หรือโครงสร้างต่าง ๆ จะสะท้อนการทำงานและการเปลี่ยนแปลงในโลกจริง

การใช้ Digital Twin ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบสถานการณ์ วิเคราะห์ข้อมูล และทดลองวิธีแก้ไขปัญหาในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงในดิจิทัลได้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องเสี่ยงกับความเสียหายต่อวัตถุหรือสถานการณ์จริง

Digital Twins นำมาใช้ในการจัดการภัยพิบัติ จึงช่วยจำลองสถานการณ์ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม ในพื้นที่เสี่ยง ช่วยคำนวณผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน และวางแผนอพยพประชาชนได้อย่างแม่นยำ

ในญี่ปุ่นนำ Digital Twin มาใช้จัดการภัยพิบัติโดยสร้างแบบจำลองเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญสามารถทดสอบแนวทางการตอบสนองในสภาพแวดล้อมปลอดภัยหรือโลกดิจิทัลก่อน และปรับปรุงแผนการรับมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจริงต่อไป

ตัวอย่างหนึ่งคือ การจัดการแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น Digital Twins ช่วยจำลองการสั่นไหวของอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากจะช่วยปรับปรุงการออกแบบอาคารให้ทนทานแล้ว ยังช่วยให้เมืองและชุมชนเตรียมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หรือ การจัดการน้ำท่วม Digital Twins ช่วยให้ภาครัฐสามารถจำลองปริมาณน้ำฝนขนาดต่างๆ และการไหลของน้ำในระบบแม่น้ำเพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม เพื่อให้สามารถวางแผนอพยพประชาชนและวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในข้อดีที่สำคัญของ Digital Twins คือความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์จากอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลและจำลองเหตุการณ์ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง

การใช้เซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต (IoT) ในการตรวจสอบสภาพอากาศ การเคลื่อนไหวของแผ่นดิน และข้อมูลอื่น ๆ ช่วยให้ Digital Twins สามารถสร้างแบบจำลองพื้นที่ที่แม่นยำขึ้นและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ แบบจำลองยังสามารถเรียนรู้และปรับปรุงข้อมูลจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้สามารถสร้างแบบจำลองที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

เช่น การจำลองแผ่นดินไหวสามารถปรับปรุงจากข้อมูลของแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นจริง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์ผลกระทบในพื้นที่ที่แตกต่างกันได้อย่างแม่นยำ

ญี่ปุ่นยังนำ Digital Twin มาใช้ในการวางแผนสร้างเมืองที่ทนทานต่อภัยพิบัติ โดยใช้ข้อมูลจาก Digital Twin ในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน และระบบน้ำที่สามารถทนทานต่อภัยพิบัติได้

นอกจากนี้การใช้ Digital Twin ยังช่วยในการวางแผนการอพยพประชาชน โดยจำลองเส้นทางการอพยพที่ปลอดภัยและรวดเร็วที่สุดในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติขึ้น

หนึ่งในเหตุการณ์ดินถล่มครั้งใหญ่ซึ่ง Digital Twin มีบทบาทสำคัญคือ เหตุดินสไลด์ที่เมืองอาตามิ (Atami) ในเดือน ก.ค.2564 เหตุการณ์นี้เกิดจากฝนตกหนักในช่วงฤดูพายุ ซึ่งทำให้เกิดการสะสมของดินบนเนินเขาที่อยู่เหนือเมือง อันเป็นเหตุให้เกิดดินสไลด์ขนาดใหญ่ไหลลงมาทำลายบ้านเรือนและคร่าชีวิตประชาชนไปหลายคน

Digital Twin นำมาใช้เพื่อจำลองและวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของดินและหินจากเนินเขา ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินความเสี่ยงของการเกิดดินสไลด์เพิ่มเติมหลังจากเหตุการณ์แรก

และวางแผนในการอพยพประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างทันท่วงที การจำลองดังกล่าวช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และยังช่วยวางแผนป้องกันการเกิดดินสไลด์ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน (ผู้ที่สนใจสามารถดูสารคดีการใช้ Digital Twins ในการจัดการเรื่องดินถล่มที่อาตามิได้ในเว็บไซต์ของ NHK World)

Digital Twin สามารถนำมาใช้ในการจัดการกับภัยพิบัติได้ทุกประเภท เนื่องจากเทคโนโลยีนี้สามารถจำลองสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ในหลากหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ดินถล่ม น้ำท่วม ไฟป่า

หรือภัยพิบัติที่เกิดจากมนุษย์ เช่น อุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมหรือการรั่วไหลของสารเคมี รวมถึงการจำลองสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น การแพร่ระบาดของโรคและการจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข

ประเทศไทยควรนำ Digital Twin มาใช้ในการจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อย เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และไฟป่า เทคโนโลยีนี้จะช่วยจำลองสถานการณ์และวิเคราะห์ผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้า ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถวางแผนป้องกันและจัดการการอพยพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ Digital Twin ยังสามารถนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อภัยพิบัติ เช่น ถนน เขื่อน และระบบระบายน้ำ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของเมืองและชุมชนในระยะยาว 

เทคโนโลยีนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต.

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ไลฟสไตล์ 12 ราศี ชอบกินอาหารแบบไหน

ไลฟสไตล์ 12 ราศี ชอบกินอาหารแบบไหน ลักษณะนิสัย พฤติกรรมของช่าว 12 ราศี มีผลต่อการกินอาหาร ความชื่นชอบในรสชาติที่แตกต่าง หากคุณกำลังเดาใจคนที่คุณอยากรู้จัก อาจเดาทางได้ว่าจะพาเขาไปกินอะไรแบบไหน หรือเลือกร้านไหนดีเพื่อสร้างความประทับใจในความสัมพันธ์

12 ราศี ชอบกินอาหารแบบไหน

ราศีเมษ (21 มีนาคม – 20 เมษายน)

ชาวราศีเมษมักชอบรสชาติที่เข้มข้นและเผ็ดร้อน ซึ่งเหมาะกับจิตวิญญาณที่ชอบผจญภัยของพวกเขา พวกเขามักชอบอาหารที่ไม่ใช้เวลาปรุงมากนัก หาทายได้สะดวก เช่น อาหารริมทาง ที่ชอบมากคืออาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน เช่น ยำ ส้มตำ หรือแกงเผ็ด อาหารว่างแบบฟาสต์ฟูดส์และอาหารที่เพิ่มพลังงานเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่กระตือรือร้นของชาวราศีเมษ

ราศีพฤษภ  (21 เมษายน – 21 พฤษภาคม)

ชาวราศีพฤษภชื่นชมความสะดวกสบายและการตามใจตัวเองในการรับประทานอาหาร พวกเขามักชอบอาหารที่มีรสชาติเข้มข้นและอร่อย เขามักจะเปรียบเทียบรสชาติและสรรหาร้านอร่อยเป็นพอเศษ และมีแนวโน้มที่จะชอบอาหารหรูๆ ไวน์ดีๆ และของหวานที่หรูหรา ความรักในสิ่งที่อร่อยโดยเฉพาะอาหารที่มีเนื้อสัตว์ เช่น สเต็ก หรือพิซซ่าหรูๆ เป็นเรื่องปกติสำหรับชาวพฤษภ

ราศีเมถุน (22 พฤษภาคม – 21 มิถุนายน)

ชาวราศีเมถุนเป็นนักกินตัวยง พวกเขาอยากรู้อยากเห็น ชอบความหลากหลายและความแปลกใหม่ในอาหาร พวกเขาอาจชอบอาหารฟิวชั่น จานเล็กๆ และอาหารที่สามารถแบ่งปันได้กับสมาชิกร่วมโต๊ะอาหาร อาหารที่ชอบมากเป็นพิเศษ มักเน้นไปที่อาหารที่ไม่หนกจนเกินไป อาจเป็นอาหารเบา ๆ แต่กินแล้วสดชื่น เช่น สลัดหรือทาปาส นั่นก็เพื่อช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสกับรสชาติหลายๆ จานในมื้อเดียว

ราศีกรกฎ (22 มิถุนายน – 22 กรกฎาคม)

ชาวราศีกรกฎมักแสวงหาความสะดวกสบายในการเลือกอาหาร  พวกเขาชอบอาหารโฮมเมดเป็นที่สุด หากไม่ลงมือทำอาหารเองก็โปรดปรานสูตรอาหารครอบครัว และอาหารที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง ซุป สตูว์ ต้ม แกง หรืออาหารหม้อใหญ่ที่กินได้ทั้งครอบครัว มักทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและกินอร่อยได้ไม่เบื่อ 

ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม – 23 สิงหาคม)

ชาวราศีสิงห์ชอบรับประทานอาหารอย่างมีสไตล์และมักชอบประสบการณ์การกินอาหารหรูๆ พวกเขาชื่นชมจานอาหารที่จัดเสิร์ฟอย่างสวยงาม ชื่นชมแบบอาหารตาก่อนรสชาติเสมอ   ชาวสิงห์มีแนวโน้มที่จะเพลิดเพลินกับมื้ออาหารฟุ่มเฟือย อาหารที่ช่วยให้พวกเขาอวดได้ เช่น อาหารเรียกน้ำย่อยหรูหรา หรือของหวานที่เข้มข้น สอดคล้องกับพื้นนิสัยโดยธรรมชาติที่หรูหราของพวกเขา

ราศีกันย์ (24 สิงหาคม – 22 กันยายน) 

ชาวราศีกันย์ใส่ใจสุขภาพและอาจชอบอาหารที่มีประโยชน์ พวกเขามักชอบส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิคและสดใหม่ ชอบอาหารที่ปรุงอย่างดีแต่ไม่ซับซ้อน รสชาติที่เรียบง่ายและสะอาด เช่น สลัดและข้าวผัด สอดคล้องกับแนวทางการกินอาหารที่เป็นจริงของพวกเขา

ราศีตุลย์  (22 กันยายน – 22 ตุลาคม)  

ชาวราศีตุลย์ชื่นชมความสวยงามและมักชอบอาหารที่จัดเสิร์ฟอย่างดี พวกเขาอาจชอบอาหารที่สมดุลซึ่งรวมถึงรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย การรับประทานอาหารที่ร้านอาหารสุดฮิตหรือการรับประทานอาหารโรแมนติกกับคู่รักก็ดึงดูดพวกเขาเช่นกัน

ราศีพิจิก (22 กันยายน – 22 ตุลาคม)  

ชาวราศีพิจิกหลงใหลในการเลือกอาหารและมักชอบรสชาติที่เข้มข้น พวกเขาอาจชอบอาหารที่กล้าหาญและแปลกใหม่หรือทุกอย่างที่มีกลิ่นอายของความลึกลับซ่อนอยู่ เช่น ช็อกโกแลตเข้มข้นหรืออาหารรสเผ็ด ความกระตือรือร้นของพวกเขามักทำให้พวกเขาแสวงหาประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร

ราศีธนู  (23 พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม) 

ชาวราศีธนูเป็นคนกินที่ชอบผจญภัยและชอบลองอาหารจากทั่วโลก พวกเขามักตามหาอาหารแปลกใหม่และเผ็ดร้อน ชื่นชมรสชาติจากวัฒนธรรมต่างๆ อาหารริมทางและประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครดึงดูดความรักในการสำรวจของพวกเขา

ราศีมังกร (22 ธันวาคม – 19 มกราคม)

ชาวราศีมังกรมักชอบอาหารแบบดั้งเดิม ไมจำเป็นต้องคงสูตรเดิมเป๊ะ ๆ แต่ปรับแต่งให้เข้ายุคสมัยหรือตามเทรนด์อาหารออแกนิกส์ จานโปรดที่เขาชอบมากเป็นพิเศษคืออาหารคลาสสิก เขาชื่นชมส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงและปรุงอย่างดี อาหารที่สะท้อนถึงความมั่นคง เช่น เนื้อสัตว์หมักย่างสูตรโบราณ หรือ อาหารที่มีเทคนิกการเคี่ยวการปรุงที่สืบทอดต่อกันมา ทำให้มื้ออาหารของชาวมังกรประทับใจอย่างที่สุด

ราศีกุมภ์ (20 มกราคม – 18 กุมภาพันธ์)

ชาวราศีกุมภ์เป็นคนชอบกินที่ไม่ธรรมดา พวกเขารักสุขภาพแต่ก็ชื่นชอบการลองอาหารที่แปลกใหม่ใหม่เช่นกัน ที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษคืออาหารที่มีพืชพรรณเป็นหลัก ผัก ผลไม้ รวมไปถึงอาหารนานาชาติ และด้วยจิตวิญญาณที่ชอบผจญภัยของชาวราศีกุมภ์ ได้ไปสู่การตามหาอาหารเพื่อสุขภาพที่ทันสมัยหรือการผสมผสานรสชาติที่ไม่เหมือนใคร

ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม)

ชาวราศีมีนมักมีวิธีการกินอาหารที่แปลกประหลาดและอาจชอบอาหารที่ฟุ่มเฟือยหรือสร้างสรรค์ พวกเขาชื่นชมอาหารที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นแต่ทุกอย่างก็ต้องถูกกระตุ้นอารมณ์เช่นกัน พวกเขาตื่นตาตื่นใจกับเมนูที่ถูกคิดค้นอขึ้นเพื่อเหตุผลบางอย่าง หรือกินแล้วชวนให้คิดถึงอะไรบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพาสต้าครีมหรือของหวาน ความรักในจินตนาการของชาวราศีมีนยังอาจดึงดูดพวกเขาไปสู่รูปแบบการนำเสนออาหารที่มีศิลปะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/10/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a41,850.0041,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,711.0041,098.7642,450.00
ทองรูปพรรณ 90%2,439.9036,988.88n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,168.8032,879.01n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,220.0018,495.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%949.0014,386.84n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,809.0042,584.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/10/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.9535.9536.4535.9535.9535.9535.9535.9535.9535.95
แก๊สโซฮอล์ 9135.5835.5836.0835.5835.5835.5835.5835.5835.5835.58
แก๊สโซฮอล์ E2033.8433.8434.3433.8433.8433.8433.8433.8433.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.5933.5933.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.5449.8449.8449.8444.54
เบนซิน 9544.1449.8144.6444.2944.14
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า