เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง รุกตลาดบ้านหรูผนึกSCGผุดโครงการเอ็นซี ทิวา

ภายใต้แนวคิด Modern Classic บนทำเลปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5 เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จับมือ SCG ปั้นโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม “เอ็นซี ทิวา” หวังชิงตลาดกำลังซื้อสูง
เมื่อความต้องการบ้านเดี่ยวที่ผสานความหรูหรากับฟังก์ชันใช้งานจริงในทุกมิติ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จึงเดินเกมรุกเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “เอ็นซี ทิวา” บ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมในราคาเริ่มต้น 8.8 ล้านบาท เจาะทำเลศักยภาพ “ปิ่นเกล้า–พุทธมณฑลสาย 5” พร้อมผนึกพันธมิตรใหญ่อย่าง SCG เสริมจุดแข็งด้านวัสดุคุณภาพและบริการครบวงจร
สมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เผยว่า ตลาดบ้านเดี่ยวในครึ่งปีหลังยังคงมีแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งดอกเบี้ยขาลง มาตรการรัฐ และดีมานด์จากครอบครัวมองหาบ้านใหม่ในระดับราคา 8–13 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญทั้งดีไซน์ การอยู่อาศัย และความคุ้มค่าของทำเล
“เราต้องการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ยกระดับชีวิต… ไม่ใช่แค่ขายบ้าน แต่ต้องขายคุณภาพชีวิตที่ตอบโจทย์จริง”
เอ็นซี ทิวา จึงถูกออกแบบภายใต้แนวคิด Modern Classic สะท้อนความหรูหราเหนือกาลเวลา ผสานกลิ่นอายธรรมชาติ พร้อมดีไซน์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์คนเมือง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวขยาย หรือผู้ซื้อที่ต้องการบ้านรองรับผู้สูงอายุ มีให้เลือก 2 แบบ ขนาดที่ดิน 62–85 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 200–255 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4–5 ห้องนอน 4–5 ห้องน้ำ จอดรถ 3 คัน
“บ้านมีโปร” กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
ภายใต้แคมเปญ “บ้านมีโปร” เอ็น.ซี.มอบสิทธิพิเศษสูงสุด 250,000 บาท สำหรับการตกแต่ง ต่อเติม หรือเพิ่มฟังก์ชันพิเศษในบ้าน ผ่านบริการ NC Qprompt โดยใช้วัสดุและนวัตกรรมจาก SCG ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันเย็นสบาย ประหยัดพลังงาน หรือระบบหลังคา พื้น ผนัง ที่คงทนและสวยงาม
นอกจากนี้ โครงการยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางที่เติมเต็มความสุขของครอบครัวอย่างแท้จริง ทั้ง คลับเฮาส์หรู สวนขนาดใหญ่ สนามเด็กเล่น และระบบรักษาความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ในบรรยากาศเงียบสงบ และมีความเป็นส่วนตัวสูง
“ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่อยู่… แต่เป็นบ้านที่เข้าใจอนาคตของครอบครัว”
เอ็นซี ทิวา ปิ่นเกล้า–สาย 5 พร้อมตอบโจทย์ครอบครัวที่ต้องการบ้านเดี่ยวหรู บนทำเลเงียบสงบ ใกล้เมือง เชื่อมต่อได้ง่าย พร้อมวัสดุคุณภาพและดีไซน์ที่ไม่ตกยุค โดยวางตำแหน่งให้เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ “คุ้มค่าในระดับพรีเมี่ยม” ที่สุดในโซนนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯ 68 ตลาดสองขั้ว คนรวยซื้อล้น คนไทยติดกับหนี้ครัวเรือน

อสังหาฯ 68 เผชิญกับสถานการณ์ที่ขั้วตรงข้าม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้าและหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง ตลาดลักชัวรียังคงเติบโต ตลาดบ้านแมสกลับเข้าสู่จุดซบเซา หนี้ครัวเรือนฉุดคนไทยไกลฝันที่จะมีบ้าน
สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ กลางปี 2568 เสมือนภาพสะท้อนของสังคมสองขั้วอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ด้านหนึ่งคือความคึกคักในเซกเมนต์ราคาแพงที่ยังคงเป็น “ตลาดทองคำ” สำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือความซบเซาและความเปราะบางของตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางและล่าง ซึ่งเป็นที่พึ่งของคนไทยส่วนใหญ่ที่ยังคงต้องเผชิญกับพายุหนี้ครัวเรือน
ในภาวะที่หลายภาคส่วนของเศรษฐกิจยังคงต้องประคับประคอง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรีกลับฉายแววโดดเด่นอย่างน่าจับตา สะท้อนจากผลประกอบการของผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่าง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ซึ่ง นายมงกุฎ เตโชฬาร หัวหน้าคณะผู้บริหารสายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปี 2568 ยอดขายบ้านหรูในกลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 118% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
และ 31% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ด้วยยอดขายรวมกว่า 5,274 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคระดับบนที่มีเสถียรภาพและมองหาอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ที่ตอบรับความต้องการเฉพาะกลุ่ม
ในทางกลับกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อย ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของตลาดและเป็นฐานลูกค้าหลักของคนไทย กำลังเผชิญกับโจทย์ที่ยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเกินผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) กลายเป็นตัวฉุดรั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างรุนแรง ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในกลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พุ่งสูงถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของคนไทยได้ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 88% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งแม้จะลดลงจากจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์
โดยคาดการณ์ว่ายอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2568 อาจหดตัวลง ขณะที่หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อบ้านพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีข้อเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยคงที่หรือแพ็กเกจส่งเสริมการขายจากผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน ก็ยังไม่สามารถดึงกำลังซื้อจากกลุ่มเปราะบางและกลุ่มรายได้ปานกลางที่มีภาระหนี้สูงกลับเข้าสู่ตลาดได้เต็มที่
นอกจากกำลังซื้อภายในประเทศแล้ว เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนและเมียนมา ยังคงเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดนี้ ผลจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ทำให้นักลงทุนเหล่านี้มองหาการกระจายความเสี่ยงและนำเงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม สัญญาณล่าสุดที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานระบุว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของนักลงทุนต่างชาติทั่วประเทศ โดยเฉพาะชาวจีนและเมียนมา เริ่มมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเป็นตัวแปรที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ในไตรมาส 1 ปี 2568 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 3,919 หน่วย ลดลง 0.5% และมูลค่า 16,392 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยชาวจีนยังคงเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เข้ามาโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ด้วยจำนวน 1,481 หน่วย แต่มีมูลค่าลดลงถึง 19.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับชาวเมียนมาที่มียอดโอนมูลค่าลดลงถึง 28.1% การลดลงดังกล่าวเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน

ในอีกด้านหนึ่ง ถึงแม้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามออกมาตรการกระตุ้นตลาด เช่น การผ่อนคลายเกณฑ์ Loan-to-Value (LTV) ให้สามารถกู้ได้เต็ม 100% รวมถึงการลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท ลงเหลือเพียง 0.01% ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปจนถึง 30 มิถุนายน 2569
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า มาตรการเหล่านี้อาจช่วยกระตุ้นตลาดได้เพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ฝังรากลึก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนความสามารถในการกู้ของประชาชนส่วนใหญ่ได้จริง
รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวล่าช้า และปัจจัยภายนอกอย่างความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างและค่าขนส่งยังคงปรับตัวสูงขึ้น เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ แม้ว่าดีมานด์ในตลาดระดับลักชัวรีจะยังคงแข็งแกร่ง แต่ในตลาดแมส ดีมานด์ของผู้ซื้อกลับถูกจำกัดด้วยปัญหาหนี้สินและข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ทำให้กำลังซื้อในภาพรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของซัพพลาย นายอิสระได้เน้นยํ้าถึงความจำเป็นในการควบคุมปริมาณอุปทานใหม่ๆ ที่จะเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในภาวะที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาและยอดขายโดยรวมของตลาด นอกจากนี้ ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หมวดที่อยู่อาศัยของประเทศไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 ก็ลดลงถึง 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการชะลอตัวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 จึงเป็นปีแห่งความท้าทายที่ชัดเจน เมื่อผู้มีกำลังซื้อสูงยังคงจับจ่ายได้อย่างคล่องตัว สวนทางกับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางที่เผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อและภาระหนี้สิน การฟื้นตัวของตลาดโดยรวมจึงยังคงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และการกลับมาของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาเติบโตอย่างสมดุล
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในระยะยาวการกระจุกตัวของการซื้อขายที่อยู่อาศัยในกลุ่มรายได้สูง อาจนำไปสู่ “ความเหลื่อมลํ้าเชิงโครงสร้าง” ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ผู้ซื้อบางกลุ่มยังคงเข้าไม่ถึงโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตนเอง และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันพิจารณาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของตลาดนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ก.ค.“อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.58 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทที่อาจกลับมาผันผวนสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐ และสถานการณ์การเมืองไทย ขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์เป็นไปอย่างจำกัด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ก.ค.2568ที่ระดับ 32.58 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราจะยังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในช่วงนี้ ตามจังหวะการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์อาจเป็นไปอย่างจำกัดก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะรับรู้ในช่วงวันพฤหัสฯ นี้
และเรามองว่า หากจะทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม จากโอกาสราว 74% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 50% หรือต่ำกว่า อาจจะต้องเห็นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใสและดีกว่าคาดชัดเจน ซึ่งจะเป็นช่วงต้นเดือนสิงหาคมมากกว่าในช่วงนี้
ทำให้เรามองว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ อาจไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้มากนัก (ขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามั่นใจว่า เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ได้ หากข้อมูลออกมาแย่กว่าคาด กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้)
นอกจากนี้ เรามองว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสทยอยปรับตัวสูงขึ้นจากโซนแนวรับระยะสั้น ซึ่งหากราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ก็จะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้โดยรวมเงินบาทก็อาจยังติดโซนแนวต้าน 32.60-32.70 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เราถึงจะกลับมามั่นใจว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 32.39-32.61 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
จากเดิมผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น เฟดมีโอกาสราว 74% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือนมิถุนายน ที่ออกมาสูงขึ้นสู่ระดับ 2.7% (+0.3%m/m) สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ 2.6% (+0.1%m/m)
ทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจยังไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อให้แน่ชัด ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน
นอกจากนี้ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดยังได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.50% ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงและเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุด ที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่าเฟดอาจยิ่งไม่รีบลดดอกเบี้ยตามที่เคยประเมินไว้
ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนต่างก็ออกมาผสมผสาน ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Nvidia +4.0% หลังทางการสหรัฐฯ ได้แจ้งกับทางบริษัทว่าจะออกใบอนุญาตให้ส่งออกชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้กับจีน ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.40%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.37% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน หากสุดท้ายไม่มีข้อตกลงการค้าเกิดขึ้น จากการวิเคราะห์ของทาง ZEW ล่าสุด
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +2.7% ก่อนรับรู้ผลประกอบการ และสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีมดังกล่าวในฝั่งสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.50% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด
โดยเฉพาะในส่วนของโมเมนตัมอัตราเงินเฟ้อ (%m/m) อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงนี้ ได้ทำให้บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ มีความน่าสนใจมากขึ้น
และเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาสูงกว่าคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีจังหวะอ่อนค่าทดสอบโซน 149 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่ทยอยกว้างขึ้น และความกังวลต่อแนวโน้มสถานการณ์การเมืองของญี่ปุ่น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.9-98.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ปรับตัวลดลงราว -1% ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด ทำให้ราคาทองคำสามารถทรงตัวแถวโซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.25% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) ก็มีเสถียรภาพมากขึ้น ส่วนในช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนมิถุนายน
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนมิถุนายน ที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลดังกล่าวจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน พร้อมกับ รอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ระดับท็อป 10 ของโลก! “พิมพิชยา” ติดโผผู้นำสถิตินี้ในศึกลูกยาง เนชันส์ลีก 2025

ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมที่ขาดไม่ได้สำหรับ “บีม” พิมพิชยา ก๊กรัมย์ ตัวตบหัวเสาทีมชาติไทยที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025
ภายหลังการแข่งขันจบรอบแรก ทั้งสามสัปดาห์ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้ทำการเก็บสถิติของผู้เล่นที่เข้าร่วมการแข่งขันตลอดทัวร์นาเมนต์ในปีนี้
ปรากฏว่า นักตบลูกยางสาวไทยวัย 27 ปี มีชื่อติดท็อปเทนของโลก ในอันดับ 8 ประเภทผู้เล่นที่ทำคะแนนรวมสูงสุดที่ 178 คะแนน, บล็อก 8 คะแนน และเสิร์ฟเอซ 3 คะแนน นอกจากนี้ยังถือเป็นผู้เล่นอันดับ 6 ของโลกที่ตบทำแต้มได้มากที่สุดที่ 167 ครั้ง

สำหรับ พิมพิชยา ก๊กรัมย์ ฤดูกาลที่ผ่านมาลงเล่นให้กับ เอสเอสเซ พาล์มแบร์ก ชเวริน สโมสรในลีกเยอรมนี ก่อนสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์วอลเลย์บอลลีกสูงสุดของประเทศเยอรมนีมาครองได้สำเร็จ
ภารกิจต่อไปของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จะเตรียมทีมสำหรับการแข่งขันศึกลูกยางหญิง ซี. วี ลีก ปี 2025 สัปดาห์ที่ 1 ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กลั้นจาม อันตรายกว่าที่คิด! รู้ไว้ก่อนเส้นเลือดแตกไม่รู้ตัว

อาการจาม เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมหรือสารก่อภูมิแพ้ออกจากระบบทางเดินหายใจ โดยทั่วไปแล้วเราไม่ควรฝืนธรรมชาติด้วยการ กลั้นจาม เพราะอาจนำมาซึ่งอันตรายที่หลายคนคาดไม่ถึง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงภาวะร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น เส้นเลือดแตก บทความนี้จะมาอธิบายว่าทำไมการกลั้นจามถึงอันตราย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายมีอะไรบ้าง
ทำไมเราถึงต้องจาม?
การจามคือกลไกป้องกันตัวของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือเชื้อโรค เข้าไปในจมูก ระบบประสาทจะส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อขับไล่สิ่งเหล่านั้นออกไป ด้วยความเร็วลมที่พุ่งออกมาจากการจามอาจสูงถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง! และด้วยแรงดันมหาศาลนี้เองที่ทำให้การกลั้นจามเป็นเรื่องอันตราย
อันตรายของการกลั้นจาม มีมากกว่าที่คุณคิด
เมื่อคุณพยายามกลั้นจามด้วยการปิดปากและบีบจมูก หรือแม้แต่แค่ปิดปากอย่างเดียว เป็นการบังคับให้แรงดันอากาศมหาศาลที่ควรจะพุ่งออกมาจากร่างกาย ต้องย้อนกลับไปภายใน ซึ่งแรงดันนี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในได้หลายส่วน ดังนี้
- เส้นเลือดในสมองแตก: นี่คืออันตรายที่ร้ายแรงที่สุดและเป็นที่กล่าวถึงบ่อยที่สุด เมื่อแรงดันจากการจามถูกอั้นไว้ แรงดันนั้นจะพุ่งกลับขึ้นไปสู่ศีรษะ ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อหลอดเลือดขนาดเล็กในสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การ เส้นเลือดในสมองแตก (Cerebral Aneurysm Rupture) ได้ แม้จะเป็นกรณีที่พบได้น้อย แต่ก็เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต หรือทำให้เกิดความพิการถาวร
- เส้นเลือดในตาแตก (Subconjunctival Hemorrhage): แรงดันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ในดวงตาแตก ทำให้เกิดจุดแดงๆ ในตา ซึ่งมักไม่มีอันตรายร้ายแรงและจะหายไปเอง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามีแรงดันภายในร่างกายสูงเกินไป
- เส้นเลือดในหูหรือแก้วหูฉีกขาด: แรงดันที่ย้อนกลับเข้าไปในโพรงจมูกและคอ อาจส่งผลกระทบต่อท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ที่เชื่อมต่อจากคอไปยังหู ทำให้เกิดแรงดันในหูชั้นกลางสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ แก้วหูทะลุ หรือเส้นเลือดในหูแตกได้ ทำให้เกิดอาการปวดหู สูญเสียการได้ยินชั่วคราว หรือหูอื้อ
- เจ็บคอหรือเจ็บหน้าอก: แรงดันจากการจามที่ถูกกักไว้ในลำคอหรือช่องอก อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ หน้าอก หรือกระบังลมเกิดการหดเกร็งหรือบาดเจ็บอย่างรุนแรงได้
- กระบังลมฉีกขาด: ในบางกรณีที่รุนแรง การกลั้นจามด้วยแรงดันมหาศาลอาจทำให้กระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่คั่นระหว่างช่องอกและช่องท้อง ฉีกขาดได้ แม้จะพบได้ยากมาก แต่ก็เป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ทันที
- เส้นเลือดที่คอหรือหลอดลมเสียหาย: มีรายงานเคสที่ผู้ป่วยกลั้นจามแล้วทำให้เส้นเลือดบริเวณลำคอเสียหาย หรือแม้กระทั่งหลอดลมฉีกขาด ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายและต้องผ่าตัดรักษา
แล้วควรทำอย่างไรเมื่อรู้สึกอยากจาม?
สิ่งที่ดีที่สุดคือ ปล่อยให้จามออกไปตามธรรมชาติ หากคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจามได้อย่างอิสระ เช่น อยู่ในที่สาธารณะ หรือต้องการจามอย่างสุภาพ ให้ทำดังนี้
- หันหน้าหนี: หันหน้าไปจากคนรอบข้าง
- ใช้กระดาษทิชชู หรือข้อพับแขนปิดปากและจมูก: เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและสารคัดหลั่ง
- อย่าปิดจมูกหรือปากสนิท: ให้มีช่องว่างเล็กน้อยเพื่อให้แรงดันอากาศสามารถระบายออกไปได้บ้าง
การกลั้นจาม อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยที่หลายคนมองข้าม แต่เบื้องหลังการกระทำนั้นซ่อนอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงต่อการที่ เส้นเลือดแตก ในอวัยวะสำคัญต่างๆ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกอยากจาม โปรดจำไว้ว่าการปล่อยให้ร่างกายได้ทำหน้าที่ตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ คือวิธีที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวคุณเอง และอย่าลืมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคด้วยการจามอย่างถูกสุขอนามัย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
บทสนทนาสั้น ๆ แต่ได้ใจ! เทคนิค Small Talk ในสถานการณ์ต่าง ๆ แบบมือโปร

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ เทคนิค Small Talk หรือบทสนทนาสั้น ๆ ที่มักเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน สถานศึกษา หรือระหว่างเดินทาง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ในโลกการทำงานและสังคม แม้จะดูเล็กน้อยแต่ Small Talk ช่วยสร้างความประทับใจแรกและเปิดโอกาสให้เกิดการสื่อสารที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากคุณกำลัง เรียนภาษาอังกฤษ การฝึกใช้ Small Talk จะช่วยให้คุณกล้าพูด กล้าเริ่มบทสนทนา และใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น พร้อมตัวอย่างบทสนทนาและเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งสำหรับผู้ที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือแม้กระทั่งผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย ก็สามารถฝึกได้
1) Small Talk คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมถึงควรรู้จักและใช้ให้เป็น
Small Talk คือบทสนทนาสั้น ๆ ที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายทางธุรกิจหรือเนื้อหาหนัก ๆ แต่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เรื่องอากาศ กิจกรรมในวันหยุด หรือความสนใจส่วนตัว เพื่อเป็นการเริ่มต้นบทสนทนาและสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย การฝึก Small Talk เป็นสิ่งที่ควรทำคู่ไปกับการ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะช่วยเสริมความมั่นใจและทำให้เรากล้าสื่อสารกับคนต่างชาติ การเข้าใจวัฒนธรรมของ Small Talk ยังช่วยลดความเกร็งเวลาสื่อสารกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในที่ทำงานที่ต้องมีการพบปะกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าจากต่างประเทศ หากคุณกำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การเริ่มฝึก Small Talk จะช่วยสร้างนิสัยกล้าพูดและทำให้คุณพัฒนาเร็วขึ้น
2) การเริ่มต้นใช้ เทคนิค Small Talk
การเริ่มต้น Small Talk ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งสำคัญคือ ความกล้าและการเปิดใจ เทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที มีดังนี้:
- เลือกหัวข้อปลอดภัย: หัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา การเมือง หรือความขัดแย้ง เช่น สภาพอากาศ หนัง เพลง กีฬา หรืออาหาร
- ใช้คำถามปลายเปิด: เพื่อเปิดโอกาสให้คู่สนทนาเล่ามากขึ้น เช่น “What did you do last weekend?” หรือ “How’s your day going?”
- แสดงความสนใจ: ใช้คำตอบของคู่สนทนาในการต่อยอดบทสนทนา เช่น ถ้าพวกเขาบอกว่าเพิ่งดูหนังมา ก็สามารถถามต่อว่า “Really? Was it good?”
การฝึกใช้ภาษาอังกฤษด้วย เทคนิค Small Talk บ่อย ๆ จะช่วยให้คุณคล่องแคล่วและมั่นใจมากขึ้นในการ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในห้องเรียนหรือที่ทำงาน เทคนิคเหล่านี้เหมาะสำหรับคนที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เพราะสามารถฝึกได้จากสถานการณ์รอบตัว
3) ตัวอย่างบทสนทนา Small Talk ที่ใช้ได้จริงในสถานที่เรียนและที่ทำงาน
การได้เห็นตัวอย่างจะช่วยให้เข้าใจรูปแบบและการใช้คำต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษ อยู่
- สถานการณ์ในสถานศึกษา:
A: Hi! Have you finished the homework for today?
B: Not yet. It was quite tough. Did you?
A: Yeah, I managed to do it last night. Want to discuss it during lunch?
- สถานการณ์ในที่ทำงาน:
A: Good morning! Did you watch the football match last night?
B: Yes! It was amazing. I didn’t expect that goal in the last minute.
A: I know, right? It was so exciting!
จากบทสนทนาเหล่านี้จะเห็นว่าการใช้ประโยคง่าย ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องทั่วไป สามารถช่วยให้เราเริ่มต้นพูดคุยและสร้างความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น การฝึกแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ควรทำเมื่อคุณ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม ผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย ก็สามารถใช้บทสนทนาแบบนี้ฝึกพูดได้ทันทีโดยไม่ต้องกลัวว่าจะผิด
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เอไอดันค่าจ้างแรงงานเทคฯ พุ่ง! Google จ่ายวิศวกรแตะ 12 ล้านบาท/ปี แลกผลงานระดับ ‘ท็อป’

- การแข่งขันในสมรภูมิเอไอทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงดูดบุคลากรทักษะสูง
- Google เสนอค่าตอบแทนให้ตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์สูงสุดถึงปีละ 12.4 ล้านบาท เพื่อจ้างและรักษาบุคลากรระดับหัวกะทิ
- ค่าตอบแทนที่สูงมาพร้อมกับความคาดหวังและแรงกดดันมหาศาล โดยพนักงานต้องทำผลงานในระดับท็อปอย่างสม่ำเสมอภายใต้ระบบการประเมินที่เข้มข้น
- แม้จะมีรายได้สูง แต่พนักงานต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในอาชีพและความมั่นคงต่ำ เนื่องจากบริษัทสามารถเลิกจ้างได้ตลอดเวลาหากผลงานไม่เข้าเกณฑ์
เมื่อการแข่งขันด้านเอไอร้อนแรงขึ้นทุกวัน บริษัทเทคโนโลยีก็ยิ่งทุ่มทุนหนักขึ้นเพื่อชิงตัวคนเก่ง โดยใช้ “ค่าตอบแทน” เป็นเครื่องมือหลักในการดึงดูดและรักษาคนเก่งเอาไว้ Google เป็นอีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ยังคงเดินหน้าเทเงินจำนวนมหาศาลเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะในสายงานวิศวกรรมซอฟต์แวร์ วิจัย และวิเคราะห์ข้อมูล
Business Insider อ้างอิงข้อมูลจากแบบฟอร์มขอวีซ่าทำงานของแรงงานต่างชาติที่บริษัทต้องยื่นต่อกระทรวงแรงงานสหรัฐ ในรายงานเปิดเผยว่า พนักงานในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Google มีรายได้สูงสุดถึง 340,000 ดอลลาร์ต่อปี (ราว 12.4 ล้านบาท) ยังไม่รวมโบนัสและหุ้นบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทนโดยรวม
แม้ค่าตอบแทนเหล่านี้ดูเป็นจำนวนที่สูง หากแต่เสียงสะท้อนจากพนักงาน Google หลายคนในเอกสารภายในปี 2023 ระบุว่า พวกเขายังคงรู้สึกว่า “ค่าตอบแทนไม่เป็นธรรม” แม้จะมีรายได้สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมก็ตาม พนักงานจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า “ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับแรงกดดันและเป้าหมายที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
‘AI Talent War’ การแข่งขันที่เดิมพันด้วยมนุษย์ในฐานะทุน
การแข่งขันระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในเพื่อแย่งชิงบุคลากรเอไอไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่สะท้อนความต้องการด้านทักษะเฉพาะทางเท่านั้น หากยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจการผลิต
บุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ เขียนโค้ดขั้นสูง หรือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลในสายตาของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพราะพวกเขาคือ “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่สามารถผลิตซอฟต์แวร์และนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังอาจกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมและภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยีโดยรวม
ภายใต้บริบทเช่นนี้ ตัวเลขเงินเดือนที่เพิ่มสูงจึงไม่ใช่แค่ผลตอบแทนจากทักษะ แต่คือราคาของ “การเป็นเจ้าของเวลา ความคิด และสมรรถนะ” ของแรงงานที่หายากและมีบทบาทกำหนดอนาคตขององค์กร
ในขณะเดียวกัน เงินเดือนที่สูงลิ่วก็กลายเป็นดาบสองคม เพราะมันมาพร้อมกับระบบการควบคุมที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น แรงงานเทคโนโลยีถูกดึงเข้าสู่ระบบ performance review ที่เข้มข้น ถูกประเมินผลงานถี่ขึ้น และถูกคาดหวังให้เป็น “ผู้เล่นระดับท็อป” ตลอดเวลา
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา Google ได้เปลี่ยนเกณฑ์การประเมินพนักงานใหม่ โดยระบุชัดว่า “ผลงานสูง” คือปัจจัยหลักในการเลื่อนขั้นและได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนแนวโน้มเดียวกันใน Meta และ Microsoft ที่ต่างทยอยปลดพนักงานที่ไม่สามารถทำผลงานตามเกณฑ์ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบการประเมินผลกลายเป็น “กลไกควบคุม” ในยุคที่บริษัทไม่ต้องการเพียงแค่แรงงานที่เก่ง แต่ต้องการแรงงานที่แข่งขันและพิสูจน์ตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น Google ยังเคยใช้ข้อตกลงไม่แข่งขัน (non-compete agreement) กับพนักงานในหน่วย DeepMind ที่สหราชอาณาจักร เพื่อป้องกันไม่ให้บุคลากรเอไอย้ายไปยังบริษัทคู่แข่ง ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าในสนามแข่งขันนี้ แรงงานไม่ใช่เพียงผู้รับจ้าง แต่กลายเป็น ทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ ที่ต้องแย่งชิง ควบคุม และกักกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม
รายได้โดยประมาณ (ต่อปี) ของตำแหน่งสำคัญที่ Google
สายวิศวกรรม
- วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer): 4.0 – 12.5 ล้านบาท
- วิศวกรอาวุโส (Senior Software Engineer): 6.9 – 9.4 ล้านบาท
- วิศวกรวิจัย (Research Engineer): 5.6 – 9.8 ล้านบาท
- วิศวกรความปลอดภัย (Security Engineer): 3.6 – 8.6 ล้านบาท
- ผู้ออกแบบวงจรชิป (Silicon Engineer): 5.4 – 9.3 ล้านบาท
สายข้อมูลและเอไอ
- นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist): 4.9 – 9.6 ล้านบาท
- นักวิจัยเอไอ (Research Scientist): 5.7 – 11.2 ล้านบาท
สายบริหารจัดการ
- ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ (Product Manager): 5.0 – 10.3 ล้านบาท
- ผู้จัดการโครงการเทคนิค (Technical Program Manager): 4.2 – 10 ล้านบาท
สายที่ปรึกษาและออกแบบ
- ที่ปรึกษาด้านโซลูชัน (Solutions Consultant): 3.7 – 10.4 ล้านบาท
- นักออกแบบ UX (UX Designer): 4.6 – 8.5 ล้านบาท
รายได้สูง ความมั่นคงต่ำ – ภาวะย้อนแย้งของแรงงานเทคโนโลยี
ความย้อนแย้งของโลกเทคโนโลยีคือ แม้ค่าตอบแทนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ความมั่นคงของแรงงานกลับไม่แน่นอน บริษัทสามารถเลิกจ้างครั้งใหญ่ได้ในพริบตา และแรงกดดันด้าน performance ก็กลายเป็นเงื่อนไขถาวรที่แรงงานต้องแบกรับ
รายได้ของวิศวกรซอฟต์แวร์ระดับสูงอาจสูงถึง 12 ล้านต่อปี แต่ต้องแลกกับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การแข่งขันภายในสูง และความคาดหวังระดับ “เหนือมนุษย์”
ในที่สุดแล้ว เงินเดือนจึงเป็นได้ทั้งเครื่องมือล่อใจและสายโซ่ที่พันธนาการแรงงานไว้กับระบบที่ต้องชนะตลอดเวลา เพราะในโลกของเอไอผู้ที่หยุดนิ่งย่อมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
Google ยังไม่ให้ความเห็นใดๆ ต่อข้อมูลเหล่านี้ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ บริษัทกำลังเดินหมากใหม่เพื่อรักษาคนเก่ง และกดดันคนที่ตามไม่ทัน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ปวยเล้ง VS ผักโขม แยกให้ออก! สองผักใบเขียวที่คนชอบสับสน

บ่อยครั้งที่เราได้ยินคำว่า “ผักโขม” และ “ปวยเล้ง” ถูกใช้สลับกันจนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผักชนิดเดียวกัน โดยเฉพาะจากภาพจำของ “ผักโขม” ในการ์ตูนป๊อปอายที่แท้จริงแล้วคือ ปวยเล้ง (Spinach) ไม่ใช่ผักโขมที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ Amaranth แม้ทั้งคู่จะเป็นผักใบเขียวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพคล้ายกัน แต่อันที่จริงแล้ว เป็นผักคนละชนิดกัน มีความแตกต่างทั้งในด้านลักษณะภายนอก รสชาติ และสายพันธุ์ที่แท้จริง มาดูกันว่าสองผักนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง
“ผักโขม” และ “ปวยเล้ง” แตกต่างกันอย่างไร?
ปวยเล้ง (Spinach)
ปวยเล้ง หรือที่บางครั้งเรียกว่า ผักโขมฝรั่ง เป็นผักที่ป๊อปอายกินเพื่อเพิ่มพลังงาน มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียกลาง และแพร่หลายมายังประเทศจีนก่อนจะรู้จักกันทั่วโลก
ลักษณะเด่น:
- ใบ: มีใบสีเขียวสดกว่าผักโขมทั่วไป ใบมีลักษณะค่อนข้างบางกว่า และมีรูปทรงกลม ปลายมน
- ลำต้น: ลำต้นสั้น ไม่สูงมากนัก
- รสชาติ: มีรสหวานอ่อนๆ ไม่ขม นิยมนำมาทำเมนูที่ใช้ความร้อน เช่น ผัดน้ำมันหอย อบชีส ทำซุปครีม
- สารอาหารเด่น: อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น ลูทีน เบต้าแคโรทีน) สูง ซึ่งดีต่อการบำรุงสายตา บำรุงเลือด และช่วยในเรื่องกระดูก
ผักโขม (Amaranth)
ผักโขม ที่เราคุ้นเคยกันในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ผักโขมสวน ผักโขมจีน ผักโขมหัด ผักโขมหนาม ซึ่งเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในเขตร้อน
ลักษณะเด่น:
- ใบ: ใบมีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมปลายมน หรือรูปไข่ เนื้อใบจะหนากว่าปวยเล้ง
- ลำต้น: มีความสูงและแตกกิ่งก้านสาขาได้มากกว่าปวยเล้ง
- รสชาติ: มีรสชาติออกหวานปนขมเล็กน้อย นิยมนำมาทำอาหารไทย เช่น แกงเลียง ผัดผัก หรือนำไปทำสลัดก็ได้
- สารอาหารเด่น: อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามินเคเช่นกัน ซึ่งมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา บำรุงกระดูก และระบบขับถ่าย
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างปวยเล้งและผักโขม
คุณสมบัติ | ปวยเล้ง (Spinach) | ผักโขม (Amaranth) |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Spinacia oleracea | Amaranthus spp. (มีหลายชนิด) |
ชื่อภาษาอังกฤษ | Spinach | Amaranth |
รูปทรงใบ | กลม ปลายมน ค่อนข้างบาง สีเขียวสด | คล้ายสามเหลี่ยม ปลายมน เนื้อหนากว่า |
รสชาติ | หวานอ่อนๆ ไม่ขม | หวานปนขมเล็กน้อย |
การนำไปประกอบอาหาร | นิยมผัด อบชีส ทำซุปครีม หรือเป็นส่วนผสมอาหารฝรั่ง | นิยมผัด แกงเลียง หรือทำสลัด |
แหล่งกำเนิด | เอเชียกลาง | ทั่วไปในเขตร้อน (รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) |
แม้ว่า ปวยเล้ง และ ผักโขม จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชนิดเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ความจริงแล้วเป็นผักที่แตกต่างกันทั้งรูปลักษณ์ รสชาติ และสายพันธุ์ทางพฤกษศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ทั้ง ปวยเล้ง และ ผักโขม ต่างก็เป็นผักใบเขียวที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ การเลือกรับประทานผักทั้งสองชนิดสลับกัน ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายและมีสุขภาพที่ดีครบถ้วน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,250.00 | 51,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,313.00 | 50,225.08 | 52,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,981.70 | 45,202.57 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,650.40 | 40,180.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,490.85 | 22,601.29 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,159.55 | 17,578.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,433.16 | 52,046.71 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |