เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! อสังหาฯ‘แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์’ฉุดยอด Q2ร่วง

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! อสังหาฯไทย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! ‘แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์’ฉุดยอด Q2ร่วง! ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านทั้งภายในและภายนอกประเทศ ล่าสุดปัญหาหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาสะเทือนไทยครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ขณะที่ “นโยบายภาษีทรัมป์” ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเทศ รวมถึง “ไทย” สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะนโยบายภาษีทรัมป์และเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในช่วงปลายเดือน มี.ค. กระทบความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน สิ่งที่ตามมาคือ ความกังวลของภาคเอกชนที่ต้องรับมือกับการ “ชะลอตัว” ของกำลังซื้อ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว!
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ไม่ดีขึ้นตามที่คาดหวัง ยิ่งหากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างจริงจัง! เนื่องจาก 2 ปัจจัยลบ เหตุการณ์แผ่นดินไหวและนโยบายภาษีทรัมป์ มีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน รวมทั้งทั่วโลก ขึ้นอยู่ว่าแต่ละประเทศจะตั้งรับและปรับตัวอย่างไร
“สหรัฐเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย มีมูลค่าสูงมากกว่าจีน ในมุมมองอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นเหมือนกับภาคการส่งออก มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยซึ่งรัฐบาลต้องเข้ามาจัดการ เพราะนอกเหนือจากความสามารถของภาคเอกชน”
ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบทางเชิงจิตวิทยาทำให้คนชะลอการตัดสินใจ รวมทั้งความวิตกกังวลจากเหตุแผ่นดินไหว ต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้คนกลับมาซื้ออีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ดังนั้นในไตรมาส 2 นี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในแง่ยอดขายและการโอน “ลดลง”
ชงรัฐออกมาตรการเสริมกระตุ้นเพิ่ม
สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเปราะบางมากขึ้น แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะได้ผ่อนเกณฑ์ควบคุมสินเชื่อ LTV เริ่มวันที่ 1 พ.ค.2568 – 30 มิ.ย.2569 และมาตรการลดค่าโอนและจำนอง หากเป็นภาวะปกติมั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้มาก แต่หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและนโยบายภาษีของทรัมป์ อยากให้รัฐบาลพิจารณามาตรการอื่นๆ เช่น บ้านดีมีดาวน์ ลดภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดา เพื่อดึงดูดคนมีกำลังซื้อสูงซื้อที่อยู่อาศัย กระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ทรุดตัวลงไปมากกว่านี้ ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบแรงงานในประเทศค่อนข้างมากทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศสูง
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า หลังจากที่เหตุแผ่นดินไหวส่งผลกระทบ“ความเชื่อมั่น” ไปแล้ว เวลานี้ “ความกังวล” ในภาคอสังหาริมทรัพย์ถูกยกระดับขึ้นไปอีกเมื่อ “ทรัมป์” ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจากทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าจากไทย ทำให้ “เงินบาทอ่อนค่า” และต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่นำเข้าจากสหรัฐ นั่นหมายถึงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ก่อสร้าง หรือแม้แต่เทคโนโลยีอาคารต่างๆ ทั้งหมดนี้จะสะท้อนออกมาในราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น! ขณะที่ความต้องการซื้อจากลูกค้าภายในและต่างประเทศ “ชะลอตัว”
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 จะชะลอการเปิดตัวมากขึ้น เพราะต้องรอดูท่าทีจากมาตรการรัฐ โดยเฉพาะการผ่อนปรนเงื่อนไขทางการเงินให้กับผู้ประกอบการและผู้ซื้อ”
สุนทร กล่าวต่อถึงผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ว่า หากไม่มีการเจรจาต่อรองแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างทันท่วงที การส่งออกของไทยจะ “ชะลอตัว” ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบนี้จะลามไปถึงการลดลงของกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งการที่เงินบาทอ่อนค่าลงย่อมมีผลกระทบต่อราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อการผลิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการก่อสร้างที่มีต้นทุนสูงขึ้นอีกด้วย ขณะเดียวกัน ความพยายามในการดึงโรงงานต่างชาติกลับไปยังสหรัฐ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศไทย และกำลังซื้อที่ลดลงของกลุ่มคนในภาคการผลิต
ต้นทุนคอนโดเพิ่มขึ้น 3-5%
ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการเสริมสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างอาคารเพื่อรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ซึ่งแน่นอนว่ามาตรการเหล่านี้ทำให้ต้นทุนการพัฒนาคอนโดมิเนียมในอนาคตเพิ่มขึ้น 3-5%
“หากตลาดต้องการกลับมาฟื้นตัว การสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ หากสามารถสร้างจุดแข็งในด้านความปลอดภัยและคุณภาพที่อยู่อาศัยได้อย่างเต็มที่ ก็อาจเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าในอนาคต”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความท้าทายใหม่ๆ ที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวในเชิงเศรษฐกิจ การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้รองรับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น! ธุรกิจที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็วจะสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
นายกสมาคมอาคารชุดไทยแนะรัฐอัดยาแรง รับมือ‘แผ่นดินไหว-ทรัมป์’

นายกสมาคมอาคารชุดไทย แนะผู้ประกอบการอสังหาฯ วางแผนตั้งรับระยะสั้น-ระยะยาว ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจระลอกใหญ่ เหตุการณ์แผ่นดินไหวและมาตรการภาษีทรัมป์ที่สะเทือนไทยแรง!
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย วิเคราะห์แนวโน้มวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ไทยพร้อมแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว ว่า ปัจจุบันการจัดการหนี้สินในตลาดตราสารการเงินที่เปราะบาง มองในมุมการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องยอมรับว่าปัญหาการไม่สามารถชำระคืนหุ้นกู้ครบกำหนดในปีนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงถึง นักลงทุนในตราสารหนี้ประเภท High Yield และบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade ต้องใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน เพราะความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของบริษัทเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดการเงินและเศรษฐกิจ
การพิจารณาการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการผ่านธนาคารพาณิชย์เป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างเสถียรภาพ โดยการตั้งดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ แต่ยังคงต้องมีการตรวจสอบคุณภาพการปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้ในอนาคต
มาตรการระยะสั้น“กระตุ้นการโอน”
ในส่วนของการกระตุ้นการโอนอสังหาริมทรัพย์นั้น ภาครัฐมีการเสนอมาตรการใหม่ที่เน้นไม่กำหนดราคาบ้านที่ต้องการซื้อขาย เพื่อเพิ่มโอกาสในการโอนทรัพย์สินโดยไม่จำกัดวงเงินสูงสุดเหมือนในอดีต การลดหย่อนภาษีและดอกเบี้ยบ้านใหม่ก็คือการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นมาตรการที่สำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นการซื้อขายในช่วงเวลาที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งมาตรการเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม! โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สินเชื่อระยะยาวที่มีเงื่อนไขผ่อนปรน เพื่อให้สามารถรักษาสภาพคล่องและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาจมีความเสี่ยงสูง
“จากวิกฤติแผ่นดินไหวและมาตรการภาษีทรัมป์ เป็นโจทย์ใหม่ที่เข้ามาท้าทายเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลต้องมีมาตรการที่เป็นยาแรงออกมาช่วยเพิ่มเติม”
สำหรับแผนระยะยาวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น การวางโครงสร้างที่เหมาะสมกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยการให้สิทธิในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 60 ปี จะเป็นการเปิด “โอกาส” ให้ชาวต่างชาติสามารถลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้อย่างโปร่งใส พร้อมการจ่ายภาษีตามกฎหมายไทย จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดและทำให้ธุรกิจในประเทศไทยสามารถขยายตัวได้
ตั้งกองทุน“บ้านผู้มีรายได้น้อย”
อีกหนึ่งกลยุทธ์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การจัดตั้ง “กองทุนสนับสนุนบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง” โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการบ้านหลังแรก ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการควบคุมการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติในประเทศไทยอย่างมีระเบียบ เพื่อไม่ให้เกิดความไม่สมดุลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
ขณะเดียวกันการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในระดับนานาชาติก็มีความสำคัญ เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ยังมีศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ระดับนานาชาติ หากมองในมุมของการสร้าง “manmade” หรือสิ่งก่อสร้างที่นอกเหนือจากธุรกิจ Entertainment เช่น การพัฒนานิคมการแพทย์และโรงพยาบาลเพื่อการรักษาโรค รวมถึงศูนย์การพัฒนาทักษะทางการศึกษาระดับเทคนิค ที่สามารถดึงดูดนักลงทุนและแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยได้
มาตรการที่หลากหลายทั้งระยะสั้นและระยะยาวดังกล่าว ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านปรับตัวอย่างมีทิศทาง เพื่อสร้างความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต การวางแผนอย่างรอบคอบ การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเชื่อมต่อและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีระเบียบ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไทยฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17เม.ย. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 33.12 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หากราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นต่อได้ สินทรัพย์เสี่ยงฝั่งเอเชีย อาจเผชิญแรงขายเพิ่มเติมในช่วงตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17เม.ย.2568ที่ระดับ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เหนือความคาดหมายของเรา
โดยเรามองว่า ปัจจัยสำคัญที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ คือ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่และการเร่งปรับลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด
ซึ่งส่วนหนึ่งก็ใช้ราคาทองคำ เป็นหนึ่งในปัจจัยประเมินแนวโน้มเงินบาท ทำให้เรายอมรับว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หากราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นต่อได้
อย่างไรก็ดี เราเริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงลบ (Bearish) ต่อเงินดอลลาร์มากพอสมควร ทำให้เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด
รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่สดใส เพื่อหนุนความเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ให้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่สูงอยู่นั้น จะเป็นปัจจัยกดดันและจำกัดการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทอย่างรวดเร็วในช่วงนี้
นอกจากนี้ ในช่วงตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง เรามองว่า สินทรัพย์เสี่ยงฝั่งเอเชีย อาจเผชิญแรงขายเพิ่มเติมได้ ทำให้การแข็งค่าขึ้นเงินบาท (ที่จะได้แรงหนุน หากราคาทองคำปรับตัวขึ้น) ถูกชะลอลงบ้าง หากนักลงทุนต่างชาติต่างทยอยขายหุ้นไทยออกมา และที่สำคัญ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ถือว่า “เร็ว แรง” จนเริ่มมีลักษณะ Parabolic Rise
(โดยเฉพาะเมื่อดูจากกราฟ Log Scale) ทำให้ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลงพอสมควร เข้าสู่ช่วงการพักฐาน หากขาดปัจจัยหนุนเพิ่มเติม ซึ่งจากสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2000 เราพบว่า หลังการปรับตัวขึ้นเร็วและแรง แบบ Parabolic Rise นั้น
ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลงได้เฉลี่ย -12% ซึ่งหากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง การปรับตัวลงดังกล่าวของราคาทองคำ ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก (หากราคาทองคำปรับตัวลดลง -10% อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เกือบ 1 บาทต่อดอลลาร์)
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.25 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังหลุดโซนแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ตั้งแต่ช่วงวันก่อนหน้า (แกว่งตัวในกรอบ 33.07-33.27 บาทต่อดอลลาร์)
โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High)
ท่ามกลางบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ที่ต่างระบุว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 นั้นอาจเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ นอกเหนือจากหนุนให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ประธานเฟด Jerome Powell ได้ระบุว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังและรอบคอบ สะท้อนว่า เฟดยังไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ย หากไม่จำเป็น
ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็ดูจะสวนทางกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 63% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ถึง 4 ครั้ง ในปีนี้ และนอกเหนือจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจออกมาผสมผสาน
โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม ปรับตัวขึ้น +1.4%m/m ดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนมีนาคม กลับหดตัว -0.3%m/m แย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจในภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยการปรับตัวลงหนักของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia -6.9% หลัง Nvidia ได้ระบุว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมการส่งออก Semiconductor ไปยังจีน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ดิ่งลง -2.24%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.19% กดดันโดยการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor โดยเฉพาะ ASML -5.2% ตอบรับรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังและแรงกดดันจากการขายหุ้น Nvidia ในฝั่งสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากความหวังธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนเมษายนนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ
ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3-4 ครั้งในปีนี้ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงทดสอบโซน 4.28%
ทั้งนี้ เรามองว่า ความผันผวนของตลาดบอนด์อาจยังอยู่ในระดับสูงอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ก่อนที่จะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว โดยเฉพาะหากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.50% ซึ่งเป็นโซนที่ถือว่าบอนด์ระยะยาวมีความน่าสนใจ ในแง่ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน อีกทั้งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็ยังขาดความเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงสู่โซน 99.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-99.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังขาดความเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ยังคงหนุนความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) สามารถปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) แถวโซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์และเรา ต่างคาดว่า ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) 25bps สู่ระดับ 2.25% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง Press Conference หลังรับรู้ผลการประชุม เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงาน ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
และในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนมีนาคม ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เบส-ไบร์ท” พ่ายออสซี่ จบที่ 4 ศึกตบชายหาด AVC สมิหลา โอเพ่น 2024

คู่หูสาวไทย วรพีรชยากร ก้องภพศรุตาวดี และ ธาราวดี นาราพรลภัส พ่ายสองแมตช์รวดในรอบรองฯ และชิงอันดับ 3 จบที่ 4 ศึกวอลเลย์บอลชายหาด AVC สมิหลา โอเพ่น 2024 ที่สงขลา ขณะที่ญี่ปุ่น-กาตาร์ คว้าแชมป์ชายและหญิง
การแข่งขัน วอลเลย์บอลชายหาด เอสโคล่า เอวีซี บีช ทัวร์ สมิหลา โอเพ่น 2024 ครั้งที่ 24 ปิดฉากลงเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ชายหาดสมิหลา จังหวัดสงขลา โดยมี นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธีปิด พร้อมด้วย นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย
ในประเภททีมหญิง คู่มือ 1 ของรายการ “เบส” วรพีรชยากร ก้องภพศรุตาวดี และ “ไบร์ท” ธาราวดี นาราพรลภัส ตัวแทนสาวไทย เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนพ่าย พอลลีย์ ชอนน่า – แมคโดนัลด์ โอลิเวีย จากนิวซีแลนด์ 1-2 เซต (21-19, 16-21, 13-15) ต้องไปชิงอันดับ 3 กับคู่มือ 2 จากออสเตรเลีย เฟลมมิง จัสมิน – เฟเจส สเตฟานี ซึ่งสาวไทยพ่ายไปอีก 0-2 เซต (17-21, 9-21) คว้าอันดับ 4 ไปอย่างน่าเสียดาย
ผลแชมป์ประเภททีมหญิง:
- แชมป์: เร็น มัตสึโมโตะ – นอน มัตสึโมโตะ (ญี่ปุ่น)
- รองแชมป์: พอลลีย์ ชอนน่า – แมคโดนัลด์ โอลิเวีย (นิวซีแลนด์)
- อันดับ 3: เฟลมมิง จัสมิน – เฟเจส สเตฟานี (ออสเตรเลีย)
- อันดับ 4: วรพีรชยากร – ธาราวดี (ไทย)
ด้านประเภททีมชาย
🏆 รอบชิงชนะเลิศ:
- ยูนูสเซ เชอริฟ – ติจาน อาเหม็ด จากกาตาร์ โชว์ฟอร์มแกร่ง คว้าแชมป์ด้วยการเอาชนะ แบรดลีย์ ฟูลเลอร์ – เบน โอเดีย จากนิวซีแลนด์ 2-0 เซต (21-16, 25-23)
🥉 รอบชิงอันดับ 3:
- อับบาส ปูราสการี – อลิเรซา อักฮาจานิกาซาบ จากอิหร่าน เอาชนะคู่จากอินโดนีเซีย 2-0 เซต (21-18, 25-23)
สรุปอันดับการแข่งขัน AVC สมิหลา โอเพ่น 2024
ประเภททีมชาย
- 1. ยูนูสเซ – ติจาน (กาตาร์)
- 2. ฟูลเลอร์ – โอเดีย (นิวซีแลนด์)
- 3. ปูราสการี – อักฮาจานิกาซาบ (อิหร่าน)
ประเภททีมหญิง
- 1. เร็น มัตสึโมโตะ – นอน มัตสึโมโตะ (ญี่ปุ่น)
- 2. พอลลีย์ – แมคโดนัลด์ (นิวซีแลนด์)
- 3. เฟลมมิง – เฟเจส (ออสเตรเลีย)
- 4. วรพีรชยากร – ธาราวดี (ไทย)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ระวัง “ซึมเศร้าหลังวันหยุด” สงกรานต์จบ แต่ไม่อยากกลับไปทำงาน

อาการทางจิตวิทยา “ไม่อยากทำงานหลังสงกรานต์“ ภาวะเศร้าหลังวันหยุดยาว หรือ Post-Holiday Blues ควรฟื้นฟูจิตใจกลับสู่ชีวิตประจำวันให้ได้ ก่อนร้ายแรงจนต้องพบแพทย์
อาการ “ไม่อยากทำงานหลังสงกรานต์” เป็นหนึ่งในภาวะที่หลายคนอาจประสบปัญหานี้อยู่ และไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่เป็นอาการทางจิตวิทยาที่ใกล้เคียงกับ Post-Holiday Blues หรือ “ภาวะซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว” เมื่อผ่านช่วงเวลาวันหยุดยาว เทศกาล หรือช่วงพักผ่อนที่สนุกสนาน เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ หรือวันหยุดพักร้อน แล้วต้องกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมเดิม เช่น การทำงาน การเรียน หรือความรับผิดชอบในชีวิตประจำวัน
สาเหตุของ Post-Holiday Blues
- เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและกิจวัตรกะทันหัน
- มีความคาดหวังสูงในช่วงวันหยุด แล้วกลับมาเจอความจริงที่ต่างออกไป
- เหนื่อยล้าทางร่างกายจากการท่องเที่ยว ดื่มสังสรรค์ หรือเดินทางไกล
- “คิดถึงวันหยุด” โดยเฉพาะเมื่อกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียด
อาการที่พบบ่อย
- รู้สึกเศร้า เบื่อหน่าย หรือหมดแรง
- ขาดแรงจูงใจในการทำงาน
- นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท
- รู้สึกวิตกกังวลหรือหงุดหงิดง่าย
สำหรับการกลับสู่ชีวิตประจำวัน มีหลายวิธี สามารถเลือกใช้เพื่อจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้การปรับตัวกลับสู่ชีวิตประจำวันนั้นง่ายขึ้น ดังนี้
วิธีฟื้นฟูจิตใจหลังภาวะซึมเศร้า
- การยอมรับความรู้สึก การยอมรับว่าความเศร้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับตัว ซึ่งการยินดีและยินยอมที่จะเศร้าโดยการปลดปล่อยมันออกมา เช่น การร้องไห้ จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น
- สร้างกิจกรรมใหม่ วางแผนทำกิจกรรมที่สนุกสนานหรือท่องเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อสร้างความตื่นเต้นในชีวิตประจำวัน เช่น การไปเดินป่า การเข้าคอร์สเรียนใหม่ หรือแม้แต่การลองทำอาหารใหม่ๆ
- แชร์ประสบการณ์ การได้พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์วันหยุดกับเพื่อนหรือครอบครัว สามารถช่วยลดความรู้สึกเหงาและเศร้าได้ หรือลองสร้างอัลบั้มภาพ หรือวิดีโอเพื่อแบ่งปันความทรงจำที่ดีเหล่านั้นกับคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มากเช่นกัน
- ฝึก Mindfulness หรือการทำสมาธิเพื่อฝึกสติ ช่วยให้คุณอยู่กับปัจจุบันและลดความวิตกกังวล เช่น ลองใช้แอปพลิเคชันสำหรับการทำสมาธิเพื่อช่วยในการฝึกฝน
- วางแผนทริปใหม่ การมีสิ่งที่ต้องรอคอย เช่น การวางแผนทริปเที่ยวครั้งถัดไป สามารถช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจและลดความเครียดได้ โดยอาจเริ่มต้นจากการสำรวจสถานที่หรือจองตั๋วเครื่องบินสำหรับทริปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม Post-Vacation Blues หรืออาการซึมเศร้าหลังเที่ยว เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม การเข้าใจถึงสาเหตุและนำวิธีการจัดการที่ถูกต้องมาปรับใช้ จะช่ววฟื้นฟูจิตใจและกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขดังเดิม หากเวลาผ่านไปแล้วพบว่าความรู้สึกเหล่านี้ยังคงอยู่ ควรพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Google เตรียมปรับเว็บไซต์ค้นหาให้เลือกแค่ .com เท่านั้น

Google ประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการให้บริการ Search โดยจะ ยุติการใช้งาน Country Code Top-Level Domains (ccTLDs) เช่น google.co.th (ไทย), google.ng (ไนจีเรีย), google.com.br (บราซิล) รวมถึงประเทศไทย Google.co.th และอื่นๆ ทั่วโลก โดยจะทำการ Redirect ทราฟิกทั้งหมดไปยังโดเมนหลัก google.com แทน
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากการพัฒนาความสามารถของ Google ในการมอบประสบการณ์การค้นหาที่เป็นท้องถิ่น (Localized Results) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Google เริ่มนำเสนอผลการค้นหาที่เป็นท้องถิ่นเดียวกันให้กับผู้ใช้งานทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใช้งานผ่าน google.com หรือ ccTLD ของประเทศตนเองมาตั้งแต่ปี 2017
ไม่จำเป็นอีกต่อไป โดเมนประเทศไม่ใช่หัวใจของการค้นหา Local
Google ระบุว่า ด้วยความสามารถที่พัฒนาขึ้น ทำให้โดเมนระดับประเทศ (ccTLDs) ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป การรวมทราฟิกทั้งหมดไปยัง google.com จะช่วยให้การใช้งาน Search มีความคล่องตัวและเป็นมาตรฐานมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งานทั่วโลก

การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป และผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มทยอยดำเนินการในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ในระหว่างกระบวนการนี้ ผู้ใช้งานบางรายอาจถูกขอให้ตั้งค่า Preferences การค้นหาของตนเองใหม่
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง: การทำงานของ Search และข้อผูกพันทางกฎหมาย
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเปลี่ยนแปลงนี้จะ ไม่ส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงานของการค้นหา หรือ เปลี่ยนแปลงวิธีที่ Google ปฏิบัติตามข้อกำหนดภายใต้กฎหมายของแต่ละประเทศ แม้ว่า URL ในแถบ Address ของเบราว์เซอร์จะเปลี่ยนไปเป็น google.com แต่ผลการค้นหาที่ผู้ใช้ได้รับจะยังคงมีความเกี่ยวข้องกับท้องถิ่นเช่นเดิม
การตัดสินใจของ Google ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การใช้งาน Search ที่เป็นสากลและราบรื่นยิ่งขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโครงสร้างโดเมนแบบเดิมอีกต่อไป ผู้ใช้งานในประเทศไทยจึงจะเริ่มคุ้นเคยกับการเข้าใช้งาน Google ผ่าน google.com แทน google.co.th ในอนาคตอันใกล้นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Speak อย่างไรเมื่อ คู่สนทนาไม่เข้าใจ ให้การสื่อสารราบรื่น ไม่มีสะดุดฉบับมือโปร!

สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด รับมือกับ คู่สนทนาไม่เข้าใจ อย่างไร
การสื่อสารในชีวิตจริงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป บางครั้งอาจเผชิญกับสถานการณ์ที่คู่สนทนาไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด หรือการอธิบายของเราอาจไม่ชัดเจนพอ สถานการณ์เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในที่ทำงาน การเดินทาง หรือแม้แต่การสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม การรับมือกับปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีวิธีการที่เหมาะสมและมีประโยคที่ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนยิ่งขึ้น
วิธีการรับมือเมื่อ คู่สนทนาไม่เข้าใจ
การเผชิญหน้ากับคู่สนทนาที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูดในภาษาอังกฤษอาจสร้างความท้าทาย แต่ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม คุณสามารถปรับตัวและทำให้การสื่อสารกลับมาเป็นไปอย่างราบรื่นได้ ดังนี้
- สังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนา
หากคู่สนทนาแสดงสีหน้าสงสัยหรือพยักหน้าอย่างลังเล นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเขาไม่เข้าใจ ใช้โอกาสนี้เพื่อหยุดพูดและถามว่า
“Am I explaining this clearly?” สิ่งที่ฉันอธิบายชัดเจนไหม?
- ใช้คำศัพท์ง่าย ๆ และพูดช้าลง
หลีกเลี่ยงคำศัพท์ซับซ้อนและประโยคที่ยาวเกินไป ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า
Could you clarify your requirements?
ให้พูดว่า What do you need exactly? คุณต้องการอะไรโดยเฉพาะ?
- ย้ำประเด็นสำคัญ
หากข้อความที่พูดไปซับซ้อนเกินไป ให้เน้นย้ำเฉพาะส่วนสำคัญโดยพูดซ้ำด้วยคำพูดที่ต่างออกไป เช่น
To sum up, we need to focus on the deadline. สรุปคือ เราต้องเน้นเรื่องกำหนดส่งงาน
- อธิบายด้วยตัวอย่างหรือเปรียบเทียบ
การใช้ตัวอย่างช่วยทำให้เนื้อหาที่ซับซ้อนเข้าใจง่ายขึ้น เช่น หากพูดถึงแนวคิดทางธุรกิจ คุณอาจเพิ่ม:
It’s like building a house. We need a strong foundation first. มันเหมือนกับการสร้างบ้าน เราต้องมีฐานที่แข็งแรงก่อน
- ขอให้คู่สนทนาอธิบายกลับ
วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจว่าคู่สนทนาเข้าใจสิ่งที่เราพูดไป โดยถามว่า
Could you repeat what I just explained? ช่วยพูดซ้ำสิ่งที่ฉันอธิบายไปหน่อยได้ไหม?
- ใช้เครื่องมือหรือภาพประกอบ
หากคำพูดอย่างเดียวไม่เพียงพอ ลองใช้รูปภาพ วาดแผนผัง หรือแม้แต่เขียนประโยคช่วยอธิบาย
เช่น Let me draw it for you. ขอฉันวาดให้ดู
- เปลี่ยนวิธีการสื่อสาร
หากคู่สนทนาไม่เข้าใจแม้จะพยายามพูดซ้ำหลายครั้ง อาจเสนอทางเลือกอื่น เช่น การส่งข้อความอีเมลหรือเอกสาร
Shall I send you an email to explain this further? ฉันส่งอีเมลอธิบายเพิ่มเติมให้ไหม ?
- ใช้ภาษากายช่วยเสริม
การพยักหน้า การชี้ไปยังสิ่งที่เกี่ยวข้อง หรือการทำมือประกอบคำพูด สามารถช่วยทำให้สิ่งที่พูดเข้าใจง่ายขึ้น
- แสดงความเข้าใจและอดทน
การแสดงน้ำเสียงที่สงบและให้กำลังใจช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี เช่น
It’s okay if this is a bit confusing. Let’s take it step by step. ไม่เป็นไรถ้าสิ่งนี้ดูสับสน มาลองทีละขั้นตอนกัน
- ตรวจสอบความเข้าใจอีกครั้ง
ก่อนจะจบบทสนทนา ให้ยืนยันว่าคู่สนทนาเข้าใจอย่างถูกต้องโดยพูดว่า
So, do you have any questions about this?” (คุณมีคำถามเพิ่มเติมไหม?
มาดูประโยคที่คู่สนทนามักใช้เมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด และเราสามารถใช้เมื่อเราไม่เข้าใจในสิ่งที่คู่สนทนาพูด
- Can you slow down a little, please? ช่วยพูดช้าลงหน่อยได้ไหม?
- What do you mean by that? คุณหมายถึงอะไร?
- I’m not sure I got that right. ฉันไม่แน่ใจว่าฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า
- Could you repeat the key points? ช่วยพูดประเด็นสำคัญอีกครั้งได้ไหม?
- Can you break it down for me? ช่วยแยกอธิบายเป็นส่วนๆ ได้ไหม?
- Can we start from the beginning? เราสามารถเริ่มจากต้นได้ไหม?
- Can you go over the main points again? ช่วยทบทวนประเด็นสำคัญอีกครั้งได้ไหม?
- I’m not familiar with that word. Could you explain what it means? ฉันไม่คุ้นกับคำนั้น ช่วยอธิบายหน่อยว่ามันหมายถึงอะไร?
- Could you provide an example to help me understand better? ช่วยยกตัวอย่างเพื่อให้ฉันเข้าใจมากขึ้นได้ไหม?
- Did I understand you correctly when you said this? ฉันเข้าใจคุณถูกต้องไหมตอนที่คุณพูดสิ่งนี้?
- Could you elaborate on that point, please? ช่วยขยายความในประเด็นนั้นหน่อยได้ไหม?
- I’m sorry, I’m still not clear. Could you explain it one more time? ขอโทษครับ/ค่ะ ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ ช่วยอธิบายอีกครั้งได้ไหม?
ประโยคที่ใช้เพื่อให้สื่อสารอย่างถูกต้อง
การใช้ประโยคเพื่อให้สื่อสารอย่างถูกต้องเหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการความชัดเจนและการทำความเข้าใจร่วมกัน
- เมื่อเราไม่เข้าใจหรือสับสนคู่สนทนา ใช้ประโยคเพื่อถามซ้ำ อธิบายเพิ่มเติม หรือปรับปรุงวิธีการพูด เช่น
Can you slow down a little, please? ใช้เมื่อคู่สนทนาพูดเร็วเกินไป
Could you explain that in simpler terms? ใช้เมื่อเนื้อหาที่พูดยากเกินไป
- เมื่อต้องการตรวจสอบความเข้าใจของตัวเอง ใช้เพื่อยืนยันหรือขอคำอธิบายเพิ่มเติม เช่น
Let me make sure I understand. เพื่อยืนยันว่าเราเข้าใจถูกต้อง
Did I get that right? เพื่อถามว่าเราเข้าใจสิ่งที่คู่สนทนาหมายถึงถูกต้องหรือไม่
- เมื่อต้องการปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสาร ใช้เพื่อเสนอแนวทางใหม่ในการพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น
Do you want me to say it in a different way? เสนอเปลี่ยนวิธีการพูดเพื่อความชัดเจน
- เมื่อไม่เข้าใจศัพท์หรือข้อมูลบางส่วน ใช้ถามเกี่ยวกับรายละเอียดที่ต้องการ เช่น
What does this word mean? ใช้เมื่อไม่เข้าใจคำศัพท์
Could you break it down for me? ใช้เมื่อข้อมูลซับซ้อนเกินไป
ตัวอย่างประโยคในสถานการณ์จริง
ลองดูประโยคเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มโอกาสให้คู่สนทนาเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
- สถานการณ์: คู่สนทนาฟังคำสั่งของเราไม่เข้าใจ
Let me explain it another way to make it clearer.
ให้ฉันอธิบายอีกแบบเพื่อให้ชัดเจนขึ้น
- สถานการณ์: คู่สนทนาฟังไม่ทันบางส่วน
I think you missed a part. Let me repeat it.
ฉันคิดว่าคุณอาจพลาดไปบางส่วน ขอพูดซ้ำอีกที
- สถานการณ์: ไม่เข้าใจเพราะสำเนียงหรือการออกเสียง
Sorry if my pronunciation is unclear. Let me try again.
ขอโทษด้วยถ้าการออกเสียงของฉันไม่ชัดเจน ขอพูดใหม่อีกครั้ง
- สถานการณ์: คู่สนทนาสับสนกับคำศัพท์ที่เราใช้
This word might be unfamiliar. It means…
คำนี้อาจไม่คุ้นเคย มันหมายถึง…
- สถานการณ์: พูดเร็วเกินไปจนอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
I’ll slow down. Let me say it step by step.
ฉันจะพูดช้าลง ขอพูดทีละขั้น
- สถานการณ์: คู่สนทนาไม่เข้าใจแนวคิดที่อธิบาย
Let me give you an example to clarify.
ขอฉันยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
- สถานการณ์: การสื่อสารทางโทรศัพท์ไม่ชัดเจน
The line might not be clear. Should I send this in writing instead?
สายอาจไม่ชัดเจน ฉันควรส่งข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรแทนไหม?
- สถานการณ์: คู่สนทนาทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ
You seem unsure. Should I explain it another way?
คุณดูเหมือนไม่แน่ใจ ฉันควรอธิบายอีกแบบไหม?
- สถานการณ์: อธิบายคำสั่งที่ซับซ้อนเกินไป
I realize this might sound complicated. Let me simplify it.
ฉันเข้าใจว่านี่อาจฟังดูซับซ้อน ขอฉันทำให้มันง่ายขึ้น
- สถานการณ์: คู่สนทนาขอให้พูดซ้ำ
Sure, I’ll repeat that for you.
ได้เลย ฉันจะพูดซ้ำให้นะ
ฝึก Speak หรือการพูดทางไหนได้บ้าง
- พูดหน้ากระจกฝึกการออกเสียงและสำรวจสีหน้าท่าทางของตนเอง
- ดูหนังหรือซีรีส์ภาษาอังกฤษพยายามเลียนแบบประโยคและสำเนียงที่ได้ยิน
- ฟังพอดแคสต์และพูดตามเลือกรายการที่เหมาะสมกับระดับภาษา
- ใช้แอปพลิเคชันฝึกพูดภาษาอังกฤษ
- เข้าร่วมกลุ่มภาษาออนไลน์เช่น คลาสสนทนาออนไลน์หรือกลุ่มฝึกภาษาในโซเชียลมีเดีย
- เขียนสคริปต์และฝึกพูดตามเลือกหัวข้อที่สนใจและเขียนบทสนทนา
- พูดคุยกับเจ้าของภาษาใช้โอกาสฝึกพูดกับเจ้าของภาษาโดยตรง
- ตั้งคำถามกับตัวเองฝึกการถาม-ตอบในหัวข้อต่าง ๆ
- อัดเสียงตัวเองตรวจสอบการออกเสียงและปรับปรุง
- สร้างสถานการณ์จำลองฝึกพูดในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสัมภาษณ์งาน การถามทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
6 อาหารแนะนำกินตอนท้องว่าง ได้พลังงานเสริมความแข็งแกร่งมากกว่า

เคยรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างกะทันหันขณะกำลังทำอะไรอยู่บ้างไหม? ไม่ว่าจะเป็นตอนประชุม หรือแม้แต่ขับรถกลับบ้าน คุณอาจรู้สึกแบบนี้เพราะไม่ได้ทานอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันอย่างเพียงพอ ลองหาอาหาร 6 ชนิดนี้ทานตอนท้องว่างดู เพื่อเพิ่มพลังงานและความแข็งแรงให้กับร่างกาย เป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน
6 อาหารแนะนำกินตอนท้องว่าง
1.โยเกิร์ต โยเกิร์ตเป็นอาหารเช้าที่ยอดเยี่ยม เพราะอุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ลองเติมธัญพืชหรือผลเบอร์รี่ลงไป เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับคุณได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้โยเกิร์ตยังเป็นอาหารหลังออกกำลังกายที่ดีเยี่ยม เพราะโปรตีนจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยไม่ทำให้รู้สึกอิ่มหนักเกินไป ถ้าชอบสมูทตี้ ลองใส่โยเกิร์ตลงไปในสมูทตี้แก้วโปรด หรือถ้ายังไม่อิ่ม ลองทำพาร์เฟต์ทานเอง โดยใช้โยเกิร์ตเป็นส่วนประกอบหลัก
2.กล้วย เป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ การทานกล้วยสัก 1-2 ผลในตอนเช้า จะช่วยให้คุณมีพลังงานสดชื่นตลอดทั้งวัน คาร์โบไฮเดรตในกล้วยจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อรู้สึกไม่ค่อยมีแรง นอกจากนี้ กล้วยยังมีทริปโตแฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยสร้างเซโรโทนิน หรือที่เรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งความสุข” เซโรโทนินทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ยิ่งเรามีเซโรโทนินในร่างกายมากเท่าไหร่ เราก็จะรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น และทุกอย่างเริ่มต้นจากการกินกล้วยตอนท้องว่าง! ดังนั้นถ้าอยากเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม ลองกินกล้วยก่อนอาหารเช้าดูสิ
3.โอ๊ตมีล เป็นแหล่งพลังงานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชั้นเยี่ยม ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และใยอาหารที่ละลายน้ำในโอ๊ตมีลช่วยให้รู้สึกอิ่มนานจนถึงมื้อกลางวัน เคล็ดลับดีๆ คือ เลือกโอ๊ตมีลสตีลคัท ซึ่งผ่านการแปรรูปน้อยและมีน้ำตาลน้อยกว่าโอ๊ตมีลสำเร็จรูป
โอ๊ตมีลช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ทานโอ๊ตมีลแบบไม่ใส่นมข้นหวาน และโรยด้วยถั่วหรือเมล็ดพืชเพื่อเพิ่มโปรตีนและไขมันดี นอกจากนี้อย่าลืมโรยอบเชยด้วย งานวิจัยพบว่าการบริโภคอบเชยอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอักเสบ อีกทั้งยังพบอีกว่าผู้ที่ทานอาหารที่มีส่วนผสมของอบเชยจะรู้สึกอิ่มนานขึ้นหลังทานอาหาร
4.ไข่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม ไข่มีโปรตีนมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ทำให้เป็นอาหารเช้าที่ยอดเยี่ยมสำหรับการทานอาหารตอนท้องว่าง นอกจากนี้ ไข่ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินดี โพแทสเซียม สังกะสี และอีกมากมาย ทำให้ไข่เป็นแหล่งพลังงานและสุขภาพที่ดีเยี่ยม โปรตีนคุณภาพสูงในไข่ย่อยง่ายและช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ช่วยเพิ่มระดับพลังงาน แต่ไข่ยังเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ดีอีกด้วย ไข่มีแคลอรี่และไขมันต่ำ (น้อยกว่า 5 กรัมต่อฟอง) ดังนั้นจึงไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณต้องการทานอาหารตอนท้องว่าง ลองทานไข่ดูสิ
5.อัลมอนด์ อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยให้คุณมีพลังงานสดชื่นตั้งแต่เช้า ลองนำอัลมอนด์ไปใส่ในสลัด ทานเปล่าๆ หรือปั่นรวมกับโปรตีนเชค หรือจะดื่มนมอัลมอนด์แทนกาแฟก็ได้ ไขมันไม่อิ่มตัวในอัลมอนด์ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดความหิว ส่วนใยอาหารสูงจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น ในระหว่างออกกำลังกาย ลองเติมอัลมอนด์คั่วลงในของว่างหลังออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพลังงาน
6.ผัก มีประโยชน์มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการช่วยเพิ่มพลังงาน เนื่องจากผักใบเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม หากร่างกายขาดแมกนีเซียม คุณอาจรู้สึกอ่อนเพลียได้ ผักใบเขียวยังอุดมไปด้วยวิตามินเอและซี ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายได้มากยิ่งขึ้น คุณสามารถทานผักเหล่านี้ได้ทั้งแบบดิบหรือปรุงสุก ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อทานตอนท้องว่าง ตัวอย่างของผักใบเขียว ได้แก่ ผักโขม คะน้า ผักกาดหอม ผักกาดขาว และผักเคล
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/04/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,400.00 | 52,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,394.00 | 51,453.04 | 53,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,054.60 | 46,307.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,715.20 | 41,162.43 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,527.00 | 23,153.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,188.00 | 18,008.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,517.00 | 53,319.21 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/04/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |