สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2568

อสังหาเสี่ยงวิกฤติหุ้นกู้ แคชโฟลว์ กูรูแนะผนึกมาตรการทางรอด

อสังหาฯ เสี่ยงวิกฤติ! ‘หุ้นกู้-กระแสเงินสด’ กูรูแนะดีเวลลอปเปอร์ รัฐบาล สถาบันการเงินงัดมาตรการรับมืออาศัยพลัง 3ประสานหนุนทางรอด

ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งทะยานกว่า 90% ของ GDP ในไตรมาส 1/2568 มีหนี้ทั้งสิ้น 16.2 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นหนี้บ้านสูง 37.9% หรือราว 6 ล้านล้าน และยังมี NPL จากภาคครัวเรือนกว่า 200,000 ล้านบาท พร้อมหนี้ที่เริ่มผิดนัดกว่า 575,000 ล้านบาท ขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวบางเบา เพียง 2% ในปี 2567 และคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.5% ในปี 2568 ยิ่งทำให้สถาบันการเงินหั่นวงเงินผ่อนคลายสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างระมัดระวัง ตอกย้ำด้วย ดัชนี “Responsible Lending” ส่งผลให้ยอดอนุมัติสินเชื่อหดตัวหนัก

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ นักวิชาการอิสระด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเมือง กล่าวว่า อัตราปฏิเสธสินเชื่อพุ่งกว่า 45% ทำให้ยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงถึง 20-30% ต่อไตรมาส การโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 5-10% ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566-1/2568 โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ต้องสร้างก่อนโอน “ยอดขายหด-ผู้ซื้อได้รับอนุมัติน้อย-โอนต่ำ” ส่งผลต่อรายได้และกระแสเงินสดของดีเวลลอปเปอร์อย่างมีนัยสำคัญ

ดีเวลลอปเปอร์ ทั้ง listed และ non-listed เริ่มสะดุดในการชำระหนี้หุ้นกู้ ครึ่งแรกปี 2568 มีรายงานว่า ดีเวลลอปเปอร์รายหนึ่งผิดนัดชำระ 300 ล้านบาท และอีก 5 รายต้องขอเลื่อนหนี้รวม 7,860 ล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้ 95,000 ล้านบาทจะครบกำหนดภายในปีนี้ การต่ออายุ (rollover) เป็นไปอย่างยากลำบาก

นั่นคือสัญญาณ “เสือลำบาก” ที่สะท้อนภาวะสภาพคล่องติดลบ ความไม่เชื่อมั่นนักลงทุน และภาระหนี้แบบทวีคูณ หากรับมือไม่ทัน อาจเป็น “ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ”

ชี้ทางรอด 3 ประสาน มาตรการเชิงรุก

ดร.วิชัย แนะ 6 เรื่องที่ดีเวลลอปเปอร์ควรทำ! ได้แก่ 1.บริหารจัดการ Cash Flow ในระยะสั้น โดยเร่งระบายสินค้าคงคลัง ทุกรูปแบบ เช่น จัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม ผ่อนดาวน์ระยะยาว 24-36 เดือน หรือรูปแบบการขาย Rent-to-Own ให้ผู้เช่ามีสิทธิ์ซื้อในอนาคต

2.ทำการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยนำโครงการ/หน่วยที่อยู่อาศัย มัดรวมเป็นกองสินทรัพย์เพื่อนำไปแปลงเป็นทุนในการดำเนินงาน เช่น จัดทำกองทุน REITs เพื่อขายให้กองทุน/นักลงทุนสถาบัน  ซึ่งทดแทนการออกหุ้นกู้ได้ในระดับหนึ่ง หรือ นำสินทรัพย์เหล่านี้ใช้ค้ำประกันเปลี่ยนเป็นเงินทุน หรือ ขายที่ดินสำรอง/โครงการที่ไม่มีความจำเป็น หรือ ขายหุ้นในบริษัทย่อยออกเพื่อระดมทุน

3.วางแผนทางการเงินสำหรับการชำระหนี้และดำเนินการอย่างจริงจัง โดยสำรวจ ประเมิน คาดการณ์สถานะทางการเงินแบบ Conservative เพื่อดูความพร้อม หากเห็นว่าไม่มีความพร้อมในการชำระหุ้นกู้รายการใด ก็วางแผนขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ (Loan Tenure) หรือ ขอแปลงหนี้เป็นหุ้น (Debt-to-Equity Swap) ทั้งนี้ควรมีการจ่ายดอกเบี้ยปกติในช่วงก่อนครบชำระหนี้หุ้นกู้

4.ลดค่าใช้จ่าย โดยชะลอกิจกรรมของโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างและนำเงินทุนที่มีไปมุ่งโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้เสร็จตามกำหนดเพื่อสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้เงินสดกลับมา

5.วางแผนขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้หุ้นกู้ โดยทะยอยปรับเปลี่ยนช่วงเวลาของหนี้จากระยะสั้น 1-2 ปี ให้มีระยะเวลายาวขึ้นเป็น 3-5 ปีขึ้นไป และปรับให้เงินทุนใหม่เป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว ผ่านการออกหุ้นกู้รุ่นใหม่เพื่อจ่ายคืนรุ่นเก่า และ กอง REITs  6.กระจายความเสี่ยงธุรกิจให้มีความหลายด้วยการเพิ่มธุรกิจ Recurring Income

 ชงรัฐออก 6 มาตรการหนุน

ขณะที่ภาครัฐควรมีมาตรการดังนี้ 1.ช่วยเหลือด้านสภาพคล่องภาคเอกชน เช่น จัดหา Soft Loan ระยะสั้น 1-3 ปี ในรูปแบบการให้สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน หรือ แบบมีหลักประกันหนุน (Asset-backed Loan) ผ่านธนาคารรัฐ เช่น ดีเวลลอปเปอร์สามารถนำหน่วยที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วเหลือขาย และ Rent to Own เป็นหลักประกันขอรับ Soft Loan ได้ไม่เกิน 50% ของมูลค่าหลักประกัน

2.ช่วยลดภาระด้านต้นทุนด้านภาษีในระยะสั้น โดยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับหน่วยที่อยู่อาศัยที่ยังขายไม่หมดและสร้างเสร็จเกินระยะเวลา 3 ปี และ ลดภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยมีเงื่อนไขให้ดีเวลลอปเปอร์นำส่วนลดภาษีไปเป็นส่วนลดให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยโดยตรง เพื่อกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดอีกทางหนึ่ง

3.ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและค่าธรรมเนียมแก่บ้านใหม่มากกว่าบ้านมือสองในระยะสั้น (1-2 ปี) เพื่อระบายที่อยู่อาศัยเหลือขายและสร้างสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ

4.จัดให้มีโครงการประกันสินเชื่อ (Mortgage Insurance) โดยรัฐบาลจัดทำนโยบายระยะสั้นให้มีการรับประกันสัดส่วนไม่เกิน 20% ของมูลค่าที่อยู่อาศัยสำหรับผู้กู้ที่มี LTVเกินกว่า 80% เพื่อสร้างความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย คาดว่าช่วยให้สัดส่วนการปฏิเสธสินเชื่อลดลงจาก 45% เหลือ 20-25% เป็นสัดส่วนในปี 2562-2565 ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยยังพอไปได้

5.เพิ่มกำลังซื้อในระบบให้ประชาชน โดยเร่งสร้างงาน สร้างรายได้โดยตรงทั้งระยะสั้นและระยะยาวแก่ประชาชน พร้อมแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เช่น โครงการพิเศษของหน่วยงานราชการและท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการจ้างงานลูกจ้างชั่วคราวสัญญา 1-2 ปี ระหว่างรอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและธุรกิจของภาคเอกชน พร้อมทั้งทบทวนแผนงานในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ให้มีการสร้างงานและสร้างรายได้โดยตรง ยกเลิกนโยบายแจกเงินแบบให้เปล่า เพื่อนำงบประมาณมาสร้างรายได้ กระตุ้นการบริโภคของประชน สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

และ 6.ควรชะลอ “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” เพื่อดึงดีมานด์เหล่านี้กลับเข้าตลาด เมื่อผ่านวิกฤติอสังหาฯ ไปแล้ว ค่อยกลับมาดำเนินการต่อ

ผ่อนคลายปล่อยสินเชื่อ เสริมสภาพคล่อง

ส่วนสถาบันการเงิน ควรมีมาตรการส่งเสริมด้วยการ 1.ปรับปรุงและผ่อนคลายเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ ที่ Conservative มากให้เหมาะสมกับลักษณะลูกค้าในปัจจุบัน เช่น หลักฐานรายได้ในกลุ่มลูกค้าที่มีอาชีพอิสระค้าขายออนไลน์ และเจ้าของกิจการขนาดเล็ก ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงการคำนวณที่มาของรายได้ที่ควรนับรวมรายได้จากงาน part-time และรายได้อื่น ที่ผู้กู้ได้มาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อลดลง

2.ผ่อนคลาย/สนับสนุนโปรโมชั่นอัตราดอกบี้ยต่ำ เน้นอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-5 ปี เพื่อกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัย

3.สนับสนุนในฐานะแหล่งเงินทุนที่จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ดีเวลลอปเปอร์ทดแทนหุ้นกู้ที่มีแนวโน้มเป็นตลาดที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอีกระยะหนึ่ง

4.เร่งบริหารจัดการ NPL ของสถาบันการเงิน และ 5.ให้ Non-bank เข้ามามีบทบาทร่วมปล่อยสินเชื่อเพื่อให้เกิดทางเลือกแก่ผู้กู้ซื้อที่อาศัย และเป็นการสร้างการแข่งขันในตลาดอีกทางหนึ่ง

ในภาวะ “เสือลำบาก” หากต้องการผลักดันระบบตลาดเดินหน้า ภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน ต้องออกมาตรการเชิงรุกที่สามารถปฏิบัติได้จริง! เมื่อผนึกพลัง 3 ประสาน เสริมสภาพคล่อง กระตุ้นกำลังซื้อ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และจัดการหนี้เสีย เราอาจไม่เพียงรอดพ้นวิกฤติ แต่ยังพลิกโอกาสเพื่อความยั่งยืนระยะยาว 

ถ้าไม่เริ่มวันนี้…ตลาดอสังหาฯ อาจเดินต่อไปไม่ได้!

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


รัฐลดหย่อนภาษีโซลาร์รูฟ‘บ้านยุคใหม่’ สร้างสมดุลพลังงานสะอาด

รัฐลดหย่อนภาษีโซลาร์รูฟ‘บ้านยุคใหม่’ สร้างสมดุลพลังงานสะอาด จุดประกายอสังหาฯติด “โซลาร์รูฟ ” เสริมจุดขายและลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว

เมื่อค่าไฟฟ้าขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง! ขณะที่ความตื่นตัวเรื่องพลังงานสะอาดกลายเป็นกระแสหลัก รัฐบาลออกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในบ้านอยู่อาศัย โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน แม้ยังไม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ แต่ได้จุดกระแสความหวังใหม่ให้ผู้บริโภคที่มองหา “พลังงานทางเลือก” และจุดประกายภาคอสังหาริมทรัพย์ เร่งผนวก “โซลาร์รูฟท็อป” ในบ้านยุคใหม่ เพื่อเสริมศักยภาพการขายและต้นทุนพลังงานในระยะยาว สร้างสมดุลทั้งต้นทุน ค่าไฟ และสิ่งแวดล้อม 

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เสนาฯ นับเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมที่ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปมากว่า 13 ปี จนมาสู่โครงการ “บ้านพลังงานเป็นศูนย์” (Zero Energy Home) และพร้อมหนุนมาตรการรัฐด้วยแนวทางพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเป็นมาตรฐาน

“เราไม่เคยคิดแค่ขายบ้าน แต่คิดถึงชีวิตที่ดีขึ้นของลูกบ้านในระยะยาว”

นอกจากช่วยประหยัดค่าไฟในระยะ 25 ปีแล้ว ลูกบ้านของเสนาฯ ยังมีสิทธิใช้ประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีโดยอัตโนมัติ พร้อมเข้าถึง Green Loan ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธนาคารพันธมิตร นับเป็นโมเดลการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม

 DRT ผสานวัสดุก่อสร้างกับพลังงานทางเลือก

ขณะที่ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ปรับกลยุทธ์เข้าสู่ตลาดพลังงานสะอาดด้วยการเปิดตัวโซลูชัน “Diamond Solar Cell Roof Tile Solution” สำหรับการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาบ้าน

สาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวถึงโอกาสของตลาดใหม่ว่า ดีมานด์จะขยายตัวตามแรงจูงใจจากภาครัฐ และผู้บริโภคที่ตื่นตัวเรื่องพลังงานสะอาดมากขึ้น บริษัทจึงผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มพลังงานทางเลือก ภายใต้โซลูชัน “Diamond Solar Cell Roof Tile Solution” ซึ่งออกแบบมาเพื่อการติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อปสำหรับที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ ครอบคลุมทั้งแผ่นกระเบื้องติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ กระเบื้องร้อยสายไฟ โซลูชันแก้ปัญหารั่วซึม พร้อมงานติดตั้งครบวงจร

“ดีมานด์ในกลุ่มนี้มีแนวโน้มขยายตัวสูง หลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป ในบ้านพักอาศัย ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว”

นอกจากเจาะตลาดที่อยู่อาศัยแล้ว DRT ยังเร่งขยายตลาดสู่กลุ่มองค์กร เช่น โรงเรียน วัด โรงพยาบาล และรีสอร์ต พร้อมขยายช่องทางขายผ่านอีคอมเมิร์ซ ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านวัสดุก่อสร้างที่ตอบรับนโยบายพลังงานแห่งอนาคต

 โซลาร์คืออนาคต “คลังสินค้า–โรงงาน” ต้องคิดใหม่

สำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์และโรงงานอุตสาหกรรม การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “ต้นทุนแห่งความสามารถในการแข่งขัน”

อาทิตยา พงษ์สิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านคลังสินค้า กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนพลังงานไฟฟ้ามีสัดส่วน 15-30% ของต้นทุนผลิต พูลพิพัฒน์จึงลงทุนในระบบโซลาร์รูฟท็อป โดยร่วมกับพันธมิตรด้านพลังงาน ONNEX SOLAR by SCG พัฒนาคลังสินค้าและระบบการผลิตแบบ Green Warehouse สอดรับเกณฑ์ ESG ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซัพพลายเออร์ของผู้ซื้อยุคใหม่

“ความยั่งยืนไม่ควรเป็นเพียงแผนงานระยะยาว แต่ต้องเริ่มต้นลงมือทำในวันนี้”

โอกาสของตลาดพลังงานสะอาดที่ “จับต้องได้”

แม้มาตรการภาษีของรัฐบาลจะอยู่ระหว่างรอประกาศใช้ แต่ก็สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ชัดเจนในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจทั่วประเทศ สร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ที่เชื่อมโยง “บ้าน-ธุรกิจ-สิ่งแวดล้อม” เข้าด้วยกันและเมื่อบ้านหลังใหม่ไม่ได้มอบแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องเปลี่ยนจากการขายบ้านธรรมดา…และ คลังสินค้า โรงงานต้องหันมาใช้ “พลังงานสะอาด” มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ก.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากเงินดอลลาร์แข็งค่า แต่หากราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบ Sideways หรือปรับตัวสูงขึ้นบ้างจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ก.ค.2568ที่ระดับ  32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.53 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราขอคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในช่วงนี้ ตามจังหวะการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

 รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์จะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะรับรู้ในช่วงคืนวันพฤหัสฯ นี้

โดยหากรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้เงินดอลลาร์มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้

ทว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาด อาจรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังมีความกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับประธานเฟด หลังมีข่าวลือว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell แม้ในภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวก็ตาม

นอกจากนี้ เรามองว่า ราคาทองคำก็มีโอกาสทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้ไม่ยาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับประธานเฟด

ทำให้แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากเงินดอลลาร์ แต่หากราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบ Sideways หรือปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ก็จะช่วยชะลอการอ่อนค่าดังกล่าว ทำให้โดยรวม เงินบาท (USDTHB) อาจยังติดโซนแนวต้านแถว 32.60-32.70 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน

แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เราถึงจะกลับมามั่นใจว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following 

อนึ่ง เราขอย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในคืนนี้ เนื่องจากสถิติย้อนหลัง 1 ปี สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนในกรอบ +/- 1 SD ราว +0.3%/-0.2%

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวน ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.34-32.64 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงทะลุโซน 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเวลาสั้นๆ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ

ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำก็พุ่งสูงขึ้น ท่ามกลางข่าวลือว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เตรียมปลดประธานเฟด Jerome Powell

ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลจากประเด็นดังกล่าว หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึง รัฐมนตรีฯ คลัง สหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว หนุนให้ เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำก็ย่อตัวลงเกือบถึงระดับก่อนรับรู้ข่าวลือปลดประธานเฟดดังกล่าว

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทการเงินขนาดใหญ่ รายงานผลประกอบการที่สดใส

ทว่า บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากประเด็นข่าวลือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell แม้ว่าในภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.32% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.57% กดดันโดยความกังวลจากข่าวลือว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการปรับตัวลงหนักของ ASML -11.4% และบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor หลัง ASML ระบุว่า รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตลดลง

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนใกล้โซน 4.50% ท่ามกลางความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อข่าวลือว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell ซึ่งกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 4.47% อีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงนี้ ได้ทำให้บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ มีความน่าสนใจมากขึ้น และเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ตามความกังวลว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell ก่อนที่เงินดอลลาร์จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.8-98.9 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อประเด็นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell ก็มีส่วนทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) พุ่งสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น ก่อนที่จะย่อตัวลงสู่โซน 3,340-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าวลงบ้าง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

รวมถึงรายงานดัชนีภาคธุรกิจโดย Philadelphia Fed ในเดือนกรกฎาคม และรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดมีโอกาสราว 84% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ และเฟดมีโอกาสราว 40% ในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า 

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้างในเดือนมิถุนายน รวมถึง ยอดการจ้างงานและอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

หลังล่าสุด อัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE ในเดือนสิงหาคมลงบ้าง (จากเกือบ 100% เป็น 85%) แต่โดยรวมยังคงมองว่า BOE มีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้

ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนมิถุนายน หลังในช่วงที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงมองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้

 และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่าง TSMC และ Netflix ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงระยะสั้นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


พรปวีณ์ ทะยานรอบสองแบดมินตัน เจแปน โอเพ่น 2025 บาส-สกาย พ่ายจีนร่วงรอบแรก

ผลแบดมินตัน เจแปน โอเพ่น 2025 วันที่ 16 ก.ค. 68 “หมิว” พรปวีณ์ ฟอร์มร้อนอัดสาวอินเดีย 2 เกมรวด ลิ่วรอบสองพบมือดีจากไต้หวัน ขณะที่ชายคู่ “บาส-สกาย” พ่ายคู่จีน จอดป้ายตั้งแต่รอบแรก

การแข่งขันแบดมินตัน เจแปน โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 30.8 ล้านบาท ณ โตเกียว เมโทรโพลิแทน ยิมเนเซียม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568 มีนักแบดมินตันไทยลงสนามในรอบแรกอีก 2 คู่

ประเภทหญิงเดี่ยว
“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 7 ของรายการและมือ 7 ของโลก โชว์ฟอร์มได้อย่างเด็ดขาด เอาชนะ อูนานติ ฮูด้า มือ 37 โลกจากอินเดีย ไปอย่างขาดลอย 2-0 เกม 21-8, 21-12 ผ่านเข้าสู่ รอบสอง ไปพบกับ หลิน เซียงตี้ มือ 24 ของโลกจากไต้หวัน

ประเภทชายคู่
“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือ 12 โลก เจองานหนักพ่ายให้กับ หวง ตี้ กับ หลิว หยาง คู่มือ 22 โลกจากจีน 0-2 เกม 19-21, 16-21 จอดป้ายตั้งแต่รอบแรก

การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป โดยมีนักแบดมินตันไทยอีกหลายรายเตรียมลงสนามลุ้นผลงานในรอบถัดไป

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


อ่อนไหวง่าย เช็กเลย! เรากำลังเป็น Highly Sensitive Person (HSP) อยู่หรือเปล่า?

ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยง่ายกับเสียงดัง สถานที่คนเยอะ หรือคำพูดของคนอื่น ลองมาทำความรู้จัก Highly Sensitive Person (HSP) แล้วคุณอาจเข้าใจตัวเองมากขึ้น

Highly Sensitive Person (HSP) คืออะไร

Highly Sensitive Person (HSP) คือคนที่มีระบบประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้น มีงานวิจัยของดร. Elaine Aron ระบุว่ามีคนลักษณะนี้ประมาณ 15-20% ของประชากรโลก โดยมักมีอารมณ์ลึกซึ้ง เห็นใจคนอื่นง่าย และรับรู้อารมณ์คนรอบข้างได้ดีมาก

ลักษณะนิสัยของ Highly Sensitive Person (HSP)

สังเกตได้อย่างไร

  • รู้สึกเครียดง่ายเมื่ออยู่ในที่มีเสียงดังหรือคนเยอะ
  • ชอบอยู่กับธรรมชาติ สถานที่เงียบสงบ
  • มีความคิดสร้างสรรค์และมักมีพรสวรรค์ทางศิลปะ
  • เก็บรายละเอียดเล็กน้อยได้ดีจนบางครั้งคนอื่นมองข้าม

จุดเด่นของ Highly Sensitive Person (HSP)

แม้จะดูเปราะบาง แต่ Highly Sensitive Person (HSP) มักเป็นคนมีจิตใจอ่อนโยน เอาใจใส่ และเป็นผู้ฟังที่ดี ทำให้หลายคนประสบความสำเร็จในงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน

สาเหตุของการเป็น Highly Sensitive Person (HSP)

นักวิจัยพบว่า Highly Sensitive Person (HSP) มีทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและประสบการณ์ในวัยเด็กที่หล่อหลอม ทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้ารุนแรงกว่าคนทั่วไป

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น Highly Sensitive Person (HSP)

สร้างพื้นที่ส่วนตัว

ควรมีมุมสงบที่ช่วยให้ได้พักจากสิ่งรบกวน

รู้จักปฏิเสธ

Highly Sensitive Person (HSP) มักเกรงใจคนอื่นจนทำให้ตัวเองเหนื่อย ควรฝึกปฏิเสธสิ่งที่เกินกำลัง

หาเพื่อนหรือที่ปรึกษา

การพูดคุยกับคนที่เข้าใจ Highly Sensitive Person (HSP) จะช่วยให้จัดการความรู้สึกได้ดีขึ้น

อยู่ร่วมกับคนที่เป็น Highly Sensitive Person (HSP) ได้อย่างไรบ้าง

คนรอบข้างควรทำความเข้าใจว่าคนที่เป็น Highly Sensitive Person (HSP) ไม่ได้อ่อนแอ แต่แค่มีความไวต่อสิ่งต่าง ๆ มากกว่า การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและให้พื้นที่ส่วนตัวจะช่วยลดความเครียดได้

ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเมื่อไร

หาก Highly Sensitive Person (HSP) รู้สึกว่าความอ่อนไหวรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจเพื่อเรียนรู้วิธีจัดการตนเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Plain English เทคนิคของการสื่อสารภาษาอังกฤษที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

บทความนี้นำเสนอแนวคิด Plain English ว่าคืออะไร ใช้งานอย่างไร ซึ่งเป็นวิธีใช้ภาษาอังกฤษที่เรียบง่ายและตรงประเด็น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ในทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่ง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือเรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย เนื้อหาครอบคลุมทั้งความหมายของ Plain English ประโยชน์ในบริบทการสื่อสารจริง และตัวอย่างจากธุรกิจและชีวิตประจำวัน ที่แสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายนั้นมีพลังเพียงใด Plain English จึงไม่ใช่แค่การใช้คำศัพท์ง่าย ๆ เท่านั้น แต่เป็นทักษะที่ช่วยให้คุณสื่อสารได้มีประสิทธิภาพ และเหมาะสำหรับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ Plain English เป็นแนวทางที่คุณควรรู้หากต้องการ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผล เพราะจะทำให้คุณสนุกกับการเริ่มต้นใช้ภาษาอังกฤษและต่อยอดสู่ทักษะภาษาอังกฤษในระดับสูงขึ้นได้ตามลำดับ

1) Plain English คืออะไร

Plain English คือ การใช้ภาษาอังกฤษที่เน้นความเรียบง่าย ชัดเจน และตรงประเด็น โดยหลีกเลี่ยงคำศัพท์ยาก โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และภาษาทางการเกินจำเป็น หลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักเข้าใจว่าต้องใช้คำหรูหรือศัพท์ยากถึงจะดูเก่ง แต่ในชีวิตจริงแล้วการสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ชัดเจนและรวดเร็วต่างหากคือทักษะที่แท้จริงของการใช้ภาษา

Plain English ไม่ได้หมายถึงภาษาที่ “ง่ายจนดูไม่มีความเป็นทางการ” แต่คือการเลือกใช้คำและประโยคที่เหมาะสมกับผู้อ่านหรือผู้ฟัง เช่น แทนที่จะใช้คำว่า “endeavor” อาจใช้ “try” แทน ซึ่งสื่อสารได้ตรงและเข้าใจง่ายกว่า นี่คือสิ่งที่ผู้ เรียนภาษาอังกฤษ ทุกคนควรฝึก โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่ง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย การเริ่มจากการเข้าใจและฝึกใช้ Plain English จะช่วยให้คุณก้าวหน้าเร็วขึ้น และไม่รู้สึกท้อเมื่อเจอกับภาษาอังกฤษที่ดูยุ่งยาก

2) ประโยชน์ของ Plain English กับการสื่อสารในชีวิตจริง

การ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ใช่แค่เรื่องการรู้คำศัพท์หรือไวยากรณ์ แต่คือการสื่อสารให้คนเข้าใจ ดังนั้น Plain English จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างระหว่าง “รู้ภาษา” กับ “ใช้ภาษา” ได้อย่างแท้จริง

ประโยชน์ของการใช้ Plain English มีมากมาย เช่น:

  • เข้าใจง่าย: โดยเฉพาะเมื่อเขียนหรือพูดกับผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา
  • ประหยัดเวลา: ผู้ฟังหรือผู้อ่านไม่ต้องเสียเวลาตีความ
  • ลดข้อผิดพลาดในการสื่อสาร: เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การส่งอีเมล การแจ้งงาน หรือการพูดคุยทั่วไป
  • ช่วยให้การ เรียนภาษาอังกฤษ มีประสิทธิภาพมากขึ้น: ผู้เรียนสามารถโฟกัสที่การใช้จริง ไม่ติดกับคำศัพท์ที่ไม่จำเป็น

คนที่ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ มักไม่มีครูคอยแก้ไขให้ทันที เทคนิคใช้ Plain English จึงช่วยให้ผู้เรียนมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสาร เพราะรู้ว่าภาษาที่ใช้จะถูกเข้าใจโดยคนทั่วไปอย่างแน่นอน

3) ใครใช้ Plain English บ้าง? ตัวอย่างจริงจากโลกธุรกิจและชีวิตประจำวัน

Plain English ไม่ใช่แค่เรื่องในห้อง เรียนภาษาอังกฤษ เท่านั้น แต่องค์กรทั่วโลกใช้หลักการนี้ในการสื่อสารกับลูกค้า พนักงาน และสาธารณชน เช่น:

  • องค์กรภาครัฐในออสเตรเลีย สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ใช้ Plain English ในการเขียนเอกสารราชการ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจข้อมูลสำคัญ
  • บริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Google และ Microsoft ใช้ Plain English ในคู่มือสินค้า คำแนะนำการใช้งาน และอีเมลถึงลูกค้า
  • โรงพยาบาลและองค์กรสาธารณสุข ใช้ Plain English ในเอกสารเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้แม้ไม่มีพื้นฐานทางการแพทย์

แม้แต่ในชีวิตประจำวัน หากคุณเขียนอีเมลถึงเพื่อนร่วมงานหรือสื่อสารกับลูกค้าต่างชาติ การใช้ Plain English จะทำให้คุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นและเข้าใกล้เป้าหมายของการ เรียนภาษาอังกฤษ ได้เร็วขึ้น

4) ตัวอย่างการใช้ภาษาอังกฤษแบบ Plain English

Plain English ได้รับความนิยมและใช้ในวงการสื่อสารสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น UX Writing, เว็บไซต์, เอกสารราชการ หรืออีเมลธุรกิจ เพราะช่วยให้คนอ่านเข้าใจไวขึ้น ไม่ต้องตีความหลายชั้น ลดโอกาสสื่อสารผิดพลาด มาดูตัวอย่างประโยคต่อไปนี้กัน

1.

Not-plain English

  • We acknowledge the receipt of your correspondence and shall endeavour to respond at the earliest opportunity.

Plain English

  • Thanks for your message. We’ll reply as soon as we can.

2.

Not-plain English

  • Should you require further assistance, please do not hesitate to contact us.

Plain English

  • If you need more help, just let us know.

3.

Not-plain English

  • The utilization of this system may result in the enhancement of workflow efficiency.

Plain English

  • Using this system can help you work faster.

จะเห็นว่าเราสามารถสื่อความหมายเดียวกันได้ด้วยประโยคที่ง่ายกว่า สั้นกว่า เข้าใจได้เร็วกว่า ควรดูตัวอย่างเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจเพราะแสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษขั้นสูง แต่การใช้ภาษาที่ “เข้าใจได้” คือสิ่งที่ทำให้คุณสื่อสารได้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


อุปกรณ์ IoT หลายพันล้านชิ้นเสี่ยงถูกโจมตี พบช่องโหว่ eSIM บนการ์ด eUICC

นักวิจัยด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ eSIM บนการ์ด eUICC ของ Kigen ทำให้อุปกรณ์ IoT หลายพันล้านเครื่องเสี่ยงต่อการโจมตีที่เป็นอันตราย

นักวิจัยด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จาก Security Explorations ได้เปิดเผยช่องโหว่สำคัญในเทคโนโลยี eSIM บนการ์ด eUICC ของบริษัท Kigen จากไอร์แลนด์ ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวอาจทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถโจมตีอุปกรณ์ IoT นับพันล้านชิ้นทั่วโลก

โดยช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการใช้งานโปรไฟล์ทดสอบของมาตรฐาน GSMA TS.48 เวอร์ชัน 6.0 และเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ (malicious applets) ลงในชิป eUICC ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

เทคโนโลยี eSIM เป็นซิมดิจิทัลที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ผ่านซอฟต์แวร์ eUICC โดยได้รับความนิยมอย่างมากติดตั้งในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ประเภท IoT เนื่องจากสามารถเปลี่ยนผู้ให้บริการและบริหารจัดการโปรไฟล์ซิมได้จากระยะไกล แต่นี้ก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผู้โจมตีที่เข้าถึงอุปกรณ์ได้ทางกายภาพ และใช้คีย์ที่เปิดเผยสาธารณะ สามารถทำการติดตั้งโค้ดอันตราย แอบดักฟังข้อมูล หรือแม้แต่ขโมยใบรับรองตัวตนของ Kigen เพื่อดาวน์โหลดโปรไฟล์จากเครือข่ายมือถือแบบไม่เข้ารหัส รวมถึงอาจควบคุมหรือปลอมแปลงสถานะของโปรไฟล์โดยผู้ให้บริการไม่สามารถรับรู้ได้ แม้การโจมตีจะต้องอาศัยเงื่อนไขหลายประการ

แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากดำเนินการโดยแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐที่มีความสามารถสูง ก็สามารถใช้ช่องโหว่นี้สร้าง backdoor ที่ยากต่อการตรวจสอบได้

ทั้งนี้ บริษัท Kigen ได้รับรายงานจาก Security Explorations และมอบรางวัล 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการแจ้งช่องโหว่นี้ พร้อมออกประกาศเตือนให้ยกเลิกการใช้งานโปรไฟล์ทดสอบเวอร์ชันเก่า และให้ใช้เวอร์ชันใหม่ TS.48 v7.0 แทน ซึ่งมีมาตรการจำกัดการใช้งานโปรไฟล์ดังกล่าวเพื่อป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ปรับสมดุลอารมณ์ด้วยชาสมุนไพร หาซื้อง่าย ใครก็ทำได้

ในยุคที่ความเครียดและภาวะอารมณ์แปรปรวนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การมองหาตัวช่วยจากธรรมชาติเพื่อจัดการกับอารมณ์จึงได้รับความนิยมมากขึ้น ชาสมุนไพร เป็นหนึ่งในทางเลือกที่หาซื้อง่าย และสามารถทำเองได้ที่บ้าน เพียงจิบอุ่นๆ ก็ช่วยปลอบประโลมจิตใจ คลายความกังวล และเสริมสร้างความรู้สึกสงบได้ บทความนี้จะชวนคุณมาทำความรู้จักกับชาสมุนไพรหลากหลายชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลอารมณ์ พร้อมวิธีเตรียมง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้

ทำไมชาสมุนไพรถึงช่วยปรับสมดุลอารมณ์ได้?

สมุนไพรหลายชนิดมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive compounds) ที่ส่งผลต่อระบบประสาทและสมอง บางชนิดช่วยกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุข (Endorphins) หรือสารสื่อประสาทที่ช่วยให้ผ่อนคลาย (เช่น GABA) บางชนิดช่วยลดการอักเสบในร่างกายที่อาจส่งผลต่ออารมณ์ หรือช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน ยิ่งไปกว่านั้น การจิบชาอุ่นๆ ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ยังเป็นการสร้างบรรยากาศส่วนตัวที่ช่วยลดความเร่งรีบ และสร้างช่วงเวลาแห่งความสงบให้กับจิตใจ

รวมลิสต์ชาสมุนไพรยอดฮิต หาซื้อง่าย ทำเองได้

ชาคาโมมายล์ (Chamomile Tea)

  • คุณสมบัติเด่น: ขึ้นชื่อเรื่องการช่วยผ่อนคลายความเครียด ลดความกังวล และส่งเสริมการนอนหลับที่ดีเยี่ยม มีสาร Apigenin ที่ออกฤทธิ์คล้ายยาคลายกังวลอ่อนๆ
  • วิธีเตรียม: ใช้ดอกคาโมมายล์แห้ง 1-2 ช้อนชา (หรือถุงชา 1 ถุง) ชงในน้ำร้อน 1 แก้ว แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที กรองออกแล้วจิบอุ่นๆ
  • หาซื้อได้ที่ไหน: ตามซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกชา/กาแฟ, ร้านขายสมุนไพร, ร้านค้าออนไลน์

ชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Tea)

  • คุณสมบัติเด่น: กลิ่นหอมสดชื่นของเมนทอลช่วยกระตุ้นความรู้สึกตื่นตัว ลดความเหนื่อยล้า และบรรเทาอาการปวดหัวจากความเครียด นอกจากนี้ยังช่วยคลายอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย
  • วิธีเตรียม: ใช้ใบเปปเปอร์มินต์สด 5-7 ใบ หรือใบแห้ง 1-2 ช้อนชา ชงในน้ำร้อน 1 แก้ว แช่ทิ้งไว้ 5-7 นาที
  • หาซื้อได้ที่ไหน: ใบสดหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ, ใบแห้งหรือถุงชามีจำหน่ายทั่วไป

ชาตะไคร้ (Lemongrass Tea)

  • คุณสมบัติเด่น: มีกลิ่นหอมผ่อนคลาย ช่วยลดความกังวลและทำให้รู้สึกสงบ นอกจากนี้ยังช่วยขับลม ลดอาการท้องอืดได้ดี
  • วิธีเตรียม: หั่นตะไคร้สดส่วนโคนเป็นแว่นๆ 2-3 ต้น หรือใช้ตะไคร้อบแห้ง 1 ช้อนชา ต้มหรือชงในน้ำร้อน 1 แก้ว อาจเติมขิงหรือใบเตยเพื่อเพิ่มความหอม
  • หาซื้อได้ที่ไหน: ตะไคร้สดหาซื้อได้ง่ายตามตลาดสดและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป, ตะไคร้อบแห้งมีจำหน่ายตามร้านขายสมุนไพร

ชาลาเวนเดอร์ (Lavender Tea)

  • คุณสมบัติเด่น: กลิ่นหอมของลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติในการปลอบประโลมจิตใจ ลดความเครียด และช่วยให้จิตใจสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ หรือต้องการผ่อนคลายอย่างลึกซึ้ง
  • วิธีเตรียม: ใช้ดอกลาเวนเดอร์แห้ง 1 ช้อนชา ชงในน้ำร้อน 1 แก้ว แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
  • หาซื้อได้ที่ไหน: ร้านขายสมุนไพร, ร้านขายวัตถุดิบทำขนม/สปา, ร้านค้าออนไลน์

ชาดอกมะลิ (Jasmine Tea)

  • คุณสมบัติเด่น: กลิ่นหอมอ่อนโยนของดอกมะลิช่วยคลายความตึงเครียด ทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย มักนิยมนำไปผสมกับชาเขียวเพื่อเพิ่มคุณสมบัติ
  • วิธีเตรียม: ใช้ดอกมะลิสดลอยน้ำร้อน หรือใช้ดอกมะลิแห้ง 1 ช้อนชา ชงในน้ำร้อน 1 แก้ว แช่ทิ้งไว้ 3-5 นาที
  • หาซื้อได้ที่ไหน: ดอกมะลิสดหาซื้อได้ตามตลาดดอกไม้, ดอกมะลิแห้งหรือชาดอกมะลิมีจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกชา/กาแฟ หรือร้านขายสมุนไพร

ชาเลมอนบาล์ม (Lemon Balm Tea)

  • คุณสมบัติเด่น: มีกลิ่นหอมคล้ายเลมอน เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการช่วยลดความเครียด ความกังวล และอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย
  • วิธีเตรียม: ใช้ใบเลมอนบาล์มแห้ง 1-2 ช้อนชา ชงในน้ำร้อน 1 แก้ว แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
  • หาซื้อได้ที่ไหน: ร้านขายสมุนไพร, ร้านค้าออนไลน์ (อาจหายากกว่าชนิดอื่นเล็กน้อย)

เคล็ดลับการจิบชาสมุนไพรเพื่อจัดการอารมณ์ให้ได้ผล

  • เลือกชาที่ชอบ: รสชาติและกลิ่นของชามีผลต่อความรู้สึกผ่อนคลาย เลือกชนิดที่คุณชอบและรู้สึกสบายใจเมื่อได้ดื่ม
  • สร้างบรรยากาศ: หาที่เงียบสงบ เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ หรือจุดเทียนหอม เพื่อเสริมสร้างความผ่อนคลาย
  • จิบช้าๆ: ค่อยๆ จิบชาทีละน้อยๆ สูดดมกลิ่นหอม และรับรู้รสชาติอย่างช้าๆ
  • ดื่มเป็นประจำ: การจิบชาสมุนไพรเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน หรือในช่วงเวลาที่รู้สึกเครียด จะช่วยปรับสมดุลอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น

ชาสมุนไพรเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการช่วยจัดการกับความเครียดและความกังวลในชีวิตประจำวัน ด้วยสรรพคุณจากธรรมชาติและขั้นตอนการเตรียมที่ง่ายดาย เพียงแค่เลือกชาสมุนไพรที่คุณชื่นชอบและสร้างช่วงเวลาแห่งการจิบชาอย่างผ่อนคลาย ก็สามารถเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจ และนำความสงบกลับคืนสู่ตัวคุณได้ ลองเลือกชาที่ถูกใจแล้วเริ่มต้นดูแลอารมณ์ของคุณตั้งแต่วันนี้เลย!

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/07/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,300.0051,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,316.0050,270.5652,200.00
ทองรูปพรรณ 90%2,984.4045,243.50n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,652.8040,216.45n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,492.2022,621.75n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,160.6017,594.70n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,436.2752,093.85n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/07/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4449.8449.8449.8441.44
เบนซิน 9541.1449.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า