สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 กันยายน 2568

อสังหาฯขอยาแรง! เสนอรัฐบาล ลดดอกเบี้ย-ต่อมาตรการทุกเซ็กเมนต์

  • 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ใช้มาตรการกระตุ้นแบบ “ยาแรง” เพื่อแก้ปัญหาสภาวะตลาดที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง
  • เสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.5% เพื่อลดภาระผู้กู้และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
  • ต้องการให้ขยายมาตรการกระตุ้นให้ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ทุกระดับราคา ไม่จำกัดเฉพาะที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาทเหมือนที่ผ่านมา

ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยเตรียมเดินหน้ายื่นข้อเสนอรัฐบาลใหม่ ให้เร่งปลดล็อกมาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 หลังสัญญาณตลาดยังคงดิ่งลึก ยอดขายและยอดโอนติดลบต่อเนื่อง โดย 3 สมาคมอสังหาฯ

ได้แก่ สมาคมอาคารชุดไทย (Thai Condominium Association), สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร (Housing Business Association) และ สมาคมอสังหา ริมทรัพย์ไทย (Thai Real Estate Association) ได้รวมตัวกันยื่นข้อเสนอถึงรัฐบาล ให้ใช้มาตรการเชิงรุกแบบ “ยาแรง” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อทุกระดับราคาตั้งแต่บ้านไม่กี่ล้านไปจนถึงโครงการระดับไฮเอนด์ หวังสร้างแรงกระเพื่อมทันทีในตลาด และพยุงโมเมนตัมต่อเนื่องไปถึงปี 2569

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า เวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่จะรอคอยมาตรการระยะยาว แต่ต้องการการ “ฉีดยาแรง” ระยะสั้น เพื่อสร้างแรงกระตุ้นเชิงจิตวิทยาให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี โดยมาตรการที่เสนอคือให้ครอบคลุมทุกระดับราคา ไม่จำกัดเฉพาะบ้านตํ่ากว่า 7 ล้านบาทเหมือนที่ผ่านมา เพราะตัวเลขล่าสุดชี้ชัดว่า ตลาดตํ่ากว่า 7 ล้านบาท “กระตุ้นไม่ขึ้น” ตรงกันข้ามกลับเป็นตลาดระดับกลางบนที่ยังพอมีแรงซื้อ หากได้รับแรงหนุนที่เหมาะสม

“วันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ตัวเลขความเชื่อมั่นและยอดขายในกลุ่มตํ่ากว่า 7 ล้านบาทยังติดลบ ทั้งที่เคยหวังว่าจะเป็นตลาดหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมและมูลค่าหลักประกันในระบบการเงิน”

ข้อมูลจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ายอดขายทั้งอุตสาหกรรมยังตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี และยอดโอนทรัพย์สินติดลบกว่า 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมใหม่แทบหยุดชะงัก ยอดเปิดโครงการใหม่ลดลงกว่า 90%

อย่างไรก็ตาม สัญญาณเริ่มเปลี่ยนไปในไตรมาส 3 เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย เช่น แสนสิริ และศุภาลัย เริ่มกลับมาเปิดโครงการใหม่อีกครั้ง แม้จะต้องลดราคาลงสู่ระดับใกล้เคียงเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อดูดซับกำลังซื้อที่จำกัด

นายประเสริฐอธิบายว่า ที่ผ่านมารัฐได้ปลดล็อก LTV และเสริมด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.5% พร้อมกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยจริง ทั้ง MLR, MRR และ MOR ลงมา จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยทันที

“นี่เป็นจังหวะที่หายาก เพราะเรามีทั้งรัฐบาลใหม่ รัฐมนตรีคลังใหม่ ผู้ว่าการแบงก์ชาติใหม่ และทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ทั้งหมดความมั่นใจเริ่มกลับหลังจากที่สถานการณ์มีความมชัดเจน จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสม” นายประเสริฐกล่าว

นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญของ 3 สมาคมฯคือให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้การประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้เป็น “กระสุนนัดสำคัญ” โดยเสนอว่าควรปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 0.5% เพื่อส่งสัญญาณชัดเจนไปยังตลาดเงินและธนาคารพาณิชย์ หากทำได้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ดอกเบี้ยเชื่อมโยงกับสินเชื่อบ้านปรับลงเต็มอัตราในทันที แตกต่างจากที่ผ่านมา ที่การปรับลดมักสะท้อนถึงผู้กู้เพียงบางส่วน

นายประเสริฐยํ้าว่า “ดอกเบี้ยบ้านวันนี้เป็นอัตราที่ถูกที่สุดเป็นปรากฏการณ์ อาจจะตํ่ากว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้เอกชนระดับเรตติ้งเอบางแห่ง หากภาครัฐส่งสัญญาณแรงกว่านี้เชื่อว่าจะเกิดการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในการแย่งชิงลูกค้าเครดิตดี และช่วยขยายพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น”

ทั้งนี้ นายประเสริฐยังเน้นยํ้าว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์นับเป็นสัดส่วน 8-12% ต่อ GDP และเกี่ยวข้องกับการจ้างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง อีกทั้งยังเชื่อมโยงโดยตรงกับระบบการเงินผ่านมูลค่าหลักประกันในสินเชื่อบ้าน การปล่อยให้ตลาดทรุดต่อเนื่องจึงไม่เพียงกระทบผู้ประกอบการ แต่ยังอาจกระทบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม จึงเป็นที่น่าจับตามองว่ารัฐบาลใหม่จะใช้มาตรการ “อัดฉีด” เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ทั้ง 3 สมาคมอสังหาฯยังได้ร่วมกันจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 48 ซึ่ง 3 สมาคมอสังหาฯ ร่วมกันจัดขึ้นในปลายปีนี้ จึงถูกมองว่าเป็นเวทีสำคัญในการวัดอุณหภูมิตลาด และอาจกลายเป็น “แรงขับเคลื่อน” สำคัญหากมาตรการรัฐออกมาทันเวลา

โดยปีนี้ยอดจองบูธทะลุเต็มพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร มากที่สุดในรอบ 10 ปี ผู้ประกอบการกว่า 150 บริษัท ขนโครงการกว่า 1,000 โครงการเข้าร่วม พร้อมโปรโมชั่นแรงที่สุดในรอบทศวรรษ ทั้งส่วนลด ของแถม และเงื่อนไขสินเชื่อพิเศษจากธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยตํ่า อนุมัติเร็ว เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อทันที

อีกทั้งยังมีโครงการพร้อมอยู่ทั่วประเทศที่ลดราคาครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นการปิดการขายทันที นอกจากนี้ งานยังใช้แนวคิด “New Marketplaces, Serve Supply on Every Demand” และกลยุทธ์ “Fast Track-ทางด่วนคนอยากมีบ้าน” เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ซื้อบ้านหลังแรก ครอบครัวที่ต้องการขยับขยาย ไปจนถึงนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์เพื่อการลงทุน

การจัดงานยังมีการปรับตัวของผู้ประกอบการที่หันมาเจาะตลาดต่างชาติ ด้วยการสื่อสารหลายภาษา ทั้งไทย อังกฤษ และจีน เพื่อรองรับดีมานด์จากนักลงทุนภูมิภาค แม้ลูกค้าต่างชาติยังไม่กลับมามากเท่าเดิม แต่ก็ถือเป็นการวางรากฐานตลาดในอนาคต โดยภาพรวมผู้จัดงานคาดหวังว่างานครั้งนี้จะสร้างยอดจองรวมไม่ตํ่ากว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดกว่า 20,000 ล้านบาท และที่สำคัญคือการสร้างแรงกระเพื่อมให้ตลาดอสังหาฯ ไทยเดินหน้าต่อในปี 2569 ด้วยความมั่นใจมากขึ้น

นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานจัดงาน เปิดเผยว่า “แม้ตลาดอสังหาฯ ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่สัญญาณเริ่มชัดว่าการติดลบจะลดลง ปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง มาตรการรัฐด้านค่าธรรมเนียมและ LTV ล้วนหนุนให้ผู้บริโภคกลับมาตัดสินใจซื้อมากขึ้น งานนี้จึงเป็นตัวเร่งสำคัญของตลาดปลายปี”

โดยภาพรวมแล้ว ท่ามกลางความหวังของภาคอสังหาฯ จึงอยู่ที่รัฐบาลและแบงก์ชาติ ว่าจะยอม “กดยาแรง” ตามข้อเสนอของสมาคมหรือไม่ ถ้าหากทำได้ทันในช่วงสั้นๆ 4 เดือนนี้ เชื่อว่าจะไม่เพียงพยุงตลาดจากจุดตํ่าสุด แต่ยังสร้างโมเมนตัมความเชื่อมั่นต่อเนื่องให้ก้าวเข้าสู่การฟื้นตัวไปจนถึงปี 2569

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาฯ-ก่อสร้าง ชงรัฐบาลต้องการความต่อเนื่องมาตรการ ลดค่าโอน –ภาษีที่ดิน

  • ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลสานต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง และการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
  • ต้องการให้มีมาตรการค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Insurance) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงิน และผลักดันการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มอาชีพอิสระ
  • เสนอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายค่า K ให้กับผู้รับเหมา และออกมาตรการให้ผู้ลงทุนต่างชาติใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตในประเทศ

 ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มีผลต่อกำลังซื้อหดตัวลง ภาคเอกชน นำโดยสภาหอการค้าไทย รวบรวมข้อเสนอต่อรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ทั้ง15คลัสเตอร์ ในวันที่18 กันยายน โดยภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหนึ่งในคลัสเตอร์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องสานต่อ จากรัฐบาลชุดก่อนรวมถึงมาตรการใหม่เพื่อพยุงให้ตลาดนี้เดินหน้าต่อไปได้

 นายอิสระ บุญยัง ประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่าต้องการเห็นความต่อเนื่องของมาตการ  ทั้งการค้ำประกันสินเชื่อ Mortgage Insurance ซึ่งเป็นรูปแบบองค์กรคนกลางค้ำประกัน หรือ รูปแบบบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน20%

เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินพิจารณาปล่อยสินเชื่อ  ซึ่ง เป็นจังหวะรัฐบาลชุดเก่าพ้นวาระต้องเสนอรัฐบาลใหม่นับหนึ่งพิจารณา  เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เนื่องจากสิ่งสำคัญแบงก์พาณิชย์ ไม่มั่นใจปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น จึงเป็นภาระของธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) มากเกินไป

นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลใหม่ผลักดันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่ม อาชีพอิสระที่ทีกำลังซื้อจริง สามารถได้รับสินเชื่อ เต็ม100%เท่ากับ กลุ่มข้าราชการ และกลุ่มตกสกอร์

อย่างไรก็ตามเนื่องจากรัฐบาลมีอายุเพียง4เดือน  เสนอรัฐบาล ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องเช่น  1.ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่จำกัดราคาบ้าน 2.นำมาตรการบ้านดีมีดาวน์ของธอส.มาใช้ต่อเนื่อง 3.ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองสำหรับบ้านราคาเกิน7ล้านบาทหรือ7ล้านบาทแรก  ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง50%ในปี2569 เป็นต้น

ในส่วนภาคก่อสร้าง เสนอให้เร่งรัดเบิกจ่ายค่าเค ให้กับผู้รับเหมา สถาบันการเงินผ่อนปรนปล่อยสินเชื่อ ส่วนภาคคอนกรีต เสนอแก้กฎระเบียบให้ใช้วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ ที่ผลิตในไทย

เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหานักลงทุนต่างชาติบางประเทศ มีการนำอุปกรณ์แรงงาน วัสดุก่อสร้างของตนเองเข้ามาใช้ในประเทศ กระทบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในไทยและรัฐต้องสูญเสียรายได้โดยเฉพาะภาษี ขณะเดียวกันต้องการให้รัฐบาลเข้มงวดกวดขันเรื่องนอมินี ที่ก่อให้เกิดการครอบครองที่ดินและซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ขัดต่อกฎหมาย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ก.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 31.67 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจกลับมาผันผวนสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.50-32.00 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ก.ย.2568ที่ระดับ  31.67 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.71 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในช่วงก่อนรับรู้ ผลการประชุม FOMC เดือนกันยายน ของเฟด

 แม้ว่าในช่วงวันก่อนหน้า เงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าหลุดกรอบล่างที่เราประเมินไว้บ้าง แต่ก็ยังแกว่งตัวเหนือโซนแนวรับ 31.65 บาทต่อดอลลาร์ โดยเรามองว่า ในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง หากมีจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น

ขณะเดียวกัน เราเริ่มเห็นบทวิเคราะห์จากฝั่งนักวิเคราะห์ต่างชาติที่ประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และเริ่มมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) หลังมีกระแสข่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังอาจออกมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท ซึ่งจะทำให้ แม้ว่าราคาทองคำอาจปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจไม่ได้ช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เหมือนในช่วงที่ผ่านมา

อีกทั้ง อาจเร่งให้เกิดพฤติกรรมไล่ราคาซื้อทองคำได้ (FOMO Buy) หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เร็ว แรง ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำกลับทิศทางจากที่เคยเป็น (ยิ่งราคาทองคำปรับตัวขึ้น เงินบาทก็อาจยิ่งอ่อนค่าลง ตามโฟลว์ธุรกรรมไล่ซื้อทองคำ)

ทั้งนี้ เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด เนื่องจาก ปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดได้รับรู้และคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 25bps ของเฟดในการประชุมครั้งนี้ รวมถึงการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องรวม 6 ครั้ง ภายในสิ้นปีหน้า ไปพอสมควรแล้ว

ทำให้ มีความเสี่ยงที่หากผลการประชุม FOMC โดยเฉพาะในส่วนของ Dot Plot ใหม่ และถ้อยแถลงของประธานเฟด ไม่ได้สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาด (หรือเป็นไปตามที่เราประเมินไว้)

ก็อาจทำให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้น เร็ว แรง ได้ในระยะสั้น ซึ่งจะกดดันให้ ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลงได้พอสมควร ส่วนเงินบาทก็อาจอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 31.85 ถึงโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

ในทางกลับกัน เราก็มีความกังวลว่า เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย 50bps เหมือนในการประชุมเดือนกันยายน ปี 2024 ซึ่งภาพดังกล่าว ยังไม่ได้อยู่ในความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดมากนัก ต่างจากในรอบการประชุมปี 2024 ที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มรับรู้ว่า เฟดอาจมีโอกาสราว 60% ที่จะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ได้

ทำให้ เรามองว่า มีความเสี่ยงพอสมควร ที่หากเฟดเร่งลดดอกเบี้ย สวนทางกับคาดการณ์ของตลาด ก็อาจกดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงได้พอสมควร

 ส่วนผลกระทบต่อราคาทองคำนั้น อาจต้องจับตาว่า ตลาดจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หรือ กลับมาปิดรับความเสี่ยง ขณะที่เงินบาท มีโอกาสแข็งค่าขึ้น ได้ตั้งแต่ระดับ 0.5% ไปจนถึง 1.5% (หรือแข็งค่าขึ้นได้ตั้งแต่ 15-50 สตางค์/ดอลลาร์) หากอ้างอิงสถิติย้อนหลังในอดีต

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.50-32.00 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 31.64-31.76 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดมีการปรับสถานะถือครองก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด แม้ว่า

ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม จะขยายตัวต่อเนื่อง +0.6% จากเดือนก่อนหน้า ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ก็ตาม ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนสิงหาคม ก็กลับมาขยายตัวราว +0.1% จากเดือนก่อนหน้า ดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง

โดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดนั้น ไม่ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ และยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 6 ครั้ง จนถึงสิ้นปีหน้า

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังมองว่า เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายนนี้ ได้ ในส่วนของราคาทองคำ (XAUUSD) นั้น แม้จะปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์เหนือโซน 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ก็เผชิญแรงขายทำกำไร ชะลอการปรับตัวขึ้น อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC เดือนกันยายน ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองทองคำอย่างชัดเจน

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มชะลอการเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง เพื่อรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดในเดือนกันยายน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.13% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Exxon Mobil +2.1% ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงกว่า -1.14% กดดันโดยการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นกลุ่มการเงิน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด

ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่นเดียวกันฝั่งสหรัฐฯ หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็มีการปรับสถานะถือครองให้สอดคล้องกับโอกาสที่เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย หรือ อาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่

อีกทั้ง บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมก็เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.02% ทั้งนี้ เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง

หากผลการประชุม FOMC ของเฟดเดือนกันยายน ไม่ได้เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง เพราะแม้เฟดจะลดดอกเบี้ย 25bps ตามคาด แต่หาก คาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (Dot Plot) ใหม่ ไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากเท่ากับที่ตลาดประเมิน ก็อาจหนุนให้ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่ยาก

เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับสถานะของผู้เล่นในตลาดก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มมองว่า เฟดมีโอกาสที่จะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ได้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 96.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 96.5-97.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทว่า แรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้ชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำย่อลงเล็กน้อย แต่ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,730-3,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนกันยายน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทย

 โดยเรามองว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงหลังที่ชะลอตัวลงมากขึ้น (แต่ยังไม่เลวร้ายนัก) จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ เฟดลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00-4.25% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น คาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด

โดยเฉพาะในส่วนของคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งอาจสะท้อนว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งน้อยกว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาด ที่ล่าสุด มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ภายใต้แรงกดดันจากทางฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ส่วนทางฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังไม่เร่งรีบเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน นี้ หากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงอยู่

และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งเรามองว่า BI อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.00% ตามเดิม 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามพัฒนาการของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึง รายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ได้พอสมควร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 31.73-31.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.27 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงเช้าวันนี้สอดคล้องกับจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก และแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ที่ชะลอลงบางส่วนในช่วงก่อนผลการประชุมเฟดในคืนวันนี้ เพราะแม้ตลาดจะปรับตัวรับโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ไปแล้ว แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือ dot plot และมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทบทวนใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการประเมินท่าทีของเฟดต่อเนื่องในระยะข้างหน้า 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.60-31.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ  ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมและ dot plot ของเฟด สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. ของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดยังคงติดตามสัญญาณเกี่ยวกับการดูแลการเคลื่อนไหวของเงินบาทของทางการด้วยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


รั้งท้ายเพราะอะไร? เปิดภาพจังหวะออกตัว “บิว ภูริพล” ศึกชิงแชมป์โลก 2025 รอบรองฯ

ถือเป็นผลงานไม่ธรรมดาสำหรับ “บิว” ภูริพล บุญสอน นักวิ่งทีมชาติไทย ที่ลงแข่งขันในประเภท 100 เมตร ในการแข่งขันกรีฑา รายการชิงแชมป์โลก 2025 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

โดย ลมกรดหนุ่มวัย 19 ปี สามารถทะลุผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนทำเวลา 10.17 วินาที ถือเป็นนักวิ่งหนึ่งเดียวจากเอเชียที่สามารถผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ รวมทั้งทำเวลารั้งอันดับ 20 ของโลกในรายการนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่ดีพอที่จะผ่านเข้าถึงรอบชิงฯ

ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากก็คือจังหวะการออกตัวของ “บิว” ภูริพล บุญสอน ที่หลายฝ่ายมองว่ายังต้องแก้ไขหลังจากที่มักออกตัวช้ากว่าคู่แข่งจนทำให้ต้องมาเร่งในช่วงท้าย

ล่าสุดสื่อต่างประเทศได้มีการเผยภาพจังหวะการออกตัวของ นักวิ่งทุกคน ในรอบรองชนะเลิศ ศึกชิงแชมป์โลก 2025 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง นักวิ่งทีมชาติไทย มีการออกตัวที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งคนอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าเนื่องจาก นักวิ่งเบอร์ต้นๆ หลายคนขาถีบเริ่มเหยียดตรงแล้ว

อย่างไรก็ตาม “บิว” ภูริพล บุญสอน ที่มีวัยเพียง 19 ปี แต่ลงแข่งขันในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ยังมีโอกาสพัฒนาฝีเท้า ปรับในเรื่องของการออกตัว และสามารถสร้างความยิ่งใหญ่บนเวทีโลกได้ในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ระวัง 13 สัญญาณอัตราย เด็กไทยป่วยมะเร็งมากกว่า 900 คนต่อปี

  • ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งในเด็กรายใหม่ประมาณ 900 คนต่อปี โดยพบมากที่สุดในช่วงอายุ 1-4 ปี
  • มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเด็กคือมะเร็งเม็ดเลือดขาว (มากกว่า 50%) รองลงมาคือมะเร็งสมอง และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • ผู้ปกครองควรสังเกต 13 สัญญาณเตือนเบื้องต้น เช่น มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ คลำพบก้อน ซีด อ่อนเพลีย เลือดออกง่าย หรือน้ำหนักลดผิดปกติ
  • แม้สาเหตุยังไม่แน่ชัด แต่การตรวจพบมะเร็งในเด็กได้เร็วจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้

แพทย์หญิงขวัญนุช ศรีกาลา กุมารแพทย์ โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี หนึ่งในโรงพยาบาล PRINC Group กล่าวว่า ในประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งในเด็กรายใหม่ประมาณ 900 คนต่อปี หรือคิดเป็น 74.9 คนต่อประชากรเด็กล้านคนต่อปี โดยช่วงอายุที่พบมากที่สุดคือ 1-4 ปี โดยโรคมะเร็งในเด็กมักเกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่กำลังเจริญเติบโต แต่มีปัจจัยร่วม หรือปัจจัยเสริม

เช่น สิ่งแวดล้อม การติดเชื้อ ยาฆ่าแมลง สารพิษที่ปนเปื้อนในน้ำดื่ม การบริโภคของมารดาขณะตั้งครรภ์ และการที่เด็กได้รับรังสีบางชนิดในปริมาณสูง มักจะพบได้ 1 ใน 10 ของโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ เกิดกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา จนถึงเด็กที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี และเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าร้อยละ 50 รองลงมา คือ มะเร็งสมอง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งต่อมหมวกไต ซึ่งมะเร็งในเด็กนั้นนับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของเด็กและวัยรุ่น

อาการของโรคมะเร็งในเด็ก

อาการแสดงของมะเร็งแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน เช่น มีไข้ ซีด เลือดออกผิดปกติ มีก้อน ซึมลง อ่อนแรง อาการมักจะเหมือนความเจ็บป่วยทั่วไป แต่จะมีลักษณะเฉพาะบางอย่าง ต้องอาศัยการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยวินิจฉัย โดยระยะของโรคมะเร็งในเด็กแต่ละชนิดมีรายละเอียดแตกต่างกันไป โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะเช่นเดียวกับผู้ใหญ่

อาการเบื้องต้นที่พบบ่อย

  1. คลำได้ก้อนที่ไม่เจ็บบริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบ
  2. อ่อนเพลีย วิงเวียน
  3. เหงื่อออกช่วงกลางคืน
  4. กระสับกระส่าย
  5. ปวดหลัง ปวดขา ปวดข้อ
  6. ปวดศีรษะ มึนงง
  7. ฟกช้ำง่าย หรือมีเลือดออกง่าย
  8. ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องอืดโต
  9. มีไข้โดยไม่มีสาเหตุอื่น
  10. ตับหรือม้ามโต
  11. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  12. เลือดออกตามไรฟัน หรือมีจุดแดงตามผิวหนัง
  13. ร่างกายอ่อนแอ มีภาวะติดเชื้อบ่อย

โรคมะเร็งในเด็กที่พบบ่อย

มีทั้งมะเร็งชนิดเดียวกับผู้ใหญ่และชนิดที่ต่างจากผู้ใหญ่แต่ส่วนมากชนิดของมะเร็งเกือบทั้งหมดจะเป็นชนิดที่แตกต่างจากในผู้ใหญ่ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งพบมากกว่าร้อยละ 50 ของมะเร็งทั้งหมด โรคมะเร็งสมอง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งต่อมหมวกไต

“หลายปีที่ผ่านมาการรักษามะเร็งในเด็กในประเทศไทยดีขึ้นมาก ผลการรักษาค่อนข้างดี ใกล้เคียงกับในต่างประเทศและเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกันนั้นประเทศไทยก็มีประสิทธิภาพดีกว่า”

วิธีรักษาโรคมะเร็งในเด็ก

โรคมะเร็งในเด็กสามารถรักษาด้วยวิธีเดียวกับการรักษาโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ คือ การผ่าตัด ให้ยาเคมีบำบัด การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก และการฉายแสง แต่การที่แพทย์จะเลือกวิธีการใดนั้น ขึ้นอยู่กับระยะของโรคมะเร็ง การตอบสนองต่อเคมีบำบัดชนิดของโรคมะเร็ง อวัยวะที่เป็นมะเร็ง อายุของเด็ก และสุขภาพร่างกายของเด็ก ซึ่งโรคมะเร็งในเด็กมักจะมีความรุนแรงสูง แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้

วิธีการป้องกันโรคมะเร็งในเด็ก การแพทย์ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็ง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆหรือสารก่อมะเร็ง จากอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว โดยเฉพาะคุณแม่ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น อาหารสำเร็จรูป บุหรี่ และแอลกอฮอล์ แล้วคอยหมั่นสังเกตเด็ก หากพบความผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที

แพทย์หญิงขวัญนุช กล่าวว่า ถึงแม้จะยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งในเด็ก แต่หากตรวจพบเร็ว ก็จะช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตได้กลับไปสู่อ้อมอกครอบครัวตามเดิม ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจดูแลลูก พาไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ รวมถึงให้อยู่ห่างจากปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


60 แคปชั่นน่ารักๆ ภาษาอังกฤษ ใช้เป็นแคปชั่นไอจี แคปชั่นเฟสบุ๊กเก๋ๆ

แคปชั่นน่ารักๆ ภาษาอังกฤษ สั้นๆ

  • When you’re feeling downie, eat a brownie.

เมื่อคุณรู้สึกหดหู่ ให้กินบราวนี่

  • I am not weird. I’m limited edition.

ฉันไม่ได้แปลก ก็แค่ลิมิเต็ดอิดิชั่นเท่านั้นเอ๊งงง

  • Good food = Good mood.

อาหารอร่อย = อารมณ์ดี

  • Confidence level: Selfie with no filter.

ระดับความมั่นใจ: เซลฟี่แบบไม่มีฟิลเตอร์

  • Life is too short for boring hair.

ชีวิตสั้นเกินไปสำหรับผมที่น่าเบื่อ เปลี่ยนทรงผมใหม่ดีกว่า!

  • Shopping is cheaper than therapy.

การไปช้อปปิ้งถูกกว่าไปหาหมอบำบัดความเครียดอีกจ่ะ

  • Short hair, don’t care.

ผมสั้นอย่าได้แคร์

  • When in doubt, wear red lipstick.

เมื่อไหร่ที่รู้สึกกังวล ทาปากแดงไปเลย

  • Messy bun and having fun.

ผมยุ่งๆ และความสนุกสนาน

  • Food before dudes.

อาหารมาก่อนเพื่อนจ่ะ

  • Caffeine Queen.

ราชินีแห่งวงการคาเฟอีน

  • Just chillin’

แค่ทำใจให้สบาย

  • Age is just a hashtag.

อายุเป็นเพียงแฮชแท็ก

  • Life isn’t perfect. But my Hair is!

ชีวิตไม่เพอร์เฟ็กต์แบบได้ แต่ผมฉันต้องเพอร์เฟ็กต์!

  • Worry less, smile more.

กังวลน้อยลง ยิ้มให้มากขึ้น

  • Keep the Smile On!

ยิ้มเข้าไว้!

  • Current status: Single. Taken. Hungry

สถานะปัจจุบัน: โสด. กิน. หิว

  • Believe in your #selfie.

เชื่อมั่นใน #เซลฟี่ ของคุณ

  • Dance first, think later.

เต้นก่อน คิดทีหลัง

  • Donut worry be happy.

ไม่ต้องกังวล มีความสุข (กับการกินโดนัท) เถอะ เลียนเสียง Donut กับ Don’t

แคปชั่นภาษาอังกฤษสั้นๆ น่ารักๆ

  • Half coffee, half human.

ฉันคือครึ่งกาแฟ ครึ่งคน

  • Game of (ice cream) cones.

นี่มันเกมของไอศครีมโคน (ช่วงเวลาของไอศครีม!)

  • In the mood for noods.

อยู่ในอารมณ์ที่อยากกินก๋วยเตี๋ยว

  • Donut kill my vibe.

เลียนเสียงมาจาก Don’t kill my vibe ใช้ลงกับรูปโดนัทได้เลย!

  • I loaf you so much.

ฉันรักเจ้าขนมปังนี้มาก เลียนเสียง loaf กับ love

  • Today’s the best kind of day.

วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด

  • I believe in pink.

ฉันเชื่อในสีชมพู

  • Dogs are my favorite people.

สุนัขคือคนที่ฉันชอบ

  • Their name is spelled, C – U – T – E.

ชื่อเค้าสะกดว่า คิ้ – ว – ท์

  • Keep calm and party on!

ทำใจร่มๆ และปาร์ตี้ต่อไป!

  • Nobody is perfect. I’m nobody!

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และฉันคือคนนั้นแหละ!

  • Weekend ready.

พร้อมสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์แล้วจ้า

  • Picture perfect.

รูปที่สมบูรณ์แบบ

  • Another day, another slay.

อีกหนึ่งวันที่ขี้เกียจ

  • Vacation mode: activated.

โหมดวันหยุด: เปิดใช้งาน

  • Home is wherever the food is.

ทุกที่ที่มีอาหารคือบ้าน

  • Weekend, please don’t leave me.

วันหยุดสุดสัปดาห์ ได้โปรดอย่าทิ้งฉันไป

  • Happiness is a new lipstick.

ความสุขก็คือลิปสติกแท่งใหม่นั่นล่ะ

  • Life isn’t perfect but your outfit can be.

ชีวิตไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ชุดของคุณเป๊ะได้

  • The happiest girls always have the prettiest nails.

ผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดมักจะมีเล็บที่สวยที่สุดเสมอ

แคปชั่นน่ารักๆ ภาษาอังกฤษ สำหรับรูปคู่ รูปแฟน

  • Home is where bae is.

บ้านคือที่ที่มีที่รักอยู่ไง

  • You make me hap-pea.

คุณทำให้ฉันมีความสุข

  • You matter to me.

คุณมีความสำคัญกับฉัน

  • Every moment matters.

ทุกช่วงเวลามีความสำคัญ

  • Always better together.

อยู่ด้วยกันดีกว่าเสมอ

  • I love you a latte.

ฉันรักคุณมาก (เลียนเสียงคำว่า a lot เป็น a latte)

  • I love you, even when Im hungry.

ฉันรักคุณแม้ว่าฉันจะหิวแค่ไหนก็ตาม

  • You make my heart skip a beat.

คุณทำให้หัวใจฉันเต้นรัว

  • Falling in love all over again.

ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า

  • Nothing can replace you!

ไม่มีอะไรมาแทนที่คุณได้!

  • We go together like COPY & PASTE.

เราจะก้าวไปด้วยกัน เหมือนการก้อปและวางนั่นล่ะ

  • My favorite place is inside your hug.

สถานที่โปรดของฉันอยู่ในอ้อมกอดของคุณ

  • One soul, two bodies.

หนึ่งวิญญาณ สองร่าง

  • 50% savage, 50% sweetheart.

50% อาจจะดุหน่อย แต่อีก 50% ก็รักน้า

  • You’re my cutie 🥧

เธอคือแฟนที่น่ารักของฉัน (Cutie pie ใช้เรียกแทนที่รัก น่ารัก)

  • We 🐝-long together.

เราเป็นของกันและกัน (We belong together)

  • The 🍎 of my 👁️ 

คุณคือสิ่งอันเป็นที่รัก แก้วตาดวงใจของฉัน (The apple of my eyes)

  • I love you to the 🌙 and back.

ฉันรักเธอมาก เท่ากับระยะทางจากตรงนี้ไปดวงจันทร์แล้วก็กลับมาอีกรอบเลยล่ะ (I love you to the moon and back)

  • You 💡 up my life.

คุณทำให้ชีวิตฉันสดใส (You light up my life)

  • Every 🍕 me loves every 🍕 you.

ฉันรักทุกอณู ทุกชิ้นส่วนของเธอเลย (Every part of me loves every piece of you)

ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net


หลุมดำ PDPA ถึงเวลาธุรกิจไทยต้องสร้าง ‘อธิปไตยข้อมูล’

  • ค่าปรับจากการละเมิดกฎหมาย PDPA เป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาผ่อนปรนได้สิ้นสุดลงแล้ว
  • องค์กรต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจริงจัง
  • ธุรกิจไทยถูกกระตุ้นให้ยกระดับแนวคิด “อธิปไตยข้อมูล” (Data Sovereignty)
  • การสร้างอำนาจควบคุมข้อมูลด้วยตนเอง, บูรณาการความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ (Security-by-design), และการสร้าง “กำแพงมนุษย์” (Human Firewall) คือ 3 แนวทางสำคัญในการสร้างอธิปไตยข้อมูล
  • การปฏิบัติตาม PDPA และสร้างอธิปไตยข้อมูลไม่ใช่แค่ภาระทางกฎหมาย แต่เป็นโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการสร้างความน่าเชื่อถือและความได้เปรียบการแข่งขัน

จากกรณีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สั่งปรับหน่วยงานรัฐและเอกชนไปแล้วรวมกว่า 21.5 ล้านบาท

สาเหตุจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งรวมถึงการปล่อยข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ไม่แจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพียงพอ

กาตัม รามาจันทรัน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเข้าสู่ตลาด ซิมบร้า (Zimbra) ผู้ให้บริการอีเมลและแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันชั้นนำ วิเคราะห์ว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าช่วงเวลาของการผ่อนปรนได้สิ้นสุดลงแล้ว และองค์กรไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนบุคคลอีกต่อไป

‘ความล้มเหลว’ ที่ไม่ควรมองข้าม

ดังนั้นถึงเวลาที่ผู้บริหารและผู้นำด้านไอทีขององค์กรต้องยกระดับ “อธิปไตยข้อมูล” (Data Sovereignty)” จากแนวคิดเชิงทฤษฎีสู่การปฏิบัติจริง

ธุรกิจไทยควรตระหนักว่า การปฏิบัติตาม PDPA ไม่ใช่แค่เรื่องของฝ่ายกฎหมายหรือไอที แต่เป็นเรื่องของ “กลยุทธ์ระดับองค์กร” เพื่อชิงความได้เปรียบทางธุรกิจเหนือคู่แข่งได้ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินมีค่าที่สุดขององค์กร

สำหรับ บทเรียนจากค่าปรับ 21.5 ล้านบาท นับเป็น ความล้มเหลวที่ไม่ควรมองข้าม ค่าปรับมหาศาลที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่สะท้อนถึงความล้มเหลวในหลายมิติ โดยส่วนใหญ่มาจาก

  • ความบกพร่องด้านมาตรการรักษาความปลอดภัย: ธุรกิจจำนวนมากถูกลงโทษเพราะมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
  • ขาดการกำกับดูแลคู่ค้า: องค์กรต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้ให้บริการภายนอกที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหล
  • ขาดความโปร่งใส: หลายบริษัทถูกปรับเพราะไม่แจ้งการรั่วไหลของข้อมูลต่อ PDPC ภายในเวลาที่กำหนด

จากความท้าทายสู่การลงมือ ‘ปฏิบัติจริง’

กาตัม แนะนำว่า ถึงเวลาแล้วที่องค์กรไทยต้องเปลี่ยนทัศนคติและลงมือทำอย่างจริงจัง ด้วยแนวทางของ PDPC ที่มุ่งสู่การ “Zero Data Breach” ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การปฏิบัติตามรายการตรวจสอบ แต่คือการสร้างระบบที่มีความยืดหยุ่นตั้งแต่รากฐาน ซึ่งมี 3 ขั้นตอนสำคัญที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที

สร้างอำนาจควบคุมข้อมูลด้วยตนเอง (Data Sovereignty): สิ่งนี้คือหัวใจของไอทียุคใหม่ ลดการพึ่งพาบริการคลาวด์จากต่างประเทศที่ทำให้ข้อมูลอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศนั้นๆ

การเลือกใช้โซลูชันแบบ On-premise หรือ Private Cloud จะช่วยให้ข้อมูลยังคงอยู่ในประเทศไทย สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA โดยตรง ช่วยให้มั่นใจว่าองค์กรมีอำนาจในการควบคุมข้อมูลอย่างสมบูรณ์

บูรณาการความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ (Security-by-design): แทนที่จะมองว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องรอง องค์กรควรเลือกใช้โซลูชันที่มีการติดตั้งระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและการควบคุมการเข้าถึงมาตั้งแต่ต้น รวมถึงการแจ้งเตือนเมื่อเกิดการละเมิดข้อมูลแบบอัตโนมัติ ช่วยสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งและตอบสนองต่อการโจมตีที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว

สร้าง “กำแพงมนุษย์” (Human Firewall): เทคโนโลยีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา องค์กรต้องลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัย บุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจคือแนวป้องกันที่สำคัญที่สุดต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์

ฉวยจังหวะสร้าง ‘ความได้เปรียบ’ การแข่งขัน

ผู้บริหารซิมบร้ายังชี้ให้เห็นว่า การปฏิบัติตาม PDPA ไม่ใช่แค่ภาระ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายไปสู่ตลาดโลก เพราะการมีรากฐานด้านข้อมูลที่มั่นคงและสอดคล้องกับกฎหมายในประเทศ จะช่วยสร้าง ความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคุ้มครองข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพันธมิตรและลูกค้าต่างชาติ

นอกจากนี้การลงทุนใน เทคโนโลยีแบบเปิดและโปร่งใส (open-standard technology) จะช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบมาตรการความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง ปรับตัวตามกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง และหลีกเลี่ยงการถูกผูกขาดกับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง

จากกฎหมาย…สู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน การปฏิบัติตาม PDPA อาจดูเหมือนเป็นภาระ แต่แท้จริงแล้ว นี่คือโอกาสในการสร้างความน่าเชื่อถือระดับโลกสำหรับองค์กรธุรกิจ เริ่มต้นด้วยการวางระบบที่โปร่งใส ปลอดภัย และควบคุมได้ เป็น “รากฐานที่มั่นคง” และสามารถขยายธุรกิจไปต่างประเทศได้อย่างมั่นใจ

ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจของทุกธุรกิจอธิปไตยข้อมูลจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงกฎหมายอีกต่อไป แต่เป็นยุทธศาสตร์ด้านไอทีที่ทุกองค์กรไทยควรเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


รู้จัก “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” ผลไม้สีสวย รสหวานฉ่ำและมีประโยชน์

ชมพู่เพชรสายรุ้ง เป็นผลไม้ไทยที่มีเอกลักษณ์ ทั้งสีสันสดใสที่มีทั้งแดง ชมพู และเขียวผสมกัน จนได้ชื่อว่า “สายรุ้ง” รสชาติหวาน กรอบ ฉ่ำน้ำ และยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะทั้งกินสดและนำไปแปรรูป

ลักษณะเด่นของชมพู่เพชรสายรุ้ง

  • ผลมีสีหลายเฉดในลูกเดียว ทั้งเขียวอ่อน ชมพู และแดงเข้ม
  • เนื้อกรอบแน่น รสหวานฉ่ำ ไม่ฝาด
  • มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นเอกลักษณ์

คุณค่าทางโภชนาการ

วิตามินซีสูง

ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และทำให้ผิวพรรณสดใส

ไฟเบอร์จากธรรมชาติ

ช่วยระบบย่อยอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวก

แร่ธาตุที่จำเป็น

มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและหัวใจ

พลังงานต่ำ

เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก กินได้โดยไม่รู้สึกผิด

วิธีเลือกชมพู่เพชรสายรุ้งให้อร่อย

  • เลือกผลที่มีสีสดใส และผิวเรียบตึง
  • ก้านยังเขียวสด ไม่เหี่ยวแห้ง
  • ผลต้องแน่น จับแล้วไม่บุ๋มหรือช้ำ
  • หากอยากได้รสหวานจัด ควรเลือกผลที่มีสีแดงเข้มมากกว่าเขียว

วิธีการกินและแปรรูป

  • กินสดหรือกินคู่กับพริกเกลือ หรือกะปิหวาน
  • นำมาทำสลัดผลไม้เพื่อเพิ่มความกรอบสดชื่น
  • ดองเป็นชมพู่แช่อิ่ม เพิ่มรสชาติแปลกใหม่

ชมพู่เพชรสายรุ้ง ไม่เพียงแต่สวยงามน่ากิน แต่ยังมีคุณค่าโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ กรอบ หวาน ฉ่ำ เหมาะทั้งสำหรับกินสดและทำเมนูอื่น ๆ หากเลือกผลสุกพอดีจะได้รสชาติที่อร่อยที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a55,200.0055,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,568.0054,090.8856,100.00
ทองรูปพรรณ 90%3,211.2048,681.79n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,854.4043,272.70n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,605.6024,340.90n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,248.8018,931.81n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,697.4156,052.74n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9541.2449.8141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า