สาระน่ารู้ประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2568

‘พฤกษา’ รีเซ็ตพอร์ตใหญ่ ถอนลงทุนลดเสี่ยง คืนโฟกัสอสังหาฯ-สุขภาพ

พฤกษา โฮลดิ้ง เดินหน้าปรับโครงสร้างพอร์ตครั้งใหญ่ ถอนลงทุนธุรกอจนอกแกนหลัก หันกลับมาโฟกัสอสังหาริมทรัพย์และสุขภาพ วางรากฐานรายได้ยั่งยืนระยะยาว เริ่มเห็นภาพชัดในปี 2569

บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เลือกเดินเกมอย่างระมัดระวัง ด้วยการรีเซ็ตทิศทางธุรกิจและโครงสร้างพอร์ตการลงทุนครั้งสำคัญ เพื่อนำองค์กรกลับไปยืนบนแกนธุรกิจหลักตามความถนัดและสร้างความแข็งแกร่งได้จริงในระยะยาว

นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม PSH สะท้อนมุมมองว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้กระจายการลงทุนไปในหลายธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อค้นหาโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ แต่เมื่อสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การกลับมาทบทวนพอร์ตจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทรัพยากรและเงินลงทุนถูกใช้ในจุดที่สร้างมูลค่าได้สูงสุด

การตัดสินใจสำคัญ คือ การถอนการลงทุนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศและธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และเฮลธ์แคร์ หนึ่งในดีลสำคัญคือการลดเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund ซึ่งเป็นกองทุนด้านโลจิสติกส์ และขายคืนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ขณะเดียวกันยังมีการทยอยขายสินทรัพย์ขนาดเล็กบางส่วน รวมถึงการลงทุนในกองทุนต่างประเทศและธุรกิจดิจิทัลที่บริษัทไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ เพื่อดึงโฟกัสกลับมาที่แกนหลักขององค์กร

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นรายได้หลักของกลุ่ม นางสาวปัทมาอธิบายว่า พฤกษาเลือกชะลอการซื้อที่ดินใหม่ และหันมาใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือให้เต็มศักยภาพ โดยแลนด์แบงก์เดิมที่มีศักยภาพสูงและมีมูลค่ารวมราว 40,000 ล้านบาท จะถูกนำกลับมาพัฒนาเป็นโครงการใหม่ในช่วงปี 2569 เป็นต้นไป แม้รายได้จากการพัฒนาที่ดินเหล่านี้จะยังไม่สะท้อนทันที เนื่องจากต้องใช้เวลาพัฒนา 2-3 ปี แต่เป็นการวางรากฐานที่ช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมต้นทุนในระยะยาว

ขณะเดียวกัน พฤกษายังปรับพอร์ตสินค้าให้สอดคล้องกับดีมานด์ที่เปลี่ยนไป จากการเน้นทาวน์เฮาส์ ไปสู่บ้านระดับราคาที่สูงขึ้นในกลุ่มตลาดกลางถึงบน โดยช่วงราคาที่บริษัทมองว่าแข็งแกร่งและถนัด คือ บ้านระดับประมาณ 10 ล้านบาทกลาง ซึ่งยังมีกำลังซื้อจริง และสอดคล้องกับจุดแข็งของพฤกษาที่มีโรงงานพรีคาสต์และทีมก่อสร้างภายใน ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้ดี

ในส่วนของคอนโดมิเนียม พฤกษายังเดินหน้าซื้อที่ดินใหม่อย่างเลือกสรร เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีศักยภาพ โดยในปี 2569 บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวมกว่า 10 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมราว 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เล็กลงเมื่อเทียบกับช่วง 5-6 ปีก่อน สะท้อนแนวคิดการเติบโตอย่างระมัดระวังมากกว่าการขยายเชิงปริมาณ

อีกหนึ่งเสาหลักที่พฤกษาวางความหวังไว้ คือ ธุรกิจด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นแหล่งรายได้ประจำในระยะยาว นางสาวปัทมาระบุว่า วิมุตกำลังปรับภาพลักษณ์จากโรงพยาบาลทั่วไปไปสู่การเป็นโรงพยาบาลที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ปัจจุบันมีศูนย์เฉพาะทางด้านปอด หัวใจ และกระดูก และในปี 2569 มีแผนขยายเพิ่มอีกถึง 30 ศูนย์ โดยมุ่งเน้นการดึงแพทย์เฉพาะทางเข้ามา เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพและความชัดเจนด้านบริการ

นอกจากนี้ วิมุตยังขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเมียนมา ควบคู่ไปกับแผนการพัฒนาโรงพยาบาลแห่งใหม่บนที่ดินย่านสุขุมวิท 54 ซึ่งวางแนวคิดเป็นโรงพยาบาลนานาชาติ และอีกแปลงในย่านปิ่นเกล้า อย่างไรก็ดี การลงทุนโรงพยาบาลใหม่จะยังไม่เร่งเดินหน้า จนกว่าผลการดำเนินงานและอัตราการครองเตียงของวิมุต พหลโยธิน จะมีความแข็งแรงและนิ่งเพียงพอ

ด้านธุรกิจรายได้ประจำอื่น ๆ PSH ยังคงถือหุ้น 51% ในโครงการโอเมก้าแวร์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ CapitaLand และพันธมิตร โดยอาคารแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 2 ปี 2569 และถูกวางให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ประจำในอนาคต ขณะเดียวกัน กองทุนด้านเวลเนส (CEL) ก็ถูกนำมาต่อยอดสู่โครงการที่อยู่อาศัยผสานบริการสุขภาพ เช่น Wellness Residence และโครงการ The Reserve Villa สุขุมวิท 89 บ้านเดี่ยวระดับราคา 50-60 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2569

พร้อมกันนี้ นางสาวปัทมาย้ำว่าปีถัดไปจะเป็นปีของการบริหารกระแสเงินสดอย่างเข้มข้น PSH พยายามลดภาระหนี้และดอกเบี้ย โดยเฉพาะหนี้ต่างประเทศที่มีต้นทุนสูง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 2.9% และยังถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีระดับหนี้ต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เอกชนหวังเศรษฐกิจปี69ไม่ทำอสังหาฯสะดุดหลังโค้งท้ายเปิดตัวกระฉูด

  • ช่วงท้ายปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลับมาคึกคัก มีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบจากผู้ประกอบการรายใหญ่
  • แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก แต่อัตราการขายได้เฉลี่ยในเดือนพฤศจิกายนกลับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
  • ภาคเอกชนมีความกังวลว่าหากเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ยังคงซบเซาและปัจจัยการเมืองไม่ชัดเจน อาจส่งผลกระทบให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงได้

ความคาดหวังเศรษฐกิจไทยในปี2569 อยากเห็นการขยายตัวของเศรษฐกิจเติบโต แต่หากซบเซาต่อเนื่อง การเมืองไม่ชัดเจน อาจฉุดตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวได้ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส  สะท้อน เดือนพฤศจิกายน ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างคึกคักอีกครั้ง            

โดยมีจำนวน 43 โครงการ เพิ่มขึ้น 15 โครงการ จากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนหน่วยขาย มูลค่าโครงการ และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งการเปิดขายใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นการเปิดขายในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบเป็นหลัก

โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ลักษณะการเปิดตัวในเดือนนี้เป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่รวม 6,018 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 62,182 ล้านบาทจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 6,018 หน่วย เพิ่มขึ้นจำนวน 613 หน่วย (เดือนตุลาคม 2568 มีจำนวน 5,405 หน่วย) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 11.3%

ในเดือนนี้การเปิดตัวโครงการใหม่พบว่าร้อยละ 94 ยังคงเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และบริษัทในเครือที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด โดยเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวที่ระดับราคาค่อนข้างสูงถึงระดับราคาสูงเป็นหลัก ส่วนอาคารชุดเน้นพัฒนาที่ระดับราคาค่อนข้างถูก ส่วนทาวน์เฮ้าส์เน้นพัฒนาที่ระดับราคาปานกลางค่อนข้างถูกถึงปานกลาง และบ้านแฝดเน้นพัฒนาที่ระดับราคาปานกลางถึงระดับราคาค่อนข้างสูง

เมื่อพิจารณาถึงอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ มีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 10.6% ซึ่งลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 22.8% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการได้สูงสุด คืออาคารชุดที่ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 255 หน่วย-ขายได้แล้ว 76 หน่วย (30%) รองลงมา คือ ทาวน์เฮ้าส์ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท จำนวน 54 หน่วย ขายได้แล้ว 15 หน่วย (28%) และอาคารชุดที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 389 หน่วย ขายได้แล้ว 106 หน่วย (27%)

ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 13 บริษัท คือ บริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัทแอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัทเก้ามงคล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัทบริทาเนีย จำกัด (มหาชน)

บริษัทพราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปและบริษัทในเครืออีกจำนวนหนึ่งเพียง 6% เท่านั้นในแง่จำนวนหน่วย แสดงว่าสินค้าเกือบทั้งหมดพัฒนาโดยบริษัทมหาชน บริษัทเล็กๆ แทบไม่มีที่ยืนในตลาดที่อยู่อาศัย ในขณะที่บริษัทมหาชนก็ต้องพยายามปรับตัวเพื่อขายสินค้าให้ได้ ทั้งนี้ บริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวมากเป็นอันดับหนึ่ง

คาดว่าทั้งปี 2568 จะมีหน่วยขายใหม่เป็น 44,500 หน่วย เท่ากับลดลง 28% จากปีก่อนที่เปิดตัว 61,453 หน่วย และในแง่มูลค่าการพัฒนาในปี 2568 น่าจะเป็นเงิน 317,000 ล้านบาท เท่ากับลดลง 23% จากปีก่อนที่เปิดตัวรวมเป็นเงิน 413,773 ล้านบาท ตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไม่ได้ลดลงฮวบฮาบเช่นที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่อง ตลาดอสังหาฯ ในปี 2569 ก็อาจซบเซาลงได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ธ.ค.“ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.60 บาท/ดอลลาร์ ย้ำความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ธ.ค.2568 ที่ระดับ  31.50 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์

ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets)

 โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้เริ่มชะลอตัวลงบ้าง ท่ามกลางการส่งสัญญาณพร้อมเข้ามาดูแลค่าเงินบาทจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากการที่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันก่อนหน้า

ทาง กนง. มีการเน้นย้ำถึงความกังวลต่อแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทมากขึ้น จากการประชุมครั้งก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด และยังมีการระบุถึงแนวทางการดำเนินมาตรการเพิ่มเติม เพื่อดูแลค่าเงินบาท (ส่วนใหญ่จะเน้นการควบคุมความผันผวนของค่าเงิน มากกว่าที่จะกำหนดทิศทางค่าเงิน

 เช่น จัดการให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงชัดเจน ซึ่งเราเชื่อว่าจะไม่ใช่แนวทางการดูแลค่าเงินของทางธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้

ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) โดยภาพดังกล่าวก็เริ่มสอดคล้องกับการที่เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนในช่วงนี้ 

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา

ทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.43-31.53 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด (ตลาดให้โอกาสราว 44% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026) โดยภาพดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้าอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็พอได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังคงเป็นไปอย่างจำกัด ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังถูกชะลอจากโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนทำจุดต่ำสุดใหม่ของปีนี้ ก่อนที่ล่าสุดราคาน้ำมันดิบจะรีบาวด์สูงขึ้น จากประเด็นทางการสหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตร ไม่ให้สามารถเข้าออกขนส่งน้ำมันไปยังเวเนซุเอลาได้

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางแรงขายบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Broadcom -4.5%, Nvidia -3.8%

ขณะที่บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ และพอช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้าง ส่งผลโดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.16% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.81%  

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways และย่อตัวลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงหนักของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ

ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มเหมืองแร่ ทำให้โดยรวมตลาดหุ้นยุโรปไม่ได้ปรับตัวลงหนัก เหมือนในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่อ สู่ระดับ 4.14% หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด

นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ยังคงกดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ได้ประเมินไว้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น

1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น

อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ แต่หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเพิ่มเติม จนต่ำกว่าระดับ 4.00%

เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่ควรไล่ราคาซื้อเพิ่มเติม เพื่อรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง หรือมี Risk-Reward ที่เหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด

อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็พอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์บ้าง (แต่ไม่มากนัก เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ Underperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ชัดเจน) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.7 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังคงหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยตามแรงขายทำกำไรและจังหวะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แต่ยังสามารถแกว่งตัวเหนือโซน 4,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักฝั่งยุโรป โดยเราประเมินว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 3.75% ตามการชะลอตัวต่อเนื่องของทั้งตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษ

ทว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ตามเดิม แต่อาจยังคงเปิดกว้างต่อการปรับดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ตามพัฒนาการของเศรษฐกิจ 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนพฤศจิกายน ที่อาจสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงเพิ่มเติมของราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ได้ (หากอ้างอิง ข้อมูลการวิเคราะห์ราคาสินค้าและบริการของทาง Bloomberg Economics)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ ทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีภาวะธุรกิจของบรรดาเฟดสาขาต่างๆ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ทางฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นการรับรู้ข้อมูล การรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในช่วงสายของวันเดียวกัน

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ฝ่ายจัดยืนยัน! “ลูกยางอินโดนีเซีย” ได้สิทธิ์ลุยรายการใหญ่หลังคว้าอันดับ 3 ซีเกมส์

ถือเป็นข่าวดีของ ทีมวอลเลย์บอลหญิงอินโดนีเซีย เจ้าของเหรียญทองแดง ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

โดยในรอบชิงอันดับสาม “ทัพนักตบลูกยางสาวอินโดฯ” เป็นฝ่ายเอาชนะ ฟิลิปปินส์ 3-1 เซต (28-26, 13-25, 30-28 และ 26-24) หยิบเหรียญรางวัลมาครองได้สำเร็จ

นอกเหนือจากเหรียญรางวัลแล้ว นายราดิเทีย ฝ่ายเทคนิคกีฬาวอลเลย์บอลซีเกมส์ ได้ออกมายืนยันว่า อินโดนีเซีย จะได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในรายการวอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชีย 2026

ซึ่งสาเหตุที่ อินโดนีเซีย ทีมอันดับ 3 ในศึกวอลเลย์บอลหญิงซีเกมส์ ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันในรายการชิงแชมป์เอเชียแบบอัตโนมัติ เนื่องจาก ทีมไทย และ เวียดนาม สองชาติที่ได้เหรียญทอง และเหรียญเงิน ได้สิทธิ์แข่งขันก่อนหน้าแล้ว

สำหรับ การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์เอเชีย 2026 จะจัดขึ้นที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งทีมแชมป์จะได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ 2028 ที่ลอสแองเจลิส ทันที

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


หมอบอก 4 ข้อดีที่ผู้ชายควร “นั่งฉี่” ถนอมกระเพาะปัสสาวะ ดีต่อคนในบ้านด้วย

ผู้ชายต้องรู้ แพทย์เผย 4 ข้อดีของการ “นั่งฉี่” ช่วยชะลอวัยให้กระเพาะปัสสาวะ

เชื่อว่าผู้ชายหลายคนอาจมองว่าการ “นั่งฉี่” เป็นเรื่องของผู้หญิง หรืออาจดูไม่แมนสมชายชาตรี แต่ความเชื่อนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อแพทย์ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ นพ.ลู่ จินเฮิง (Lu Jinheng) ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าสนใจว่า การเปลี่ยนมานั่งปัสสาวะมีประโยชน์ต่อสุขภาพท่านชายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเรื่องการชะลอความเสื่อมของกระเพาะปัสสาวะ

คุณหมอยังยกตัวอย่างเคสของคุณลุงวัย 62 ปี ที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโตและมักทะเลาะกับภรรยาเรื่องทำห้องน้ำเลอะเทอะ แต่หลังจากลองเปลี่ยนพฤติกรรมมานั่งฉี่ตามคำแนะนำ อาการปัสสาวะลำบากก็ดีขึ้น แถมบ้านยังสงบสุขเพราะห้องน้ำสะอาดไร้กลิ่น

“เมสซี่” ก็ยังนั่งฉี่! เทรนด์สุขภาพที่ผู้ชายทั่วโลกเริ่มทำ

หากใครยังรู้สึกเขินอาย คุณหมอได้ยกตัวอย่างระดับโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi) ซูเปอร์สตาร์นักฟุตบอล ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาเองก็ใช้วิธี “นั่งฉี่” เป็นประจำ นอกจากนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเยอรมนีและญี่ปุ่น การที่ผู้ชายนั่งปัสสาวะถือเป็นเรื่องปกติและเป็นมารยาทที่ดีในการรักษาความสะอาดเมื่อไปบ้านผู้อื่น หากยืนฉี่อาจถูกมองว่าเสียมารยาทได้เลยทีเดียว

4 ข้อดีของการ “นั่งฉี่” ที่ผู้ชายควรรู้

แม้ในชายหนุ่มสุขภาพดี การยืนหรือนั่งอาจไม่ส่งผลต่างกันมากในแง่ของความแรง แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโต หรือเริ่มมีอายุ การนั่งฉี่จะช่วยให้ปัสสาวะได้ง่ายขึ้น ลดอาการฉี่ไม่สุด และนี่คือ 4 ประโยชน์เน้นๆ ที่คุณหมอแนะนำ:

1. ชะลอการเสื่อมของกระเพาะปัสสาวะ

การยืนฉี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะปัสสาวะเกิดความตึงเครียด และต้องใช้แรงเบ่งหน้าท้องช่วย แต่การ “นั่ง” จะช่วยให้หูรูดผ่อนคลายได้ดีกว่า ทำให้ไม่ต้องออกแรงเบ่งมาก ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงานหนักจนเกินไปและไม่เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร (เคล็ดลับ: หากวางเก้าอี้เล็กๆ รองเท้าขณะนั่ง จะช่วยให้ขับถ่ายได้คล่องขึ้นไปอีก)

2. ลดความเสี่ยงติดเชื้อในท่อปัสสาวะ

เนื่องจากผู้ชายมีท่อปัสสาวะที่ยาว การยืนฉี่อาจทำให้มีปัสสาวะตกค้างได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ การนั่งฉี่จะช่วยให้ระบายปัสสาวะได้หมดจดกว่า ลดปริมาณของเสียตกค้างในร่างกาย

3. ป้องกันอุบัติเหตุในผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมักต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนดึก การลุกขึ้นมายืนฉี่ทันที หรือภาวะความดันในกระเพาะปัสสาวะลดลงอย่างรวดเร็วขณะฉี่ อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด วูบ หรือเป็นลม (Micturition Syncope) จนล้มหัวฟาดพื้นได้ การนั่งฉี่จึงปลอดภัยและมั่นคงกว่ามาก

4. หยุดปัญหา “ฉี่กระเด็น” รักษาสุขอนามัยในบ้าน

ข้อนี้สำคัญมาก! ผลการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นพบว่า การยืนฉี่ทำให้เกิดละอองน้ำปัสสาวะกระเด็นได้ไกลถึง 3 เมตร โดยที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แม้จะเล็งแม่นแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสที่ฉี่จะแตกกระจายเป็นฝอย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาฉี่ขัดหรือฉี่สองทาง ซึ่งเป็นต้นตอของกลิ่นเหม็นอับในห้องน้ำ การนั่งฉี่จึงช่วยแก้ปัญหานี้ได้ 100%

สรุปแล้ว การเปลี่ยนมา “นั่งฉี่” ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นวิถีใหม่ของลูกผู้ชายที่รักสุขภาพและรักครอบครัว ใครที่เริ่มมีปัญหาฉี่ไม่สุด หรืออยากช่วยภรรยาดูแลบ้าน ลองเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ดูสิครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ปี 69 สิ้นสุดยุค “AI ขายฝัน” เข้าสู่โหมดประเมินผลเข้มงวด คุ้มค่าลงทุน

  • ปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยุค “AI ขายฝัน” สิ้นสุดลง และเข้าสู่ช่วงเวลาของการประเมินผลอย่างเข้มงวด โดยเน้นความแม่นยำและผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง
  • องค์กรและนักลงทุนจะหันมาตั้งคำถามถึงความคุ้มค่า (ROI) และประสิทธิภาพการผลิตที่แท้จริงของ AI มากขึ้น หลังการลงทุนมหาศาลอาจไม่ให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
  • มุมมองต่อ AI จะเปลี่ยนจากคำถามว่า “ทำได้หรือไม่” ไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึกว่า “ทำได้ดีแค่ไหน ด้วยต้นทุนเท่าไหร่ และใครคือผู้ได้รับประโยชน์”

จากการลงทุนมหาศาลและการขับเคลื่อนทางเทคโนโลยีอย่างบ้าคลั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่สุด นั่นคือ ปี 2026 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการประเมินผลอย่างเข้มงวด (Era of AI Evaluation) ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ความแม่นยำต้องมาก่อนความตื่นเต้น” (Rigor over Hype)

คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจากสถาบัน Stanford HAI (Human-Centered AI) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ออกรายงานการคาดการณ์ประจำปี

โดยมีสาระสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า โลกกำลังเปลี่ยนจากคำถามที่ว่า “AI ทำได้ไหม?” ไปสู่คำถามที่เจาะลึกในเชิงเศรษฐศาสตร์และปฏิบัติการมากขึ้น นั่นคือ “ทำได้ดีแค่ไหน, ด้วยต้นทุนเท่าไหร่, และผลประโยชน์ตกอยู่กับใคร?”

รายงานเชิงลึกฉบับนี้ได้รวบรวมมุมมองของบุคคลสำคัญ 8 ท่าน เพื่อถอดรหัสผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และการจ้างงาน:

1. ภาวะฟองสบู่และการแสวงหา ROI: จุดจบของ “AI ขายฝัน”

เจมส์ แลนเดย์ (James Landay) ผู้อำนวยการร่วม Stanford HAI และศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ได้ส่งสัญญาณเตือนที่หนักแน่นเกี่ยวกับกระแส AI ในปี 2026 โดยยืนยันว่า:

  • ไม่มี AGI ในปีนี้: การคาดหวังเรื่องปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) จะยังคงเป็นเพียงความฝันระยะไกล ซึ่งจะทำให้ตลาดหันกลับมาประเมินความสามารถของ AI ปัจจุบันอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น
  • การตั้งคำถามต่อผลิตภาพ: บริษัทต่าง ๆ จะเริ่มเปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง โดยยอมรับว่า AI ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพการผลิต (Productivity Increases) ในวงกว้าง ยกเว้นในพื้นที่ที่จำกัดมาก เช่น การช่วยเขียนโค้ด (Programming) และศูนย์บริการทางโทรศัพท์ (Call Centers)
  • ฟองสบู่การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์: การลงทุนในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตชิปและผู้ให้บริการโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) มีความเสี่ยงที่จะเป็น “ฟองสบู่ที่เก็งกำไรมาก” (Speculative Bubble) เพราะถึงจุดหนึ่ง ทุนสำรองของโลกจะไม่สามารถถูกผูกไว้กับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเดียวมากเกินไป

อองเชล คริสติน (Angèle Christin) Senior Fellow ของ HAI เสริมมุมมองนี้ โดยระบุว่า โฆษณาที่เน้นความบ้าคลั่งของ AI จะถูกแทนที่ด้วย “ความสมจริงที่มากขึ้น” (More Realism) องค์กรต้องยอมรับว่า AI เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับบางงาน แต่ก็สร้างปัญหาและลดทักษะ (Deskilling) ในบางกรณี ผลกระทบโดยรวมของ AI อาจอยู่ในระดับ “ปานกลาง” เท่านั้น ซึ่งจะนำไปสู่การยุบตัวของความคาดหวัง (Deflating the AI Bubble) และการเน้นการศึกษาเชิงประจักษ์ว่า AI ทำอะไรได้และไม่ได้ 

2. อำนาจอธิปไตย AI (AI Sovereignty): สนามรบทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่

เจมส์ แลนเดย์ (James Landay) ยังเน้นย้ำถึงประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยคาดว่า “อำนาจอธิปไตย AI” จะได้รับความสนใจอย่างมาก (Gain Huge Steam) เนื่องจากรัฐบาลและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกพยายามแสดงความเป็นอิสระจากผู้ให้บริการ AI รายใหญ่ และระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกา

แนวคิดนี้มีหลายรูปแบบ:

  • การสร้างโมเดลแห่งชาติ: การสร้างโมเดล LLM ขนาดใหญ่ที่เป็นของประเทศตนเอง
  • การควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน: การรัน LLM ของบริษัทต่างชาติบนหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ภายในประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกส่งออกไปนอกพรมแดน

การเคลื่อนไหวนี้จะส่งผลให้องค์กรระดับโลก เช่น NVIDIA และ OpenAI ต้องเร่งเดินทางเยือนประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ด้านอำนาจอธิปไตยข้อมูล

3. การวัดผลแบบเรียลไทม์: AI Economic Dashboards

อีริก ไบรน์จูล์ฟสัน (Erik Brynjolfsson) ผู้อำนวยการ Digital Economy Lab และ Senior Fellow ของ HAI ชี้ว่า การถกเถียงเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจของ AI จะสิ้นสุดลง และเข้าสู่ยุคของการวัดผลอย่างระมัดระวัง

  • แดชบอร์ดเศรษฐกิจ AI: จะมีการเกิดขึ้นของ “AI Economic Dashboards” หรือกระดานวัดผลเศรษฐกิจ AI ที่มีความถี่สูง (High-frequency) ทำหน้าที่เหมือนบัญชีประชาชาติแบบเรียลไทม์ โดยจะติดตาม:
    • AI กำลังเพิ่มผลิตภาพที่งานหรืออาชีพใด
    • AI กำลังแทนที่แรงงาน (Displacing Workers) หรือสร้างงานใหม่ในส่วนใด
  • การตัดสินใจเชิงนโยบาย: ข้อมูลที่อัปเดตรายเดือนเหล่านี้จะถูกใช้โดยผู้บริหารในการวางแผนธุรกิจ และผู้กำหนดนโยบายในการกำหนดเป้าหมายการฝึกอบรมแรงงาน (Training), ตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Safety Nets), และนโยบายการสร้างนวัตกรรม

การเกิดขึ้นของมาตรวัดเหล่านี้จะเปลี่ยนการถกเถียงจากเรื่องนามธรรมไปสู่การจัดการเชิงตัวเลขที่ชัดเจน

4. AI ในกฎหมาย: เน้นความแม่นยำและความเสี่ยง

จูเลียน นีอาร์โก (Julian Nyarko) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและ Associate Director ของ HAI ระบุว่า ภาคบริการทางกฎหมายจะมุ่งเน้นที่ “ความแม่นยำและ ROI”

  • เกณฑ์มาตรฐานใหม่: บริษัทกฎหมายและศาลจะหยุดถามว่า “AI สามารถเขียนได้ไหม” แต่จะถามว่า “ทำได้ดีแค่ไหน, ในเรื่องใด, และมีความเสี่ยงอะไร?” การประเมินผลจะกลายเป็นมาตรฐาน (Table Stakes) โดยผูกประสิทธิภาพของโมเดลเข้ากับผลลัพธ์ทางกฎหมายที่จับต้องได้ เช่น:
    • ความถูกต้อง
    • ความสมบูรณ์ของการอ้างอิง (Citation Integrity)
    • ความเสี่ยงในการเปิดเผยสิทธิพิเศษ (Privilege Exposure)
  • การให้เหตุผลที่ซับซ้อน: AI จะเริ่มรับงานที่ยากขึ้นกว่าการร่างเอกสารเบื้องต้น โดยจะมุ่งสู่ การให้เหตุผลแบบหลายเอกสาร (Multi-Document Reasoning) เช่น การสังเคราะห์ข้อเท็จจริง และการแมปข้อโต้แย้ง

5. การแพทย์: สู่ “ช่วงเวลา ChatGPT” และการควบคุมข้อมูล

การแพทย์เป็นอีกภาคส่วนที่ AI จะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านการกำกับดูแล

  • ช่วงเวลา ChatGPT ทางการแพทย์: เคอร์ติส แลงลอตซ์ (Curtis Langlotz) Senior Fellow ของ HAI คาดการณ์การมาถึงของ “ช่วงเวลา ChatGPT” สำหรับ AI ในการแพทย์ ซึ่งหมายถึงการเกิดขึ้นของ Biomedical Foundation Models ที่ได้รับการฝึกฝนบนชุดข้อมูลสุขภาพคุณภาพสูงขนาดใหญ่ด้วยเทคนิค Self-Supervised Learning ซึ่งจะลดต้นทุนการฝึกโมเดลและเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคหายาก
  • AI ข้ามองค์กร: นิกัม ชาห์ (Nigam Shah) Chief Data Scientist ของ Stanford Health Care คาดการณ์ว่า ผู้สร้าง Generative AI จะเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับวงจรการตัดสินใจที่ยาวนานของระบบสุขภาพ จึงจะเริ่มหันไปหาผู้ใช้ปลายทางโดยตรง ผ่านแอปพลิเคชันที่ “ฟรี” ซึ่งจะทำให้ ความจำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องรู้พื้นฐานที่ AI ใช้ในการให้ความช่วยเหลือจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง

6. การเปิดกล่องดำ (Black Box) เพื่อการค้นพบทางวิทยาศาสตร์

รัส อัลท์แมน (Russ Altman) ศาสตราจารย์และ Senior Fellow ของ HAI ชี้ว่า ในทางวิทยาศาสตร์ การทำนายผลที่แม่นยำอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมี ข้อมูลเชิงลึกว่าโมเดลได้ข้อสรุปนั้นมาได้อย่างไร

  • โบราณคดีโครงข่ายประสาทเทียม: เขาคาดหวังการมุ่งเน้นที่ “การตรวจสอบประวัติความเป็นมาของโครงข่ายประสาทเทียมที่มีประสิทธิภาพสูง” (Archeology of the high-performing neural nets) เพื่อทำความเข้าใจกลไกภายในของ AI (Attention Map) ซึ่งเป็น “พันธกิจที่แน่นอนในการเปิดกล่องดำของ AI” เพื่อประโยชน์ของการวิจัย
  • โมเดล Fusion: จะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าโมเดลแบบ Early Fusion (รวมข้อมูลทุกชนิดเข้าด้วยกันแต่แรก) หรือ Late Fusion (สร้างโมเดลแยกตามรูปแบบข้อมูลแล้วรวมเข้าด้วยกัน) เป็นแนวทางที่ดีกว่าสำหรับการสร้างโมเดลรากฐานทางวิทยาศาสตร์

7. จุดสิ้นสุดของข้อมูลขนาดใหญ่ที่ไร้คุณภาพ

เจมส์ แลนเดย์ (James Landay) ยังคาดการณ์ปรากฏการณ์ Asymptoting หรือการเข้าใกล้ค่าจำกัดของขนาดโมเดลและข้อมูล โดยระบุว่า:

  • ตลาดกำลังถึงจุด “Peak Data” เนื่องจากข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตคุณภาพต่ำลงและเริ่มหมดลง
  • นักพัฒนาจะเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับ การดูแลจัดการชุดข้อมูลขนาดเล็กที่มีคุณภาพสูง (Curating Really Good Datasets) และสร้างโมเดลที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นบนข้อมูลที่มีขนาดจำกัดแต่มีความเฉพาะเจาะจง

8. การสร้าง AI เพื่อประโยชน์ระยะยาวของมนุษย์

ดิยี หยาง (Diyi Yang) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ เน้นย้ำว่า AI ต้องก้าวข้ามจากการสร้างความพึงพอใจในระยะสั้น

  • การต่อต้านการประจบประแจง: นักพัฒนาต้องหาทางแก้ไขปัญหา “ความชอบประจบประแจง” (Sycophancy) ที่แสดงออกในโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการคิดเชิงวิพากษ์และทักษะที่จำเป็นของผู้ใช้
  • การเพิ่มขีดความสามารถ: ระบบ AI ควรถูกออกแบบมาตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อ “เพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์” (Augment Human Capabilities) ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มประสิทธิภาพ หรือตอบสนองความต้องการในระยะสั้นของผู้ใช้เท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เขียน Email สมัครงานภาษาอังกฤษ ให้ปัง! EngDuo แจกสูตรลัดเรียกตัวสัมภาษณ์ทันที

องค์ประกอบสำคัญของอีเมลสมัครงานที่ HR มองหา

การเขียนอีเมลสมัครงานไม่ใช่แค่การแนบไฟล์แล้วกดส่ง แต่ต้องมีโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความใส่ใจ

1. Subject Line (หัวข้ออีเมล) ประตูด่านแรกที่ห้ามพลาด

หัวข้ออีเมลต้องชัดเจน ระบุตำแหน่งและชื่อของคุณให้ครบถ้วน เพื่อให้ HR ค้นหาได้ง่าย

  • แบบที่ผิด: Job Application, Resume, Hello
  • แบบที่ถูกต้อง: Application for [Position Name] – [Your Full Name]
    • ตัวอย่าง: Application for Digital Marketing Manager – Somsri Jaidee

2. Salutation (คำขึ้นต้น) แสดงความเคารพ

พยายามหาชื่อผู้รับผิดชอบ (Hiring Manager) ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ให้ใช้คำกลางๆ ที่สุภาพ

  • ดีที่สุด: Dear Mr./Ms. [Last Name],
  • ทางเลือก: Dear Hiring Manager, หรือ Dear Talent Acquisition Team,

3. The Body (เนื้อหา) สั้น กระชับ โดนใจ

แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลัก:

  • ส่วนที่ 1: บอกว่าสมัครตำแหน่งอะไร และรู้ข่าวมาจากไหน
  • ส่วนที่ 2 (The Hook): ขายของ! สรุปสั้นๆ ว่าทำไมคุณถึงเหมาะกับงานนี้ (ดึงจุดเด่นจาก Resume มา 1-2 ข้อ)
  • ส่วนที่ 3: บอกว่าแนบเอกสารอะไรมาบ้าง (Resume, Portfolio)

4. Call to Action & Sign-off (การกระตุ้นและลงท้าย)

แสดงความกระตือรือร้นว่าอยากเข้าสัมภาษณ์ และลงท้ายอย่างมืออาชีพ

  • ประโยคปิดท้าย: “I look forward to the opportunity to discuss how my skills can contribute to your team.”
  • คำลงท้าย: Best regards, หรือ Sincerely, ตามด้วยชื่อและเบอร์โทรของคุณ

แจก Template: เขียน email สมัครงานภาษาอังกฤษ (Copy ไปใช้ได้เลย)

สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มยังไง ลองนำโครงสร้างนี้ไปปรับแก้ข้อมูลเป็นของตัวเองดูครับ

Subject: Application for [Position Name] – [Your Name]

Dear Hiring Manager,

I am writing to express my interest in the [Position Name] position at [Company Name], as advertised on [Where you found the job]. With my background in [Your Field/Key Skill], I am confident that I can contribute to your team’s success.

In my previous role at [Previous Company], I successfully [Mention 1 Major Achievement, e.g., increased sales by 20%]. I have attached my resume and portfolio for your review.

Thank you for your time and consideration. I look forward to hearing from you soon.

Best regards,

[Your Name] [Your Phone Number] [Your LinkedIn Profile URL]

ตาราง Checklist: สิ่งที่ “ต้องทำ” vs “ห้ามทำ” (Do’s & Don’ts)

ก่อนกดปุ่ม Send ลองเช็กตารางนี้ดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอีเมลของคุณสมบูรณ์แบบที่สุด

สิ่งที่ควรทำ (Do’s)สิ่งที่ห้ามทำ (Don’ts)
ตั้งชื่อไฟล์ให้ชัดเจน (เช่น Resume_Somsri.pdf)ตั้งชื่อไฟล์มั่วๆ (เช่น Resume_Final_v2_new.pdf)
ใช้ไฟล์ PDF เสมอ เพื่อป้องกันไฟล์เพี้ยนส่งไฟล์ Word ที่การจัดหน้าอาจเคลื่อนได้
ตรวจสอบตัวสะกดและไวยากรณ์ อย่างละเอียดพิมพ์ผิด พิมพ์ตก หรือใช้ภาษาวิบัติ
ใช้ Email Address ที่ดูเป็นทางการ (Firstname.Lastname@…)ใช้ชื่ออีเมลเล่นๆ (เช่น catlover99@…, boyza@…)
กล่าวถึงชื่อบริษัทให้ถูกต้อง (ระวัง Copy-Paste แล้วลืมแก้)ส่งอีเมลหว่านโดยไม่เปลี่ยนชื่อบริษัท (HR ดูออกนะ!)

เทคนิคการตั้งชื่อไฟล์แนบ (Attachments) ที่หลายคนมองข้าม

เชื่อไหมครับว่าชื่อไฟล์ Resume บอกนิสัยการทำงานของคุณได้? การตั้งชื่อไฟล์อย่างเป็นระบบ เช่น Resume_John_Doe_Marketing.pdf แสดงถึงความละเอียดรอบคอบ (Attention to Detail) ในขณะที่ชื่อไฟล์อย่าง Document1.pdf หรือ dsfsdf.pdf อาจทำให้ HR รู้สึกว่าคุณไม่ใส่ใจหรือทำงานไม่เรียบร้อย และเสี่ยงที่ไฟล์จะหายไปในกองเอกสารของเขาด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


5 เครื่องดื่ม “ต้องห้าม” หลังตื่นนอนตอนเช้า แม้จะกระหายแค่ไหนก็ห้ามดื่ม!

การดื่มน้ำทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้าเป็นนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยเติมความชุ่มชื้นหลังจากร่างกายขาดน้ำมาตลอดทั้งคืน อย่างไรก็ตาม หมอพื้นบ้าน (Lương y) เหงียน เบียน ถวี ได้ออกมาเตือนว่า ไม่ใช่ “น้ำ” ทุกประเภทที่จะส่งผลดีต่อร่างกายในช่วงเวลาที่ท้องว่าง และนี่คือ 5 เครื่องดื่มที่คุณควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

1. น้ำชา (โดยเฉพาะชาเข้มข้น)

หลายคนเลือกจิบชาเข้มๆ เพื่อให้รู้สึกตื่นตัว แต่การดื่มชาขณะท้องว่างไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เนื่องจากในชามี คาเฟอีน (Caffeine) และ แทนนิน (Tannin) ที่กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการมวนท้อง คลื่นไส้ หรือปวดท้องเสียดๆ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว นิสัยนี้อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น

คำแนะนำ: ควรดื่มชาหลังรับประทานอาหารเช้าไปแล้วอย่างน้อย 30 – 60 นาที

2. น้ำน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งถูกขนานนามว่าเป็น “ยาอายุวัฒนะ” แต่การดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งทันทีที่ตื่นนอนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและตกลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้รู้สึกเพลียหรือเวียนหัว นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยอาหารที่ยังไม่พร้อมทำงานเกิดอาการปั่นป่วนได้

3. น้ำผลไม้คั้น

น้ำผลไม้มีวิตามินสูง แต่ก็เต็มไปด้วยกรดอินทรีย์และน้ำตาล (ฟรุกโตส) หากดื่มตอนท้องว่าง กรดจะไปกัดกร่อนหรือระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร เสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อนหรือปวดลิ้นปี่ อีกทั้งการขาดกากใยยังทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเร็วเกินไปจนทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าในเวลาต่อมา

4. น้ำอัดลมและเครื่องดื่มรสหวาน

นี่คือสิ่งที่ห้ามดื่มโดยเด็ดขาด การดื่มน้ำอัดลมตอนเช้าเปรียบเสมือนการ “ช็อก” ร่างกายด้วยน้ำตาลและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลให้ท้องอืด อึดอัด และในระยะยาวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจอย่างรุนแรง

5. น้ำเย็นจัด

ขณะที่ร่างกายเพิ่งตื่น อุณหภูมิและการไหลเวียนเลือดยังไม่คงที่ การดื่มน้ำเย็นจัดจะทำให้หลอดเลือดหดตัวกะทันหัน ส่งผลต่อระบบขับถ่ายและอาจทำให้ปวดท้องหรือท้องเสียได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุควรระวังเป็นพิเศษเพราะอาจส่งผลต่อความดันโลหิตชั่วคราว

ตื่นเช้ามาดื่มอะไรดีที่สุด?

คำตอบที่เรียบง่ายแต่ได้ผลที่สุดคือ “น้ำอุ่น” หรือน้ำอุณหภูมิห้อง โดยแนะนำให้ค่อยๆ จิบทีละนิด เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และปลุกอวัยวะภายในให้ตื่นตัวอย่างอ่อนโยน หลังจากนั้นประมาณ 20-30 นาที จึงค่อยเริ่มรับประทานอาหารเช้า

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/12/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a64,450.0064,550.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,166.0063,156.5665,350.00
ทองรูปพรรณ 90%3,749.4056,840.90n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,332.8050,525.25n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,874.7028,420.45n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,458.1022,104.80n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,317.1065,447.24n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/12/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.7831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6429.9429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า