ทุนไทย-จีนผนึกกำลัง ปักหมุด “ในทอน” สร้างอาณาจักรหรูภูเก็ต

“กลุ่มมโนธรรมรักษา” เร่งปักหมุดพัฒนาอาณาจักรอสังหาฯ หาดในทอน ภูเก็ต หลังผนึกทุนจีนขยายโครงการคอนโดฯ-วิลล่าหรู ดึงเชน WYNDHAM เสริมความเชื่อมั่น ลุยเปิดโครงการใหม่กว่า 1,000 ล้านบาทใน 2 ปี หวังปั้น ‘มินิลากูนา’ จุดหมายใหม่ของนักลงทุนโลก
จากธุรกิจครอบครัวสู่อาณาจักรอสังหาฯพันล้าน
ในวันที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตกำลังร้อนแรงที่สุดในรอบหลายปี “กลุ่มมโนธรรมรักษา” กลายเป็นชื่อที่นักลงทุนในและต่างประเทศเริ่มกล่าวถึงบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในแวดวงที่จับตาการเติบโตของทำเล “หาดในทอน” ชายฝั่งเงียบสงบแต่ทรงพลังที่กำลังถูกปักหมุดใหม่ของนักพัฒนาอสังหาฯ
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา “ทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา” ผู้ก่อตั้งกลุ่มมโนธรรมรักษา ได้ทยอยสะสมที่ดินย่านหาดในทอนทั้งในรูปแบบการซื้อและเช่าระยะยาวจนกลายเป็นแลนด์ลอร์ดรายใหญ่ ถือครองที่ดินรวมกว่า 80 ไร่ ขณะที่ทายาทรุ่นสอง “วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา” รองประธานบริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด กำลังต่อยอดความฝันครั้งใหญ่ สร้างให้ที่ดินผืนนี้กลายเป็น “มินิลากูนา” แห่งใหม่ของภูเก็ต
จิ๊กซอว์ไทย-จีน พลิกหาดในทอนสู่ “จุดหมายใหม่” ของเศรษฐีโลก
หัวใจสำคัญของการเติบโต ไม่ได้อยู่แค่ที่ทำเลหรือแนวคิด แต่คือ “พาร์ตเนอร์” ที่ใช่ ! การจับมือกับกลุ่มทุนจีน “Bestart International Holdings” ที่มีสำนักงานในสิงคโปร์ ช่วยเร่งสปีดการพัฒนา และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ

ภายใต้แบรนด์ “Seaheaven Phuket Naithon” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ถูกทยอยเปิดตัวเป็นเฟสอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 ทั้งหมดมูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันเฟสที่ 1 และ 2 ขายเกือบหมดแล้ว และเฟส 3 มียอดจองกว่า 69% โดยมีจุดขายชัดเจนคือ การันตีผลตอบแทน 7% ต่อปี พร้อมดึงเชนระดับโลกอย่าง “WYNDHAM” เข้ามาบริหารจัดการโครงการ
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน เศรษฐีรัสเซียและยุโรปตะวันออกที่ต้องการบ้านพักตากอากาศปลอดภัยหลังวิกฤตสงคราม รวมถึงนักลงทุนจากจีน อินเดีย และสแกนดิเนเวีย ที่มองหาผลตอบแทนระยะยาวและสิทธิในการพักอาศัยบางช่วงของปี
ในทอนทำเลอสังหาฯดาวรุ่งบนเกาะภูเก็ต
จากข้อมูลของ Colliers Thailand พบว่าทำเล “หาดในทอน” ยังคงมีอุปทานคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศต่ำมาก คิดเป็นเพียง 2-3% ของตลาดภูเก็ตทั้งหมด ท่ามกลางการหลั่งไหลของอุปทานใหม่ทั่วทั้งจังหวัดที่มียูนิตเปิดขายสูงถึง 20,000 ยูนิตในช่วงสองปีที่ผ่านมา
นอกจากศักยภาพด้านที่ดินและความสงบเงียบย่านชายฝั่งแล้ว จุดแข็งที่มองไม่เห็นคือ “ช่องทางการขาย”วีระวิทย์ย้ำว่า 70% ของตลาดอสังหาฯภูเก็ตต้องอาศัย “เอเยนต์” ที่ไว้วางใจแบรนด์และคุณภาพของโครงการ ซึ่ง “ซีเฮฟเว่น” ผ่านด่านนั้นมาแล้ว พร้อมด้วยโครงการที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ก่อสร้างตามมาตรฐานแผ่นดินไหวถึง 7.7 แมกนิจูด

ขยายพอร์ตครบวงจรจากวิลล่าหรูสู่มิกซ์ยูสใน 2 ปี
เมื่อ Seaheaven กลายเป็นโปรเจกต์แม่เหล็กที่ทำให้เศรษฐีทั่วโลกหันมามองในทอน “กลุ่มมโนธรรมรักษา” เดินหน้ารุกต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 นี้ เตรียมเปิดตัว “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” วิลล่าหรู 44 ยูนิต ใกล้สนามบิน บนพื้นที่ 15 ไร่ มูลค่า 800 ล้านบาท และในปี 2569 วางแผนเปิดโครงการมิกซ์ยูส “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) คอนโด 7 ชั้น มูลค่าอีก 450 ล้านบาท
ทั้งหมดล้วนเป็นการพัฒนา 100% โดยกลุ่มมโนธรรมรักษา ไม่ต้องพึ่งทุนร่วมในระยะนี้ หลังมีฐานทุนมั่นคง และประสบการณ์การพัฒนาโครงการตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
“มินิลากูนา” รุกตลาดBlue Ocean
แม้ภูเก็ตจะเต็มไปด้วยยักษ์ใหญ่ในตลาดอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นโครงการระดับโลกอย่าง ลากูน่า ภูเก็ต ที่ย่านบางเทา แต่กลุ่มมโนธรรมรักษามั่นใจว่าความได้เปรียบของตนอยู่ที่ “การไม่เล่นใน Red Ocean”
“ทำเลคือหัวใจ และหาดในทอนคือเพชรเม็ดงามที่ยังไม่ถูกเจียระไนเต็มที่” นายวีระวิทย์ กล่าว พร้อมย้ำว่า อาณาจักรทั้ง 80 ไร่แห่งนี้ จะค่อย ๆ เติบโตเป็น
“ไทย-จีน” โมเดลลงทุนอสังหาฯ ยุคใหม่
กรณีศึกษาของ “กลุ่มมโนธรรมรักษา” และ “Bestart” คือบทพิสูจน์รูปแบบความร่วมมือระหว่างทุนท้องถิ่นกับทุนจีน ที่ไม่ได้จบแค่การใส่เงิน แต่ยังผสานการบริหารแบบ Local Insight กับเงินทุนและเครือข่ายขายของต่างประเทศ โมเดลที่หลายกลุ่มอสังหาฯในไทยเริ่มหันมาศึกษา
การเปิดประเทศและการเร่งเปิดเมืองในยุคหลังโควิด ทำให้ตลาดอสังหาฯระดับลักชัวรีในจังหวัดท่องเที่ยว กลายเป็น “สนามลงทุน” ที่จีนไม่เพียงแค่มองหา “กำไร” แต่ยังมองหา “พาร์ตเนอร์ที่เชื่อถือได้” และภูเก็ต กำลังกลายเป็นจุดบรรจบของเป้าหมาย
การเติบโตของ “ซีเฮฟเว่น” ในหาดในทอน อาจเป็นมากกว่าแค่โปรเจกต์อสังหาฯ แต่คือสัญญาณของ “การเปลี่ยนขั้ว” ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดท่องเที่ยว โดยมี “ทุนไทย-ทุนจีน” เป็นพลังขับเคลื่อนหลัก และมีเศรษฐีทั่วโลกเป็นผู้เล่นใหม่ในกระดานเกมนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
จับตา!ตลาดออฟฟิศปี68แข่งเดือดซัพพลายทะลัก5.2แสนตร.ม.

สมรภูมิตออฟฟิศปี68แข่งเดือด!หลังปริมาณพื้นที่สำนักงานใหม่เข้าสู่ตลาดมากสุดราว5.2แสนตารางเมตรในปีนี้ กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเจ้าของอาคารต้องปรับกลยุทธ์รับมือ
แม้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะต้องเผชิญกับแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวจากแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่เริ่มแสดงผลกระทบผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก แต่ “ตลาดอาคารสำนักงาน” กลับสะท้อนภาพที่ซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งกว่า ด้วยปริมาณพื้นที่เช่าที่เพิ่มขึ้น การปรับตัวของผู้เล่นรายใหญ่ และการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เช่าในยุคใหม่
ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ หุ้นส่วนและกรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานกรุงเทพฯ ในไตรมาส 1/2568 พื้นที่สำนักงานรวมในกรุงเทพฯ ขยายตัวแตะ 6.314 ล้านตารางเมตร จากการเปิดตัวโครงการ “WorkLab” บนถนนพระราม 4 ขณะเดียวกัน อาคารเก่าเริ่มปรับปรุงเข้าสู่มาตรฐาน “อาคารเขียว” ทำให้พื้นที่อาคารเขียวเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านตารางเมตร หรือประมาณ 33% ของอุปทานทั้งหมด
สิ่งที่น่าสังเกตคือ “การดูดซับสุทธิ” ของพื้นที่สำนักงานยังเป็นบวกที่ 31,000 ตารางเมตร โดยเฉพาะพื้นที่อาคารเขียวซึ่งเป็นผู้นำตลาด มีการดูดซับสุทธิมากถึง 51,000 ตารางเมตร ในขณะที่อาคารทั่วไปกลับติดลบที่ 17,000 ตารางเมตร สะท้อนการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนของความต้องการ
ปีแห่งจุดเปลี่ยนอุปทานใหม่กำลังมา
ปี 2568 กำลังจะกลายเป็น “ปีทอง” ของอุปทานใหม่ ด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมากถึง 835,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะมีพื้นที่ใหม่เข้าสู่ตลาดสูงถึง 524,000 ตารางเมตร ภายในปีนี้ โครงการสำคัญ เช่น GR9 แยกพระราม 9 และ The Central พหลโยธิน ที่พัฒนาโดยเซ็นทรัลพัฒนา กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับผู้ประกอบการรายเดิม โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ยกระดับอาคารให้สอดคล้องกับความต้องการใหม่ของผู้เช่า
อัตราการเช่าโดยรวมปรับตัวขึ้น 0.5 %มาอยู่ที่ 77.5% ฟื้นตัวเป็นไตรมาสที่2ติดต่อกัน โดย อาคารเกรด A กลับมาโดดเด่นด้วยอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้น 2.1%สู่ระดับใกล้ก่อนโควิด ในทางตรงกันข้าม เกรด B ยังเผชิญความท้าทาย โดยมีอัตราการเช่าเพียง 76% ส่วน เกรด C แม้จะไม่โตแต่ยัง”ทรงตัว”ที่ 80% ซึ่งอาจสะท้อนถึงราคาที่เข้าถึงได้ แต่ต้องจับตาความสามารถในการปรับตัวในระยะยาว
ค่าเช่าขยับขึ้นแต่เกมไม่ได้อยู่แค่ “ราคา”
ค่าเช่าตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 845 บาทต่อตารางเมตร/เดือน โดยค่าเช่าเกรด A แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 1,248 บาท/ตร.ม./เดือน แต่สิ่งที่ “เปลี่ยนเกม” ไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็น “ความคาดหวังใหม่” ของผู้เช่า
หลังเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ความปลอดภัยของอาคารกลายเป็นประเด็นสำคัญ ผู้เช่าเริ่มพิจารณาความพร้อมของระบบฉุกเฉิน การซ่อมแซม ความยืดหยุ่น และการบริการจากเจ้าของอาคารเป็นหลัก’ไม่ใช่’แค่ความสวยงามของล็อบบี้หรือวิวบนชั้นสูงอีกต่อไป
พลวัตตามทำเลCBD ยังแข็งแรง
ย่าน สีลม–สาทร–พระราม 4 เติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม CBD ทั้งด้านค่าเช่า (+0.4%) และอัตราการเช่า (+1.9 จุด) นานา–อโศก–พร้อมพงษ์ ค่าเช่าขยับขึ้นเล็กน้อย แต่การเช่าชะลอเล็กน้อยเช่นกัน ส่วนเขตนอก CBD อย่าง บางนา–ศรีนครินทร์ น่าจับตา เพราะอัตราการเช่าเพิ่มขึ้น 1.4%สูงที่สุดในกลุ่ม
แนวโน้มผู้เช่าฉลาดขึ้น เจ้าของอาคารต้องปรับเกมท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และการกลับมาของแนวคิด “ภาษีนำเข้ายุคทรัมป์” เจ้าของอาคารต้องเผชิญกับผู้เช่าที่มีความต้องการสูงขึ้นและระมัดระวังมากขึ้น
“เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในลำดับความสำคัญของผู้เช่า โดยประสบการณ์ของผู้เช่า ความสามารถในการบริหารจัดการภาวะวิกฤต และความพร้อมของอาคาร กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่แพ้ทำเลที่ตั้งและค่าเช่า เจ้าของอาคารที่สามารถแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่ดีในชีวิตประจำวัน และมีความมุ่งมั่นในระยะยาวต่อความปลอดภัยและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างความแตกต่างได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้”
ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ จากตลาดที่เคยวัดกันด้วย ราคาและทำเล สู่ตลาดที่วัดกันด้วย ความสามารถในการดูแลลูกค้าและการบริหารความเสี่ยง เพราะในโลกที่ไม่แน่นอน “ความเชื่อมั่น” คือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของอาคารสำนักงานในวันนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19พ.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility ขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทสูงถึง 82% ส่วนเงินดอลลาร์ขึ้นกับว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19พ.ค.2568“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์ จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 33.27 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.15-33.46 บาทต่อดอลลาร์)
โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมีผลกดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนในช่วงเช้าของวันจันทร์ หลัง Moody’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ Aaa สู่ระดับ Aa1 ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเข้าถือทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
โดยเฉพาะในช่วงที่สภาคองเกรสของสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงของการร่าง Fiscal Bill กดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงกลับมาใกล้เคียงระดับ ณ ช่วง 17.00 น. ของ วันศุกร์ที่ผ่านมา (Round Trip สำหรับดัชนีเงินดอลลาร์)
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้า ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ ยุโรป และจีน พร้อมทั้งรอติดตาม ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ (ที่อยู่ในช่วงการร่าง Fiscal Bill) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการ
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ซึ่งบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ จากพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอยู่ในช่วงการร่าง Fiscal Bill ซึ่งอาจมีเป้าหมายในการขยายเวลามาตรการลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา (Tax Cuts and Jobs Act หรือ TCJA) ที่จะจบลง ณ สิ้นปี 2025
รวมถึงการลดการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม และนอกเหนือจากประเด็นการเมืองดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
พร้อมทั้ง รอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ในปี 2025 และเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 2 ครั้ง ในปี 2026
ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน
พร้อมรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานการประชุม ECB ล่าสุด และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ด้วยเช่นกัน
▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนเมษายน อย่าง ยอดค้าปลีก รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจสะท้อนผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจจีน
นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี อาจถูกปรับลดลงสู่ระดับ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางจีน (PBOC) เพื่อรับมือแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน ในส่วนนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และ
ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.85% และ 5.50% ตามลำดับ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
▪ฝั่งไทย – เรามองว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยสำหรับไตรมาสแรก ปี 2025 อาจยังได้แรงหนุนจาก การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ตามการเร่งนำเข้าสินค้าไทยก่อนเผชิญผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยว ก็ยังคงเป็นเครื่องยนต์สำคัญต่อเศรษฐกิจ
ทว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ส่งผลให้ การลงทุนภาคเอกชนอาจชะลอตัวลงพอสมควร
เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนที่อาจไม่ได้ขยายตัวดีมากนักในไตรมาสแรก ทั้งนี้ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี จากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ทั้งปี 2025 เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวราว +2%y/y
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility ขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทสูงถึง 82% (จาก 1-month correlation) เพราะ แม้ราคาทองคำอาจอยู่ในช่วงการพักฐานและเสี่ยงย่อตัวลงบ้าง แต่ก็อาจมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะเงินหยวนจีน ที่อาจผันผวนได้พอสมควรในสัปดาห์ที่ตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน อนึ่งเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่อาจสูงราว 9.5 พันล้านบาท ตลอดทั้งสัปดาห์
ขณะเดียวกัน บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง ในเชิงเทคนิคัลนั้น แนวรับของเงินบาท (USDTHB) อาจขยับขึ้นมาแถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจชะลอการแข็งค่าขึ้น และอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ โดยทิศทางเงินดอลลาร์จะขึ้นกับว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ จะออกมาอย่างไร เมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.95-33.65 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.40 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ส่องเงินรางวัล “วิว กุลวุฒิ” ผงาดแชมป์ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 โกยไปมากเท่าไร?

ต้องบอกว่าสะใจกองเชียร์ชาวไทยสำหรับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย ที่สามารถคว้าแชมป์รายการ โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 มาครองได้สำเร็จ
โดยในรอบชิงชนะเลิศ นักตบลูกขนไก่หนุ่มวัย 24 ปี เป็นฝ่ายเอาชนะ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น มืออันดับ 3 ของโลกจากเดนมาร์ก ไปได้แบบลุ้นระทึก 2-1 เกม (21-16, 17-21 และ 21-9) ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พร้อมกันนี้ยังได้รับเงินรางวัลมาครอง 35,625 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,187,000 บาท) ขณะที่ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น รองแชมป์คว้าเงินรางวัล 18,050 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 600,000 บาท)

สำหรับการคว้าแชมป์ครั้งนี้ของ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ชาวไทยมือ 2 โลก ถือเป็นแชมป์สมัยที่ 2 หลังจากเคยทำได้มาแล้วเมื่อปี 2023 นอกจากนี้ยังถือเป็นแชมป์ที่ 3 ของปีต่อจาก อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025 และ เอเชีย แชมเปี้ยนชิพ 2025
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตากแดดแล้วปวดหัว! ส่องวิธีรับมือและทำให้ร่างกายทนแดดมากขึ้น

หลายคนคงเคยเจอปัญหา ตากแดดแล้วปวดหัว โดยเฉพาะช่วงเที่ยงหรือบ่ายที่แดดร้อนแรงสุดๆ เมื่อเจอแดดก็รู้สึกวิงเวียน หนักหัว อ่อนแรง บางรายถึงขั้นคลื่นไส้หรือเป็นลม มาดูสาเหตุ วิธีรับมือ และวิธีทำให้ร่างกายทนแดดได้มากขึ้นกันดีกว่า
ทำไมตากแดดแล้วปวดหัว
เมื่อร่างกายต้องเผชิญกับความร้อนสูงเกินไป ระบบควบคุมอุณหภูมิจะทำงานหนักโดยเฉพาะ “สมอง” ซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ พอร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน ก็จะเริ่มเกิดอาการต่างๆ เช่น
- ปวดศีรษะ หนักหัว
- วิงเวียน คลื่นไส้
- เหงื่อออกมาก หรือไม่มีเหงื่อเลยในบางกรณี
- หายใจถี่ ใจเต้นแรง
- รู้สึกสับสน อ่อนแรง
วิธีแก้เมื่อตากแดดแล้วปวดหัว
1. หาที่ร่มหรือที่เย็นโดยด่วน
เข้าไปในอาคารเปิดแอร์ หรือย้ายไปอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อลดการสะสมของความร้อนในร่างกาย
2. ดื่มน้ำทันที
เลือกน้ำเปล่าเย็นเล็กน้อยหรือเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไป ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็นจัดหรือกาแฟที่อาจทำให้ร่างกายเสียสมดุล
3. ประคบเย็นบริเวณท้ายทอย หน้าผาก หรือข้อมือ
ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและบรรเทาอาการปวดหัวได้เร็วขึ้น
4. นอนพัก
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้เอนตัวนอนในท่าศีรษะสูง หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวแรงๆ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
วิธีทำให้ร่างกายทนแดดได้ดีขึ้น
1. ฝึกออกแดดวันละนิด
เริ่มจากการอยู่กลางแดดอ่อนๆ ช่วงเช้า 7.00-8.00 น. ทีละ 10–15 นาที ให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน
ร่างกายที่ขาดน้ำจะต้านทานความร้อนได้น้อยลง ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร โดยเฉพาะในวันที่มีแดดแรง
3. กินอาหารช่วยต้านแดด
อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ หรืออาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยให้ร่างกายรับมือกับความร้อนได้ดีขึ้น
4. สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี
ควรเลือกเสื้อผ้าโทนสว่าง เนื้อผ้าบางเบา ไม่รัดแน่น และมีหมวกหรือร่มติดตัวไว้เสมอ
ตากแดดแล้วปวดหัว แบบไหนควรไปพบแพทย์
หากตากแดดแล้วปวดหัว ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เป็นลมหมดสติ ตัวร้อนจัด ไม่มีเหงื่อออก หรือสับสน ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอาการของฮีทสโตรก ที่อันตรายถึงชีวิตได้
แดดเมืองไทยไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าคุณมีอาการตากแดดแล้วปวดหัวอยู่บ่อยๆ อย่าชะล่าใจ! นอกจากรู้วิธีรับมือเบื้องต้นแล้ว การปรับพฤติกรรมและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับสภาพอากาศร้อนจะช่วยให้ชีวิตประจำวันของคุณสบายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และสุขภาพดีกว่าเดิม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘บิลล์ เกตส์’ ทำนาย 3 อาชีพ อยู่รอด ‘เอไอ’ ไม่สามารถแทนที่ได้

“บิลล์ เกตส์” หนึ่งในบุคคลสำคัญทางเทคโนโลยี ทำนาย 3 อาชีพ ยังไงก็อยู่รอด ท่ามกลางการเผชิญหน้าเอไอ ค่อยๆเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์
บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ หนึ่งในผู้นำธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เติบโต ปูทางให้กับแล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ และวิธีการทำงานที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เข้ามาเปลี่ยนวิถีแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
ในการสนทนากับหนังสือพิมพ์เดอะ อินเดียน เอ็กซ์เพรส เกตส์ได้แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ รวมถึง 3 อาชีพที่ตัวเขาคิดว่า จะไม่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก
ตามรายงานของเว็บไซต์ Marca เกตส์ทำนายว่า บุคคลใน 3 อาชีพ จะอยู่รอดปลอดภัยจากเอไอ ได้แก่ ชีววิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน และโปรแกรมเมอร์
เหตุผล 3 อาชีพอยู่รอด
ตามที่เกตส์กล่าวไว้ นักชีววิทยาเป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนามนุษย์ และการค้นพบ โดยผ่านกระบวนการสร้างสรรค์และสัญชาตญาณที่ยากต่อความเข้าใจ และปัญญาประดิษฐ์จะทำซ้ำ
แม้ว่า เอไอจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล แต่สมองของมนุษย์ก็ยังสามารถตั้งสมมติฐาน และมีความคิดก้าวกระโดด ซึ่งการค้นพบสิ่งแปลกใหม่แต่ละครั้ง ได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง ที่ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติ
ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและโปรแกรมเมอร์ ก็มีเหตุผลที่คล้ายกัน แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์จะมีความสามารถในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังขาดความสามารถที่สมองของมนุษย์มี และทำได้เป็นการเฉพาะ
นี่เป็นเหตุผล ทำให้ผู้คนสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนหรือปรับให้เข้ากับความต้องการพลังงานในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกได้ โดยเฉพาะการคาดเดาสถานการณ์ยากมากขึ้น
มีงานอื่นอีกไหม ปลอดภัยจาก AI
เกตส์ได้พูดคุยเกี่ยวกับเอไอมีบทบาททางวัฒนธรรมที่โดดเด่นมากขึ้น ซึ่งในการสนทนาระหว่างเกตส์กับจิมมี ฟอลลอนนั้น เกตส์ชี้ว่า นักกีฬาอาจเป็นอาชีพที่ปลอดภัยจากเอไอ
“คุณรู้ไหม เหมือนกับการแข่งขันเบสบอล เราไม่อยากดูคอมพิวเตอร์เล่นเบสบอล” เกตส์เล่าและเสริมว่า “ดังนั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เราเก็บไว้สำหรับตัวเราเอง แต่ในแง่ของการสร้างสรรค์เทคโนโลยี การเคลื่อนย้ายวัตถุ หรือการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร เมื่อเวลาผ่านไป เอไอจะเข้ามาทำให้สิ่งที่เป็นพื้นฐานเหล่านี้ถูกพัฒนาทำให้ดียิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
มัดรวมกริยาวลีที่มีคำว่า take ที่ไม่ได้แปลแค่นำมาเพียงอย่างเดียว

ในภาษาอังกฤษ คำกริยา “take” เป็นคำที่มีความหลากหลายในการใช้งานและสามารถแปลได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ นอกจากความหมายพื้นฐานอย่างการ “นำ” หรือ “หยิบ” แล้ว คำว่า “take” ยังเป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลี (phrasal verbs) ที่มักจะมีความหมายเฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากความหมายดั้งเดิมของคำกริยา “take” อย่างมาก กริยาวลีเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากช่วยให้ผู้พูดสามารถสื่อสารได้หลากหลายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น การเข้าใจและใช้งานกริยาวลีที่มีคำว่า “take” จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ พราะกริยาวลีบางคำสามารถสร้างความหมายใหม่ที่ซับซ้อนได้ การรู้จักการใช้กริยาวลีที่มี “take” อย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้นในทุกสถานการณ์ ทั้งในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์ที่เป็นทางการ ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า Take แปลว่าอะไร ใช้อย่างไรบ้าง กริยาวลีที่มี Take หน้าตาเป็นแบบไหน มีคำว่าอะไรบ้าง ตัวอย่างประโยคของกริยาวลี Take และนอกจาก take มีคำอื่น ๆ อะไรน่ารู้บ้าง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและใช้งานคำเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
Take แปลว่าอะไร ใช้อย่างไรบ้าง
คำว่า “take” ในภาษาอังกฤษเป็นคำกริยาที่มีความหมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้งาน โดยความหมายหลัก ๆ ของคำว่า “take” ได้แก่ “นำ” หมายถึง การย้ายสิ่งของหรือทำการขนย้ายจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง “หยิบ” หมายถึง การหยิบหรือจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในมือ, “เอา”, “รับ”หมายถึง การรับหรือยอมรับสิ่งที่ให้มา, “ใช้เวลา” หมายถึง การใช้เวลาในการทำบางสิ่ง และ “เรียนรู้” หมายถึง การเรียนรู้หรือเข้าใจบางสิ่ง “รับผิดชอบ” หมายถึง การรับภาระหรือความรับผิดชอบ “ท้าทาย” หรือ “เผชิญหน้า”หมายถึง การเผชิญหน้าหรือท้าทายบางสิ่ง “ถอนคำพูด” หรือ “ขอโทษ” หมายถึง การกลับคำหรือขอโทษ “พาไป” หมายถึง การพาหรือพาใครไปยังที่ใดที่หนึ่ง “ถอดออก” หมายถึง การถอดหรือเอาออกจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “เปลี่ยนที่” หรือ “เปลี่ยนทิศทาง” หมายถึง การเปลี่ยนทิศทางหรือย้ายไปที่อื่น เป็นต้น
กริยาวลีที่มี Take หน้าตาเป็นแบบไหน มีคำว่าอะไรบ้าง
กริยาวลี (Phrasal Verbs) ที่มีคำว่า “take” เป็นส่วนประกอบ เป็นคำที่ใช้ร่วมกับคำบุพบท (prepositions) หรือคำกริยาวิเศษณ์ (adverbs) เพื่อให้ได้ความหมายใหม่ที่แตกต่างจากคำกริยาหลัก ได้แก่ Take after หมายถึง คล้ายคลึงกับ (ลักษณะหรือรูปร่างเหมือน) หรือได้รับลักษณะบางประการจากผู้ปกครองหรือญาติ Take off หมายถึง เครื่องบินขึ้น ถอด (เสื้อผ้า รองเท้า) เริ่มได้รับความนิยม Take on หมายถึง รับหน้าที่หรือความรับผิดชอบ ท้าทาย หรือ ต่อสู้กับ Take in หมายถึง เข้าใจ ดู (การแสดงหรือการดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) รับหรือเอาไป Take up หมายถึง เริ่มทำ (กิจกรรมใหม่) ใช้เวลา ยกขึ้น Take over หมายถึง รับช่วงหรือรับหน้าที่ต่อจากคนอื่น ควบคุมหรือบริหาร Take out หมายถึง เอาออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง พาออกไป (ไปเที่ยวหรือทำกิจกรรม) Take back หมายถึง ถอนคำพูด นำสิ่งของกลับคืน Take down หมายถึง เขียนหรือบันทึก ทำให้พังหรือรื้อถอน Take aside หมายถึง พูดคุยกับใครบางคนเป็นการส่วนตัว Take to หมายถึง ชอบหรือหลงรัก (บางสิ่งหรือบางคน) เริ่มทำสิ่งหนึ่ง Take in stride หมายถึง รับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยไม่รู้สึกเครียด Take a look at หมายถึง ดูหรือสังเกตบางสิ่ง
ตัวอย่างประโยคของกริยาวลี Take
- Take after
- “She really takes after her mother in terms of looks.” (เธอเหมือนแม่มากในเรื่องรูปลักษณ์)
- “Tom takes after his father in his sense of humor.” (ทอมเหมือนพ่อในเรื่องอารมณ์ขัน)
- Take off
- “The plane will take off in 10 minutes.” (เครื่องบินจะขึ้นในอีก 10 นาที)
- “Please take off your shoes before entering the house.” (กรุณาถอดรองเท้าก่อนเข้าในบ้าน)
- Take on
- “She decided to take on the role of project manager.” (เธอตัดสินใจรับบทบาทผู้จัดการโครงการ)
- “The team took on the challenge with determination.” (ทีมงานท้าทายความยากลำบากด้วยความมุ่งมั่น)
- Take in
- “It took me a while to take in what he said.” (ฉันใช้เวลาสักพักในการทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด)
- “We took in the beautiful views during our trip.” (เราได้ชมวิวที่สวยงามระหว่างการเดินทาง)
- Take up
- “I decided to take up painting as a hobby.” (ฉันตัดสินใจเริ่มเรียนวาดภาพเป็นงานอดิเรก)
- “She took up the suitcase and left the room.” (เธอยกกระเป๋าเดินทางและออกจากห้อง)
- Take over
- “The new CEO will take over the company next month.” (CEO คนใหม่จะรับตำแหน่งในบริษัทเดือนหน้า)
- “They took over the management of the store last year.” (พวกเขาควบคุมการจัดการร้านเมื่อปีที่แล้ว)
- Take out
- “I need to take out the garbage before I leave.” (ฉันต้องเอาขยะออกไปก่อนที่ฉันจะออกไป)
- “He took her out to dinner at a nice restaurant.” (เขาพาเธอไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารดีๆ)
- Take back
- “I take back what I said about him earlier.” (ฉันขอโทษที่พูดเกี่ยวกับเขาเมื่อกี้)
- “Please take back the book to the library.” (กรุณานำหนังสือกลับไปที่ห้องสมุด)
- Take down
- “She took down the important points during the meeting.” (เธอบันทึกจุดสำคัญในระหว่างการประชุม)
- “They are taking down the old building to build a new one.” (พวกเขากำลังรื้ออาคารเก่าเพื่อต่อเติมอาคารใหม่)
- Take to
- “She took to reading as soon as she could understand books.” (เธอเริ่มรักการอ่านเมื่อเธอสามารถเข้าใจหนังสือได้)
- “He took to his new job very quickly.” (เขาปรับตัวเข้ากับงานใหม่ได้เร็วมาก)
นอกจาก take มีคำอื่น ๆ อะไรน่ารู้บ้าง
ในภาษาอังกฤษยังมีคำกริยาอื่น ๆ ที่มีการใช้งานในรูปแบบ กริยาวลี (phrasal verbs) ที่สามารถเพิ่มความหลากหลายในการสื่อสารได้ ตัวอย่างเช่น
- Get
- Get up = ตื่นขึ้นจากเตียง (หรือเริ่มทำบางสิ่ง)
- Get along = เข้ากันได้ดี (กับคนอื่น)
- Get by = ทำให้รอด (ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก)
- Get over = ฟื้นตัวจากบางสิ่ง (อาการเจ็บป่วย, การสูญเสีย)
- Get through = ผ่านพ้นไปได้ (ผ่านปัญหา)
- Give
- Give up = ยอมแพ้ (หยุดทำบางสิ่ง)
- Give in = ยอมจำนน (ยอมทำสิ่งที่ไม่อยากทำ)
- Give away = ให้ (ของขวัญ หรือบางสิ่งไปฟรี ๆ)
- Give out = แจกจ่าย, ให้หรือเปิดเผยข้อมูล
- Give off = ปล่อย (กลิ่น, แสง, ความร้อน)
- Come
- Come up = เกิดขึ้น (ปัญหาหรือเหตุการณ์)
- Come across = พบโดยบังเอิญ
- Come down = ลดลง (ราคา, น้ำหนัก)
- Come back = กลับมา
- Come up with = คิดค้นหรือหาวิธีแก้ปัญหา
- Put
- Put off = เลื่อนออกไป
- Put up with = ทนกับ (สิ่งที่ไม่ชอบ)
- Put out = ดับ (ไฟ) หรือทำให้ยุ่งยาก
- Put across = สื่อสาร (ความคิดหรือข้อมูล)
- Put down = วาง (สิ่งของ), ดูหมิ่น (ใครบางคน)
- Look
- Look up = มองหา (ข้อมูล), เยี่ยม (สถานที่)
- Look after = ดูแล
- Look for = หา
- Look forward to = ตั้งตารอ
- Look out = ระวัง (อันตราย)
- Turn
- Turn up = ปรากฏ (มาถึง)
- Turn down = ปฏิเสธ, ลดเสียง
- Turn off = ปิด (ไฟ, เครื่องใช้ไฟฟ้า)
- Turn on = เปิด (ไฟ, เครื่องใช้ไฟฟ้า)
- Turn into = เปลี่ยนเป็น (บางสิ่ง)
- Call
- Call off = ยกเลิก
- Call back = โทรกลับ
- Call out = เรียกออกไป (เสียงดัง)
- Call for = ต้องการ (บางสิ่ง), เรียกร้อง
- Call in = โทรเข้า (ไปยังสถานที่หรือองค์กร)
- Break
- Break down = พัง (เครื่องจักร), ร้องไห้หนัก
- Break up = เลิก (ความสัมพันธ์), หยุด (กิจกรรม)
- Break in = บุกเข้าไป (สถานที่)
- Break out = หนีออกจากที่คุมขัง, เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (เช่น การระบาด)
- Break through = ผ่านพ้น (อุปสรรค)
- Set
- Set up = จัดตั้ง, ตั้งค่า
- Set off = ออกเดินทาง
- Set aside = เก็บไว้, ยกเว้น
- Set in = เริ่มเกิดขึ้น (สถานการณ์หรือสภาพอากาศ)
- Set out = เริ่มทำบางสิ่ง (ตามแผนหรือเป้าหมาย)
- Ask
- Ask out = ขอให้ไปเดท
- Ask around = ถามหลายคนเกี่ยวกับบางสิ่ง
- Ask for = ขอ (บางสิ่ง)
- Ask after = ถามข่าว (สุขภาพหรือเรื่องส่วนตัว)
- Ask in = เชิญเข้ามา (ในบ้านหรือสถานที่)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
มะไฟคืออะไร? ประโยชน์ของมะไฟ และวิธีกินให้ได้สุขภาพดี

มะไฟ คือผลไม้พื้นบ้านของไทยที่หลายคนอาจคุ้นชื่อ แต่ไม่รู้จักคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในผลเล็ก ๆ นี้ บางคนอาจเคยเห็นมะไฟตามตลาดนัดในหน้าร้อน หรือได้ยินว่ามีรสเปรี้ยวอมหวานกินแล้วสดชื่น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับมะไฟอย่างละเอียด ตั้งแต่ลักษณะ สรรพคุณ ไปจนถึงข้อควรระวัง พร้อมคำตอบว่า “มะไฟกินได้ไหม?” และควรกินอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ
มะไฟคืออะไร?
มะไฟ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Baccaurea ramiflora) เป็นผลไม้พื้นบ้าน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้มากในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา โดยมักพบในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ของไทย ผลของมะไฟมีลักษณะกลมรี ขนาดเท่าลูกมะนาวเล็ก เปลือกสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม เมื่อสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมักนิยมรับประทานสดหรือแปรรูปเป็นมะไฟดอง
มะไฟเป็นผลไม้ที่มากด้วยคุณค่าแต่ก็มีข้อควรระวังบางประการด้วย มาดูกันแบบชัด ๆ เลยว่า ประโยชน์ และ โทษ ของมะไฟมีอะไรบ้าง

จุดเด่นของมะไฟ
- รสชาติเปรี้ยวหวาน ชื่นใจ กินสดหรือทำน้ำผลไม้ก็ได้
- อุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ
- มักออกผลช่วงหน้าร้อน (กุมภาพันธ์ – เมษายน)
- นิยมปลูกในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ของไทย
ประโยชน์ของมะไฟ
- ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
– เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยต้านหวัด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน - บำรุงผิวพรรณ
– วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในมะไฟช่วยให้ผิวสดใส ลดริ้วรอย - ช่วยในการขับถ่าย
– มะไฟมีไฟเบอร์สูง กินแล้วช่วยกระตุ้นการขับถ่าย แก้ท้องผูก - ลดความดันโลหิต
– สารโพแทสเซียมที่มีอยู่ช่วยควบคุมระดับความดันในร่างกาย - บำรุงสายตา
– มีวิตามินเอ ซึ่งดีต่อดวงตา ป้องกันภาวะตาแห้งและเสื่อม - ช่วยให้อารมณ์ดี
– กลิ่นหอมเปรี้ยวหวานของมะไฟช่วยให้รู้สึกสดชื่น คลายเครียดได้ดี
โทษหรือข้อควรระวังของมะไฟ
- มีฤทธิ์ร้อน
– ถ้ากินมากเกินไปอาจทำให้ร้อนใน เจ็บคอ หรือเป็นแผลในปากได้ - ไม่ควรกินขณะท้องว่าง
– เพราะกรดในผลไม้มีความเปรี้ยว อาจระคายเคืองกระเพาะ - ผู้เป็นเบาหวานควรระวัง
– ถึงจะไม่หวานจัด แต่น้ำตาลธรรมชาติก็มีอยู่ไม่น้อย กินมากอาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ - เสี่ยงท้องเสียถ้ากินมะไฟดิบหรือไม่สะอาด
– ต้องล้างให้สะอาด และเลือกผลที่สุกพอดี
มะไฟกินได้ไหม? แล้วควรกินอย่างไรดี
มะไฟกินได้แน่นอน และนิยมกินกันมานาน โดยสามารถกินผลสด หรือแปรรูปเป็นมะไฟดอง มะไฟแช่อิ่ม หรือนำไปใส่ในน้ำพริก ผลสุกจะหวานอมเปรี้ยว ทานแล้วสดชื่น
เคล็ดลับ
- เลือกผลที่สีเหลืองนวล ไม่ช้ำ
- ล้างให้สะอาดก่อนกิน
- หลีกเลี่ยงการกินตอนท้องว่าง
กิน “มะไฟ” ในปริมาณพอเหมาะ จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หากกินมากเกินไปก็อาจให้โทษได้เหมือนกัน
ขอบคุณข้อมูลลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/05/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,550.00 | 50,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,274.00 | 49,633.84 | 51,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,946.60 | 44,670.46 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,619.20 | 39,707.07 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,473.00 | 22,335.23 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,146.00 | 17,371.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,393.00 | 51,434.03 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/05/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |